กินแล้วไม่อ้วน ทำยังไงดี?

กินแล้วไม่อ้วน ทำยังไงดี?

หลายคนมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ไม่ใช่น้ำหนักตัวมากเกินไป แต่เป็นปัญหาน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ แม้จะกินมากแล้วแต่น้ำหนักไม่ยอมขึ้นเสียที การกินแล้วน้ำหนักไม่เพิ่มนั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี การเผาผลาญพลังงานที่มากเกินไป โรคเมตาบอลิกซ์และปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้นหากคุณกินแล้วไม่น้ำหนักไม่เพิ่ม มีสภาพผอมแห้ง สูญเสียมูลกล้ามเนื้อ อาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการดูแลสุขภาพของคุณโดยรวม

อย่างไรก็ตาม การกินอาหารปริมาณมาก ๆ แล้วไม่อ้วนหรือน้ำหนักตัวไม่ขึ้นนั้น อาจเกิดจากปัญหาด้านสุขภาพก็เป็นไปได้เหมือนกัน โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้

  1. ขาดสารอาหาร
    • การขาดสารอาหารสามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติในร่างกายได้หลายอย่าง ซึ่งอาการขึ้นอยู่กับสารอาหารที่ขาดและระยะเวลาที่ขาดสารอาหารนั้น ๆ อาการที่พบบ่อยที่สุดเมื่อขาดสารอาหารมีดังนี้
    • อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หรือไม่มีแรง
    • การเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเจ็บป่วยเป็นประจำ
    • ผิวหนังและเล็บอ่อนแอ เปราะบาง และเป็นโรคผิวหนังต่าง ๆได้ง่าย
    • มีปัญหาทางด้านการเรียนรู้และการทำงาน เช่น สมาธิสั้น จำข้อมูลไม่ได้ หรือลังเลในการทำงาน
    • กลัวเสียงดัง หรือมีอาการวิตกกังวล
    • การสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
    • เป็นลมพิษ หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมน
    • หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาโดยเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
  2. มีพยาธิในร่างกาย
    • พยาธิในร่างกายอาจส่งผลต่อน้ำหนักของบุคคลได้ โดยพยาธิบางชนิดอาจทำให้น้ำหนักลดลงได้ อาการขึ้นอยู่กับพยาธิแต่ละชนิด
    • การลดน้ำหนักเนื่องจากพยาธิในร่างกาย ส่วนใหญ่จะมีอาการเหมือนกับการลดน้ำหนักเนื่องจากสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น ความอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง กินไม่เยอะ อาหารไม่มีรสชาติ หรืออาหารมีรสชาติไม่อร่อย
  3. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
    • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammatory bowel disease) เป็นกลุ่มของโรคทางเดินอาหารที่มีลักษณะการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมาก
    • อาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังจะแตกต่างไปตามระดับความรุนแรงของโรคแต่ละระดับ และอาจมีอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการสำคัญของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังได้แก่ อาการท้องผูกหรือท้องเดิน – เป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืด แน่นท้อง และอุจจาระเลอะเทอะ
    • อาการปวดท้อง – ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้องต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าอาการปวดจะมีความรุนแรงกว่าโรคกระเพาะปัสสาวะเรื้อรัง
    • อาการถ่ายเป็นเลือดหรือมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ – เป็นอาการที่รุนแรงของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหนัก มีไข้ และอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ การใช้ชีวิตทั่วไป
  4. โรคชีแฮน
    • โรคชีแฮน เป็นโรคภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของตนเองในส่วนของต่อมน้ำเหลืองและต่อมน้ำลาย โรคนี้อาจเกิดขึ้นเดี่ยว ๆ หรืออาจประกอบไปด้วยโรคภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดอักเสบ เบาหวาน หรือไทรอยด์
  5. ไทรอยด์เป็นพิษ
    • ไทรอยด์ (Thyroid) เป็นหมู่เซลล์ส่วนหนึ่งของต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในต่อมส่วนใหญ่ในร่างกายของเรา ต่อมไทรอยด์เป็นผู้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ที่จำเป็นสำหรับการควบคุมการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะการควบคุมการเผาผลาญและการใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนไทรอยด์ทำให้เกิดอาการผิดปกติในร่างกายได้
  6. โรคเบาหวาน
    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอาจมีการกล้ามเนื้อลด สูญเสียน้ำหนักตัว เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรัง และมีการสลายกระดูก ซึ่งสามารถทำให้น้ำหนักโดยรวมของร่างกายลดลงได้
  7. วัณโรค
    • วัณโรคเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Mycobacterium tuberculosis ทำให้เกิดการติดเชื้อในปอดและอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการน้ำหนักลดได้ อาการที่พบคือเหนื่อยง่าย และอ่อนเพลีย
  8. โรคมะเร็ง
    • โรคมะเร็งเป็นโรคที่มีอาการหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่ไม่ใช่สาเหตุของการลดน้ำหนักโดยตรง แต่ในบางกรณีอาจมีการลดน้ำหนักอันเป็นผลของโรคมะเร็งได้เหมือนกัน อาการที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้แก่ อาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูกหรือท้องเสีย การมีเซลล์มะเร็งเติบโตและแพร่กระจาย เมื่อเข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น จะทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการลดน้ำหนักได้ และเกิดอาการเหนื่อย เพลียง่าย
ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ

กลับหน้าแรก