เรื่องสั้น “ฝันเพี้ยนของนักเขียนแถวหลัง” : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

ภาพประกอบเรื่องสั้น "ฝันเพี้ยนของนักเขียนแถวหลัง"

มุมเรื่องสั้นไทย

เวลา 00.01 นาฬิกา

ขึ้นวันใหม่แล้ว แต่ยังคงเป็นคืนอันสงัดเงียบ อากาศต้นเดือนธันวาคมค่อนข้างหนาว เหมาะแก่การดื่มเหล้าหรือเบียร์ยิ่งนัก เขาจึงถือโอกาสนั่งกับพื้น และดื่มเบียร์ราคาถูกอยู่ในห้องนอน ซึ่งวูบไหวด้วยเงาในแสงสลัว เบียร์ขวดที่ห้าหรือหกเขาไม่แน่ใจนัก ถูกเปิดฝาออกจนเกิดเสียงดังเบา ๆ ก่อนจะถูกรินลงเหยือกแก้วเหมือนไม่ตั้งใจ เพราะความมึนเมากระมัง นั่นทำให้เกิดฟองฟู่ล้นออกมาจนนองพื้น เขามองเหม่ออย่างไม่นึกเสียดาย คนมีเงินอยู่ในมือก็มักเป็นเช่นนี้

เมื่อตอนหัวค่ำเขาออกไปดูหนังสือที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน แค่พลิก ๆ อ่านแต่ไม่ซื้อ เนื่องจากยังไม่มีเงินในเวลานั้น ขากลับเขาเดินผ่านตู้เอทีเอ็มเลยแวะตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ แล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด เขาดีใจจนเนื้อเต้น หลังพบว่ามีเงินโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ร่วมห้าพัน ทั้งที่ยอดเดิมคือสามสิบสองบาทห้าสิบสตางค์ มันน่าจะเป็นเงินค่าเรื่องสั้นจากนิตยสารสักสองสามฉบับรวมกันนั่นแหละ เขาคาดเดาด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น บอกกับตัวเองว่า ช่วงนี้คงไม่ต้องโทรศัพท์ไปขอเงินแม่ เพื่อเอามาใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวอีกพักใหญ่ ๆ

เวลานั้นปากของเขาเริ่มเปรี้ยว น้ำลายเริ่มเหนียว กระเพาะอาหารมีอาการขยอกขย้อนคล้ายจะอาเจียน น้ำหูน้ำตาก็ทำท่าเหมือนจะไหลเล็ดออกมาเสียให้ได้ เขาจัดการกดเงินออกมาสี่พันแปดร้อยบาท แล้วแวะเข้าร้านดอกบัวด่วน ใช้เวลาไม่นานนักก็หอบหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังออกมา ในนั้นมีเบียร์ไทยราคาถูกอยู่สิบขวด น้ำแข็งสองถุง บุหรี่อีกหนึ่งซอง พร้อมด้วยไส้กรอกอีสานและไส้กรอกฝรั่ง มันมากพอจะกินไปได้ตลอดทั้งคืน

“นานแค่ไหนแล้ววะ ที่เราไม่มีโอกาสฉลองให้แก่ชีวิตนักเขียนผู้มุ่งมั่นยังงี้เลย” เขาพึมพำงึมงำตั้งคำถามอยู่ในความมืด พลางหันไปมองดูเมียคนล่าสุดซึ่งกำลังนอนหลับอยู่

แสงจากจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ทำให้เห็นร่างเธอเป็นเงานอนตะคุ่ม ๆ อยู่บนเตียง เธอคงหลับสนิทหลังจากสามารถยึดเงินค่าเรื่องสั้นของเขาไปได้สี่พันกับเศษเหรียญอีกเล็กน้อย นั่นเป็นชัยชนะของเธอในฐานะผู้จัดการชีวิตส่วนตัวของนักเขียนคนหนึ่ง

ความจริงเธอไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้สักเท่าไรนักหรอก แต่มันย่อมดีกว่าตำแหน่ง “ผู้บงการชีวิตส่วนตัว” หลายเท่า เขาอดเสียวสันหลังไม่ได้ หากเธอล่วงรู้ว่าเขาเตรียมมอบตำแหน่งดังกล่าวให้ด้วยความจริงใจในนวนิยายเรื่องใหม่ของเขา ถ้าเธอรู้ (รู้แน่ ๆ เพราะเธอต้องขออ่านต้นฉบับก่อนส่ง) ไม้ตายของเธอคงไม่มีอะไรมาก ก็แค่ท้าทายให้ไปสำนักงานเขตในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับหลั่งน้ำตารดใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของเธอเอง บางทีเธอก็เอาใบทะเบียนสมรสมาขยำเล่นเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนเตะออกไปทางหน้าต่าง เพื่อที่เช้าวันต่อมาจะใช้ให้เขาออกไปค้นหาตามพงหญ้า คิดดูเถิดว่าชีวิตแบบนี้มันน่าเบื่อขนาดไหน

เขาดื่ม เขาเมา เขาสูบบุหรี่ และฝันทั้งที่ยังลืมตา เวลาอยากสูบบุหรี่ ซึ่งแน่นอน มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เขาจะเดินออกไปสูบนอกห้องนอน อันที่จริงเขาเคยคิดจะเลิกสูบเลิกดื่มอยู่บ้างเหมือนกัน ยามที่ใจส่วนลึกเริ่มปรารถนาจะโบยบินหนีเมืองหลวงออกไปอยู่ชนบท เขาเฝ้าฝันถึงธรรมชาติในอำเภอสวนผึ้งของจังหวัดราชบุรี และมองเห็นภาพที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาตามแนวตะเข็บพรมแดนไทย-พม่า อันเต็มไปด้วยเมฆหมอกลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียภูเขาเขียวชอุ่มน้อยใหญ่ มันต้องใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียวเพื่อจะเป็นเจ้าของ นี่ยังไม่รวมถึงกระท่อมปูนสีขาวน่ารักสักหลังสำหรับนอนเล่น หรือไม่ก็นั่งทอดสายตามองดูต้นไม้ เขาอยากใช้เวลานั่งมองดูเทือกเขาตะนาวศรีอันสลับซับซ้อน และที่สำคัญคือนั่งเขียนหนังสือชั้นเยี่ยมสักเล่มหนึ่ง เพื่อฝากโลกนี้ไว้ในฐานะนวนิยายอมตะ

อาจเป็นไปได้ว่าถ้าเขาตัดขาดจากการดื่มกินและการสูบบุหรี่ เงินที่ (อาจจะ) งอกเงยจากการเขียนหนังสือ รวม ๆ กันเข้าราวสิบปีก็คงพอซื้อที่ดินแถวนั้นได้สักไร่หนึ่ง แต่ครั้นนึกได้ว่าจะอยู่ไปทำไม ถ้าชีวิตขาดความรื่นรมย์ของสิ่งเสพติดพวกนี้ เขาก็เลิกล้มความคิด แล้วหันมาฝากความหวังไว้กับการประกวดงานวรรณกรรมแทน

แน่นอน มันเลื่อนลอยเต็มที ทว่าสำหรับเขาแล้ว การฝันลม ๆ แล้ง ๆ ช่างเป็นเรื่องน่าสนุกเสียเหลือเกิน การลงมือตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจังต่างหากเล่า ที่ชวนให้เหน็ดเหนื่อยท้อแท้ การแสร้งพูดให้ใครได้ยินว่า เขาจะมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับการเขียน ทำให้เขาอยากอ้วกรดใส่ตัวเอง แม้เขาจะเป็นคนจำพวกสนุกสนาน ฝันเฟื่อง อีกทั้งยังสามารถฝันได้ทั้งยามหลับและยามตื่นก็ตาม

ความไม่เอาไหนบวกกับความเกียจคร้านนี่เอง ที่ทำให้เขาทำงานได้น้อยมาก เขาเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ปีนี้จะเขียนเรื่องสั้นให้ได้สักสามสิบหกเรื่อง ไม่นับนวนิยายและสารคดี เอาเข้าจริงทำได้เพียงยี่สิบห้าเรื่อง โชคดีได้ตีพิมพ์ทั้งหมด เวลาของเขาส่วนหนึ่งหายไปกับการแก้ไขต้นฉบับนวนิยายสองเรื่องที่ไม่มีใครสนใจ แต่เขาก็รักมันราวกับลูกในไส้ ไม่มีใครรู้หรอกว่า เขาอยากได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนนวนิยายมากกว่า ทว่าผลงานที่เผยแพร่ออกไป ทั้งที่ได้รับรางวัลและไม่ได้รับรางวัลล้วนเป็นเพียงเรื่องสั้น บางเรื่องมีคนอิจฉาในความสำเร็จจนออกนอกหน้า บางเรื่องได้รับคำชื่นชมจนแทบลอยไปถึงสวรรค์

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขายังคงเขียนเรื่องสั้นต่อไป ไม่ใช่แน่นอน ตัวเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดนักหรอกว่าทำไมถึงยังเขียนเรื่องสั้น แม้จะเขียนได้เต็มที่แค่เดือนละสามเรื่อง ไม่เคยมากไปกว่านั้น อาจจะเป็นด้วยสัญชาตญาณกระมัง เขาเขียนเรื่องสั้นออกไปโดยอัตโนมัติ ยามที่ความคิดใหม่ ๆ แล่นเข้ามาในหัวสมอง บางครั้งก็ในหัวใจ มันเต้นเร่า ๆ และสั่งให้เขาเปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์ข้อความลงไปอย่างสนุกสนาน ถ้าเป็นเรื่องสนุก หากเรื่องมีกลิ่นอายของความเศร้า ความตาย น้ำตาของเขาก็ไหลรินออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เอาเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาแท้จริงอยู่ตรงที่ทุกวันนี้พื้นที่สำหรับตีพิมพ์เรื่องสั้นในหน้านิตยสารต่าง ๆ หดหายไปมาก พวกนักเขียนพากันออกมาคร่ำครวญ หลายคนเอาร่างเกลือกกลิ้งกับดินทราย บางคนเอาขี้เถ้าผสมน้ำตาทาตัวเอง เสมือนหนึ่งเป็นการไว้ทุกข์ให้แก่เรื่องสั้นที่พวกเขาคิดว่าใกล้ตายแล้ว

มีใครรู้บ้างไหมว่าในเมืองไทยมีนักเขียนเรื่องสั้นอยู่กี่มากน้อย เขาสันนิษฐานว่าไม่น่าจะต่ำกว่าพันคน ทั้งพวกมีผลงานตีพิมพ์และพวกที่ต้นฉบับถูกทิ้งลงตะกร้า ทั้งนักเขียนเก่า นักเขียนกลางเก่ากลางใหม่ และนักเขียนใหม่ ทั้งนักเขียนระดับแถวหน้า แถวกลาง และแถวหลัง

คนอยากเป็นนักเขียนมีเยอะมากจริง ๆ เขาบอกตัวเองในความมึนเมา แต่พื้นที่สำหรับเรื่องสั้นกลับมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย เคยมีนักวิทยาศาสตร์บ้ากลุ่มหนึ่งนำเอาหนูไปขังไว้ในกรงเพื่อทดลองอะไรบางอย่าง จากจำนวนไม่กี่ตัว แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้น ตอนแรกพวกหนูมันก็สงบรักใคร่กันดี ทว่าพอกรงเริ่มแออัดก็หันมากัดกินกันเอง พวกมันสลัดทิ้งความเป็นเพื่อนเหมือนคนเราโยนกระดาษชำระใช้แล้วลงถังขยะนั่นแหละ

เขารู้สึกว่านักเขียนเรื่องสั้นบ้านเราบางกลุ่มก็คล้าย ๆ กันนี้ มันทำให้เกิดสงครามแย่งชิงพื้นที่สำหรับเผยแพร่ผลงานเรื่องสั้น จริงอยู่ที่พวกนั้นไม่ได้คว้าปากกาออกไปเที่ยวทิ่มแทงกันตรง ๆ หรอก แต่เป็นการแข่งขันสร้างผลงานออกมาให้ถูกใจตลาดมากกว่า นักเขียนหลายคนพยายามป้อนผลงานให้โดนใจบรรณาธิการ และมีจำนวนไม่น้อยสร้างงานตามรสนิยมของกรรมการตัดสินงานประกวดวรรณกรรม

มีเรื่องเล่าลือกันถึงขนาดว่านักเขียนนายหนึ่งลงทุนทำวิจัย ใช่แล้ว ทำวิจัยว่าเขียนเรื่องสั้นอย่างไรจึงจะได้รางวัล เพื่อใช้เป็นแท่นยืนค้ำหัวนักเขียนคนอื่น หรือไม่ก็เพื่อคุยโอ้อวดว่าตัวข้านั้นเป็นของจริง ดูเอาเถอะ มันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งเขาเห็นว่าไม่ก่อให้เกิดวรรณกรรมบริสุทธิ์เลย ที่นี้พอได้รับรางวัลจนเต็มก้นกางเกงแล้ว หลายต่อหลายคนก็เลิกรางานเขียนไปประกอบอาชีพอื่น เหลือไว้เพียงซากความทรงจำว่าครั้งหนึ่งตนเคยได้รับรางวัลเท่านั้น

อา…เขากำลังเมา เขากำลังดื่ม เขากำลังฝัน และเผลอจุดบุหรี่สูบในห้องนอน เขารีบกระโจนไปเปิดหน้าต่างออกให้กว้าง แล้วเร่งพัดลมไฟฟ้าเป่าควันทิ้งไป ก่อนที่ผู้บงการชีวิตส่วนตัวจะลุกขึ้นมาฟาดกบาลเขาด้วยขวดเบียร์ ความจริงเขาน่าจะเลิกสูบบุหรี่ตั้งนานแล้ว แต่สงครามสนามนี้ทำให้เขาเครียดคลั่งจนร่ำ ๆ จะเป็นโรคประสาทอยู่ทุกวัน บุหรี่แก้เครียดไม่ได้ก็จริงอยู่ เขายอมรับ ทว่ามันกลายเป็นความเคยชินในเวลาเมาและเวลาเครียด จนยากแก่การแก้ไขเสียแล้ว

ระยะหลัง ๆ มานี้ ตั้งแต่เรื่องสั้นของเขาได้ตีพิมพ์ทุกเดือน มีอยู่เดือนหนึ่งตีพิมพ์ทีเดียวห้าเรื่อง ช่างเป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ ในที่สุดก็มีอีเมลลึกลับส่งมาหาเขาหลายฉบับ ล้วนแล้วแต่เขียนมาก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย พวกมือลึกลับพากันกล่าวหาว่า เขาไม่แบ่งพื้นที่ให้กับผลงานของนักเขียนแถวหลังด้วยกัน ทั้งที่เขาก็เห็นว่ายังมีเรื่องสั้นของใครต่อใครได้ลงกันอยู่บ้าง แม้จะเป็นไปอย่างประปรายก็ตาม มีการกล่าวโทษว่าเขาใช้เส้นสาย หาว่าเขาใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว บางคนถึงขนาดประกาศว่าวงการนี้ไม่มีความยุติธรรมไปโน่น

นักเขียนที่เขาแทบไม่เคยได้ยินชื่อบอกว่า ลำพังต้องแย่งพื้นที่กับนักเขียนใหญ่ นักเขียนมือทอง นักเขียนมือรางวัล ก็เป็นเรื่องยากเย็นอยู่แล้ว แต่พวกเขาพอจะทำใจได้ เพราะยอมรับว่าฝีมือของนักเขียนเหล่านั้นสูงส่ง น้ำเสียงในถ้อยความที่ส่งมาทางอีเมลนั้น ออกจะยกย่องนักเขียนบางคนราวกับเป็นศาสดาในศาสนาวรรณกรรมของตนเลยทีเดียว แล้วพากันหันมาหมั่นไส้นักเขียนแถวหลังอย่างเขาแทน พวกนั้นไม่เคยรู้จักศาสนาวรรณกรรมเลยสักนิด หาไม่ก็ย่อมรู้ว่าเขาได้ถวายตัวเป็นนักบวชในศาสนานี้มานานหลายปีแล้ว พวกนั้นมีใครทำได้อย่างเขาบ้างล่ะ ไม่มีเลย เขาคิดด้วยความเศร้าใจ

สมัยก่อนช่วงที่เขาได้ตีพิมพ์ผลงานแค่ปีละไม่กี่เรื่อง อีเมลที่ส่งมาจะเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย นักเขียนใหม่บางคนเขียนมารำพึงรำพันต่อโชคชะตาของตัวเอง เมื่อรู้ว่าผลงานถูกบรรณาธิการปฏิเสธ พวกนี้ต้องการกำลังใจ แต่ก็ยังอวยพรให้เขามุ่งมั่นต่อการเขียนจนกว่าจะถึงที่สิ้นสุดของชีวิต “อย่าได้ละทิ้งเสียกลางคัน” พวกนั้นย้ำเรื่องนี้เสมอ

นั่นเป็นห้วงเวลาที่ผลงานของเขาถูกหลงลืมอยู่นานถึงห้าเดือนเต็ม ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ เขายังคงก้มหน้าก้มตาเขียน แม้จะต้องส่งต้นฉบับไปด้วยความรู้สึกว้าเหว่สิ้นหวังก็ตาม ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาเคยตกอยู่ในอารมณ์ท้อแท้ ก่อนจะได้รับผลแห่งความสำเร็จตามสมควรอย่างที่เป็นอยู่

ในความดูดดื่มซาบซึ้งใจกับความสำเร็จและความเมามาย ความเงียบสงัดและเรื่องราวในห้วงคิด เขานึกถึงชายหนุ่มผู้เป็นนักเขียนรุ่นน้องคนหนึ่ง ใช้นามปากกาพิลึก ๆ ว่า “ปากกาหัก” พวกเขารู้จักกันในเว็บบอร์ดวรรณกรรม มาเจอตัวจริงกันตอนที่ปากกาหักประสบอุบัติเหตุ ขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเฉี่ยวชนกับรถโดยสารประจำทาง เขาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลทันทีที่รู้ข่าว ภายหลังเมื่อปากกาหักกลับมานอนรักษาตัวอยู่ในบ้านเช่า พวกเขาทั้งสองคนก็มักจะนัดชนแก้วเบียร์กันบ่อย ๆ พร้อมกับพูดคุยกันถึงเรื่องงานเขียน เรื่องหนังสือ และเรื่องชีวิตของศิลปิน นักเขียนหนุ่มอายุน้อยกว่าเขามาก แต่มีลูกเมียแล้ว จึงพอสนทนากันรู้เรื่องอยู่หลายส่วน

ปากกาหักเปิดเผยกับเขาว่าได้เขียนเรื่องสั้นสะสมไว้เป็นจำนวนมาก เขียนออกมาด้วยไฟวรรณกรรมที่ลุกโชนท่วมท้นใจ ต้นฉบับเรื่องสั้นดี ๆ อยู่ในมือไม่น้อยกว่าสามสิบเรื่อง แต่ปากกาหักไม่อยากส่งไปที่ไหน ปากกาหักเพียงแค่อยากเขียนเท่านั้น ช่างเป็นการสร้างงานเยี่ยงศิลปินโดยแท้

เขามาคิดดูว่า ถ้าตัวเองทำใจได้แบบนักเขียนรุ่นน้องก็น่าจะดีไม่น้อย เขาคงไม่ต้องถูกกระแนะกระแหนจากนักเขียนลึกลับพวกนั้น ใช่ ถ้าเพียงแต่เขาเขียนและเก็บผลงานไว้ชื่นชมตามลำพัง อารมณ์ปีติยามได้อ่านต้นฉบับจะเป็นรางวัลสำหรับเขาโดยไม่ต้องมีใครรับรู้ แต่ให้ตายเถอะ เขาก็ต้องกินต้องใช้ โฉนดที่ดินในอำเภอสวนผึ้งวิ่งพล่านอยู่ในจินตนาการ เหล้ายาปลาปิ้งก็ต้องยัดใส่ปากเพื่อกล่อมอารมณ์ให้ฟุ้งฝันอยู่ทุกวี่วัน แล้วจะให้เขาดองต้นฉบับเรื่องสั้นไว้ในลิ้นชักอย่างนั้นหรือ เขายอมรับว่าทำไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากจะลดแรงกดดันลงบ้างเพื่อมิตรภาพ

เพราะเหตุนี้ใช่ไหม หลายต่อหลายครั้งเขาจึงต้องส่งผลงานสั่ว ๆ ไปให้บรรณาธิการแทนงานดี ๆ ที่มีอยู่ล้นแฟ้ม เพื่อที่นักเขียนหลาย ๆ คนจะมีโอกาสได้ตีพิมพ์บ้างพอเป็นกำลังใจ เขารู้ดี นักเขียนเรื่องสั้นส่วนใหญ่ล้วนต้องการประกาศให้โลกรับรู้ว่า “กูยังไม่ตาย กูยังเขียนเรื่องสั้นอยู่โว้ย”

เขายินยอมปิดทองหลังพระด้วยความอิ่มใจ แต่เมียรักกลับบอกว่า เขายกเอาเหตุผลระยำมาอ้างเพื่อเข้าข้างความล้มเหลวของตัวเองมากกว่า มันอาจมีส่วนเป็นจริงอยู่บ้างก็ได้ เขายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องแนวคำสารภาพที่เขาจะต้องตีแผ่ความเป็นจริงอย่างถึงแก่น เขาออกจะเบื่อพวกนักเขียนที่เข็นหนังสือแนวคำสารภาพออกมา และแต่งเรื่องอย่างเสแสร้งเกินไป ฟูมฟายในความผิดบาปของตนเกินไป ซึ่งเขาขอไม่เอ่ยนาม ตราบใดที่นักเขียนคนดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่

อา…เขากำลังเมา เขากำลังดื่ม เขากำลังฝัน และเผลอจุดบุหรี่สูบในห้องนอนอีกแล้ว ได้ยินเสียงคนบนเตียงบ่นงึมงำเหมือนยายแก่ก่อนจะผล็อยหลับไปอีก เธอคงชินชากับนิสัยไม่ดีของเขา หรือทำใจได้แล้วว่ามีผัวเป็นศิลปินก็ยังงี้ เขายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ดื่มเสร็จก็หัวเราะให้กับความคิดอันสัตย์ซื่อของตัวเอง (ฮา)

เขาไม่รู้หรอกว่าเบียร์กำลังกินเขาอยู่ เขาเมาอย่างวายร้ายในคืนนี้ เบียร์หมดไปแล้วเจ็ดขวด นักเขียนแถวหลังมีอาการใจหายเล็กน้อย ครั้นนึกได้ว่าเบียร์ยังเหลืออีกสามขวดก็ใจชื้นขึ้นมา

“ถ้าแกมีความสามารถในการเขียนพอ ๆ กับการซดเบียร์ก็น่าจะดีไม่น้อย แกคงเขียนได้อย่างขยันขันแข็ง เขียนได้อย่างหามรุ่งหามค่ำเลยทีเดียว” เขาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล

เขาเชื่อว่านักเขียนล้วนต้องการความขยันเหมือน ๆ กัน น่าเศร้าที่คนเกียจคร้านบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักเขียน พวกนี้ละทิ้งเมื่อหนทางสู่ความสำเร็จอยู่ไกลเกินไป และโยนขี้ใส่เขาด้วยข้อหาว่าแย่งพื้นที่อวดผลงานมากจนน่าเกลียด ทั้ง ๆ ที่เขาก็เป็นนักเขียนประเภทสันหลังยาวเหมือนกัน เพียงแต่ออกจะมีพรสรรค์อยู่สักหน่อย (ฮา) เขาอดคิดไม่ได้ว่า บางครั้งคนเราก็ชอบเหยียบหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูสูงเด่นกว่า เหยียบนักเขียนแถวหลังอย่างเขา เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นนักเขียนแถวกลางและแถวหน้าในที่สุด

ตอนนี้เขาเมามากจนกระทั่งจุดบุหรี่สูบโดยไม่แยแสใครอีกแล้ว เบียร์สามขวดที่เหลือถูกเปิดรวดเดียวจนหมด เขาจัดการยกดื่มสลับกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาดื่มด้วยหัวใจอันเศร้าสร้อย น้ำตาไหลออกมานองใบหน้าด้วยแรงสะเทือนใจ

ใครจะรู้บ้างว่าเขาก็อยากเป็นที่รักของเพื่อน ๆ ในวงการเหมือนกัน ยามเดินเข้าไปในงานเปิดตัวหนังสือหรืองานอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับวรรณกรรม ซึ่งเขามักเจียดเวลาไปร่วมงานชนิดไม่เคยขาดราวกับว่ามันเป็นหน้าที่ เขาฝันว่าจะมีเพื่อนนักเขียนแถวหลังด้วยกันเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม เขาอยากเลี้ยงเหล้าพวกปลายแถวเพื่อกินกันให้สนุก แทนที่จะนั่งดื่มตามลำพังด้วยความรู้สึกเดียวดายอย่างที่เป็นอยู่

แต่ถ้าจะให้เขาอ่อนข้อในสงครามการแข่งขันบนหน้านิตยสาร ด้วยการส่งเรื่องสั้นอ่อน ๆ ไปเสียทุกเรื่อง เขาทำไม่ได้แน่นอน เวลาเขาเขียนด้วยหัวใจ มันก็มักจะได้ผลงานดี ๆ ออกมาเสมอ ผลก็คือเรื่องสั้นของเขาถูกตีพิมพ์มากเสียจนใครต่อใครพากันเขม่นอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ เขาอยากจะถามว่า ขอผมแค่ปีละยี่สิบห้าเรื่องเท่านั้นไม่ได้หรือ ผมนักเขียนอิสระไม่มีเงินเดือนนะเว้ย แล้วก็ไม่ได้เป็นนักเขียนนิยายขายดีเหมือนเมียรักเสียด้วย น่าแปลกที่เธอไม่ถูกใครต่อว่า อาจเป็นด้วยเธอมีนิสัยอ่อนโยนกับเพื่อน ๆ ในวงการ จึงไม่มีใครอิจฉาริษยา แต่หันมาจ้องจับผิดและใส่ร้ายผู้มีความสามารถอย่างเขาแทน

ใกล้รุ่งแล้ว อากาศเหน็บหนาว น้ำค้างพร่างพรม มีเสียงหยดน้ำร่วงหล่นดังเปาะแปะตรงกันสาด เขาเหม่อลอยอยู่นานด้วยสายตาเซื่องซึม ร่างส่ายโงกเงกจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เขายกขวดดื่มเบียร์หยดสุดท้าย แล้วล้มตัวลงนอนร่ำไห้กับพรมเช็ดเท้าปลายเตียง

.

สายมากแล้ว นักเขียนแถวหลังไม่แน่ใจว่าเขาตกใจตื่นขึ้นเพราะเสียงตวาดของเมีย หรือเป็นเพราะแอลกอฮอลในเบียร์ได้ระเหยออกไปตามผิวหนังจนหมดสิ้นแล้วกันแน่

ขณะที่เขากำลังขยี้ตาอยู่นั่นเอง เมียรักกำลังนั่งตีหน้ายักษ์อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์พอดี ดูเหมือนกำลังเตรียมตัวจะเขียนนวนิยาย

“ไปอาบน้ำล้างหน้าได้แล้วไป๊” เธอหันมาตวาดด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“เบียร์หายไปไหน เบียร์พี่หายไปไหนหมด มันยังเหลืออีกตั้งสามขวดนี่นา พี่จำได้” เขาเหลียวมองหาเครื่องดื่มของโปรด รู้สึกมึนหัวเต็มที และอยากจะถอนสักหน่อย

“งั้นก็ไปตายซะ นี่ใจคอพี่จะเมาอย่างเดียวเลยเรอะ ดูนาฬิกาซิ มันเกือบจะเที่ยงวันเข้าไปแล้ว ปีนี้ทั้งปีพี่ยังไม่มีผลงานตีพิมพ์เลยนะ ตั้งใจเขียนหน่อย หรือคิดแต่จะเอาเงินที่แม่พี่โอนมาให้ยัดลงขวดเบียร์จนหมดรึไง โธ่ แล้วแค่นจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน”

เขาทำเป็นตีหน้าเศร้าโดยไม่เถียง น้ำกำลังเชี่ยวอย่างนี้เขาขี้เกียจเอาเรือเข้าขวาง เขารู้ทิศทางลมดี จึงรีบแอบย่องออกจากบ้านมาโดยไม่ยอมล้างหน้าให้เสียเวลา

.

แดดเที่ยงวันร้อนแรงเหลือเกิน เขาเดินน้ำตาซึมไปตลอดทาง คำพูดของเมียรักเริ่มเข้าหูซ้ายจนทะลุหูขวา แม้จะช้าไปสักหน่อย แต่เริ่มทำให้เขาได้คิด พอถึงหน้าร้านค้าขาประจำเขาก็พยายามฝืนยิ้มให้คนขาย

“เฮียเล็ก ขอเบียร์หกขวด ติดไว้ก่อนนะ เอาแก้วมาด้วย เดี๋ยวนั่งดวดมันตรงนี้แหละ จะบิลด์อารมณ์เขียนหนังสือซะหน่อย”

เขาอยากเมาและฝันต่อเนื่องจากเมื่อคืนนี้อีกครั้ง.


หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์   เดือนกันยายน   พ.ศ. 2552