เรื่องสั้นไทย “โคตรอีแร้ง” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย เรื่องโคตรอีแร้ง โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้น-วรรณกรรมไทย

หลังจากเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งและหย่อนลงหีบ   สมกับที่เป็นชาวไร่ในยุคประชาธิปไตยแล้ว    ชายหนุ่มก็เดินทางกลับบ้านอย่างสุขใจในอนาคตอันสดใส   ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน   แต่ต้องตกใจสุดขีดกับภาพท้องไร่ของตน   ที่แลเห็นอยู่ไกลลิบ ๆ โน่น

พวกมัน – โคตรอีแร้งและฝูงบริวารกำลังทำในสิ่งที่ผิดวิสัย   ด้วยการรุมจิกทึ้งกินต้นไม้ต้นไร่   รวมถึงบรรดาเป็ดไก่ในที่ดินของเขา   ไม่เว้นแม้แต่แม่วัวสองสามตัว   ซึ่งพากันวิ่งตะบึงหนีด้วยความหวาดกลัว   ทุกหนแห่งที่โคตรอีแร้งกับพวกไปถึง   ล้วนพังพินาศราวกับว่ากำลังเกิดกลียุคก็ไม่ปาน

ชาวไร่หนุ่มมองภาพแห่งความวิบัติบนผืนดินอันเป็นชีวิตจิตใจด้วยความเจ็บปวด   ทว่าไม่อาจขับไล่อีแร้งฝูงนี้   ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน   หรือแม้แต่จะมีอาวุธเอาไว้เพื่อการต่อสู้เลย

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”   เขาถามตัวเองด้วยความงุนงงสงสัย   จากเดิมที่พวกมันเคยมีท่าทีนิ่งสงบดุจผู้ทรงศีล   ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตใด ๆ   เลือกกินเพียงซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยแล้ว   แต่บัดนี้   ดูสิ  พวกมันกำลังตะกรุมตะกรามเขมือบทุกอย่างลงท้อง   ด้วยความละโมบเหมือนตายอดตายอยากมานาน

“แท้จริงแล้วทั้งโคตรอีแร้ง   ทั้งลูกสมุนของมัน   ล้วนเป็นจอมตลบตะแลงอย่างแท้จริงสินะ   ทำไมพวกมันช่าง…”

ชาวไร่เพิ่งตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้   ครั้นคิดไปคิดมาก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวจนทะลุปรุโปร่ง   ใช่แล้ว   พวกมันใช้ความตลบตะแลงอันเป็นสันดานที่แท้จริง   ทำให้เขาหลงไว้เนื้อเชื่อใจจนถึงขนาดเคยเชื่อว่า   พวกมันจะไม่มีวันเป็นภัยแก่ถั่วงาและพืชผลอื่น ๆ   ตลอดจนสัตว์เลี้ยงภายในไร   เขาจึงไม่เคยคิดจะขับไล่พวกมันออกไปเสียตั้งแต่ในครั้งแรก   มิหนำซ้ำยังนึกขอบใจที่การมาของโคตรอีแร้งกับพวก   ได้ทำให้บรรดาอีกาหัวขโมยเจ้าเล่ห์   ซึ่งชอบบินเข้ามาแอบกินถั่วกินงาในไร่   ไม่กล้าโผล่หน้ามาอีก   จะทำได้ก็เพียงแค่ส่งเสียงร้องกา ๆ แว่วมาจากทางท้ายไร่   พอให้รำคาญเล่นในบางวันเท่านั้น

เขายังเคยหลงชื่นชอบไปกับกองขี้อันเหม็นเน่า   ที่โคตรอีแร้งกับพวกพากันขับถ่ายทิ้งลงบนผืนไร่อันกว้างใหญ่   แน่ล่ะ   นั่นทำให้ต้นถั่วต้นงาเจริญงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์   ที่แท้พวกมันก็เพียงต้องการให้เขาตายใจ   แต่แล้วเมื่ออดรนทนต่อความอยากไม่ไหว   ก็เผยสันดานชั่วช้าออกมา

“บางทีสัตว์ร้ายฝูงนี้   อาจหิวโหยจนถึงที่สุดแล้วก็เป็นได้   หรือไม่ก็เชื่อว่า   ในเวลานี้คงไม่มีใครเก่งกล้าพอที่จะสยบพวกมันได้   ช่างเลวร้ายสิ้นดี”

เขาคิดด้วยความเจ็บแค้น   ในความเจ็บแค้นแฝงไว้ด้วยความเศร้าหมอง

“หรือแผ่นดินนี้ที่ตากับยายได้มอบให้จะต้องมาสูญสิ้น   เมื่อตกอยู่ในความครอบครองของข้า   อย่า…อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”   ชาวไร่คร่ำครวญ

ความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้แข้งขาของเขาอ่อนเปลี้ย   จนต้องทรุดลงนั่งคุกเข่ากับผืนดิน

“หมดแล้ว   ไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว”

เขารู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังอย่างแท้จริง   ขณะนี้โคตรอีแร้งและฝูงบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง   กำลังหันมาจิกกินหน้าดินบางส่วนจนเกิดเป็นหลุมลึก   น่าประหลาดที่พวกมันกลับไม่ยอมแตะต้องแปลงถั่วงาอันอุดมสมบูรณ์

“หรือว่าโคตรอีแร้งจะเก็บไว้กินเป็นคำสุดท้าย   ทำไมนะ   ทำไมมันถึงเป็นสัตว์อุบาทว์ได้ถึงเพียงนี้”   ชาวไร่หนุ่มเบิ่งตามองค้าง   และแทบจะตะโกนออกมาด้วยความคั่งแค้น

ตั้งแต่เกิดมา   เขาก็ไม่เคยพบสัตว์ที่กระทำเรื่องอุบาทว์ถึงเพียงนี้มาก่อน   จำได้ว่าสมัยเป็นเด็ก   เคยมีอีกาแอบมากินถั่วกินงาในไร่แห่งนี้   นั่นทำให้เขาถูกตากับยายดุด่าเฆี่ยนตี   ทว่าเดี๋ยวนี้ตากับยายชราเกินกว่าจะลงโทษหลานไม่ได้เรื่องอย่างเขาแล้ว   แม้กระนั้นเขาก็ยังคงอยากถูกลงโทษอยู่ดี   เขาน่าจะลงโทษตัวเองที่ดันหลงกลไว้ใจโคตรอีแร้งจอมตะกละ

“ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย”   ชาวไร่รำพึงด้วยความเศร้าใจ

ทันใดนั้นเองเขาก็ต้องผุดลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ   เมื่อนึกถึงการออกเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากสหายเก่าขึ้นมาได้   แม้เรื่องราวจะผ่านพ้นมานานจนแทบจะหลงลืมไปแล้ว   แต่เยื่อใยสายสัมพันธ์ก็น่าจะยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง

“ครั้งนั้นมิใช่หรือ   ที่อีกาเจ้าเล่ห์ได้ถูกกำจัดออกไปจากท้องไร่”

เขารื้อฟื้นความทรงจำถึงวันที่ไร่ถั่วงามีปัญหา   จนต้องอาศัยไหว้วานนายพรานคนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ   แม้ดูท่าทางนายพรานจะไม่ค่อยเต็มใจนัก   หรืออาจเพียงแค่แกล้งวางท่าเล่นตัวก็เป็นได้   จนเขาต้องออกแรงเดินไปขอร้องแมลงหวี่ช่วยมาตอมตาช้าง   ทำให้ช้างต้องยอมไปพังตลิ่ง   ตลิ่งกลัวจึงยอมไปทับน้ำ   แล้วน้ำก็เลยไปดับไฟ   ไฟรีบไปเผาฟืน   ฟืนไปตีหมา   หมาไปกัดแมว   แมวไปกัดหนู   สุดท้ายพอหนูจะไปกัดสายธนูของนายพราน   นายพรานเลยต้องวิ่งโกยอ้าวมาที่ไร่แห่งนี้   แล้วเรื่องราวก็จบลงด้วยดี   กระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในนิทานเรื่องหนึ่ง   ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีปัญหาตามมาอีกเล็กน้อย   เมื่อนายพรานทำท่าเหมือนจะกินนอนอยู่ในไร่ตลอดไป   ทำให้เขาซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยต้องเสียเวลาทั้งอ้อนวอนทั้งขับไล่อยู่นาน

คิดถึงตรงนี้แล้ว   ชาวไร่ก็ถามตัวเองว่า   “หรือข้าจะต้องหวนกลับไปใช้วิธีเก่า ๆ สมัยเป็นเด็กอีกครั้ง   มันจะได้ผลไหมหนอ”

แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย   นั่นอาจเป็นเพราะว่า   เดี๋ยวนี้เขาได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการอันสนุกสนานไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม   โชคก็เข้าข้างเขาอีกครั้งหนึ่ง   เมื่อมองเห็นร่างของนายพรานเดินโผล่ออกมาจากทางด้านหลังพุ่มไม้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้   เพียงแค่นึกถึงนายพราน   นายพรานก็มาหา”  ชาวไร่รำพึงด้วยความดีใจ   แต่อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า   วันเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว   ทำไมรูปร่างหน้าตาของนายพรานยังคงเหมือนเดิม   แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย   ในอดีตเคยหนุ่มแน่นขึงขังเช่นไร   เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

“ช่างเถอะ”   เขาพึมพำออกมา   “ถึงอย่างไรคันธนูในมืออันหยาบกร้านนั้นก็ยังดูน่าเกรงขาม   อีกทั้งเปี่ยมไปด้วยพลังเหมือนครั้งกระโน้น   มันคงสยบโคตรอีแร้งกับพรรคพวกของมันได้สบาย ๆ ”

“ร้ายกาจจริง ๆ ไอ้โคตรอีแร้งพวกนี้”   นายพรานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ดุดันเหมือนสมัยก่อน   สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่สัตว์ร้ายกลุ่มนั้น   ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการกินหน้าดิน   จนไม่ทันระแวงว่ากำลังจะมีอันตรายใด ๆ มาถึงตัว

“ใช่  พวกมันร้ายกาจและชั่วช้าที่สุด   ท่านนายพรานได้โปรดช่วยขับไล่พวกมันออกไปด้วยเถิด   ให้พวกมันพ้นไปจากไร่นาผืนนี้เหมือนกับที่ท่านได้เคยช่วยข้าไว้   เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเด็ก   ท่านคงจำเหตุการณ์นั้นได้กระมัง   เรื่องราวอันสนุกสนานในวัยเยาว์ของข้า”

“เจ้าน่าจะเป็นเด็กน้อยคนที่ไม่ยอมเฝ้าถั่วเฝ้างาซีนะ” นายพรานถามยิ้ม ๆ   “มัวแต่นอนหลับสบาย   โดยไม่สนใจความเป็นไปในผืนดินผืนไร่ที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่   จนกว่าจะมีภัยมาถึงแล้วนั่นแหละ   ถึงค่อยร้องแรกแหกกระเชอให้คนมาช่วย   ดูเหมือนว่าเดี๋ยวนี้นิสัยของเจ้าก็ยังเหมือนเดิม   ใช่ไหมล่ะ   ข้าพูดผิดไปจากความจริงหรือเปล่า”

“อย่ามัวแต่เสียเวลาตำหนิข้าอยู่เลย”   ชาวไร่มีสีหน้าละอาย   “โคตรอีแร้งกับบริวารของมันกำลังสวาปามที่ดินทำกินของข้าอยู่โน่น   หากท่านสามารถยิงธนูได้แม่นยำเหมือนแต่ก่อนก็รีบลงมือเถอะ   ข้าจะได้ไม่ต้องไปขอร้องให้ใครต่อใครมาช่วยอีก”

“พ่อของข้าเคยยิงได้แม่นยำอย่างไร   ข้าผู้เป็นลูกก็ย่อมเชื้อไม่ทิ้งแถว   วางใจเถอะ”

“พ่อของท่านงั้นรึ”   

ชาวไร่ถามด้วยความประหลาดใจ

“เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อของข้ากลายเป็นตำนาน แต่วันนี้ข้าจะขอสร้างผลงานบ้าง   ด้วยการกำจัดโคตรอีแร้งและพวกของมันให้สิ้นซาก   คอยดูฝีมือของวีรบุรุษคนนี้เถิด   ข้ารับมือพวกมันได้สบาย ๆ   เลิกวิตกกังวลได้แล้ว”   นายพรานพูดด้วยความมั่นใจ

เขามองดูผู้มาเยือนใช้มือดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ที่สะพายหลังไว้   ก่อนจะยกคันธนูอันหนักอึ้งขึ้นน้าวจนโก่ง   แต่เกิดความผิดพลาดขึ้น   เมื่อนายพรานใช้เวลาเล็งไปทางโคตรอีแร้งนานเกินความจำเป็น   เจ้าสัตว์อุบาทว์นั่นจึงไหวตัวและเดินหนีไกลออกไป   ดูเหมือนว่ามันกับพรรคพวกฉลาดพอที่จะไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่งให้ยิงง่าย ๆ

ชาวไร่พยายามทำใจเย็น   คอยจับตาดูการทำงานของนายพรานโดยไม่เร่งเร้า   แต่ฝากความหวังไว้เหมือนในอดีต   คิดเอาง่าย ๆ ว่า   หากกำจัดตัวหัวหน้าฝูงได้สำเร็จ   บรรดาลูกสมุนก็ย่อมแตกฉานซ่านเซ็นไปทุกทิศทุกทาง   ซึ่งนั่นจะทำให้ง่ายต่อการไล่ล่ากุดหัวให้หมดสิ้น   หรืออย่างน้อยพวกมันก็คงไม่กล้ากลับมารบกวนไร่ถั่วไร่งาแห่งนี้อีก

ในที่สุด   นายพรานก็ยิงลูกธนูอันแหลมคมออกไปจนได้   หลังจากที่มัวเงื้อง่าอยู่นาน   ทว่าเรื่องราวเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นให้เห็นเต็มสองตาของชาวไร่

“ให้ตายเถอะ   เป็นไปได้ยังไงกันนี่”   

นายพรานอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ   เพราะทันทีที่ลูกธนูพุ่งเข้าใกล้โคตรอีแร้งซึ่งกำลังกางปีกผงาดอยู่   มันก็สามารถใช้พลังลมจากปีกอันแข็งแรง   โบกสะบัดให้ลูกธนูเปลี่ยนทิศทางไปตกที่อื่นได้อย่างเหลือเชื่อ   จากนั้นก็รีบวิ่งเสียงดังตึกตักไปบนผืนไร่   ก่อนจะขยับปีกบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่าผ่าเผย

“โคตรอีแร้งนี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ   สนุกล่ะ   พ่อของข้าเคยยิงอีกาสำเร็จ   แต่วันนี้ข้าจะต้องสังหารไอ้โคตรอีแร้งตัวนี้ให้จงได้”   

นายพรานทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ   แล้วตั้งท่าเล็งเป้าหมายอีกครั้ง   คราวนี้นายพรานทำเก่งด้วยการขึ้นลูกธนูทีเดียวพร้อมกันถึงสามดอก   จากนั้นรีบยิงออกไปในทันที

“ให้มันได้ยังงี้สิน่า”   ชาวไร่ตะโกนพร้อมกับตบมือด้วยอาการลิงโลด   เมื่อเห็นลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งทะลุปีกของโคตรอีแร้งอย่างจัง   ส่งผลให้ขนสีดำของมันหลุดกระจุยกระจายอยู่กลางอากาศ   “นายพรานรีบยิงมันซ้ำอีกสิ   ยิงเลย   โน่นไง   มันกำลังบินหนีออกจากไร่แล้ว   เร็วเข้า…”

ไม่ทันการเสียแล้ว   โคตรอีแร้งรีบบินหนีห่างออกไป จนกระทั่งพ้นเขตที่ดินของเขา   ซึ่งไกลเกินกว่าลูกธนูของนายพรานจะสามารถยิงถึง   ส่วนบรรดาฝูงอีแร้งที่กำลังจิกกินต้นไม้และหน้าดินอย่างเมามัน   เมื่อเห็นนายของพวกมันพลาดท่าเสียทีอย่างนั้น   ก็พากันละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้า   แล้วรีบบินหลบหนีไปอย่างลนลาน

“น่าเสียดาย   พลาดไปหน่อย   ไม่คิดว่ามันจะมีฤทธิ์เดชมากถึงเพียงนี้   แต่ไม่เป็นไร   ข้ายังคงมีเวลาจัดการกับมันได้สบาย ๆ   เจ้าดูโน่นสิ”

ฝูงอีแร้งโดยการนำของโคตรอีแร้งไม่กล้ากลับเข้ามาอีก   แต่พวกมันก็ยังเฝ้าบินวนเวียนอยู่รอบ ๆ ไร่ถั่วไร่งาของเขา มิหนำซ้ำยังมีท่าทางอาฆาตมาดร้ายเหมือนจะไม่ยอมแพ้หรือเลิกราไปง่าย ๆ

“บางทีพวกมันอาจรอเวลาที่จะกลับมาล้างแค้นอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้”   ชาวไร่เตือนตัวเองด้วยความหวาดหวั่น

เวลาล่วงเลยไปหลายเดือนนับจากวันแห่งความฉิบหายวายป่วงบนไร่ถั่วไร่งา   ขณะนี้ชาวไร่กำลังนั่งชันเข่าครุ่นคิดอยู่ตามลำพังด้วยความกลัดกลุ้มใจ   แม้โคตรอีแร้งจะไม่สามารถเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายได้อย่างเสรีเหมือนแต่ก่อน   นอกจากบินวนไปเวียนมาเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์ภายในไร่จากระยะห่าง   แล้วคอยอาศัยจังหวะเหมาะส่งอีแร้งลูกสมุนหลายตัวเข้ามากวนประสาทบ้างเป็นครั้งคราว

แต่ที่โคตรอีแร้งดูจะชอบใจเป็นพิเศษก็คือการส่งเสียงร้องข่มขวัญให้เขาและฝูงสัตว์เลี้ยงต้องหวาดผวา   โชคดีที่นายพรานยังคงปักหลักอยู่ในไร่   อีกทั้งรับอาสาว่าจะดูแลความปลอดภัยให้ตลอดไป   ฝูงอีแร้งจึงไม่กล้าบินเข้ามาก่อกวนมากนัก

“ไม่แน่   นี่อาจเป็นการหนีเสือปะจระเข้ก็เป็นได้”

เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก   เพราะตั้งแต่นายพรานเข้ามากินอยู่หลับนอนภายในไร่   เขาก็พบว่าตัวเองไม่อาจทำอะไรตามใจชอบได้เหมือนเดิมอีกต่อไป   ด้วยนายพรานมักจะใช้ให้เขาทำงานต่าง ๆ ตามที่ตนเห็นว่าดีหรือถูกต้อง   บางครั้งเขาไม่เห็นด้วยเลย   นายพรานก็จะใช้คำหวานเข้าปลอบ   หากปลอบไม่ได้ก็หยิบคันธนูขึ้นมาแกล้งยกเล็งใส่เขาแบบทีเล่นทีจริง   นั่นเป็นการเตือนกันอย่างโต้ง ๆ ว่านายพรานมีอาวุธร้ายกาจอยู่ในมือ   และอาจใช้สั่งสอนผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังก็เป็นได้

อาวุธของนายพรานนี้   เขาพยายามจับตาดูอยู่เสมอ   แล้วคิดว่าอาวุธควรใช้ต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ   อีกทั้งต้องเป็นไปเพื่อให้เกิดสันติ   เขายังรู้สึกด้วยว่า   การปล่อยให้นายพรานเข้ามาขับไล่โคตรอีแร้งในตอนแรกโดยไม่ได้ออกปากเชื้อเชิญนั้น   เพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติ   แต่…บางทีเขาอาจไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากนายพรานก็เป็นได้   หากล่วงรู้ว่าจะมีการข่มเหงรังแกกันในภายหลังด้วยนิสัยบ้าอำนาจ

ที่ผ่านมา   แม้ผู้มาเยือนยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอันตรายมากเท่ากับนายพรานผู้เป็นพ่อ   “แต่นายพรานคนนี้ก็เที่ยวเดินเกะกะกีดขวางการทำไร่ของข้า   หรือว่าไม่จริง”   ชาวไร่รำพึง   “และนายพรานก็ต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวัน   แถมกินจุเกินมนุษย์ธรรมดาเสียอีก   ไม่แน่นัก   วันใดวันหนึ่ง   หรือในเร็ว ๆ นี้ นายพรานอาจกินพืชไร่มากมายไม่แพ้พวกโคตรอีแร้ง   แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า   หากเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น   มันจะไม่แสดงให้เห็นหรือว่า   ทั้งโคตรอีแร้งและนายพรานล้วนเป็นตัวอันตรายต่อไร่ถั่วงาด้วยกันทั้งคู่”

เขาตรึกตรองเรื่องนี้ด้วยความวิตกกังวล   เพิ่งตระหนักว่า   วันใดที่เขาขอร้องให้นายพรานออกไปจากไร่   เหมือนกับที่เขาเคยทำกับนายพรานคนก่อน   หากนายพรานคนนี้ยอมทำตาม   ไม่ว่าจะด้วยความซื่อสัตย์หรือความละอายแก่ใจ   ฝูงโคตรอีแร้งที่รอจังหวะอยู่ด้านนอกย่อมหวนกลับเข้ามายึดครองไร่ถั่วงาของเขาอย่างแน่นอน   พวกมันกำลังโหยหิวและคลุ้มคลั่งด้วยความคับแค้นจนสุดที่จะทนทานไหวแล้วด้วยซ้ำ   เขาเชื่อเช่นนั้น

แต่ครั้นจะปล่อยให้นายพรานอยู่ที่นี่ต่อไปตามสบาย คนผู้นี้ก็อาจทำดุจเดียวกับคนที่มีอาวุธอยู่ในมือ   นั่นคือชอบคิดว่าตัวเองมีอำนาจ   และอำนาจมิใช่หรือที่ทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนชั่วไปแล้วตั้งมากมาย   วิชาประวัติศาสตร์ที่เขาเคยร่ำเรียนมาบ้างจากโรงเรียนวัดก็ยืนยันเรื่องนี้เสมอ   มิหนำซ้ำบรรดานักปราชญ์ทั้งหลายก็มักจะเตือนว่า   “ผู้ถืออาวุธไม่อาจไว้วางใจได้   พวกนี้ไม่ต่างไปจากอสรพิษ”

ท่ามกลางความรู้สึกสับสน   ชาวไร่พลันเบื่อหน่าย   และอยากปล่อยวางปัญหาทั้งปวง   เขาพยายามคิดว่าการมีนายพรานอยู่ด้วยอาจจะเป็นเรื่องดี   อีกทั้งไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ ด้วยการหมิ่นแคลนน้ำใจของชายผู้มีบุญคุณต่อไร่ถั่วงาแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม   นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เลย   เมื่อเขายังคงรู้สึกว่า   ที่ผ่านมานับแต่มีนายพรานเข้ามาอยู่ด้วย   เขาได้ขาดอิสระไปมาก   ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว   ราวกับว่านายพรานคนนี้นอกจากจะใช้ธนูเก่งแล้ว   การครอบงำให้เขาเชื่อฟังยังนับเป็นความสามารถพิเศษที่ไม่อาจมองข้ามไปได้   หากเขารักความเป็นอิสระเหนือสิ่งอื่นใด   ก็ควรใช้สิทธิบังคับให้นายพรานออกไปจากไร่เสียที   แล้วเตรียมรับมือการโจมตีของโคตรอีแร้ง   ด้วยสติปัญญาและกำลังของตัวเองอย่างสุดความสามารถ

“คราวนี้ไม่ต้องรอให้ใครหน้าไหนยื่นมือเข้ามาช่วยอีก   ข้าควรยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเสียที   ถ้าจะพ่ายแพ้ก็แล้วแต่โชคชะตาเถอะ”

เขาพึมพำออกมาอย่างปลง ๆ   เพราะการพ่ายแพ้อาจหมายถึงวันสิ้นสุดของชีวิต   หากเป็นเช่นนั้น แน่นอนเหลือเกินว่า   ผืนดินของบรรพบุรุษที่เขาหวงแหน   จะต้องตกอยู่ในความครอบครองของโคตรอีแร้งไปอีกนานแสนนาน

เขาจินตนาการเห็นภาพของตากับยายนั่งหน้าเศร้า เมื่อรับรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสัตว์ร้ายบุกรุกเข้ามากอบโกยและกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าปากอย่างไร้ยางอาย   อดรู้สึกหม่นหมองขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้   ด้วยมองไม่เห็นทางออกว่าควรจะจัดการกับปัญหาภายในไร่อย่างไรดี

ชาวไร่นั่งจมอยู่กับปัญหาอันหนักหน่วง   บางขณะก็เผลอทอดถอนหายใจออกมาเสียงดัง   ในที่สุด   เขาก็ตัดสินใจกัดฟันรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหานายพราน   ซึ่งกำลังนอนเอนหลังอย่างสบายอารมณ์อยู่ในเพิงหมาแหงนข้างบ้านของเขา   ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท   ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม   ในอ้อมอกกอดคันธนูไว้ไม่ยอมให้ห่างกาย   นายพรานคงกำลังฝันดี   แต่เขาก็จำเป็นต้องปลุกผู้มีอาวุธที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น   และนั่นก็อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง   ถ้านายพรานเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา

“มีเรื่องอะไรฮึ   ไม่เห็นรึไงว่าข้ากำลังพักผ่อนอยู่”   

เป็นอย่างที่คาดไว้   น้ำเสียงของนายพรานงัวเงียแกมขุ่นเคือง

“ขอ…ขออภัย   พอดีข้า…ข้ามีเรื่องต้องการ   จะ…จะพูดกับท่าน”   

ชาวไร่กล่าวเสียงตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัวราวกับหนูที่ถูกบังคับให้นำกระพรวนไปผูกคอแมว

“แหม   น่าเสียดาย   ข้ากำลังฝันถึงอนาคตอันรุ่งเรืองของไร่นี้แทนเจ้าอยู่พอดี”   นายพรานลุกขึ้นนั่ง   จากนั้นจ้องมองชาวไร่ตาเขม็ง “แต่เอาเถอะ   มีธุระอะไรก็ว่ามา   เสร็จแล้วข้าจะได้หลับต่อ   เดี๋ยวตอนเย็นต้องออกไปส่องดูไอ้โคตรอีแร้งเสียหน่อย   พักนี้มันชักจะส่งเสียงรบกวนถี่ขึ้น   ช่างกวนประสาทดีแท้”

“ข้า…ข้า…คิดว่า…ถึงเวลาแล้วที่…ท่าน   เอ้อ   ท่านควรจากไปเสียที   ข้าหมายถึงกลับไปอยู่ในป่า”   ถึงตรงนี้ชาวไร่ก็ดูเหมือนจะมีความกล้ามากขึ้น   จึงรีบพูดต่อไปว่า   ”ท่านควรเที่ยวล่าสัตว์ไปตามวิถีทางซึ่งท่านถนัด   นายพรานควรอยู่ในป่า   ไม่ใช่มาอยู่ในไร่อย่างนี้   ท่านคงไม่โกรธที่ข้าพูดตรง ๆ หรอกนะ”   

“แล้วโคตรอีแร้งเล่า   เจ้าก็เห็นไม่ใช่เรอะ   มันกับพวกยังคงเฝ้าบินวนเวียนอยู่รอบ ๆ คอยหาทางตอบโต้ตลอดเวลา   พวกมันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก   เจ้าต้องการเห็นพวกมันเข้ามาทำลายไร่ถั่วไร่งาของเจ้าอีกครั้งหรือไง”

ได้ยินอย่างนั้นชาวไร่ก็ถึงกับยืนคอตก   เหมือนยอมจำนนต่อคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่ง

“จริงสินะ”   เขารำพึงอยู่ในใจ   “มันคงเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย   ทันทีที่นายพรานจากไป   โคตรอีแร้งกับพวกก็จะต้องแห่กันเข้ามา   แล้วความย่อยยับย่อมจะบังเกิดขึ้น   บางทีมันอาจโหดเหี้ยมรุนแรงยิ่งกว่าเดิม   ข้าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดีหนอ”   

ชาวไร่รู้สึกสิ้นหวัง

“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ   ข้ามีข้อเสนอ”   

ใบหน้าของนายพรานเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างตัวตลก   ผิดกับน้ำเสียงซึ่งฟังดูดุดันราวกับน้ำเสียงของยักษ์ “ที่เสนอก็เพราะเห็นแก่บุญคุณของยายกับตาของเจ้า ที่ท่านเคยให้อาหารแก่พ่อและข้าเสมอ”

ชาวไร่ยิ้มสดชื่นขึ้นมาทันที   รู้สึกมีความหวังอย่างไรบอกไม่ถูก

“ข้อเสนอของท่านคืออะไรล่ะ   ว่ามาเถอะ   ข้ายินดีช่วยเหลือ   และร่วมมือกับท่านทุกอย่าง”

“ก็อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ”   นายพรานเอ่ยขึ้น   มองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นปริศนาปรากฏอยู่ในแววตา   “วันใดที่ข้าจากที่นี่ไป   โคตรอีแร้งก็ต้องกลับเข้ามากินทุกอย่างที่ขวางหน้าจนหมด เรื่องนี้เจ้าคงไม่เถียง   แต่ข้ามีวิธีจัดการ   เจ้าเคยได้ยินเรื่องการเขียนเสือให้วัวกลัวไหมล่ะ   นั่นแหละ   ด้วยวิธีนี้   ข้าจะทำให้พวกมันหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายอีก”

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจ   โคตรอีแร้งมันกลัวใครเสียที่ไหน เรี่ยวแรงออกจะเยอะปานนั้น   มิหนำซ้ำพวกมันก็มีมากด้วย นอกจากนายพรานอย่างท่านซึ่งมีอาวุธอยู่ในมือแล้ว   ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครรับมือมันได้”

“นั่นไง   เจ้ารู้ความจริงเรื่องนี้ดีนี่   ข้าจึงขอเสนอว่า   เพียงแต่เจ้ายอมเปลี่ยนชื่อไร่บนแผ่นป้ายตรงทางเข้า   ที่เดิมเป็นชื่อเจ้าก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อของข้าแทน   แล้วปั้นหุ่นรูปนายพรานยืนจังก้าไว้ตามจุดต่าง ๆ ทั่วไร่   และให้ข้าขึ้นไปอยู่บนบ้านแทนเจ้า   เมื่อพวกสัตว์ร้ายทั้งหลายรู้เข้า   ก็จะพากันเกรงกลัวจนไม่กล้าโผล่หัวมาอีก   เป็นไงบ้าง   เจ้าเห็นด้วยกับความคิดนี้หรือเปล่าล่ะ   ลองว่ามาเถอะ   ข้ายินดีรับฟัง”   นายพรานพูดพลางยิ้มตรงมุมปาก

ชาวไร่รู้สึกคล้ายถูกชกเข้าตรงกกหูกับข้อเสนอที่ฟังดูแปลกประหลาดนี้   

“สัตว์พวกนั้นมันอ่านหนังสือออกเสียที่ไหนกัน”   เขาคิดด้วยความมึนงง   รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที   ขณะนั้นทั้ง ๆ ที่ยังกริ่งเกรงในอาวุธของนายพราน   ทว่าด้วยความไม่พอใจ   เขาจึงหลุดปากโพล่งออกไปด้วยความรู้สึก

“ฟังข้าสักหน่อยเถิด   ท่านนายพราน”   ชาวไร่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งอย่างสุดความสามารถ   เพื่อไม่ให้มันสั่นระรัวจนอีกฝ่ายรู้สึกขบขัน   “การเข้ามาในไร่แห่งนี้ของท่าน โดยที่ข้าไม่ได้ขอร้องไหว้วาน   ก็เพื่อขับไล่โคตรอีแร้งกับบริวารฝูงนั้นมิใช่หรือ   เช่นเดียวกับที่พ่อของท่านได้เคยเข้ามาปราบอีกา   แล้วเมื่อทำงานสำเร็จก็จากไปในที่สุด   แม้จะต้องขอร้องอยู่นานก็เถอะ   ท่านเองสมควรดำเนินรอยตามพ่อของท่านดุจเดียวกัน   อีกประการหนึ่ง   การมาของท่านเพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า   เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย   มิใช่เข้ามาโดยมีเป้าหมายจะใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ เพื่อครอบครองผืนไร่นี้   หากท่านยังนึกถึงบุญคุณข้าวปลาซึ่งเคยได้รับตามที่พูดไว้   ก็ขอให้รีบจากไปแต่โดยดีเถิด   คนมีอำนาจย่อมมาและจากไปอย่างองอาจ   ขอให้ท่านตระหนักถึงความจริงข้อนี้   หาไม่แล้วท่านก็จะไม่ดีไปกว่าโคตรอีแร้งเลย   ถ้าท่านเชื่อ   ข้าและลูกหลานของข้าย่อมยอมรับนับถือ   อีกทั้งสำนึกในบุญคุณของท่านตลอดไป”

จบคำพูดอันยืดยาวแล้ว   ชาวไร่ก็ได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ   พร้อมกับหลับตาลงเพื่อรอรับความตาย   ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้ว่าอาจจบลงเช่นนี้

“มันคงไม่เจ็บปวดมากนัก   ถึงอย่างไรข้าก็ภูมิใจที่ได้พูดในสิ่งที่ต้องการออกไปทั้งหมดแล้ว”   เขาพยายามปลอบใจตัวเอง

ท่ามกลางความเงียบ   มีเพียงเสียงลมพัดผ่านมาแผ่วเบา   หลังจากหลับตาเฝ้าคอยให้คมลูกธนูปักลงบนอกอยู่เป็นเวลานาน   ชาวไร่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย   และมองไปตรงจุดที่นายพรานเคยนั่งอยู่   เมื่อไม่เห็นก็กวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพิงหมาแหงน   ทว่าบัดนี้ไม่มีร่างของนายพรานแล้ว   เขาจึงยิ้มออกมาได้   ภายในใจรู้สึกนับถือผู้จากไป   แม้จะยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้างก็ตามที

ระหว่างออกเดินสำรวจไร่ถั่วไร่งา  ชาวไร่ก็บังเกิดความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปแล้วอย่างเต็มเปี่ยม

“นี่คือความถูกต้อง   ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย   ไร่ถั่วไร่งาแห่งนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากตากับยาย   หน้าที่ของข้าก็คือปกป้องรักษามันไว้ด้วยชีวิต   โดยไม่จำเป็นต้องรอคอยให้ใครมาช่วยเหลือ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพรานคนนั้นหรือคนไหน ๆ   เพราะอะไรกันเล่า   ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะข้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่   หาใช่เด็กเล็กเหมือนสมัยก่อน   ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องรู้จักต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง”

บัดนี้ชาวไร่พร้อมแล้วสำหรับการกลับมาของโคตรอีแร้งกับนายพรานคนใหม่   และครั้งนี้เขาจะไม่หลงใหลไปกับผลประโยชน์ที่พวกมันมอบให้อีก   

หากพวกมันกล้าหวนกลับมาจริง ๆ   เขาก็จะหาวิธีสั่งสอนบทเรียนอันเจ็บปวดให้แก่โคตรอีแร้ง   นายพราน   หรือแม้แต่อีกาศัตรูเก่า   ถึงขนาดที่พวกมันจะต้องจดจำไปจนวันตายเลยทีเดียว

“เพราะนี่คือสิทธิของเรา…เจ้าของแผ่นดิน”   ชาวไร่ป่าวประกาศความชอบธรรมของตนไปทั่วท้องไร่


หมายเหตุ ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์   เดือนกุมภาพันธ์   พ.ศ.   2551

กลับหน้าแรก