เรื่องสั้นไทย “อาดา” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย-เรื่อง-อาดา-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์-นักเขียนไทย

มุมเรื่องสั้นไทย

เขานอนไม่หลับจนรุ่งเช้า   ใบหน้าซีดเซียว   น้ำตากลายเป็นคราบแห้ง ๆ ที่เช็ดไม่หมด   ไม่มีรอยยิ้มเหมือนเช้าวันก่อน ๆ ที่เขามักจะยิ้มอย่างอ่อนหวาน   ยามได้เห็นลูกสาวนอนหลับอยู่บนที่นอนขาวสะอาด   อาดายังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   และเขาเองก็ไม่รู้จะบอกลูกสาวอย่างไร   อาดาเคยเป็นเด็กโชคดี   หนูน้อยเกิดจากความรักของพ่อกับแม่   ทว่าบัดนี้ความโชคดีในชีวิตของอาดาได้เลือนหายไปเสียแล้ว

เขาอดคิดไม่ได้ว่า   ความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกสาวเหมือนสายหมอกยามเช้าในฤดูหนาว   ช่างงดงามจับใจแต่ไม่ยั่งยืน   ราวกับภาพฝันที่แตกสลายลงได้ในชั่วพริบตา   เมื่อถูกปลุกให้ตื่น   แล้วมองเห็นความจริงมายืนจ้องอยู่ตรงหน้า   นั่นทำให้เขาเจ็บปวด   และไม่ต้องการให้อาดารู้สึกเช่นนั้น   แต่เขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า   เขามึนงง   โศกเศร้า   พร้อมกันนั้นก็รู้สึกทอดอาลัย

ความจริงแล้วในเช้าวันนี้   อาดาควรจะได้ตื่นขึ้นมาเหมือนเช่นทุกเช้าวันเสาร์   และสนุกร่าเริงดุจเดียวกับตุ๊กตาตัวน้อยที่เต้นรำไปทั่วบ้าน   หลังจากที่เช้าของวันอื่น   อาดามักจะตื่นนอนด้วยอารมณ์น้อยใจแม่ของเธอเสมอ

“แม่ไม่รักอาดาแล้วใช่ไหมจ๊ะ  พ่อ”

เธอชอบถามเขาด้วยประโยคนี้   ใช่   แทบจะทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน

“รักสิ   แม่รักอาดามากที่สุดในโลก   ลูกรู้ไหม   แม่รักอาดามากกว่าพ่อซะอีก”

“ไม่จริง   พ่อหลอกอาดา”

“ทำไมพูดยังงั้นล่ะ   พ่อจะหลอกอาดาไปทำไม”

“แล้วทำไมแม่่ไม่สอนหนังสืออาดา   ทำไมแม่มัวแต่ไปสอนเด็กคนอื่นด้วยล่ะ   อาดาอยากโป้งแม่จริง ๆ นะพ่อ”

เขารู้ว่าอาดาไม่เคยน้อยใจแม่ของตัวเองได้นานเกินวันศุกร์   พอเช้าวันเสาร์มาถึง   อาดาก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาดาจะไม่ถามอย่างสงสัยอีกว่าแม่รักเธอหรือไม่   แต่อาดาจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใส   รีบอาบน้ำ   แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดที่อาดาเห็นว่าน่ารักที่สุด   แน่นอน  ต้องเป็นชุดเก่งที่แม่ซื้อให้นั่นเอง

“แม่จะได้ดีใจ   อาดาอยากให้แม่หายเหนื่อยจ้ะ”   อาดาพูดออกมาอย่างจริงจัง

แม่ของอาดาจะกลับถึงบ้านทุกเช้าวันเสาร์เสมอ   แม้ว่าระยะทางจากปัตตานีมากรุงเทพฯ จะไกลแสนไกล   อีกทั้งชวนให้เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแค่ไหนก็ตาม   เขารู้ว่าเธอยอมทำทุกอย่างเพื่อชดเชยเวลาให้กับลูกสาวตัวน้อย   เธอไม่ปรารถนาจะให้ความรักในอุดมการณ์และความรักในหัวใจของแม่   ต้องเดินสวนทางกันหรือกลายเป็นเส้นขนาน   ดังนั้นเมื่อเช้าวันเสาร์มาถึง   แม่ของอาดาก็จะกลับมาเสมอ   

ตอนนี้อาดารู้สึกตัวแล้ว   เขาจ้องมองเด็กหญิงผู้งดงามเหมือนแม่   อาดาลืมตาขึ้นแล้วยิ้มกว้าง   แก้มยุ้ย   ดวงตากลมโตเป็นประกายสดชื่น   ผมยาวนุ่มนิ่มของอาดายุ่งเหยิง   ช่างดูน่ารักและใสบริสุทธิ์   เขาปล่อยให้ลูกน้อยลุกขึ้นนั่ง   อาดาโผมาหอมแก้มซ้ายขวาของเขา   ก่อนจะกระโดดลงจากเตียง   แล้วคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งตื๋อหายเข้าห้องน้ำไป   ลูกสาวของเขาคล่องแคล่วเสมอในวันพิเศษเช่นนี้

สักครู่หนึ่ง   เขาก็เห็นอาดาเดินออกมาโดยมีผ้าขนหนูพันกายเอาไว้   ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ตรงหน้าผากและพวงแก้ม   ปลายผมเปียกชื้นเล็กน้อย   เขาปล่อยให้คนเก่งของเขาแต่งตัวเอง   ไม่นานนักอาดาก็อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกระโปรงสั้นสีฟ้าพิมพ์ลายการ์ตูนสีขาว   สองแก้มนวลผ่องด้วยแป้งฝุ่น   เรือนผมถูกแปรงจนกลายเป็นเส้นตรงยาวเกือบถึงกลางหลัง   พร้อมแล้วที่จะให้แม่ของอาดาสวมกอดให้หายคิดถึง

“พ่อทายซิจ๊ะ   ว่าแม่จะซื้ออะไรมาฝากอาดา   อาดาว่าต้องเป็นตุ๊กตาแน่   จริง ๆ นะพ่อ   แม่เคยบอกว่าจะซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ให้   โอ๊ย   อาดาตื่นเต้นจัง   อยากให้แม่มาถึงเร็ว ๆ”

เขานิ่งอึ้ง   หัวใจเหมือนถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก   หลังจากโดนโบยตีด้วยแส้อย่างหนักตลอดทั้งคืน   เขาสะกดกลั้นความรู้สึกที่กำลังกลายสภาพเป็นน้ำตาแทบไม่ไหว   ต้องพยายามฝืนยิ้ม   และทำได้สำเร็จในที่สุด   แต่มันก็คงเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งเต็มทีกระมัง

อย่างไรก็ตาม   อาดาไม่น่าจะเห็นร่องรอยผิดสังเกตนั้น   เขานึกโล่งอก   ปล่อยให้ลูกสาวจูงมือเดินออกจากห้องนอน   เพื่อลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่าง   เขารู้ว่านางฟ้าตัวน้อยจะชวนไปนั่งรอแม่อยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างตัวเดิม

หน้าต่างบานนั้นจะเปิดกว้างเสมอทุกเช้าวันเสาร์   หากมองออกไปก็จะเห็นประตูรั้วทำด้วยไม้ทาสีขาว   จากประตูรั้วที่ว่านี้   จะมีทางเดินเล็ก ๆ ตรงไปยังถนนด้านนอก   แม่ของอาดาจะเดินเข้ามาตามเส้นทางดังกล่าว   มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็ก   ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งอาจจะหิ้วถุงขนมหรือของเล่น

สำหรับอาดาแล้ว   นี่คือกิจวัตรประจำวันเสาร์   วันของครอบครัวเล็ก ๆ อันอบอุ่น   ไม่เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงมาก่อน   มันเป็นเรื่องที่ลูกสาวของเขาสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็น

เขาตัดสินใจที่จะพูดความจริงกับอาดา

“พ่อจ๋า   วันนี้พาอาดากับแม่ไปเขาดินนะจ๊ะ   คราวก่อนก็อดไปทีนึงแล้ว   แม่ชอบบ่นว่าเหนื่อยอยู่เรื่อยเลย   ไม่รู้ด้วย   วันนี้อาดาจะไป…”

เด็กน้อยหันหน้ามาพูดเป็นเชิงบังคับ   ขณะที่ตัวเองกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนเก้าอี้   มือสองข้างเกาะลูกกรงเหล็กดัดไว้แน่น   เขาฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าอย่างขอไปที   เขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร   เขากลายเป็นพ่อผู้เบื้อใบ้   เฝ้าสงสัยและถามตัวเองว่า   หัวใจของอาดาเข้มแข็งพอจะรับฟังความจริงได้หรือยัง   นั่นสินะ   เด็กหญิงวัยห้าขวบกับความจริงอันโหดร้าย   โลกช่างไม่ยุติธรรมเลย

“เมื่อไหร่แม่จะไม่ต้องกลับไปสอนหนังสือเด็กพวกนั้นอีกก็ไม่รู้   ทำไมพ่อไม่ขังแม่ไว้ในห้องนอนล่ะ   อาดาอยากให้แม่อยู่ด้วยทุกคืน   จะได้เล่านิทานให้อาดาฟังก่อนนอน   แม่เล่านิทานสนุกกว่าพ่อเยอะเลย   พ่อเล่านิทานเหมือนท่องสูตรคูณ”

“อาดาต้องเข้าใจแม่นะ   แม่เป็นคนดี   เป็นครูที่ดี   มีจิตใจงดงาม   จำไว้นะลูก   ถ้าไม่มีครูคนไหนยอมไปสอนที่นั่น   เด็กพวกนั้นก็จะไม่มีความรู้   แม่ของอาดารักลูกศิษย์ทุกคน   แม่จึงทิ้งมาไม่ได้   แต่แม่ก็รักอาดาเหมือนกัน   พ่อบอกแล้วไง   แม่รักอาดามากที่สุดในโลก”

“เพื่อนที่โรงเรียนบอกอาดาว่า   แถวโรงเรียนแม่มีคนถูกยิงทุกวัน   พวกนั้นเคยเห็นในข่าวทีวี   อาดาเป็นห่วงแม่นี่จ๊ะพ่อ   แม่วิ่งช้าจะตาย   ไม่เคยวิ่งไล่จับอาดาได้ทันซักที…”

เขาก้มหน้ามองดูพื้นห้อง   ไม่อาจสบตากับบุตรสาวได้อีกต่อไป   รู้สึกดวงตาพร่าและร้อนด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังจะเอ่อท้นออกมา

วินาทีนั้นเขาต้องลุกเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ   รีบเปิดก๊อกเหนืออ่างน้ำเพื่อลูบไล้ใบหน้า   ทว่าสายน้ำไม่อาจล้างน้ำตาของเขาได้   เขาเงยหน้ามองดูเงาตัวเองสะท้อนอยู่บนกระจก   แววตาของเขายังคงแสดงความเจ็บปวด   พร้อมกับสงสัยว่า   จะประวิงเวลาไปได้นานสักแค่ไหน   เขาจะต้องรีบพาลูกสาวเดินทางลงไปภาคใต้   แม่ของอาดานอนรออยู่ที่นั่นนานหลายชั่วโมงแล้ว   

เขานึกถึงเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา   เสียงโทรศัพท์กรีดร้องอย่างน่ากลัวในความมืด   ทำให้เขาสะดุ้งตกใจ   ขณะอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น

การต้องรับโทรศัพท์ยามดึกเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นมานานแล้วสำหรับเขา   โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพยายามติดต่อหาภรรยาแล้วไม่สำเร็จ   เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครโทรศัพท์มาหา และมีธุระอะไร   จนกว่าจะได้พูดคุยกันให้รู้เรื่องเสียก่อน   จากประสบการณ์ของเขา   ข่าวดีมักไม่เดินทางมาเยือนในยามวิกาล ที่คนเราควรได้หลับอย่างเป็นสุข   แล้วครั้งนี้ก็ไม่ยอมยกเว้น

เมื่อแรกได้รู้ข่าวร้าย   เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง   เขาพยายามวิ่งหนีสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นฝันร้ายนั้น   ทว่าความจริงที่ได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้อำนวยการโรงเรียน   ก็ทำให้เขาตระหนักว่า   ข่าวร้ายนี้หาใช่ความฝันไม่

ทันทีที่แน่ใจ   เขาอยากผลุนผลันเดินทางลงไปภาคใต้เสียเดี๋ยวนั้น   ครั้นมองเห็นอาดานอนหลับไม่รู้เรื่องราวใด ๆ   เขาก็ไม่กล้าปลุกลูกขึ้นมา   ได้แต่รอให้ถึงตอนเช้า   มันคงเป็นการซื้อเวลาอย่างหนึ่งสำหรับเขา

ใช่แล้ว   เขายอมรับว่าไม่กล้าพอ   ภาระอันหนักอึ้งตกใส่บ่าของคนเป็นพ่อ   พ่อผู้มีหน้าที่บอกแก่ลูกสาวอีกทอดหนึ่งถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต   เขาแค่นหัวเราะด้วยความเจ็บช้ำขมขื่น   เด็กน้อยแสนน่ารักอย่างอาดาจะเข้าใจถึงความจริงข้อนี้ได้อย่างไร   อาดาสามารถเข้าใจได้หรือว่า   แม่ของเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว   เพราะฝีมือของคนบางกลุ่มที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน   แม้แต่เขาเองก็ยังทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ไม่ได้

“พ่อ…”   เสียงเรียกของอาดาดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้เขาต้องรีบใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง   ก่อนจะหันกลับไปมองดูลูก   เขาพยายามไม่ถอนหายใจออกมาซึ่งก็เป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน

“แม่ยังไม่เห็นมาเลยจ้ะ   พ่อลองโทรเข้ามือถือของแม่ดูหน่อยสิ   ถามแม่ว่าถึงไหนแล้ว   ให้รีบมาเร็ว ๆ   ไม่งั้นอาดาโกรธแม่ด้วยนะ”

เขาจูงมือพาอาดากลับมาที่ห้องนั่งเล่น   และชวนกันนั่งลงบนโซฟา   จากนั้นเขาก็จ้องมองสำรวจดวงหน้าน้อย ๆ   พลางขยับปากจะเล่าความจริงออกไป   แต่ริมฝีปากของเขากลับทำได้เพียงขยับขมุบขมิบเท่านั้น   ในที่สุดเขาก็เม้มมันเป็นเส้นตรง   ถอนหายใจ   แล้วหลุดปากออกไปว่า

“รออีกสักพักเถอะนะ   อาดา   เดี๋ยวแม่ก็คงจะมา…” นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาพูดปดกับลูกสาว   ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีวันเป็นความจริงขึ้นมาได้   นี่ทำให้เขานึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยเล่าให้อาดาฟังก่อนนอน   เป็นเรื่องของชายที่ไปรักกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีลูกด้วยกัน   วันหนึ่งแม่ของเด็กออกไปธุระและกลับบ้านช้า   ผู้เป็นลูกร้องไห้โยเย   จนพ่อต้องโกหกไปว่าแม่กลับมาแล้ว   เด็กจึงหยุดร้องไห้   ครั้นรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริงก็ร้องขึ้นมาอีก   ผลสุดท้ายชายคนนั้นถูกขับไล่ออกจากเมืองลับแลเพราะพูดโกหก   ต้องจากลูกเมียไปชั่วชีวิต   ขณะนี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าเขาทำผิดใช่หรือไม่   ที่พูดโกหกกับอาดาเหมือนกัน   เขาคือคนหลอกลวง   หรือเป็นเพียงชายขี้ขลาดคนหนึ่งผู้ไม่ยอมรับความจริง

“คอยดูเหอะ   อาดาจะไม่ให้แม่หอมแก้มด้วย”

เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน   แล้วเดินไปนั่งคุกเข่าบนเก้าอี้ริมหน้าต่างตามเดิม   มือทั้งสองข้างเกาะลูกกรงเหล็กดัด ขณะทอดสายตาออกไปไกล   ในแววตามีร่องรอยของความกังวล

เขารับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายใจของลูกสาว   นึกอยากดึงอาดาเข้ามากอด   จากนั้นยอมพูดความจริงออกมา   เพื่อที่จะได้ร่ำไห้ไปพร้อม ๆ กัน

ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด   ถึงเวลานั้นจริง ๆ เขาจะร้องไห้ให้ลูกเห็นไม่ได้   เตือนตัวเองว่า   บัดนี้เขาคือเสาหลักเดียวในชีวิตของอาดา   ลูกไม่อาจอยู่ในโลกอันโหดร้ายตามลำพังได้อย่างแน่นอน   พ่อคนนี้จะไม่ปล่อยให้ตัวเองหัวใจสลาย   ตราบใดที่อนาคตของอาดายังฝากไว้ในกำมือของเขา

แล้วอย่างทันทีทันใด   เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง   อาหารเช้านั่นเอง   อาดายังไม่ได้กินอะไรเลย   เขาหมดอาลัยในชีวิตจนลืมคิดถึงเรื่องอาหารของลูก   ชักเริ่มไม่มั่นใจว่าจะดูแลอาดาได้ตลอดรอดฝั่ง   คนอย่างเขาเมื่อตกอยู่ในสภาพขาดคู่คิดไปตลอดกาล   หัวใจของเขาจึงถูกบดขยี้ด้วยความจริงของชีวิต   ซึ่งได้ถาโถมเข้าใส่ดุจคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่า   เขาควรจะรับมือกับมันอย่างไรดี   เขาเฝ้าถาม   แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมา

เขาลุกเดินไปเปิดตู้เย็น   จากนั้นคว้านมสดกล่องหนึ่งมายื่นให้อาดา

“กินนมรองท้องหน่อยเถอะ”

“ไม่เอา   อาดาจะให้แม่ป้อน   อาดาอยากกินโจ๊กด้วย   ไม่ใส่ขิงกับต้นหอมนะพ่อ”

“ไม่กินเดี๋ยวไม่มีแรงไปวิ่งเล่นหรอก”

“อาดาขี่หลังแม่ก็ได้…”   เด็กหญิงพูดลอยหน้าลอยตา “ไม่ง้อพ่อหรอก”

ความหงุดหงิดภายในใจของเขาพลุ่งพล่าน   นึกอยากจะบังคับให้อาดาดื่มนมกล่องนั้น   หากไม่เชื่อฟังคงต้องใช้ฝ่ามือตีลงไปบนเนื้ออ่อน ๆ   แต่เขาก็ได้แค่คิด   แขนขาของเขาอ่อนล้าพอ ๆ กับหัวใจ   จนต้องทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง   เขาวางกล่องนมลงบนโต๊ะเตี้ยข้างหน้า   พลางเฝ้าดูอาดาซึ่งยังคงทอดสายตามองออกไปที่ทางเดินหน้าบ้าน

แวบหนึ่งของความคิด   เขาอดเสียใจไม่ได้เมื่อคิดถึงอดีต   หากเขามีความเข้มแข็งพอ   เขาคงสั่งให้แม่ของอาดาทำเรื่องย้ายมาอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยมากกว่านี้   หรือไม่ก็ลาออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวเพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูก   แต่แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อค้าที่ไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย   ถึงอย่างไรก็ยังตระหนักในคุณค่าของอุดมการณ์ที่คู่ชีวิตยึดมั่นได้เป็นอย่างดี   เขาจึงไม่เคยกล้าที่จะเอ่ยปากร้องขอในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มีวันมอบให้ได้   แม้ว่าแม่ของอาดาจะรักเขากับลูกยิ่งชีวิต   เขาแน่ใจในข้อนี้   แต่ก็ยังแน่ใจอีกเหมือนกันว่า   ครูอย่างเธอจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกศิษย์   แล้วจากมาเหมือนเด็กพวกนั้นไม่มีหัวใจ

บัดนี้   สมองของเขาเหน็ดเหนื่อยโรยล้า   ถึงอย่างนั้นก็ยังจำคำเตือนของผู้อำนวยการโรงเรียนที่แจ้งข่าวมาได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นคำเตือนเกี่ยวกับผู้สื่อข่าว   เขาจะทำอย่างไรดี   ถ้าพวกนั้นบุกมาถึงบ้านในนาทีใดนาทีหนึ่ง   เพื่อถามความรู้สึกของเขากับอาดา   เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้   อาดาอาจตกใจกับเรื่องราวโหดร้าย   เขาจะต้องเปิดเผยความเป็นจริงทั้งหมดให้อาดารับรู้ด้วยความนุ่มนวล   ด้วยความเข้าอกเข้าใจ   และด้วยความรักจากหัวใจของคนเป็นพ่อ

เวลายังคงดำเนินต่อไป   ขณะนั้นสายมากแล้ว แสงแดดนอกบ้านสว่างจ้า   และใบไม้ไม่ขยับเลย

“เบื่อจัง   อากาศก็ร้อน   แม่ยังไม่มาอีก   หรือว่า…ใช่แน่   อาดาว่าแม่คงลืมอาดาแล้วมั้งเนี่ย”

“แม่ไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก”

“อาดาไม่เชื่อพ่อแล้ว   พ่อใจร้าย   แม่ก็ใจร้ายเหมือนกัน”

เขารู้สึกสะเทือนใจ   ได้แต่บอกอาดาว่า   “อย่าว่าแม่ยังงั้นเลยนะ   แม่เขาคง…”

“แม่รักแต่ลูกคนอื่น   ไม่รักลูกตัวเอง   แม่ลืมอาดาแล้ว ฮือ ๆ”

เสียงสะอื้นทำให้เขาต้องลุกไปดึงลูกน้อยมากอดแนบอก   และทั้ง ๆ ที่พยายามเข้มแข็งอย่างถึงที่สุด   แต่น้ำตาของเขากลับซึมออกมาอีกครั้ง

“ฟังพ่อให้ดีนะ”   เขาพูดเสียงเครือ   คลายอ้อมกอดออก   พร้อมกันนั้นก็จ้องใบหน้าของอาดา   แลเห็นดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างสงสัย   นั่นทำให้หัวใจของเขากระตุกและเจ็บปวดยิ่งขึ้น“ฟังนะ   พ่อต้องพูดความจริงเสียที   ความจริงก็คือ…อาดา…แม่…แม่่ของอาดา…จะไม่กลับมาอีกแล้ว”   

ในที่สุด   คำพูดสั่นที่สะเทือนหัวใจของเขาก็หลุดออกจากปากไปจนได้   โลกอันงดงามคงกลายเป็นอดีตไปแล้วในความคิดของอาดา   เขารู้สึกเช่นนั้น

“แม่จะไม่กลับมาอีกแล้ว…”   เด็กน้อยทวนคำเสียงแผ่วเบาด้วยแววตางุนงงอันใสซื่อ   “บ้านของแม่อยู่นี่   แล้วทำไมแม่จะไม่กลับมาล่ะพ่อ   หรือว่าแม่ลืมอาดาไปแล้วจริง ๆ”

เขาดึงอาดาเข้ามากอดอีกครั้ง   หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นครั้งที่อบอุ่นมากที่สุด   พลางบอกลูกสาวอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า  “ตอนนี้แม่นอนหลับอยู่ที่ทำงาน   แม่ของอาดายังไม่ตื่น   แม่จะไม่ยอมตื่น   ถ้าเราสองคนไม่ไปหา”

“เย่   เราจะไปที่ทำงานของแม่หรือจ๊ะ   ดีใจจัง   อาดาจะได้เห็นห้องเรียนของแม่แล้ว”

“จ้ะ   ลูกพ่อ”

“อาดาจะไปนั่งในห้องเรียนของแม่   รับรองว่าอาดาต้องตอบคำถามของแม่ได้ทุกข้อ   พ่อจ๊ะ  อาดาอยากเรียนหนังสือกับแม่จัง   พ่อน่าจะให้อาดาย้ายไปเรียนที่โน่นนะ   อาดาว่า….”

หูของเขายังคงเฝ้าฟังเสียงเจื้อยแจ้วจากปากอาดา ลูกสาวตัวน้อยกลับมาร่าเริงและมีความสุขเหมือนเดิมแล้ว   เขาคิด   ขณะตัดสินใจพาอาดาออกเดินทางทันที   ด้วยความหวังว่าอีกไม่นานทุกคนจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างการเดินทางอันยาวไกล   เขายังคงเศร้าใจในความจริงที่เกิดขึ้น   แต่ลูกสาวของเขากลับสนุกสนานไปกับจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุด

“อาดาเอ๋ย   ลูกช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน”


หมายเหตุ เรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารกุลสตรี  เดือนมิถุนายน  พ.ศ.  2551

เรื่องสั้นไทย-เรื่อง-อาดา-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์-นักเขียนไทย
เรื่องสั้นไทย-เรื่อง-อาดา-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์-นักเขียนไทย