อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์
มันคือที่สิ้นสุดของถนนอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากตรากตรำเที่ยวเดินอยู่บนถนนสายนี้มาเป็นเวลานาน ใช่แล้ว นานมากทีเดียว เพื่อจะพบว่าผมไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีกแล้ว ถนนสิ้นสุดลงตรงนี้ ผมเหลียวมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดให้ชื่นชูใจในดินแดนแห่งนี้เลย นอกจากท้องทุ่งสีน้ำตาลแห้งกรอบแล้วก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากดวงอาทิตย์ส่องอยู่เหนือศีรษะ ยากไร้แม้กระทั่งดอกไม้งดงามเป็นบำเหน็จแก่คนเดินทาง ผมคิด ขณะจ้องมองท้องฟ้าสีครามอันใสกระจ่าง เอาเถิด ถึงแม้จะไม่มีถนนให้เดินต่อไป แต่ผมก็จะไม่มีวันยอมแพ้้ เพราะการเดินทางค้นหาสิ่งแปลกใหม่คือยอดปรารถนาของผม อุปสรรคเพียงเท่านี้ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของนักเดินทางที่แท้จริงได้
“ให้ตายเถอะ” ผมหลุดปากออกมา ขณะกำลังจะก้าวเท้าลงไปยังพื้นดินตรงจุดที่ถนนสิ้นสุด ทันใดนั้นปลายเท้าของผมก็เตะเข้ากับก้อนหินที่ผุดขึ้นมาเหมือนอยู่บนเวทีของนักมายากล ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ตัดสินใจยกขาขวาข้ามก้อนหินนั้นหวังแค่จะเดินต่อไปได้ แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด ก้อนหินดังกล่าวดูราวกับมีชีวิตจิตใจ มันงอกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับสะโพกและขยายตัวตามแนวนอนขนานกับผืนดินออกไปอีกหลายเมตร ทำให้เมื่อมองดูแล้วมีสภาพเหมือนกำแพง เป็นกำแพงที่ทำจากหินก้อนโต ผมยอมรับว่ารู้สึกงงงัน ตั้งแต่จำความได้ก็ยังไม่เคยพบเห็นเรื่องราวประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ผมพยายามปีนข้ามกำแพงนั้น ทว่ามันขยับหนีขึ้นสูงจนเกินเอื้อม ครั้นลองกระโดดจับขอบกำแพงอีกหลายครั้ง นั่นก็ยิ่งทำให้ก้อนหินงอกออกไปอีก เป็นอันว่าหมดหนทางจริง ๆ แต่แล้วผมก็คิดอุบายบางอย่างได้ ช่วงเวลานั้นเองที่ผมแกล้งทำทีเป็นว่าจะเดินถอยหลัง ก่อนตัดสินใจรีบวิ่งไปทางซ้ายมือตรงจุดที่ผมได้หมายตาเอาไว้แล้ว มันเป็นบริเวณที่ยังไม่มีกำแพงกีดขวาง ถ้าผมกระโจนผ่านไปได้ ถ้าเพียงแต่ผมรวดเร็วพอ การเดินทางต่อไปก็ยังมีหวัง ทว่าผมคิดผิดถนัด ก้อนหินมีชีวิตได้ขยายออกไปทางซ้ายดักหน้าผมเอาไว้ทันควัน ครั้นวิ่งย้อนกลับมาทางด้านขวา กำแพงประหลาดก็งอกยืดยาวราวกับถูกเสกด้วยเวทมนตร์ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกโกรธจนแทบคลั่ง ตัดสินใจวิ่งตะบึงต่อไปอีกราวกับคนบ้า อยากรู้นักว่ามันจะเอาชนะผมได้จริงหรือไม่ ในใจแอบหวังว่ามันจะขยายตัวไม่ทันฝีเท้าอันปราดเปรียวของผม แต่ยิ่งวิ่งห่างจากถนนออกไปเท่าไร กำแพงหินก็ยิ่งขยายตัวแซงหน้าผมไปอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายหมดเรี่ยวแรงเสียเอง จนต้องทรุดร่างนั่งลงเหยียดยาวเยี่ยงผู้แพ้ ผมล้วงเอากระติกน้ำในเป้หลังออกมาดื่ม สลับกับราดรดลงบนใบหน้าเพื่อดับร้อน แน่นอน ผมต้องการความสดชื่น หวังรวบรวมพลังทั้งหมดให้มารวมกันอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง เพื่ออะไรอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะผมคิดจะลองวิ่งดูอีกสักครั้ง ไม่มีทางที่คนอย่างผมจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ หยุดเพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งชีวิตเฝ้ามองกำแพงหินอัปลักษณ์ตลอดไป แม้ว่าขณะนี้มันจะตั้งตระหง่านขวางหน้าไว้ก็ตาม ด้านไกลสุดนั้นมองเห็นปลายกำแพงเป็นสีน้ำเงินอ่อนจางจนแทบจะกลืนหายไปในอากาศเลยทีเดียว
“ถ้าวิ่งได้เร็วกว่าการขยายตัวของมัน เราก็น่าจะผ่านไปได้” ผมพูดเสียงดังเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง
ยังไม่ทันหายเหนื่อยดีก็เกิดเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อแลเห็นร่างของชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนน พอเข้ามาใกล้ก็เห็นได้ว่าเขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่ร่างเล็กบอบบางกว่ามาก เขาเดินเซไปเซมาคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง สวมเสื้อทอจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีคราม มีหมวกปีกกว้างสีฟางข้าวบังแดด พร้อมด้วยสัมภาระสะพายบ่าดูพะรุงพะรัง
“ไม่มีทางไปต่อแล้วหรือครับ” เสียงของเขาค่อนข้างเบาคล้ายคนป่วย ทั้งยังมีสำเนียงผิดหวังเจืออยู่จาง ๆ ผมพยักหน้า เข้าใจความรู้สึกของชายคนนี้เป็นอย่างดี เขามองไปรอบตัวแล้วถามว่าด้านหลังกำแพงคืออะไร
ผมไม่ตอบแต่ลุกขึ้นยืน ใช้มือปัดฝุ่นที่ก้นกางเกงไปมาราวกับต้องการถ่วงเวลา ความจริงผมแค่กำลังตรึกตรองอยู่เท่านั้นเอง ว่าควรเปิดเผยเรื่องราวแก่ชายแปลกหน้าอย่างไรดีจึงจะไม่ทำให้เขาเสียใจ ผมพาเขาเดินไปทางด้านซ้ายของกำแพงหินซึ่งงอกเลยขอบถนนไม่มากนัก ต่างจากด้านขวาที่งอกยาวจนไกลลิบลับ และเพียงแค่ชายคนนั้นทำท่าชะโงกหน้าออกไปมองทางด้านหลังกำแพง ก้อนหินก็งอกออกมาบังสายตาของเขาเอาไว้ทันที ผมหัวเราะ ตบไหล่เขา และพาเดินต่อไปอีก เพื่อให้เขาได้เห็นเรื่องประหลาดด้วยตัวเองอีกครั้ง
“เป็นไปได้ยังไง” เขาถามพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนคนเซ่อซ่า ทันทีที่เห็นว่ากำแพงหินได้ขยายตัวมาขวางไว้อย่างรวดเร็วเช่นคราวแรก
“เสียใจด้วย คุณคงจะไม่มีวันเอาชนะกำแพงหินนี้ ถ้าไม่เชื่อจะลองทดสอบดูอีกก็ได้นะ เรามีเวลาเหลือเฟือสำหรับเรื่องนี้ผมยังว่าจะลองอยู่เหมือนกัน ถูกต้อง ผมเองก็เคยแพ้มันมาแล้ว”
เขาปลดสัมภาระทั้งหมดลงกองไว้กับพื้น จากนั้นเดินไปที่จุดสิ้นสุดของกำแพงฝั่งซ้าย แน่นอน ไอ้กำแพงหินนี่ต้องไม่ยอมอยู่เฉย ทุกก้าวที่เขาเดินขนานไปตามแนวกำแพง มันจะแผ่ขยายตามไปด้วย ภาพที่เห็นทำให้ผมรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนมองดูตัวเองทำเรื่องบ้าบอเมื่อก่อนหน้านี้ ผมเห็นเขาเริ่มออกวิ่งอย่างตั้งใจ ถ้าเร็วกว่าก็พอมีสิทธิ์กระโดดตัดหน้าข้ามไปทางด้านหลังกำแพง เขาวิ่งไกลออกไปจนแลเห็นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ก่อนที่จุดเล็ก ๆ นั้นจะหยุดนิ่ง สักพักหนึ่งจุดที่ว่านี้ก็ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อเขาเดินคอตกกลับมา ร่างของเขาสั่นสะท้านเหมือนลูกแมวหลงทางที่เปียกฝน ตอนนั้นผมกำลังง่วนอยู่กับการก่อไฟย่างเนื้อเค็ม ภายในใจนึกขยาดการออกวิ่งอีกครั้งตามที่เคยพูดไว้ มันน่าจะเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ใช่ เสียแรงเปล่า การวิ่งของชายหนุ่มผู้มาทีหลังพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี พวกเราควรเก็บพลังงานไว้ทำอย่างอื่นจะเหมาะกว่า ผมคิด
ด้วยความเห็นใจ ผมจึงออกปากชวนเขากินเนื้อเค็มย่างด้วยกัน แต่เขาส่ายหน้า ดวงตาฉายแววเศร้า ค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงพิงกำแพงหินแบบคนทอดอาลัย โชคดีที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางด้านหลังกำแพงแล้ว ทำให้เกิดร่มเงาพอได้อาศัย ไม่ถึงกับโดนแดดเผาเกรียมไปเสียก่อน
“กูมาถึงที่นี่ได้ยังไงโว้ย” จู่ ๆ ชายแปลกหน้าก็แหกปากออกมาเสียงดังจนผมถึงกับสะดุ้งเฮือก ไม้เสียบเนื้อย่างเกือบร่วงหลุดจากมือ ดวงตาของเขาขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต ผมหันไปหยิบกระติกน้ำเปิดฝายื่นให้ ฝ่ายนั้นกระชากไปเทกรอกปากเสียงดังอัก ๆ จนเกลี้ยง ก่อนจะขว้างกระติกทิ้งเป็นการระบายอารมณ์ ผมนึกเคืองแต่พยายามสงบใจไว้ ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าผมจะลุกขึ้นด่าหรือตรงไปกระทืบเขาสักทีสองทีก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด แต่ให้ตายเถอะ ผมเริ่มนึกถึงปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้ ดูท่าแล้วแถวนี้น่าจะหาตาน้ำยากเสียด้วย มันแห้งเสียจนแทบจะได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้าไหม้เกรียมเลยทีเดียว ท่ามกลางเปลวแดดเหลืองทองที่เต้นไหวระริก ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจเป็นปากทางไปสู่นรกอเวจี มันถึงได้ร้อนบรรลัยวายป่วงเสียขนาดนี้
ผมลองยื่นเนื้อเค็มย่างให้ชายแปลกหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขาคว้าไปเคี้ยวกินอย่างตะกรุมตะกราม สักพักหนึ่งเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วลุกพรวดพราดไปหิ้วกระเป๋าสัมภาระมาวางลงตรงหน้าผม เขาเปิดมันออกด้วยความรีบร้อน ผมชำเลืองดูเห็นมีของกินของใช้หลายอย่างด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นก้อนขนมปังกับกระติกน้ำนั่นเอง มันทำจากน้ำเต้าใบโต
“ขอโทษด้วยที่กินน้ำของคุณจนเกลี้ยง” เขาพูดพลางฉีกขนมปังก้อนใหญ่ส่งให้ “ถ้าคุณหิวน้ำก็กินของผมได้เลยนะ ผมจะแขวนน้ำเต้าไว้ที่แง่หินบนกำแพงนี่”
สุดถนน…สถานที่ซึ่งมีแต่ความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวัง ได้ทำให้เขากับผมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ชีวิตของพวกเรากำลังจนตรอก เป็นตรอกตันไร้หนทางไปต่อ ผมบอกกับตัวเองอยู่ในใจ
“อย่างที่เห็น เราไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อีก คุณคิดว่าเราควรทำยังไงดีล่ะ” ผมถามเขาตรง ๆ ถึงเวลานี้แล้ว เขาก็น่าจะยอมรับความจริงได้ เขาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย พูดเป็นทำนองว่า เขาจะไม่มีวันเดินย้อนกลับไปทางเก่าอย่างเด็ดขาด
“ให้ผมตายตรงนี้ยังดีเสียกว่าย้อนกลับไปยังที่ซึ่งผมจากมา ในเมื่อไม่มีสิ่งใหม่ให้หวังอีกแล้ว ผมก็จะนั่งนอนอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนอีก พอกันที ผมขอประกาศแทนมนุษย์ทุกคนที่หลงเดินทางมาถึงที่นี่ มันบ้าบอคอแตกชัด ๆ”
ผมเศร้าจนบอกไม่ถูก เรื่องที่ได้ยินนี้คือความจริงอันปฏิเสธไม่ได้ แต่ผมก็ยังพูดเสียงดังแถมแสดงอาการไม่ยี่หระ
“ใช่แล้วสหาย การเดินทางจบสิ้นลง และการอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ผมเองคิดไม่ต่างจากคุณ คงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเดินย้อนกลับไปบนถนนสายเก่า ผมผ่านเรื่องราวมามากมาย ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ผมตื่นเต้นอีก แค่คิดว่าจะต้องอยู่ที่นี่ผมก็ชักสนุกซะแล้วสิ ผมพอรู้วิธีสร้างที่พักด้วยต้นหญ้าอยู่บ้าง ไม่ถึงกับชำนาญนัก แต่น่าจะพออยู่ได้ บางทีผมอาจจะสร้างกระท่อมตรงปลายกำแพงไกลลิบ ๆ โน่น” พูดออกไปแล้ว ผมก็สงสัยว่า เวลาที่มีอย่างเหลือเฟือในดินแดนสุดถนนแห่งนี้ ผมจะใช้มันศึกษาอะไรดีหนอ คงไม่มีอะไรให้ทำความรู้จักนอกจากกำแพงหินประหลาดนั่น อีกหน่อยผมอาจจะเข้าใจทุกแง่ทุกมุมของมัน
“คุณชอบทำเลที่ผมว่าหรือเปล่า” มันเป็นเนินดินสูงกว่าจุดอื่น ๆ เขาพยักหน้า แต่บอกว่าจะนอนในเต็นท์ผ้าใบที่นำติดตัวมาด้วย เขาอ้างความเคยชินจากการนอนแบบนี้มาชั่วชีวิต บางทีเขาอาจเป็นคนจำพวกที่ไม่ชอบลงหลักปักฐานก็เป็นได้
ยังไม่ทันที่เราสองคนจะพูดกันต่อถึงเรื่องที่พัก ผมก็เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางที่เรานั่งพักอยู่ น่าจะเป็นรถม้า ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นเพียงภาพลวงตาของคนสิ้นหวังเท่านั้น สักพักต่อมาถึงได้รู้ว่ามันเป็นรถม้าจริง ๆ รูปทรงเหมือนกับที่เคยนิยมใช้กันเมื่อสองศตวรรษก่อน
“อยากรู้นัก พวกที่มาใหม่จะทำหน้าตายังไง คงคิดว่าผีหลอก”
เพื่อนใหม่พูดพึมพำ ส่วนผมนั่งนิ่ง สายตาจ้องมองรถม้าที่ห้อใกล้เข้ามาทุกที สุดท้ายคนถือสายบังเหียนก็บังคับให้ม้าสองตัวหยุดลงไม่ห่างจากกำแพงหินมากนัก ผู้มาใหม่เป็นชายวัยกลางคน ตัดผมสั้นคล้ายทหาร มองเห็นผมหงอกแซมได้ชัดเจน แต่หนวดเคราสั้นแข็งของเขาดกดำ อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวไว้ผมยาวสลวยสีน้ำตาล ทั้งสองนั่งคู่กันมาทางตอนหน้าของรถม้า ฝ่ายชายกระโดดลงก่อนด้วยความว่องไวผิดอายุ ขณะที่ฝ่ายหญิงปีนลงมาอย่างงุ่มง่ามเพราะสวมกระโปรงสีเนื้อยาวกรอมเท้า
“พระเจ้าช่วย” ชายกลางคนร้องขึ้นอย่างผิดหวัง “ถนนมาสิ้นสุดลงที่นี่งั้นเรอะ” เขาหันมาโบกมือให้ผมในตอนหลัง ดูออกว่าพยายามจะผูกมิตร แววตาของเขาไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยม ผมจึงเชื้อเชิญให้เขากับหญิงสาวนั่งลงกินเนื้อเค็มย่างด้วยกัน
ผู้มาใหม่กล่าวขอบคุณพลางปฏิเสธว่ายังไม่หิว ฝ่ายชายทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นถนนเหมือนวัวล้ม จากนั้นจ้องมองกำแพงหินอย่างไม่เชื่อสายตา ฝ่ายผู้หญิงซึ่งดูจากท่าทางน่าจะเป็นเมียของเขากลับไม่ยอมนั่ง เอาแต่ยืนหมุนไปหมุนมาคล้ายกำลังสำรวจภูมิประเทศ กิริยาของเธอช่างร่าเริง ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความสุขที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก นานมาแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย
“บอกหน่อยได้ไหม ที่นี่มันนรกขุมไหนกันแน่”
“พวกเรา…” ผมชำเลืองมองชายที่นั่งพิงกำแพงแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เดินทางมาตามถนนสายนี้ แล้วก็อย่างที่เห็น เราไปต่อไม่ได้”
“ไม่ปีนข้ามกำแพงไปล่ะ ดูท่าจะไม่ยากเย็นอะไรนัก สูงราวสามเมตรเท่านั้น แต่แย่จังถ้าต้องปีนข้าม สงสัยว่าคงต้องทิ้งรถกับม้าสองตัวไว้ที่นี่เสียแล้ว”
“คุณลองปีนดูก็ได้นะ ถ้าไม่กลัวว่าจะเหนื่อยเปล่า” ผมบอกด้วยความหวังดี อดขำอยู่ในใจไม่ได้เมื่อนึกถึงสีหน้าของเขาในอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ ชายกลางคนร้องสั่งหญิงสาวให้ไปหยิบตะขอเหล็กพร้อมเชือกมาด้วย เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน จัดแจงผูกเชือกมะนิลาขดใหญ่เข้ากับตะขอใหญ่นั่น เพื่อเหวี่ยงให้เกี่ยวกับแง่หินด้านหลังกำแพง ดูเขาจะประหลาดใจมากกว่าผมหรือชายอีกคนเสียอีก ทันทีที่เห็นว่าตะขอกระแทกเข้ากับกำแพงหินซึ่งแผ่ออกมากั้นไว้อย่างรวดเร็ว เขาลองอีกสองสามครั้ง ผลที่ออกมาไม่เปลี่ยนแปลง ในที่สุดเขาก็โยนตะขอไร้ประโยชน์ทิ้งด้วยความโมโห ก่อนจะหันมาจ้องมองผมอย่างคาดคั้นขอคำตอบ
ผมเล่าเรื่องที่ได้ประสบมาก่อนหน้านี้โดยละเอียด ชายกลางคนเอาฝ่ามือหยาบหนาลูบใบหน้าและเคราดำแข็งด้วยอาการสิ้นหวัง ผมลอบชำเลืองไปทางหญิงสาว เธอทำหน้าซีดเซียวเมื่อรู้ความจริง แม้กระนั้นก็ยังชวนให้มองอยู่ดี รูปร่างของเธออวบอิ่มไม่ต่างไปจากผู้หญิงในยุคฟื้นฟูวิทยาการ ผมคิดว่าถ้าเธอมีโอกาสได้เป็นแม่ เธอน่าจะเป็นแม่ผู้แสนดี น่าเสียดายเหลือเกิน เธอมีเจ้าของเสียแล้ว
“พวกคุณจะไม่ย้อนกลับไปทางเก่าใช่ไหม แต่จะปักหลักกันอยู่ที่นี่ตลอดไป ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า” ชายกลางคนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง และโดยไม่รอฟังคำตอบ เขาก็กล่าวต่อไปว่า “เอาละ ผมคงถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับพวกคุณ เราไม่รู้จะย้อนกลับไปทำไมเหมือนกัน ในรถม้าของผมมีเมล็ดพันธุ์พืชผักติดมาด้วย มีไก่มีนกอยู่ในกรงหลายตัว ถ้าเลี้ยงดี ๆ มันจะแพร่พันธุ์เต็มท้องทุ่งแห่งนี้ หรือว่าไงจ๊ะลูกพ่อ” ประโยคท้ายเขาหันไปถามหญิงสาว ซึ่งได้แต่ส่งเสียงเบา ๆ ออกมาเป็นทำนองว่าแล้วแต่บิดาจะตัดสินใจ
ความจริงที่เพิ่งรู้ทำให้ผมยินดีมาก หูของผมเริ่มแว่วเสียงเด็กน้อยรอบ ๆ ตัว จากหนึ่งเสียงกลายเป็นเสียงเด็กทั้งโขยงกำลังเที่ยววิ่งเล่นซุกซนอยู่กลางท้องทุ่ง ผมอมยิ้มพลางจ้องดูหญิงสาว บอกกับตัวเองอย่างขบขันว่า พิษแดดคงทำให้ผมเพ้อไปแล้วกระมัง
ในเวลาต่อมา พวกเราช่วยกันลำเลียงสัมภาระของสองพ่อลูกลงจากรถม้า ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเรือนจำพวกโต๊ะ เก้าอี้ และหีบเสื้อผ้า นอกนั้นก็เป็นกล่องใส่อาหารแห้ง ตะเกียง ถังน้ำมันก๊าด กรงขังสัตว์ปีก เมื่อยกข้าวของลงหมดแล้ว หญิงสาวได้นำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ มันคืออาหารมื้อกลางวัน เธอบอกว่าเผื่อใครหิวจะได้หยิบกินตามสบาย เนื่องจากกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำก็อีกนานโข ดูเหมือนทุกคนพยายามมีน้ำใจต่อกัน นี่คือความคิดที่ถูกต้อง ในเมื่อได้ตกลงร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว
ครั้นไม่มีอะไรให้ทำอีก ประกอบกับแสงแดดที่อ่อนแสงลง ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ผมจึงปลีกตัวมานั่งเขียนบันทึกการเดินทาง แม้ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะเขียนไปทำไมหรือเขียนให้ใครอ่าน มันอาจเป็นเพียงความเคยชินก็เป็นได้ เมื่อเขียนเสร็จ ขณะกำลังจะเดินไปหาหญิงสาวผู้งดงามที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ผมก็ต้องชะงักเมื่อมองไปที่ถนนยาวสุดสายตาโดยไม่ตั้งใจ ใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่อีกแล้ว ถ้าผู้มาใหม่เป็นชาย ผมก็จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง ผมรู้สึกไม่ชอบใจนัก
ผู้มาถึงคนล่าสุดเป็นเพียงเด็กหนุ่ม คะเนดูอายุแล้วน่าจะอ่อนกว่าผมประมาณห้าปี แววตาของเขาสุกใส คิ้วดกดำหนาเป็นปื้น จมูกโด่ง ใบหน้ายาวดูหล่อเหลาและฉลาด ข้อด้อยของเขาคือตัวเตี้ยกว่าผมราวสี่นิ้วเห็นจะได้
“ขอโทษครับ ถนนมาสิ้นสุดตรงนี้ใช่ไหม” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม เป้หลังของเขาดูหนักอึ้ง เมื่อได้ยินคำตอบจากผมกับชายกลางคนซึ่งแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน เด็กหนุ่มก็ทำท่าคล้ายจะแบกเป้ต่อไปไม่ไหว ขาแข้งอ่อนเปลี้ยเหมือนจะล้มลงเสียตรงนั้น
“ทำไมผมถึงเลือกมาทางสายนี้…ผมมาถึงที่นี่ได้อย่างไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ และพยายามกลั้นสะอื้น หญิงสาวยื่นถ้วยน้ำให้ เด็กหนุ่มรับไปถือไว้แต่ไม่ยอมดื่ม เขามองดูผมและคนที่นี่สลับกับกำแพงหินเป็นเวลานาน แล้วถามขึ้นว่า ทำไมพวกผมถึงไม่ปีนข้ามกำแพงเพื่อเดินทางต่อไป ผมอธิบายตามความเป็นจริง เสียเวลาเปล่าที่จะให้กำลังใจกันด้วยเรื่องราวโกหกมดเท็จ เขาถามย้ำแล้วย้ำอีกว่า พวกเราได้พยายามจนถึงที่สุดแล้วหรือ
“ไม่มีใครข้ามกำแพงหินที่เห็นนี้ไปได้แม้สักคนเดียว พวกเราทุกคนลองดูแล้ว มันเป็นที่สิ้นสุดของถนนสายนี้ ไอ้น้องชาย จงทำใจซะ แล้วมาช่วยกันตั้งถิ่นฐานกันเถอะ” ผมตบไหล่เด็กหนุ่มเป็นการปลอบใจ จากนั้นชี้ให้ดูทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ “ในเมื่อกำแพงหินมันไม่ยอมให้ใครข้ามไป พวกเราก็ควรจะปักหลักอยู่กันที่นี่ ร่วมแรงร่วมใจพัฒนาให้กลายเป็นเมือง ป่วยการคิดถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อยู่ไกลเกินไปสำหรับมนุษย์”
เด็กหนุ่มจิบน้ำจากถ้วยด้วยท่าทางครุ่นคิด สักพักหนึ่งก็ส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “ไม่ครับ ผมจะไม่หยุดอยู่ที่นี่ แม้ถนนสายนี้ได้สิ้นสุดลง จนไม่มีหนทางให้ก้าวต่อไปอีก แต่ผมก็จะไม่ยอมล้มเลิกการเดินทางอย่างเด็ดขาด”
“หมายความว่า…” ผมพูดไม่ออก รู้สึกทึ่งในความเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่ม พลางนึกละอายแก่ใจในความไม่มั่นคงต่อเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
“ครับ ผมจะเดินย้อนกลับไปยังจุดแรกที่ผมเริ่มต้นออกเดินทาง ที่นั่นอาจมีถนนสายอื่นให้ผมเลือกเดินต่อไป แม้ว่ามันจะไกลแสนไกล และอาจต้องใช้เวลาเดินทางทั้งชีวิตก็ตาม”
เด็กหนุ่มส่งถ้วยเปล่าคืนให้หญิงสาว เธอเอื้อมมือไปรับ และทำท่านิ่งอึ้งเช่นเดียวกับทุกคน พอเขาหันหลังให้ ชายกลางคนก็รีบสั่งลูกสาวให้นำนกพิราบใส่กรงมาตัวหนึ่ง
“เจออะไรดี ๆ ก็อย่าลืมส่งข่าวกลับมาด้วยล่ะ ไอ้หนู เผื่อพวกเราจะได้ตามไปบ้าง แต่บอกไว้ก่อนนะ ระหว่างทางอดอยากยังไงก็อย่าเผลอกินมันเข้าเชียว” ชายกลางคนกำชับเสียงดัง
เด็กหนุ่มยิ้มพลางพยักหน้ารับปาก ยิ้มของเขาช่างงดงามและเต็มเปี่ยมด้วยพลังใจ เป็นรอยยิ้มที่ก่อให้เกิดความหวังใหม่ ๆ เขายิ้มให้แก่ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ชายคนแรกที่ผมพบ ซึ่งเวลานี้นั่งกอดเข่าหลับไปแล้ว
“อย่าห่วงเลยครับ ผมรักนกทุกตัวไม่ต่างจากที่ผมรักการเดินทาง” เด็กหนุ่มพูดทิ้งท้าย จากนั้นก้าวเท้าเดินจากไปตามถนนสายเดิม
ผมเฝ้ามองร่างของเขาซึ่งย่ำอยู่บนเส้นทางที่ทอดยาวถึงขอบฟ้า มีเงาดำอันเกิดจากแสงอาทิตย์ยามเย็นดูยืดยาวและไหวไปมาราวกับการร่ายรำของภูติพราย ผมทำได้เพียงแค่เอาใจช่วยเขา แม้เมื่อดวงอาทิตย์จะลับลาโลกไปแล้ว ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า และถนนเหลือเพียงความมืดมิด ผมก็รับรู้ได้ตลอดเวลาว่า เด็กหนุ่มยังคงก้าวเดินต่อไป แต่ละก้าวของเขาคืออนาคตของมนุษย์ ส่วนผมและนักเดินทางทุกคนกำลังเตรียมตัวเข้านอน…ในดินแดนที่ถนนสิ้นสุดลง.
(เรื่องสั้นเรื่องนี้พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารกุลสตรี ปักษ์แรก พฤศจิกายน พ.ศ. 2553)