เรื่องสั้นประจำสัปดาห์
“เจ้าน่าจะรู้ดี…ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
…เสียงลึกลับดังก้องอยู่ในหัวอีกแล้ว มันกำลังพูดถึงความดีงามหรือความเสื่อมทรามของมนุษย์กันแน่วะ การได้ฟังมากรู้มากทำให้แกโสโครกใช่ไหม หลังจากเกิดมาอย่างผู้บริสุทธิ์…
จากทางเท้าแคบ ๆ ริมถนนสายเล็ก เขาก้าวเข้าไปในร้านเหล้าด้วยอาการระแวดระวังราวกับคนมีความผิดติดตัว โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมตรงมุมห้องใกล้ประตูว่างอยู่พอดี มันเก่าคร่ำและทาด้วยชะแล็คสีน้ำตาลเข้ม เก้าอี้หัวโล้นสามตัววางรอบ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งโดยหันหลังให้กับผนังปูนสกปรกซึ่งแต่เดิมคงจะเป็นสีครีมสะอาดเนียนตา ปูนที่ฉาบไว้บนผนังร่อนออกจนเห็นอิฐก่อเป็นบางส่วน
..ช่างหัวมันเถอะ ก็เหมาะเจาะกันดีแล้วนี่ กับเจ้าหน้าที่ธุรการซีสี่อย่างแก ขอให้มันมีเหล้าขายก็พอ ตอนนี้แกอยากล่อเหล้าซักแบนเหลือเกิน แกอยากเทเหล้าผ่านริมฝีปาก ผ่านปลายลิ้น แล้วเลียหยดสุดท้ายของมัน…บ้าชะมัด…ตอนที่แกซัดไอ้ปากหมาตัวนั้นหงายกลิ้งไม่เป็นท่า เหล้าตั้งเกือบกลมบนโต๊ะเสือกตกแตกไปด้วย ไม่งั้นก่อนเผ่นแน่บ แกคงคว้าติดมือมาดับอารมณ์ที่นี่ด้วย สะใจฉิบหาย นานทีปีหนจะได้ตะบันหน้าคนเล่น แต่…
หญิงวัยราวสี่สิบก้าวเนือย ๆ เข้ามาหา หล่อนมีผิวขาวเหลือง ไว้ผมสั้นทรงเด็กมัธยม ร่างเล็กบาง ใบหน้ารูปสามเหลี่ยมและมีแก้มตอบ ทำให้ดูซีดเซียวเหมือนคนอมโรค หล่อนยื่นกระดาษสีเขียวอ่อนเคลือบพลาสติกใสส่งให้โดยไม่พูดจา เขาวางมันลงบนโต๊ะ สายตาเพ่งมองรายการอาหารกับเครื่องดื่ม
“เอาแม่โขงมาแบนนึงแล้วกัน โซดาสอง กับแกล้มขอเป็นยำตะไคร้ปลากะพงทอด ทำรสจัด ๆ หน่อยนะ อ้อ น้ำแข็งถังนึงด้วย”
“คุณไม่ได้หูหนวกหรอกหรือนี่ ถึงว่าสิ ไม่คุ้นหน้าเลย”
…นังนี่มันบ้ารึเปล่า แกเคยบ้าแต่ก็หายดีแล้วนี่หว่า แม้จะจำไม่ได้ว่าแกเริ่มบ้าก่อนหรือหลังทำพิธีแบ๊ปติสมา ก็แค่คำกล่าวหาของพวกมัน พวกนอกศาสนานั่นแหละ แย่ว่ะ หวังว่าคงไม่ต้องไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่โรงพยาบาลนั่นอีกหรอกนะ มันน่าเบื่อเกินไป ชื่อเสียงแกป่นปี้หมดเมื่อได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการบ้าผู้เชี่ยวชาญการโดดร่มตอนบ่าย ให้ห่ากินคนชั่วทั้งโลกเถอะ พวกมันจะคิดยังไงกูไม่สนใจหรอกเว้ย…
“หูหนวกงั้นเรอะ เปล่าเลย ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงโซดาแตกฟองในแก้วโน้น” เขาพยักพเยิดไปทางชายชราแต่งกายภูมิฐาน ผู้กำลังผสมบรั่นดีในแก้วเข้ากับโซดาด้วยท่วงท่าละเมียดละไม มันทำให้เขานึกเปรี้ยวปากขึ้นมาอีกหน หลังจากน้ำหูน้ำตาเล็ดตอนโก่งคอโอ้กอ้ากระหว่างเมียงมองหาร้านเหล้าเหมาะ ๆ ขณะนี้เขาหวังจะได้เหล้าที่สั่งไว้โดยเร็วที่สุด
“ลูกค้าที่นี่มีแต่คนหูหนวก” หล่อนพูดเป็นเชิงอธิบายด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ก่อนสะบัดก้นแบน ๆ เดินตรงไปยังชั้นวางเหล้าซึ่งอยู่สูงเสียจนต้องปีนเก้าอี้ เพื่อเอื้อมมือขึ้นไปหยิบลงมา หนุ่มใหญ่ผิวคล้ำสามคนแต่งกายคล้ายคนขับรถแท็กซี่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยแต่ไม่มีทีท่าใส่ใจหรือกลัวว่าขวดเหล้าจะหล่นใส่หัวเลย พวกนั้นนั่งดื่มเหล้ากันเงียบ ๆ ราวกับกำลังอยู่ในฌานอันลึกล้ำ
…เจ้าน่าจะรู้ดี ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง…เสียงนี้ยังคงก้องอยู่ในหัว…โคตรแม่ง น่ารำคาญชิบ เมื่อไหร่มันจะเลิกตามตอแยกูซักทีวะ อา ความทรงจำเก่า ๆ กำลังยั่วเย้าแกเล่นซีนะ…
เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าจะได้มาพบร้านเหล้าประหลาดที่นี่ มันช่างน่าทึ่ง เขายิ้มกับตัวเอง กวาดตามองไปทั่วร้าน ไม่กี่นาทีต่อมาเครื่องดื่มก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้า เขายกขวดเหล้าขึ้นตบก้นแรง ๆ บิดฝาเกลียวออก จัดการเทเหล้าลงในแก้วซึ่งมีก้อนน้ำแข็งอยู่เกือบเต็ม แล้วผสมโซดาลงไปจนล้น เขาใช้นิ้วชี้คนสองสามที ก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด หูได้ยินเสียงน้ำแข็งกลิ้งกระทบกันอยู่ในแก้ว
…อา เยี่ยมจริง ๆ แกอารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ ใช่ซิ สูตรสำเร็จเก่า ๆ ที่จะทำให้แกผ่อนคลาย…เขาพ่นลมหายใจออกทางปาก ท้องเริ่มหิวเมื่อได้กลิ่นอาหารโชยมาจากกระทะเหล็กใบโต พ่อครัววัยกลางคนไว้ผมเกรียนหุ่นขาวท้วมพุงหลาม กำลังผัดอาหารด้วยตะหลิวเสียงดังโช้งเช้งอยู่หลังเตาไฟ ห่างแค่สามหรือสี่เมตรจากโต๊ะของเขา
เขาเฝ้ามอง สำรวจ และรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ ในร้านเหล้าซอมซ่อขนาดเท่าแมวดิ้นตายแห่งนี้ มันสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกขบขัน
…จริงหรือวะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยพบเห็น ไอ้พวกที่ยึดโต๊ะเจ็ดแปดตัวเป็นสมรภูมิดวดเหล้า พวกมันทั้งหมดหูหนวกงั้นรึ อะฮ่า แกไม่ใช่คนบ้าแล้วนะเว้ย จำไว้ให้ขึ้นใจด้วย ไม่มีใครหลอกลวงแกได้…
เขากวาดสายตามองราวกับต้องการจับพิรุธ สมองครุ่นคิดอย่างสังเกตสังกา แน่นอน ไม่ผิดจากที่หญิงคนนั้นพูดไว้ คอเหล้าทั้งหลายโสตประสาทคงพิการขนาดหนัก แม้แต่เสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างจากท่อไอเสียรถตุ๊ก ๆ ใกล้หน้าร้านยังไม่ทำให้ทุกคนสะดุ้งไหว คำสบถสักคำจะหลุดจากปากของแต่ละคนก็ไม่มี ดูเหมือนพวกคนหูหนวกจะให้ความสนใจกับแก้วเหล้าตรงหน้าและกับแกล้มเสียมากกว่า
…แกน่าจะเอาไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟังนะ ว่าแต่ทุกวันนี้แกยังคงมีเพื่อนกับเขาอยู่อีกเรอะ ให้ฟ้าผ่าเถอะ ไม่มีใครอยากคบหากับคนไข้แผนกจิตเวชหรอกวะ คิดแล้วแกก็อยากหัวเราะให้น้ำตาร่วงเล่น ๆ…
เขารีบผสมเหล้าอีก เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบแก้วฟังไพเราะหูเหมือนเดิม นี่ทำให้เขาอดนึกเห็นใจคอเหล้าหูหนวกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
…พวกมึงจะอยู่ไปทำไมกันวะ ถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงห่าเหวสำหรับพวกมึงอีก การถกเถียงเพื่อประเทืองปัญญาและจรรโลงใจก็ย่อมหมดไปด้วย…
“ยำตะไคร้ได้แล้วค่ะ” เสียงของหล่อนฟังดูเหมือนเป็นส่วนเกินของที่นี่ แววตาและรอยยิ้มของหล่อนก็ไม่ต่างจากคนที่รู้สึกขัดเขินเวลาพูดภาษาต่างด้าวอันไม่ถนัดปาก
“นานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับลูกค้า ผมหมายถึงคุยกันเป็นคำพูดเหมือนคนปกติ ก็คุณบอกผมเองว่าที่นี่มีแต่ลูกค้าหูหนวก” เขาถามตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น
หัวคิ้วบาง ๆ เหนือดวงตาเล็กรีแบบลูกจีนขมวดเข้าหากัน ก่อนจะตอบว่า “นานจนจำไม่ได้” สีหน้าของหล่อนราวกับคนเบื่อโลก แล้วหล่อนก็ยักไหล่ “ไม่รู้จะคุยกับใคร ว่าแต่คุณจะสั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ยล่ะ วันนี้มีเยื่อไผ่น้ำแดง อร่อยนะ”
เขาส่ายหน้าพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม หล่อนจึงกลับไปนั่งเท้าคางตาลอยตรงทางเดินใกล้กับมุมทำอาหาร…ใช่น่ะซี ปากของเธอไร้ประโยชน์ท่ามกลางคนหูหนวก พวกมันคงเห็นเธอทำปากพะงาบ ๆ เท่านั้น…เขาจับแก้วเหล้าคลึงเล่น…ช่างต่างไปจากร้านก่อนหน้านี้ที่แกไปก่อเรื่องไว้ไงละ ต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังตีนทีเดียวเชียวแหละ คำพูดสุดท้ายยังไม่พ้นคอหอยของมันดี แกก็ทิ่มหมัดพรวดเข้าให้…ภาพในห้วงคิดปรากฏชัด การเปรียบเทียบก็เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ระหว่างความเอะอะเอ็ดตะโรภายนอกของที่โน่นกับความเงียบงันภายในของที่นี่ การทุ่มเถียงด้วยเรื่องราวร้อยแปดในร้านนั้นกับบทสนทนาที่มีแต่ความว่างเปล่าในร้านนี้ ที่ร้านนั้นใครก็สามารถสรรหาหัวข้อมาประลองฝีปากกันได้เสมอ แน่นอน พวกมันชอบเถียงกันด้วยเรื่องที่ไม่มีใครลงมือทำได้จริง
…เจ้าน่าจะรู้ดี…ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง…เสียงลึกลับยังคงก้องอยู่ในหัว…แกควรจะเบื่อเสียงพร่ำเตือนนี้ดีไหม มันพูดอะไรอย่างอื่นเป็นบ้างหรือเปล่าวะ ยุคสมัยเปลี่ยนไปโดยความจริงไม่เปลี่ยนแปลงจริง ๆ งั้นเรอะ แล้วก่อนหน้าที่แกจะชกปากไอ้หมอนั่น แกถกเถียงกับมันด้วยเรื่องอะไรล่ะ คนหน้าหล่อ คนหน้าอึ่งอ่าง หรือคนหน้าเหลี่ยมดีกว่ากัน หรือว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญช่วยแก้ไขปัญหาของชาติได้หรือไม่ อืม เรื่องทหารน่าจะขี่ม้าขาวออกมาอีกสักรอบมากกว่า มันเห็นด้วยแถมบอกว่าสีเขียวควรอยู่บนถนน ห่ะ แต่แกเสือกค้าน แกประกาศว่าสีเขียวเหมาะจะเป็นแค่สัญญาณจราจรเท่านั้น แล้วมันก็รีบหาเหตุผลใหม่ ๆ มาตอบโต้แก ระยำจริง เหล้ากำลังอร่อย ไม่น่า….
จำได้ว่าพออีกฝ่ายล้มคว่ำ คงไม่ถึงกับตาย เขากระโจนพรวดรวดเดียวถึงหน้าประตูร้าน ก่อนโกยอ้าวเหมือนคนถือป้ายประท้วงวิ่งหนีลูกปืนกลร้อน ๆ เมื่อเห็นรถเมล์สาย 6 คันหนึ่งแล่นชะลอผ่านมาพอดี และโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ เขาก็กระโดดขึ้นไปนั่งหอบด้วยอาการตื่น ๆ พอรถเมล์ข้ามสะพานพระปกเกล้าจนมาถึงหัวมุมถนนพญาไม้ เขาก็กระโดดลง
…โชคดีไม่มีตำรวจตามมาคว้าคอ หรือว่ากำลังตามหาตัวแกให้วุ่นไปหมดแล้ววะ ไม่หรอกมั้ง เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ เสียดายแต่เหล้าค่อนขวด ช่างมัน เงินยังไม่ได้จ่ายซักบาท…เขาอมยิ้มพร้อมกับผสมเหล้าอีกแก้ว คราวนี้เข้มเป็นพิเศษ…แกกลับไปเมาที่ร้านนั้นไม่ได้อีกแล้วสินะ ถือซะว่าตัดขาดกันโดยปริยาย ตอนนี้ก็แค่มองหาร้านประจำแห่งใหม่…
เขาเหลียวมองไปรอบ ๆ จากนั้นเงยหน้ามองเพดานค่อนข้างสูง แล้วก้มลงดูใต้โต๊ะ…สัปปะรังเคเต็มกลืน แกเข้ามานั่งกินเหล้าที่นี่ได้ไงนะ อะพิโธ่…คราบเขม่าอันเกิดจากน้ำมันทำอาหารผสมฝุ่นดำเกาะเหนียวหนึบอยู่บนเพดานแทบจะทุกตารางนิ้ว ความเก่าของร้านคะเนว่าอายุไม่น่าน้อยกว่าห้าสิบปี ส้วมไม่ได้มาตรฐานส่งกลิ่นปัสสาวะฉุนเฉียวโชยมาตามลมซึ่งพัดกระพือจากทางด้านหลังร้านติดกับคลองเล็ก ๆ และเมื่อมองจากมุมนี้ ในลำแสงสุดท้ายของยามเย็น เขาก็เห็นว่าน้ำในคลองมีสีดำเน่าสนิท ซากหมาบวมอืดตัวหนึ่งกำลังลอยหงายท้องผ่านไป
…แกเอ๊ย ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับที่นี่ มันไม่เหมาะกับแกหรอก ถุย…เขารีบกระดกเหล้าข่มความพะอืดพะอมในปาก
คนหูหนวกสองคนเดินเข้ามาในร้าน
…เออ ทำไมแกถึงคิดว่าพวกมันหูหนวกวะ พวกมันอาจหูดีเหมือนอย่างที่แกเป็น หูสองข้างซึ่งชอบหาเรื่องมาสุมกบาลได้เสมอ…
ทั้งสองมีสีหน้าแสดงความผิดหวัง แต่แล้วก็เผยรอยยิ้มโล่งอก ทันทีที่เห็นใครบางคนกวักมือเรียกร่วมโต๊ะ อันที่จริงน่าจะบอกว่าแบ่งโต๊ะนั่งกินเหล้าเสียมากกว่า เพราะผู้มาใหม่สั่งเหล้าและวางแก้ววางจานแยกเป็นสัดส่วน เห็นได้ชัดว่าต่างกินต่างจ่าย ที่สำคัญไม่มีการพูดคุย ไม่ว่าจะด้วยปากหรือมือ
…ถ้าเป็นร้านนั้น แกก็รู้ ป่านนี้ไม่แคล้วคุยกันเสียงล้งเล้งยังกับรักกัน หรือแค้นกันมาตลอดชีวิต…เขาลงมือลิ้มรสชาติยำตะไคร้ ภาพหมาเน่าเลือนหายไปจากห้วงความคิด
“เอามาอีกจานครับ แค่นี้ไม่พอรู้รสหรอก” เขาตะโกนสั่ง พ่อครัวทำท่าสะดุ้งเฮือก คล้ายได้ยินเสียงลึกลับดังมาจากป่าช้ายามดึกสงัด แต่ก็พยักหน้า ก่อนจะคว้าปลากะพงขาวมาแล่เป็นชิ้นโยนลงในกระทะ โดยไม่ยอมส่งเสียงหลุดจากปลายลิ้นแม้แต่คำเดียว
ไม่นานนักเหล้าแบนแรกก็หมดลง เขาทำท่าจะร้องสั่งเพิ่ม ทว่าเปลี่ยนใจรอให้หญิงคนนั้นหันมาสบตาเสียก่อน จึงใช้มือชี้วนเหนือขวดเหล้ากับขวดโซดาว่างเปล่า แค่นี้หล่อนก็รู้เรื่อง เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ อารมณ์ดื่มด่ำในความมึนเมาทำให้เขาลืมเรื่องราวขุ่นข้องหมองใจในชีวิตประจำวันจนหมดสิ้น…โอ้ โลกนี้ช่างแสนสนุกนะเหล้าเอ๋ย มีเรื่องประหลาดสารพัดให้เราได้พบเห็น ฉันรักแกจริง ๆ นะโลกเส็งเคร็ง สาบานได้…ความเงียบภายในร้านทำให้เหล้าขวดที่สองหวานยิ่งกว่าทุกมื้อ ทั้ง ๆ ที่เป็นเหล้ายี่ห้อเดิม เขากำลังคิดว่าพอหมดขวดแบนนี้ก็คงเมาเละเทะ…เออเว้ย แกจะกลับบ้านที่สวนผักตลิ่งชันยังไงดีล่ะ รถเมล์หรือว่าแท็กซี่ รึว่าจะเหาะไปเหนือเมฆ…
จังหวะนั้นเอง ชายแก่แต่งกายภูมิฐานซึ่งนั่งกินมานานได้ลุกขึ้นยืน “คิดเงินทุกโต๊ะกับลุงนะ” ชายแก่เอ่ยเสียงแหบ ๆ แต่ฟังชัดเจนทุกถ้อยคำ
…อ้าว เฮ้ย ไหนว่าพวกมันหูหนวกไง คนหูหนวกก็ต้องเป็นใบ้ด้วยสิ ทำไมถึงโกหกกันหน้าด้าน ๆ ยังงี้อีนังตอแหลเอ๊ย เออ แต่ก็เรื่องของมัน กินเหล้าเงียบ ๆ ดีกว่า แกอย่าได้คิดจะทำให้ขวดเหล้าแตกซ้ำสองเป็นอันขาด วันละครั้งก็มากพอแล้ว…
“ลุงชิดก็แบบนี้แหละ ใจใหญ่ ชอบเลี้ยงดูปูเสื่อคนอื่น คงเป็นคนหูหนวกที่ใจดีที่สุดล่ะมั้ง ลูกเต้าก็ไม่มี” หล่อนคนเดิมพูดขึ้นลอย ๆ หลังจาก “เจ้ามือ” เดินโซเซพ้นร้าน
“อ้อ…” เขาส่งเสียงแผ่วเบา รู้สึกยินดีกับลาภปาก แต่ปากที่ว่านี้ไม่วายเอ่ยถามถึงข้อสงสัย “ทำไมคนหูหนวกถึงพูดได้ชัดยังงั้นล่ะ”
…ดูซิ มันจะตอแหลว่ายังไงอีก แกชอบนี่หว่า แกมันชอบฟัง ฟังแล้วก็ชอบแส่เสือก แกถนัดเหลือเกินกับการเงี่ยหูฟังเรื่องไร้สาระ….
“ความจริงพวกเขาแค่หูหนวกค่ะ” หล่อนเดินเข้ามาใกล้ “แต่พูดได้ดี ลิ้นยังทำงานได้เหมือนอสรพิษที่พร้อมจะฉก แต่พวกเขารู้ว่าป่วยการพ่นคำพูดออกไป คุณน่าจะรู้ ทุกวันนี้มีใครบ้างที่มึนเมาอยู่กับการฟัง อ้าว ฟังอะไรงั้นหรือคะ ก็ไอ้ที่ส่งเสียงปาว ๆ อยู่ในอากาศนั่นไง จับต้องไม่ได้ แต่ผู้คนเชื่อถือราวกับเป็นคำพูดของศาสดาหรือนักบุญ ฟังแล้วก็เอาไปพูดกันต่อ มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ พูดให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกกล่าวถึงย่อยยับงั้นหรือคะ เพราะเหตุนี้เอง พวกเขาจึงเก็บปากไว้กินเหล้าอย่างเดียว”
…เจ้าน่าจะรู้ดี…ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง…เสียงนี้ยังคงก้องอยู่ในหัว…มันทำเอากะโหลกแกแทบจะระเบิดอยู่แล้วนะโว้ย นังผู้หญิงคนนี้ก็ดันมาเทศนาใส่หน้าแก ตอนนี้ถ้าได้พาราฯ หรือแอสไพรินซักกำมือก็คงดี….
เขาเหม่อมองผ่านประตูหน้าร้านออกไปยังท้องถนน พร้อมกับจิบเหล้าเป็นระยะ ๆ ความเศร้าหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิด ไม่ผิดกับยวดยานที่กำลังแล่นผ่านถนนไปไม่ขาดสาย ต่างเปิดไฟหน้ารถแข่งกับแสงจากโคมไฟบนเสาสูงริมทาง เหนือขึ้นไปเป็นท้องฟ้าซึ่งแลดูเป็นสีม่วงดำ ทึบทึมและกดหนัก เขาได้ยินเสียงแตรรถยนต์แว่วมาเป็นครั้งคราว
…แย่จัง ทำไมไม่มีดาวสักดวงให้แกรู้สึกโรแมนติกบ้างเลยนะ ว่าแต่จะโรแมนติกไปทำไมกันล่ะ โอ้ นี่คงเป็นผลมาจากการที่แกพูดน้อยลงกระมัง…ระหว่างนี้ไม่มีลูกค้าเข้ามาเพิ่มเลย เขายกมือทำท่าสั่งเหล้าอีก แต่เหมือนถูกลืม ในเวลาต่อมาจึงรู้ว่าร้านเจ้าประจำของบรรดาคนหูหนวกปิดสองทุ่มตรง จะเปิดอีกทีก็พรุ่งนี้ตอนสิบเอ็ดโมง…ไอ้เวรเอ๊ย กำลังติดลมอยู่พอดี จะสั่งอีกแบนนึงมันก็ไม่ยอมขายซะด้วย ดูนั่นซิ หลายโต๊ะเริ่มทยอยกันลุกแล้ว…
แต่ละคนที่เดินออกจากร้านนัยน์ตาปรือฉ่ำ ขาแทบจะขวิดไขว้เป็นเลขแปด อย่างไรก็ตาม ทุกวินาทีของคนเหล่านี้ย่อมเต็มไปด้วยความเงียบ ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือหลังจากที่เหล้าไหลลงกระเพาะแล้ว ผิดจากคนอย่างเขาผู้ชอบคุยฟุ้งจนน้ำลายพ่นเป็นฟองฟอด ประสาทหูได้ยินเรื่องอะไรมาก็มีอันให้อยากต่อคำต่อความออกไปอีก ทว่าเดี๋ยวนี้เขารู้สึกได้ถึงความสงบเงียบภายในร้านเหล้าซอมซ่อที่บังเอิญพลัดหลงมาพบเข้า
…พระเจ้าเข้าข้างแกแท้ ๆ แกเชื่อเช่นนั้นใช่มั้ย ฮ่า ฮ่า…เขาหัวเราะอยู่ในลำคอเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง
เวลานี้เหลือโต๊ะของเขากับโต๊ะของชายสามคนใต้ชั้นวางเหล้าเท่านั้น เขามองเหล้าติดก้นขวด ก่อนตัดสินใจยกขึ้นเทใส่ปากจนหมด หญิงคนนั้นหันมาเห็นเข้าก็ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร ขณะที่เขาหวนคิดถึงชายผู้ถูกตะบันเสียจนสลบคาหมัด…โธ่เอ๊ย ทำไมพวกเราต้องทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องที่มีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะเห็นความสำคัญวะ…เขาทั้งขำทั้งเห็นใจ…พวกเราคงนั่งกินเหล้ากันอย่างมีความสุข ถ้าเพียงแต่จะได้มากินที่นี่ พรุ่งนี้ลองกลับไปหามันดีมั้ย ชวนมันมาร้านนี้เพื่อเลี้ยงเหล้าขอโทษมัน ถ้ามันอยากขอเอาคืน ฉันก็จะเอียงทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวาให้มันซัดซะ….
เขาพยายามประคองร่างให้ตั้งตรงอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกตัวว่ากำลังส่ายโงนเงน
…เหล้าสองแบนเท่ากับหนึ่งกลม ทำไมเมายังงี้ อ้อ สมควรเมาเละอยู่แล้วนี่นาตั้งหนึ่งกลม แต่เมาอยู่ในความเงียบก็ดีเหมือนกันนะ แกชักชอบที่นี่แล้วสิท่า…เขาแทบจะสบถออกมาเสียงดังตามความเคยชิน…จากนี้ไปแกจะทำอะไรได้อีกล่ะ นั่งแท็กซี่กลับบ้านงั้นเรอะ กลับไปพบเรื่องขัดแย้งเดิม ๆ บางทีอาจจะต้องฉะปากกับคนขับรถเหมือนหลายครั้ง ถ้าเพียงแต่มันขืนเอ่ยปากโต้ แกไม่ใช่นักบุญนี่หว่า…ในความเงียบ แกมองดูคนหูหนวกที่เหลืออยู่ในร้าน…ไม่แปลกใจเลยที่แกนึกอิจฉาพวกมัน ทำไมพวกมันเกิดมาโชคดีแบบนี้นะ แล้วพระเจ้าสร้างหูให้แกทำไม ปากอีกนั่น ลิ้นอีกนั่น…เจ้าน่าจะรู้ดี…ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลง…เสียงนี้ยังคงก้องอยู่ในหัว…จริงสิ แกรู้ดี ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ๆ พวกมันบนท้องถนน ในห้อง ในรู ในสภา ก็ยังเงี่ยหูฟังด้วยความคิดต่ำช้า แกเดาได้เพราะแกก็คือหนึ่งในคนต่ำช้า แกรู้แจ้งแทงตลอด พวกมันชอบใช้การคาดเดาแทนที่จะพึ่งพาความจริง แต่หากมันอยากเข้าถึงความจริง พวกมันก็ไปไม่ถูกหรอก เพราะพวกมันล้วนเป็นบ้า ใช่ พวกมันต่างหากที่บ้า ไม่ใช่กู กูอยากอยู่เงียบ ๆ ….
เขาถอนหายใจ วินาทีต่อมาก็อมยิ้ม เมื่อคิดถึงฉากชีวิตของจิตรกรนามวินเซนต์ ฟาน โกะห์ ตอนที่ตัดใบหูตัวเองให้คนรัก
…เท่ระเบิดเลยนะมึง ไอ้โก๊ะ แต่แกไม่มีวันเลียนแบบมันหรอก ไม่มีวัน…
อย่างรวดเร็ว เขาคว้าเอาตะเกียบไม้ไผ่ในกระบอกพลาสติกบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ด้วยมือขวา “เพื่อความเงียบของโลกนี้ว่ะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงพึมพำแทบจะไม่หลุดรอดจากริมฝีปาก ก่อนแทงตะเกียบพรวดเข้าในรูหู ความเจ็บปวดแล่นซ่านจนร่างของเขาสั่นเทิ้ม มือก็สั่นระริกไปด้วย ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ความมึนเมาเหือดหาย ตาที่เคยปรือฉ่ำพลันสว่าง เขาสูดปากซี้ดซ้าดขณะดึงตะเกียบออกมา และเมื่อเห็นว่าตรงส่วนปลายเปื้อนเลือดก็อดยิ้มด้วยความสะใจไม่ได้ จากนั้นใช้ตะเกียบอันเดิมทะลวงรูหูอีกข้างที่ยังได้ยินเสียงชัดเจน
…มันชัดเกินไป จัดการซะให้หมดปัญหา มันคือส่วนเกินที่พระเจ้ามอบให้แกเพื่อเป็นการลงโทษ เพราะแกเสือกรู้ดีรู้ชั่ว หรือไม่ก็ลงโทษแกแก้เก้อ หลังจากรู้ตัวว่าทำผิดพลาดที่ปั้นแต่งหูให้แก…เขาหัวเราะ ใบหน้าบิดเบี้ยวอีกครั้งด้วยพิษของความเจ็บปวด
“….” หญิงคนเดิมขยับปากพูด น่าประหลาดที่หล่อนไม่มีท่าทางตกใจเอาเสียเลย ราวกับเป็นภาพที่พบเห็นจนชินตา ชายสามคนมองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มให้เหมือนเพื่อนผู้รู้ใจยิ้มให้กัน พ่อครัวเดินไปหยิบสำลีก้อนใหญ่มายัดใส่มือ
เขาลุกขึ้นยืนและค้อมศีรษะให้แก่ทุกคน แววตาฉายแสงแห่งความอ่อนโยนออกมา เขายิ้มอีกครั้ง ควักเงินออกมาจ่าย ก่อนจะเดินซัดเซออกไปทางประตู เขามองท้องถนนอันสับสนเต็มไปด้วยกองทัพรถยนต์เหมือนในหนังเงียบ สมองหมุนติ้วกำลังเรียกร้องขอการพักผ่อน
“พรุ่งนี้เจอกันใหม่” เขาหันหน้าไปทางร้านเหล้าของคนหูหนวก คำพูดหลุดจากปากแต่เขาไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงลึกลับแปลกประหลาดที่ยังคงก้องอยู่ในหัว
…บางทีพรุ่งนี้แกอาจจะตัดลิ้นซะ มะรืนก็ควักลูกตา เผื่อไอ้เสียงบ้านี่จะหายไปบ้าง…
( พิมพ์ครั้งแรก ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “หน้าต่าง” รางวัลหนังสือดีเด่นปี 2556 ประเภทรวมเรื่องสั้น รางวัลชมเชย ใช้นามปากกา “ภพ เบญญาภา )