เรื่องสั้นไทย “อนุสาวรีย์” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย-อนุสาวรีย์-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ยามบ่ายจัด   แดดแผดจ้า   เปลวลมร้อนไหวระริกอยู่เหนือสนามหญ้ารูปจัตุรัสอันกว้างใหญ่

“อย่าซนนะคะ   คุณหนู”

เด็กชายอายุราวห้าขวบกำลังรื้อกระถางธูปทองเหลืองเสียจนกระจุยกระจาย   มันตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของอนุสาวรีย์รูปชายสูงวัยสวมหมวกถือไม้เท้า  พี่เลี้ยงสาวทำสีหน้าอิดหนาระอาใจสลับอมยิ้มอย่างเอ็นดู   ผิดกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังมองไปทางอื่น   ด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด

…หล่อนเป็นใครกันนะ   รูปร่างหน้าตาสะสวย   ในชุดเดรสสั้นสีโอลด์โรสช่างดูงามตานัก   ลักษณะก็ดีมีชาติตระกูล แล้วเหตุใดเล่า   จึงพาเด็กคนนี้มาเที่ยวซุกซนอยู่ที่นี่   แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ   เชิญตามสบายเถอะ   นานมาแล้วที่ไม่มีใครมาเยือนสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเกียรติยศ   ทว่่าเปลี่ยวเหงาเสียเหลือเกินแห่งนี้เลย   นอกจากคนดูแลสถานที่แล้ว   ทุกสัปดาห์จะมีเพียงชายสองคนมาตัดหญ้าในสนาม   และรดน้ำพรวนดินลั่นทมจำนวนหลายสิบต้น   แต่คนเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลย   พวกเขามาแล้วก็จากไปตามหน้าที่…

“โจอี้มาหาแม่เร็ว”   หญิงสาวเมื่อหายเหม่อลอยก็เรียกเด็กชายด้วยเสียงเบาที่มีกังวานใสน่าฟัง   แล้วสั่งว่า   “นั่งคุกเข่าลงตรงนี้   พนมมือไหว้คุณปู่ด้วย   ดีมากจ้ะ”

“คุณปู่อยู่ในแท่งหินอ่อนนี่หรือครับ   คุณแม่   รึว่าอยู่ในหุ่นทองแดงรูปตาแก่ข้างบนโน่น”

“พูดจาไม่เพราะเลยนะลูกแม่   นั่นเป็นรูปหล่อสำริดของคุณปู่   คุณปู่นอนพักผ่อนอยู่ใต้อนุสาวรีย์แห่งนี้มานานแล้ว ก่อนที่คุณพ่อกับแม่จะแต่งงานกันด้วยซ้ำ”

“คุณปู่นี่ขี้เกียจจัง   นอนซะนานเลยนะครับ   คุณแม่”

“ไม่ดีนะจ๊ะ   ทีหลังอย่าว่าคุณปู่อย่างนั้น   คุณปู่ตอนมีชีวิตอยู่   ขยันที่สุดเลยรู้ไหม”

…โอ้   นี่คือหลานของข้าเองหรอกหรือ   นั่นก็ลูกสะใภ้ของข้าสินะ   ในที่สุดลูกชายของข้าก็มีครอบครัวแล้ว   เจ้ามีลูกหลานสืบสกุลของข้าเสียที   แล้ววันนี้พวกเขาก็มาเยี่ยมข้า   แต่ดนัยล่ะ   เจ้าลูกชายสุดที่รักของข้า   ทำไมเจ้าจึงไม่มาด้วย   หรือว่าการเป็นนักการเมืองทำให้เจ้ามีงานรัดตัว   มากเสียจนยากจะเจียดเวลามาเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อได้   จริงสินะ   สมัยก่อนตอนที่ข้ายังมีอำนาจอยู่   ข้าก็ไม่เคยมีเวลาให้ใครนอกจากตัวเอง   ข้าจะชดใช้ให้แก่ลูกชายของข้าได้อย่างไร   จะชดใช้ให้แก่ทุกคนได้อย่างไร   ใครพอจะบอกข้าได้บ้าง…

“พาคุณโจอี้ไปนั่งเล่นหลบแดดใต้ต้นลั่นทมนั่นก่อนเถอะ   ตรงนี้ร้อนเหลือเกิน   ฉันจะเดินเล่นรอบ ๆ แถวนี้เสียหน่อย   ระวังเสื้อผ้าเปื้อนด้วย   อย่าปล่อยให้คุณโจอี้ซน”

…อย่าเข้มงวดกับหลานข้าให้มากนักเลยน่า   ปล่อยให้มันวิ่งเล่นตามใจชอบเถอะ   สนามหญ้าสวย ๆ คงไร้ประโยชน์ถ้าไม่มีเด็ก ๆ มาวิ่งเล่นกัน   ตอนที่ดนัยมันยังอายุเท่านี้ก็ซนไม่น้อยเลยทีเดียว   แต่ข้าไม่ค่อยมีเวลาอบรมสักเท่าไหร่หรอกนะ ปล่อยหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นของคุณหญิง   เวลาของข้าหมดไปกับการสะสมเงินทองและอำนาจ   สองสิ่งที่ใครต่อใครเชื่อว่าจะทำให้ตนมีความสุข   ข้าเองก็เคยเชื่อเช่นนั้น   ดูนั่นสิ   ลูกสะใภ้คนสวยของข้ากำลังเดินทอดน่องไปตามร่มเงาของหมู่ลั่นทม   หล่อนปลีกตัวมาจากหลานชายของข้าเหมือนต้องการใช้ความคิด   หัวคิ้วขมวดเหนือดวงตาคมเข้มของหล่อนแสดงให้เห็นว่ากำลังมีเรื่องกลัดกลุ้ม   หรือว่าลูกชายของข้าทำให้เจ้าเป็นทุกข์   ข้าเสียใจด้วยที่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนมันด้วยตัวของข้าเอง   อาจเป็นได้ว่ามันจะมีนิสัยแย่ ๆ อยู่บ้าง   ตามประสาลูกคนมีอำนาจที่ถูกตามใจจนเคยตัว   คุณหญิงเอ๋ย   คุณหญิงไม่น่าตามใจลูกของเราจนเกินไปเลย   คุณหญิงน่าจะแสดงความรักด้วยการตีลูกบ้าง   แต่ก็นั่นแหละนะ   สุดท้ายคนในตระกูลของเราก็ได้ดิบได้ดีทางการเมืองเสมอ   นั่นไงล่ะ   รถของลูกชายข้าเคลื่อนเข้ามาทางประตูรั้วด้านหน้าแล้ว   เขานั่งอยู่ทางเบาะหลัง   แม้จะไม่ได้พบกันมานานนับสิบ ๆ ปี   แต่ข้าก็ยังจำลูกชายของข้าได้เป็นอย่างดี   เหมือนกับที่ข้าจดจำใบหน้าของตัวเองได้นั่นเอง   ลูกของข้าดูมีอายุมากขึ้น   เส้นผมดำที่หวีเรียบแปล้นั้นมีผมขาวขึ้นแซมเป็นริ้ว   ในชุดสากลสีดำตัดเย็บอย่างประณีตดูภูมิฐานสมฐานะดีเหลือเกิน   อยากรู้นักว่ามันจะคิดถึงข้าผู้เป็นพ่อ   และเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างที่มันครอบครองในเวลานี้บ้างหรือเปล่า   ข้ายอมให้กระดูกในโลงใต้ผืนดินนี้เปื่อยยุ่ยไปทั้งหมด   ขอเพียงแต่เจ้าคิดถึงพ่อบ้างเท่านั้น   แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า   โธ่เอ๋ย ข้ายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันที่เราสองคนต้องจากกันทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่   ไม่ใช่การจากกันในตอนเช้าเมื่อข้าไปทำงาน   ส่วนเจ้าต้องไปเรียนหนังสือเช่นที่แล้ว ๆ มา   แต่เป็นการจากกันในวันที่ไฟรัฐประหารได้ถูกจุดขึ้น   ควันของการยึดอำนาจครอบงำไปทั่วประเทศ   เสียงรถถังคันโตวิ่งส่งเสียงดังกึงกังไปตามท้องถนน   รถบรรทุกจีเอ็มซีบรรทุกเหล่าทหารพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ายึดสถานที่สำคัญต่าง ๆ   ให้ตายเถอะ   ข้าถูกหมายหัวและต้องหนีเอาตัวรอด   พวกมันบางคนร้องบอกกันว่า   “ฆ่ามัน   ฆ่ามันให้ได้   เด็ดหัวมันออกมาเสียบไว้บนดาบปลายปืนของพวกเรา”   ข้ารับรู้หลังจากที่ซมซานหลบหนีไปอาศัยอยู่ในต่างแดนแล้ว   ตอนนั้นข้าอยากโต้ตอบพวกมันว่า   “ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกวะ   กูจะกลับไปล้างแค้นพวกมึง   เรียกร้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างคืนมาจากพวกมึง”   แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว   นานจนร่างของข้า   เนื้อหนังของข้า   เลือดของข้า   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของข้า   เว้นเสียก็แต่ความทรงจำ   ทั้งหมดล้วนเน่าเปื่อยเหม็นคละคลุ้งอยู่ในโลงใต้ดินอันมืดมิด   เหลือแต่โครงกระดูกนอนดิ้นอยู่ในโลกที่โดดเดี่ยวและเย็นชื้นแห่งนี้   ใช่  ทั้งเย็นและชื้น   แต่ก็ยังไม่อาจดับกองไฟแห่งความแค้นได้   มันปะทุคุกรุ่นขึ้นมาเสมอเมื่อย้อนคิด…

“คุณดนัยคะ   ตกลงพวกเราจะต้องหนีไปต่างประเทศเหมือนกับคุณพ่อของคุณหรือคะ”

“ที่รัก  ทำไงได้ล่ะ   ยังดีที่พวกมันเปิดช่องให้หนี   เดี๋ยวรอคนนำทางก่อน   เขาจะเป็นคนขับรถพาเราข้ามพรมแดนไป จากที่นี่   คงใช้เวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น   ข้ามไปฝั่งโน้นก็เรียบร้อยแล้ว   ไม่ต้องกลัวนะ”

“ไม่กลัวหรอกค่ะ   ห่วงก็แต่โจอี้”

“ห่วงอะไรกัน   เงินทองเรามีเยอะแยะในรถนั่น   ซึ่งก็แค่เศษเสี้ยวของที่ฝากไว้ในธนาคารสวิสเท่านั้น   แต่นึกแล้วมันก็น่าแค้นใจ   ประวัติศาสตร์ดันมาซ้ำรอยอีก   หวังว่าคราวนี้คงไม่ต้องรอให้ตายก่อน   ถึงได้กลับบ้านเกิดเหมือนคุณพ่อหรอกนะ   ผมไม่อยากจบชีวิตแบบเงียบเหงาเกินไป”

“ดูพูดเข้า   กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกลับมาพูดเรื่องเป็นเรื่องตาย   ไม่เอาค่ะ   มันจะเป็นลางไม่ดี”

…ให้มันได้อย่างนี้เหอะ   บัดซบ   การเมืองเล่นงานพวกเจ้าอีกแล้วหรือนี่   ท็อปบู๊ทกำลังเตะเจ้าออกไปจากแผ่นดินแม่อย่างนั้นหรือ   ด้วยข้อหาอะไรเล่า   คงไม่ใช่ข้อหาเดียวกับที่พวกมันก็ทำกันจนร่ำรวย…ร่ำรวยไปพร้อมกับนักการเมืองอย่างข้านั่นแหละ   พวกมันต่างก็เสวยสุขอยู่บนเลือดเนื้อของประชาชนไม่ต่างไปจากพวกเรามานานหลายยุคหลายสมัย   ทรัพย์สินนับพันล้านที่โผล่ออกมา   หลังจากที่พวกมันลงไปนอนในโลงแล้วยังนับเป็นเรื่องปกติอยู่งั้นหรือ   แต่พรรคพวกมันกลับพากันเงียบเป็นเป่าสาก   ห่ะ   ให้มันได้อย่างนั้นสิน่า   ไอ้พวกสารเลวโอ้  ข้าอยากฟื้นคืนตื่นขึ้นเพื่อไปล้างแค้นพวกมันเหลือเกิน   ล้างแค้นให้กับตัวเอง   ล้างแค้นให้กับลูกหลานของข้า   แต่ข้าก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากอนุสาวรีย์แห่งนี้   ที่สร้างขึ้นจากการรวมพลังของประชาชนที่รักข้า   และบางส่วนคงยังรักข้าอยู่เสมอ   เพราะสำนึกในบุญคุณที่ข้าเคยช่วยเหลือพวกมันไว้หลายครั้ง   ในยามที่มีอำนาจเหนือแผ่นดินนี้   แม้จะเป็นบุญคุณที่เปรียบได้กับเศษเนื้อข้างเขียงที่ข้าโยนให้ก็เถอะ   แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องหิวล่ะวะ…

“ที่รัก  ดูลูกของเราสิ   กำลังเล่นสนุกอยู่ใต้ต้นลั่นทมนั่น   นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นลูกสนุกแบบนี้   ผมสัญญาว่าจะต้องพาเขากลับมาอย่างยิ่งใหญ่   ผมจะไม่ยอมแพ้   ตระกูลของเราอาจต้องหนี   แต่ก็จะพ่ายแพ้ไม่ได้   สักวันหนึ่งเราจะมีชัยชนะเหนือพวกมัน”

“คุณดนัย   คุณไม่เคยคิดจะวางมือบ้างเลยหรือคะ บางทีการใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาทั่วไปอาจมีความสุขกว่าก็ได้นะคะ   เงินทองที่เรามีอยู่ใช้ไปทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด   ครอบครัวของเรายังจะต้องการอะไร   นอกเหนือไปจากความสุขอีกล่ะคะ”

…ดูนั่นสิ   ลูกชายของข้ามองเมียโฉมงามของมันแล้วทอดถอนใจ   มันคงไม่กล้าตอบออกมาว่า “อำนาจ” ยังไงเล่า   สิ่งซึ่งนำพาเอาเกียรติยศ   ความมั่งคั่ง   ความสมปรารถนา   และความเหนือกว่าผู้ใดมาสู่ตระกูลของเรา   ขาดเสียซึ่งสิ่งนี้แล้วก็ยากที่จะคงศักดิ์ศรีเอาไว้ได้   เหมือนอย่างเช่นในเวลานี้ที่ลูกของข้าต้องถอย   ต้องหลบหนี   โชคดีที่ยังมีเงินเป็นใบเบิกทาง   ไม่ถึงกับเข้าตาจนเสียเลยทีเดียว   เจ้าลูกชายเอ๋ย   ทำใจให้สบายเถอะ   ข้าเองก็เคยมีวันอันเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน   มันไม่ทำให้ตายทันทีหรอกนะดนัย   แต่ถ้าเจ้าต้องอยู่อย่างรวดร้าวในต่างแดนนานเกินไป   เจ้าก็อาจต้องตรอมใจตายเช่นเดียวกับข้า เพลิงแค้นมันจะฆ่าเจ้าเหมือนกับที่เคยฆ่าข้ามาแล้ว   ดังนั้นขอให้เจ้าล้างแค้นได้สำเร็จ   แล้วกลับมาอย่างยิ่งใหญ่   ข้าเชื่อว่าอย่างน้อยก็ยังมีประชาชนที่บูชาเจ้าอยู่   พวกนั้นยังต้องการได้รับในสิ่งที่เจ้าสามารถให้   โอ้  นักการเมืองหนุ่มใหญ่กับครอบครัวที่แสนน่ารักของเขา   ผู้ถูกความหยาบช้าป่าเถื่อนไม่เคารพกฎกติกาไล่ตะเพิดลงจากเก้าอี้   แล้วบีบบังคับให้ระเห็จออกจากแผ่นดินเกิดของตน   ช่างน่าละอายเหลือเกิน   กี่สิบครั้งแล้วที่พวกมันทำราวกับแผ่นดินนี้เป็นของพวกมัน   ช่างบัดซบสิ้นดี   ยามนี้บรรดาหนอนที่กำลังชอนไชซากศพของข้ากำลังทำให้ข้ารู้สึกปวดร้าว   หรือว่าข้ารู้สึกไปเองนะ   คงเป็นความแค้นเก่า ๆ มากกว่าที่เป็นสาเหตุ   นึกถึงทีไรโครงกระดูกก็ต้องเต้นเร่า ๆ อยู่ในโลงแทบทุกครั้งไป   เมื่อใดหนอที่เราจะเป็นฝ่ายชนะพวกมันได้บ้าง   ชนะอย่างถาวร   ไม่มีการหลบหนีอีก   ไม่ต้องมีค่ำคืนที่ตื่นจากฝันร้ายอันน่าหวาดผวา   แล้วหิ้วกระเป๋าเงินใบโตเผ่นออกจากคฤหาสน์อย่างกะทันหัน   ข้าขออวยพรเจ้า   ลูกรักของพ่อ   เมื่อพวกเจ้ากลับมาก็ขอให้ค้นพบวิธีอันชาญฉลาด   ล้างแค้นให้สำเร็จ   กวาดล้างลิดรอนอำนาจของพวกมันให้จงได้   ประสบการณ์จะสอนเจ้าเอง   อำนาจเงินจะกรุยทางให้แก่เจ้าเสมอ   แต่ก็ต้องมีความดีเป็นเปลือกด้วยนะ   ข้าเองก็เคยหลงลืมมันไปในหลายต่อหลายครั้ง…

“คนนำทางมาโน่นแล้ว   ดูไฟกระพริบเป็นสัญญาณนั่น   โอเค   ถูกต้อง   ไปพาโจอี้ขึ้นรถเถอะ”

“แล้วคุณดนัยล่ะคะ”

“ผมจะนั่งรถตามไปอีกคัน   ถ้ายังไงโชคไม่ดี   พวกมันก็คงเลือกเล่นงานผมคนเดียว”

“ไม่นะ   เราต้องไปด้วยกัน”

“ห่วงโจอี้เถอะ   ถ้าผมตาย   ช่วยเลี้ยงเขาให้เติบใหญ่ เป็นคนเก่งด้วยเงินที่เรามีอย่างล้นเหลือ   บอกเขาล้างแค้นให้ผมด้วย   แต่ก็นะ   บ้าจริง   จะมาพูดอะไรเอาตอนนี้อย่างที่คุณว่า   พวกเราทั้งหมดจะปลอดภัย   ฝ่ายนั้นรับปากแล้ว   เพื่อแลกกับการยอมจำนนแต่โดยดี   ฮึ  ยอมจำนนงั้นเรอะ   ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นหรอกน่า”

ทั้งหมดเตรียมตัวขึ้นรถของใครของมัน   ส่วนรถนำทางเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว

“โจอี้   เดี๋ยวลูกนั่งรถไปกับคุณแม่นะครับ   พ่อจะไปอีกคันหนึ่ง”

“คุณพ่อครับ   ผมเห็นคุณปู่โบกมือให้พวกเราด้วย”

“ไม่พูดจาเหลวไหลนะจ๊ะ”   ผู้เป็นแม่กล่าวเตือน

“ผมเห็นจริง ๆ”   เด็กชายเถียงอย่างไม่ยอม   “คุณปู่ยืนโบกมืออยู่นั่นไง   ร้องไห้ด้วย   หน้าตาเหมือนหุ่นทองแดงบนแท่งหินอ่อนนั่นเลยครับ”

…แปลกหรือที่ข้าจะหลั่งน้ำตาออกมา   ดูลูกสะใภ้ของข้าสิ   ถึงกับขนลุกขนพองเชียวหรือ   กลัวอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว   คนตายที่ไม่อาจทำร้ายใครได้อีก   เจ้าควรกลัวคนที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า   โดยเฉพาะคนถือปืนที่ซื้อด้วยเงินของพวกเรา…

“รีบไปกันเถอะค่ะ   จะเย็นแล้ว”

“ขอให้วิญญาณของคุณพ่อช่วยคุ้มครองพวกเราด้วยนะครับ  ขอให้พวกเราเดินทางออกนอกประเทศได้โดยสวัสดิภาพ”

…อีกนานแค่ไหนกันนะ   พวกเจ้าถึงจะได้กลับมาเยี่ยมหลุมศพของข้าอีก   พวกเจ้าไม่รู้   ข้าเองก็ไม่รู้   อาจจะมีแต่สวรรค์หรือนรกเท่านั้นที่มีคำตอบ   ช่างเถอะ   ข้าเชื่อมั่นว่าลูกชายของข้า   หลานชายของข้า   ทุกคนจะสามารถกลับมาแก้แค้นแทนข้า   แก้แค้นแทนตระกูลของเรา   หาไม่แล้วซากศพในโลงของข้า   ย่อมจะเจ็บปวดไปชั่วนิรันดร์ด้วยความคั่งแค้นนี้ คำขอร้องของข้าก็คือ   เจ้าจะต้องอย่าลืมเอ่ยชื่อของข้าให้พวกมันได้ยิน   เอ่ยตอนที่พวกมันกำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด   ทบทวนความจำของพวกมันเสียในตอนนั้น   แล้วเหนี่ยวไกปืนเบา ๆ   โธ่เอ๋ย   ความแค้นและการเมืองได้ทำให้ข้าเป็นอมตะไปเสียแล้ว   เป็นอมตะยิ่งกว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้เสียอีก   แต่มันจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า…


หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรก   นิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์   เดือนมกราคม   พ.ศ. 2556