มุมเรื่องสั้นไทย
เขานอนไม่หลับจนรุ่งเช้า ใบหน้าซีดเซียว น้ำตากลายเป็นคราบแห้ง ๆ ที่เช็ดไม่หมด ไม่มีรอยยิ้มเหมือนเช้าวันก่อน ๆ ที่เขามักจะยิ้มอย่างอ่อนหวาน ยามได้เห็นลูกสาวนอนหลับอยู่บนที่นอนขาวสะอาด อาดายังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาเองก็ไม่รู้จะบอกลูกสาวอย่างไร อาดาเคยเป็นเด็กโชคดี หนูน้อยเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ทว่าบัดนี้ความโชคดีในชีวิตของอาดาได้เลือนหายไปเสียแล้ว
เขาอดคิดไม่ได้ว่า ความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกสาวเหมือนสายหมอกยามเช้าในฤดูหนาว ช่างงดงามจับใจแต่ไม่ยั่งยืน ราวกับภาพฝันที่แตกสลายลงได้ในชั่วพริบตา เมื่อถูกปลุกให้ตื่น แล้วมองเห็นความจริงมายืนจ้องอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขาเจ็บปวด และไม่ต้องการให้อาดารู้สึกเช่นนั้น แต่เขาจะทำอย่างไรได้อีกเล่า เขามึนงง โศกเศร้า พร้อมกันนั้นก็รู้สึกทอดอาลัย
ความจริงแล้วในเช้าวันนี้ อาดาควรจะได้ตื่นขึ้นมาเหมือนเช่นทุกเช้าวันเสาร์ และสนุกร่าเริงดุจเดียวกับตุ๊กตาตัวน้อยที่เต้นรำไปทั่วบ้าน หลังจากที่เช้าของวันอื่น อาดามักจะตื่นนอนด้วยอารมณ์น้อยใจแม่ของเธอเสมอ
“แม่ไม่รักอาดาแล้วใช่ไหมจ๊ะ พ่อ”
เธอชอบถามเขาด้วยประโยคนี้ ใช่ แทบจะทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน
“รักสิ แม่รักอาดามากที่สุดในโลก ลูกรู้ไหม แม่รักอาดามากกว่าพ่อซะอีก”
“ไม่จริง พ่อหลอกอาดา”
“ทำไมพูดยังงั้นล่ะ พ่อจะหลอกอาดาไปทำไม”
“แล้วทำไมแม่่ไม่สอนหนังสืออาดา ทำไมแม่มัวแต่ไปสอนเด็กคนอื่นด้วยล่ะ อาดาอยากโป้งแม่จริง ๆ นะพ่อ”
เขารู้ว่าอาดาไม่เคยน้อยใจแม่ของตัวเองได้นานเกินวันศุกร์ พอเช้าวันเสาร์มาถึง อาดาก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาดาจะไม่ถามอย่างสงสัยอีกว่าแม่รักเธอหรือไม่ แต่อาดาจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใส รีบอาบน้ำ แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดที่อาดาเห็นว่าน่ารักที่สุด แน่นอน ต้องเป็นชุดเก่งที่แม่ซื้อให้นั่นเอง
“แม่จะได้ดีใจ อาดาอยากให้แม่หายเหนื่อยจ้ะ” อาดาพูดออกมาอย่างจริงจัง
แม่ของอาดาจะกลับถึงบ้านทุกเช้าวันเสาร์เสมอ แม้ว่าระยะทางจากปัตตานีมากรุงเทพฯ จะไกลแสนไกล อีกทั้งชวนให้เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแค่ไหนก็ตาม เขารู้ว่าเธอยอมทำทุกอย่างเพื่อชดเชยเวลาให้กับลูกสาวตัวน้อย เธอไม่ปรารถนาจะให้ความรักในอุดมการณ์และความรักในหัวใจของแม่ ต้องเดินสวนทางกันหรือกลายเป็นเส้นขนาน ดังนั้นเมื่อเช้าวันเสาร์มาถึง แม่ของอาดาก็จะกลับมาเสมอ
ตอนนี้อาดารู้สึกตัวแล้ว เขาจ้องมองเด็กหญิงผู้งดงามเหมือนแม่ อาดาลืมตาขึ้นแล้วยิ้มกว้าง แก้มยุ้ย ดวงตากลมโตเป็นประกายสดชื่น ผมยาวนุ่มนิ่มของอาดายุ่งเหยิง ช่างดูน่ารักและใสบริสุทธิ์ เขาปล่อยให้ลูกน้อยลุกขึ้นนั่ง อาดาโผมาหอมแก้มซ้ายขวาของเขา ก่อนจะกระโดดลงจากเตียง แล้วคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งตื๋อหายเข้าห้องน้ำไป ลูกสาวของเขาคล่องแคล่วเสมอในวันพิเศษเช่นนี้
สักครู่หนึ่ง เขาก็เห็นอาดาเดินออกมาโดยมีผ้าขนหนูพันกายเอาไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ตรงหน้าผากและพวงแก้ม ปลายผมเปียกชื้นเล็กน้อย เขาปล่อยให้คนเก่งของเขาแต่งตัวเอง ไม่นานนักอาดาก็อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกระโปรงสั้นสีฟ้าพิมพ์ลายการ์ตูนสีขาว สองแก้มนวลผ่องด้วยแป้งฝุ่น เรือนผมถูกแปรงจนกลายเป็นเส้นตรงยาวเกือบถึงกลางหลัง พร้อมแล้วที่จะให้แม่ของอาดาสวมกอดให้หายคิดถึง
“พ่อทายซิจ๊ะ ว่าแม่จะซื้ออะไรมาฝากอาดา อาดาว่าต้องเป็นตุ๊กตาแน่ จริง ๆ นะพ่อ แม่เคยบอกว่าจะซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ให้ โอ๊ย อาดาตื่นเต้นจัง อยากให้แม่มาถึงเร็ว ๆ”
เขานิ่งอึ้ง หัวใจเหมือนถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก หลังจากโดนโบยตีด้วยแส้อย่างหนักตลอดทั้งคืน เขาสะกดกลั้นความรู้สึกที่กำลังกลายสภาพเป็นน้ำตาแทบไม่ไหว ต้องพยายามฝืนยิ้ม และทำได้สำเร็จในที่สุด แต่มันก็คงเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งเต็มทีกระมัง
อย่างไรก็ตาม อาดาไม่น่าจะเห็นร่องรอยผิดสังเกตนั้น เขานึกโล่งอก ปล่อยให้ลูกสาวจูงมือเดินออกจากห้องนอน เพื่อลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เขารู้ว่านางฟ้าตัวน้อยจะชวนไปนั่งรอแม่อยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างตัวเดิม
หน้าต่างบานนั้นจะเปิดกว้างเสมอทุกเช้าวันเสาร์ หากมองออกไปก็จะเห็นประตูรั้วทำด้วยไม้ทาสีขาว จากประตูรั้วที่ว่านี้ จะมีทางเดินเล็ก ๆ ตรงไปยังถนนด้านนอก แม่ของอาดาจะเดินเข้ามาตามเส้นทางดังกล่าว มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็ก ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งอาจจะหิ้วถุงขนมหรือของเล่น
สำหรับอาดาแล้ว นี่คือกิจวัตรประจำวันเสาร์ วันของครอบครัวเล็ก ๆ อันอบอุ่น ไม่เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงมาก่อน มันเป็นเรื่องที่ลูกสาวของเขาสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็น
เขาตัดสินใจที่จะพูดความจริงกับอาดา
“พ่อจ๋า วันนี้พาอาดากับแม่ไปเขาดินนะจ๊ะ คราวก่อนก็อดไปทีนึงแล้ว แม่ชอบบ่นว่าเหนื่อยอยู่เรื่อยเลย ไม่รู้ด้วย วันนี้อาดาจะไป…”
เด็กน้อยหันหน้ามาพูดเป็นเชิงบังคับ ขณะที่ตัวเองกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนเก้าอี้ มือสองข้างเกาะลูกกรงเหล็กดัดไว้แน่น เขาฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าอย่างขอไปที เขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เขากลายเป็นพ่อผู้เบื้อใบ้ เฝ้าสงสัยและถามตัวเองว่า หัวใจของอาดาเข้มแข็งพอจะรับฟังความจริงได้หรือยัง นั่นสินะ เด็กหญิงวัยห้าขวบกับความจริงอันโหดร้าย โลกช่างไม่ยุติธรรมเลย
“เมื่อไหร่แม่จะไม่ต้องกลับไปสอนหนังสือเด็กพวกนั้นอีกก็ไม่รู้ ทำไมพ่อไม่ขังแม่ไว้ในห้องนอนล่ะ อาดาอยากให้แม่อยู่ด้วยทุกคืน จะได้เล่านิทานให้อาดาฟังก่อนนอน แม่เล่านิทานสนุกกว่าพ่อเยอะเลย พ่อเล่านิทานเหมือนท่องสูตรคูณ”
“อาดาต้องเข้าใจแม่นะ แม่เป็นคนดี เป็นครูที่ดี มีจิตใจงดงาม จำไว้นะลูก ถ้าไม่มีครูคนไหนยอมไปสอนที่นั่น เด็กพวกนั้นก็จะไม่มีความรู้ แม่ของอาดารักลูกศิษย์ทุกคน แม่จึงทิ้งมาไม่ได้ แต่แม่ก็รักอาดาเหมือนกัน พ่อบอกแล้วไง แม่รักอาดามากที่สุดในโลก”
“เพื่อนที่โรงเรียนบอกอาดาว่า แถวโรงเรียนแม่มีคนถูกยิงทุกวัน พวกนั้นเคยเห็นในข่าวทีวี อาดาเป็นห่วงแม่นี่จ๊ะพ่อ แม่วิ่งช้าจะตาย ไม่เคยวิ่งไล่จับอาดาได้ทันซักที…”
เขาก้มหน้ามองดูพื้นห้อง ไม่อาจสบตากับบุตรสาวได้อีกต่อไป รู้สึกดวงตาพร่าและร้อนด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังจะเอ่อท้นออกมา
วินาทีนั้นเขาต้องลุกเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ รีบเปิดก๊อกเหนืออ่างน้ำเพื่อลูบไล้ใบหน้า ทว่าสายน้ำไม่อาจล้างน้ำตาของเขาได้ เขาเงยหน้ามองดูเงาตัวเองสะท้อนอยู่บนกระจก แววตาของเขายังคงแสดงความเจ็บปวด พร้อมกับสงสัยว่า จะประวิงเวลาไปได้นานสักแค่ไหน เขาจะต้องรีบพาลูกสาวเดินทางลงไปภาคใต้ แม่ของอาดานอนรออยู่ที่นั่นนานหลายชั่วโมงแล้ว
เขานึกถึงเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เสียงโทรศัพท์กรีดร้องอย่างน่ากลัวในความมืด ทำให้เขาสะดุ้งตกใจ ขณะอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
การต้องรับโทรศัพท์ยามดึกเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นมานานแล้วสำหรับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพยายามติดต่อหาภรรยาแล้วไม่สำเร็จ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครโทรศัพท์มาหา และมีธุระอะไร จนกว่าจะได้พูดคุยกันให้รู้เรื่องเสียก่อน จากประสบการณ์ของเขา ข่าวดีมักไม่เดินทางมาเยือนในยามวิกาล ที่คนเราควรได้หลับอย่างเป็นสุข แล้วครั้งนี้ก็ไม่ยอมยกเว้น
เมื่อแรกได้รู้ข่าวร้าย เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาพยายามวิ่งหนีสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นฝันร้ายนั้น ทว่าความจริงที่ได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้อำนวยการโรงเรียน ก็ทำให้เขาตระหนักว่า ข่าวร้ายนี้หาใช่ความฝันไม่
ทันทีที่แน่ใจ เขาอยากผลุนผลันเดินทางลงไปภาคใต้เสียเดี๋ยวนั้น ครั้นมองเห็นอาดานอนหลับไม่รู้เรื่องราวใด ๆ เขาก็ไม่กล้าปลุกลูกขึ้นมา ได้แต่รอให้ถึงตอนเช้า มันคงเป็นการซื้อเวลาอย่างหนึ่งสำหรับเขา
ใช่แล้ว เขายอมรับว่าไม่กล้าพอ ภาระอันหนักอึ้งตกใส่บ่าของคนเป็นพ่อ พ่อผู้มีหน้าที่บอกแก่ลูกสาวอีกทอดหนึ่งถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต เขาแค่นหัวเราะด้วยความเจ็บช้ำขมขื่น เด็กน้อยแสนน่ารักอย่างอาดาจะเข้าใจถึงความจริงข้อนี้ได้อย่างไร อาดาสามารถเข้าใจได้หรือว่า แม่ของเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว เพราะฝีมือของคนบางกลุ่มที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน แม้แต่เขาเองก็ยังทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ไม่ได้
“พ่อ…” เสียงเรียกของอาดาดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้เขาต้องรีบใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองดูลูก เขาพยายามไม่ถอนหายใจออกมาซึ่งก็เป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน
“แม่ยังไม่เห็นมาเลยจ้ะ พ่อลองโทรเข้ามือถือของแม่ดูหน่อยสิ ถามแม่ว่าถึงไหนแล้ว ให้รีบมาเร็ว ๆ ไม่งั้นอาดาโกรธแม่ด้วยนะ”
เขาจูงมือพาอาดากลับมาที่ห้องนั่งเล่น และชวนกันนั่งลงบนโซฟา จากนั้นเขาก็จ้องมองสำรวจดวงหน้าน้อย ๆ พลางขยับปากจะเล่าความจริงออกไป แต่ริมฝีปากของเขากลับทำได้เพียงขยับขมุบขมิบเท่านั้น ในที่สุดเขาก็เม้มมันเป็นเส้นตรง ถอนหายใจ แล้วหลุดปากออกไปว่า
“รออีกสักพักเถอะนะ อาดา เดี๋ยวแม่ก็คงจะมา…” นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาพูดปดกับลูกสาว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีวันเป็นความจริงขึ้นมาได้ นี่ทำให้เขานึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยเล่าให้อาดาฟังก่อนนอน เป็นเรื่องของชายที่ไปรักกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีลูกด้วยกัน วันหนึ่งแม่ของเด็กออกไปธุระและกลับบ้านช้า ผู้เป็นลูกร้องไห้โยเย จนพ่อต้องโกหกไปว่าแม่กลับมาแล้ว เด็กจึงหยุดร้องไห้ ครั้นรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริงก็ร้องขึ้นมาอีก ผลสุดท้ายชายคนนั้นถูกขับไล่ออกจากเมืองลับแลเพราะพูดโกหก ต้องจากลูกเมียไปชั่วชีวิต ขณะนี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าเขาทำผิดใช่หรือไม่ ที่พูดโกหกกับอาดาเหมือนกัน เขาคือคนหลอกลวง หรือเป็นเพียงชายขี้ขลาดคนหนึ่งผู้ไม่ยอมรับความจริง
“คอยดูเหอะ อาดาจะไม่ให้แม่หอมแก้มด้วย”
เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน แล้วเดินไปนั่งคุกเข่าบนเก้าอี้ริมหน้าต่างตามเดิม มือทั้งสองข้างเกาะลูกกรงเหล็กดัด ขณะทอดสายตาออกไปไกล ในแววตามีร่องรอยของความกังวล
เขารับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายใจของลูกสาว นึกอยากดึงอาดาเข้ามากอด จากนั้นยอมพูดความจริงออกมา เพื่อที่จะได้ร่ำไห้ไปพร้อม ๆ กัน
ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด ถึงเวลานั้นจริง ๆ เขาจะร้องไห้ให้ลูกเห็นไม่ได้ เตือนตัวเองว่า บัดนี้เขาคือเสาหลักเดียวในชีวิตของอาดา ลูกไม่อาจอยู่ในโลกอันโหดร้ายตามลำพังได้อย่างแน่นอน พ่อคนนี้จะไม่ปล่อยให้ตัวเองหัวใจสลาย ตราบใดที่อนาคตของอาดายังฝากไว้ในกำมือของเขา
แล้วอย่างทันทีทันใด เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง อาหารเช้านั่นเอง อาดายังไม่ได้กินอะไรเลย เขาหมดอาลัยในชีวิตจนลืมคิดถึงเรื่องอาหารของลูก ชักเริ่มไม่มั่นใจว่าจะดูแลอาดาได้ตลอดรอดฝั่ง คนอย่างเขาเมื่อตกอยู่ในสภาพขาดคู่คิดไปตลอดกาล หัวใจของเขาจึงถูกบดขยี้ด้วยความจริงของชีวิต ซึ่งได้ถาโถมเข้าใส่ดุจคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่า เขาควรจะรับมือกับมันอย่างไรดี เขาเฝ้าถาม แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมา
เขาลุกเดินไปเปิดตู้เย็น จากนั้นคว้านมสดกล่องหนึ่งมายื่นให้อาดา
“กินนมรองท้องหน่อยเถอะ”
“ไม่เอา อาดาจะให้แม่ป้อน อาดาอยากกินโจ๊กด้วย ไม่ใส่ขิงกับต้นหอมนะพ่อ”
“ไม่กินเดี๋ยวไม่มีแรงไปวิ่งเล่นหรอก”
“อาดาขี่หลังแม่ก็ได้…” เด็กหญิงพูดลอยหน้าลอยตา “ไม่ง้อพ่อหรอก”
ความหงุดหงิดภายในใจของเขาพลุ่งพล่าน นึกอยากจะบังคับให้อาดาดื่มนมกล่องนั้น หากไม่เชื่อฟังคงต้องใช้ฝ่ามือตีลงไปบนเนื้ออ่อน ๆ แต่เขาก็ได้แค่คิด แขนขาของเขาอ่อนล้าพอ ๆ กับหัวใจ จนต้องทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง เขาวางกล่องนมลงบนโต๊ะเตี้ยข้างหน้า พลางเฝ้าดูอาดาซึ่งยังคงทอดสายตามองออกไปที่ทางเดินหน้าบ้าน
แวบหนึ่งของความคิด เขาอดเสียใจไม่ได้เมื่อคิดถึงอดีต หากเขามีความเข้มแข็งพอ เขาคงสั่งให้แม่ของอาดาทำเรื่องย้ายมาอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยมากกว่านี้ หรือไม่ก็ลาออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวเพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูก แต่แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อค้าที่ไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย ถึงอย่างไรก็ยังตระหนักในคุณค่าของอุดมการณ์ที่คู่ชีวิตยึดมั่นได้เป็นอย่างดี เขาจึงไม่เคยกล้าที่จะเอ่ยปากร้องขอในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มีวันมอบให้ได้ แม้ว่าแม่ของอาดาจะรักเขากับลูกยิ่งชีวิต เขาแน่ใจในข้อนี้ แต่ก็ยังแน่ใจอีกเหมือนกันว่า ครูอย่างเธอจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกศิษย์ แล้วจากมาเหมือนเด็กพวกนั้นไม่มีหัวใจ
บัดนี้ สมองของเขาเหน็ดเหนื่อยโรยล้า ถึงอย่างนั้นก็ยังจำคำเตือนของผู้อำนวยการโรงเรียนที่แจ้งข่าวมาได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นคำเตือนเกี่ยวกับผู้สื่อข่าว เขาจะทำอย่างไรดี ถ้าพวกนั้นบุกมาถึงบ้านในนาทีใดนาทีหนึ่ง เพื่อถามความรู้สึกของเขากับอาดา เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ อาดาอาจตกใจกับเรื่องราวโหดร้าย เขาจะต้องเปิดเผยความเป็นจริงทั้งหมดให้อาดารับรู้ด้วยความนุ่มนวล ด้วยความเข้าอกเข้าใจ และด้วยความรักจากหัวใจของคนเป็นพ่อ
เวลายังคงดำเนินต่อไป ขณะนั้นสายมากแล้ว แสงแดดนอกบ้านสว่างจ้า และใบไม้ไม่ขยับเลย
“เบื่อจัง อากาศก็ร้อน แม่ยังไม่มาอีก หรือว่า…ใช่แน่ อาดาว่าแม่คงลืมอาดาแล้วมั้งเนี่ย”
“แม่ไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก”
“อาดาไม่เชื่อพ่อแล้ว พ่อใจร้าย แม่ก็ใจร้ายเหมือนกัน”
เขารู้สึกสะเทือนใจ ได้แต่บอกอาดาว่า “อย่าว่าแม่ยังงั้นเลยนะ แม่เขาคง…”
“แม่รักแต่ลูกคนอื่น ไม่รักลูกตัวเอง แม่ลืมอาดาแล้ว ฮือ ๆ”
เสียงสะอื้นทำให้เขาต้องลุกไปดึงลูกน้อยมากอดแนบอก และทั้ง ๆ ที่พยายามเข้มแข็งอย่างถึงที่สุด แต่น้ำตาของเขากลับซึมออกมาอีกครั้ง
“ฟังพ่อให้ดีนะ” เขาพูดเสียงเครือ คลายอ้อมกอดออก พร้อมกันนั้นก็จ้องใบหน้าของอาดา แลเห็นดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างสงสัย นั่นทำให้หัวใจของเขากระตุกและเจ็บปวดยิ่งขึ้น“ฟังนะ พ่อต้องพูดความจริงเสียที ความจริงก็คือ…อาดา…แม่…แม่่ของอาดา…จะไม่กลับมาอีกแล้ว”
ในที่สุด คำพูดสั่นที่สะเทือนหัวใจของเขาก็หลุดออกจากปากไปจนได้ โลกอันงดงามคงกลายเป็นอดีตไปแล้วในความคิดของอาดา เขารู้สึกเช่นนั้น
“แม่จะไม่กลับมาอีกแล้ว…” เด็กน้อยทวนคำเสียงแผ่วเบาด้วยแววตางุนงงอันใสซื่อ “บ้านของแม่อยู่นี่ แล้วทำไมแม่จะไม่กลับมาล่ะพ่อ หรือว่าแม่ลืมอาดาไปแล้วจริง ๆ”
เขาดึงอาดาเข้ามากอดอีกครั้ง หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นครั้งที่อบอุ่นมากที่สุด พลางบอกลูกสาวอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ตอนนี้แม่นอนหลับอยู่ที่ทำงาน แม่ของอาดายังไม่ตื่น แม่จะไม่ยอมตื่น ถ้าเราสองคนไม่ไปหา”
“เย่ เราจะไปที่ทำงานของแม่หรือจ๊ะ ดีใจจัง อาดาจะได้เห็นห้องเรียนของแม่แล้ว”
“จ้ะ ลูกพ่อ”
“อาดาจะไปนั่งในห้องเรียนของแม่ รับรองว่าอาดาต้องตอบคำถามของแม่ได้ทุกข้อ พ่อจ๊ะ อาดาอยากเรียนหนังสือกับแม่จัง พ่อน่าจะให้อาดาย้ายไปเรียนที่โน่นนะ อาดาว่า….”
หูของเขายังคงเฝ้าฟังเสียงเจื้อยแจ้วจากปากอาดา ลูกสาวตัวน้อยกลับมาร่าเริงและมีความสุขเหมือนเดิมแล้ว เขาคิด ขณะตัดสินใจพาอาดาออกเดินทางทันที ด้วยความหวังว่าอีกไม่นานทุกคนจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างการเดินทางอันยาวไกล เขายังคงเศร้าใจในความจริงที่เกิดขึ้น แต่ลูกสาวของเขากลับสนุกสนานไปกับจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุด
“อาดาเอ๋ย ลูกช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน”
หมายเหตุ เรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารกุลสตรี เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551