หลอดไฟเพดานในห้องของฉันกำลังกะพริบ มันติดและดับสลับกันไป ฉันได้แต่เฝ้ามอง หลายครั้งที่ถามตัวเองว่า มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร คำตอบเหมือนจะวาบสว่างขึ้นแต่แล้วก็อ่อนจางรางเลือนหายไปอย่างน่าฉงน
ฉันมองจานข้าวบนโต๊ะ วันนี้นายส่งน่องไก่ทอดแสนอร่อยพร้อมข้าวเหนียวมาให้อีกเช่นเคย มันสุมอยู่ในจานจนสูงชันเกือบถึงเพดานห้อง แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันเคยจัดการกับมันได้เสมอ และคิดว่าหากนายส่งมาให้มากกว่านี้ ปากกับท้องของฉันก็คงไม่มีปัญหา หากจะต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในจานข้าวให้หมดไป แต่ปัญหาของฉันในเวลานี้กลับเป็นเรื่องหลอดไฟ ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังรำคาญกับการติด ๆ ดับ ๆ ของมัน โดยไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งไหน หรือว่านี่คือครั้งแรก…
ฉันเดินไปที่ตู้เก็บของบริเวณมุมห้องด้านใน จำได้ว่ามีหลอดไฟสำรองกองอยู่ในนั้น แม้จะไม่เคยใช้มาก่อนเลยก็ตาม ฉันน่าจะหยิบมันออกมาเปลี่ยนแทนดวงที่กำลังกะพริบ แล้วค่อยลงมือกินน่องไก่ทอด จากนั้นก็นอนเล่นบนโซฟา ฉันอาจหลับไปสักงีบสั้น ๆ หรือจะหลับยาวไปเลยก็ได้ นายไม่มีวันว่าอะไรอยู่แล้ว ขอเพียงแต่ฉันยังคงอยู่ในห้องนี้ ห้องอันอิ่มหนำสำราญ โดยไม่ออกไปวุ่นวายกับโลกของนายเท่านั้น
ครั้นเปิดประตูตู้เก็บของ ฉันกลับมองไม่เห็นหลอดไฟตามที่คิดไว้ จึงรู้สึกประหลาดใจแกมโมโห ต้องออกแรงรื้อข้าวของในตู้ออกมากองกับพื้น แต่ก็ยังหาหลอดไฟพวกนั้นไม่พบ มีเพียงเสื้อผ้า รองเท้า ปากกา กระดาษ และสิ่งของจิปาถะอยู่เต็มไปหมด
หลอดไฟหายไปไหนหมดหนอ ฉันคิด มันไม่ใช่มีเพียงแค่ดวงเดียว มันเคยมีมากพอจะใช้ไปชั่วชีวิต ชีวิตที่นายคำนวณไว้แล้ว ฉันเก็บสิ่งของเข้าตู้ทีละชิ้นจนหมดโดยไม่พบร่องรอยของหลอดไฟจำนวนมากที่เคยมีอยู่ ใช่ มันเคยมีอยู่ ทว่าบัดนี้ได้หายไปหมดแล้ว
ในที่สุด ฉันก็ต้องปิดตู้เก็บของไว้ตามเดิม ก่อนจะเดินคอตกกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว นอกจากลงมือกินน่องไก่ทอดกับข้าวเหนียว ท่ามกลางแสงจากหลอดไฟที่ยังติดและดับสลับกันอยู่เช่นเดิม นานแค่ไหนไม่รู้ที่ฉันเคี้ยวและกลืนกินน่องไก่เหล่านั้น ส่วนกระดูกถูกคายออกมาจนกองอยู่เต็มโต๊ะ ฉันรู้สึกว่าน่องไก่วันนี้ช่างมีรสชืดชาและหาความอร่อยไม่ได้เลย ฉันคงกินด้วยความเคยชินกระมัง มันเคยอร่อยล้ำเลิศ แต่…เกิดอะไรขึ้นกับน่องไก่ของนาย หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับลิ้นของฉันกันแน่…ฉันผละจากโต๊ะอาหารแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น น่าแปลกที่หลอดไฟในตู้เย็นก็ติด ๆ ดับ ๆ เช่นกัน ช่างหัวมันเถอะ ฉันคร้านที่จะใส่ใจเสียแล้ว ได้แต่หยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาเพื่อจะดื่มแก้กระหาย แต่แล้วก็ต้องโยนขวดน้ำทิ้งแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าน้ำในขวดได้ระเหยกลายเป็นไอราวกับสายหมอกขาว ก่อนจะจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ดูเหมือนว่าฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ประหลาดอันไม่อาจเข้าใจได้ จึงมีแต่ความขุ่นข้องหมองใจที่สุมอยู่ในอก พาลเกิดความคิดว่าน่าจะออกไปจากห้องนี้ดีกว่า ห้องที่ฉันอยู่มานานมากเหลือเกิน เหตุผลก็คือเพื่อหาน้ำดื่ม บางทีอาจจะหาซื้ออาหารแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาลองกินดูบ้าง น่าประหลาดมากที่ฉันไม่เคยเบื่อไก่ทอดของนายเลยสักมื้อ แต่วันนี้ละที่ฉันจะได้ลองกินอย่างอื่นดูบ้าง ถ้าหากว่าภายนอกห้องนั้นยังคงมีอาหารและน้ำดื่มขายเช่นในอดีต
ขณะเดินไปยังตู้เก็บของเพื่อหยิบรองเท้ามาสวม เมื่อผ่านโต๊ะอาหาร ฉันก็เห็นว่าข้าวเหนียวกับไก่ทอดได้หายไปแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉันต้องขยี้ตาเพื่อดูให้ชัดกลับเป็นพิซซ่าร้อน ๆ ในจานข้าวของนาย พร้อมด้วยโคล่าขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบ ฉันยิ้มด้วยความพึงพอใจ รีบนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อลิ้มลองรสชาติอาหารใหม่ แน่นอน นายไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยแม้แต่น้อย พิซซ่าอร่อยมาก อร่อยจนแทบน้ำตาไหล เมื่อรู้สึกฝืดคอก็ยกขวดโคล่าขึ้นดื่มอย่างสะใจ ความเย็นซาบซ่าของน้ำอัดลมทำให้ฉันสงสัยไปว่า ทำไมนายจึงไม่ส่งของดี ๆ อย่างนี้มาให้เสียตั้งแต่ทีแรก ปล่อยให้ฉันดื่มแต่น้ำเปล่ามานานเต็มทน ฉันได้แต่ถามโดยไม่มีคำตอบจากนาย
เวลาในห้องยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ขณะที่หลอดไฟยังติดและดับสลับกันอยู่เช่นเดิม ฉันเองไม่คลายความสงสัยว่านายจะรู้ถึงปัญหาข้อนี้ไหม หรือว่านายทำได้แค่ส่งอาหารกับน้ำดื่มมาให้เท่านั้น วูบหนึ่งฉันเริ่มคิดถึงรองเท้าในตู้เก็บของ แต่แล้วความคิดนั้นก็หายไปอีกโดยที่ฉันแทบจะไม่รู้สึกตัว แม้กระนั้น ฉันก็พอสัมผัสรับรู้ได้ว่า…มันหายไปอย่างรวดเร็ว
ช่างมันเถอะ ฉันบอกกับตัวเอง ตอนนี้รู้สึกว่าหนังท้องเริ่มตึงอีกแล้ว ฉันน่าจะไปนอนพักผ่อนสักหน่อยอย่างที่เคยทำมาจนกลายเป็นความเคยชิน ส่วนเรื่องราวหรือปัญหาอื่น ๆ คิดว่าในไม่ช้านายก็จะแก้ไขให้เอง เพราะนายมิใช่หรือที่เคยสัญญาไว้เช่นนั้น เพื่อแลกกับข้อตกลงให้ฉันอยู่แต่ในห้องที่แสนสบายนี้ไปนานเท่านาน ฉันเดินไปที่เตียงเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย แล้วล้มตัวลงบนความนุ่มหนาสีขาวแสนสบาย อยากจะหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ภวังค์อันแสนสุข ทว่าแสงจากหลอดไฟที่กะพริบไปมาตลอดเวลาก็รบกวนสายตาสิ้นดี มันจะกะพริบไปถึงไหนกันนะ ฉันมองจ้องมันอย่างเอาเรื่อง แวบหนึ่งก็เกิดความคิดพิสดารว่า หรือหลอดไฟดวงนี้กำลังสื่อสารกับฉันด้วยภาษาที่เป็นรหัส ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเฝ้ามองการติดอยู่และการดับไปของมันอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ในที่สุดก็ต้องสรุปว่า ฉันไม่มีวันจะเข้าใจสิ่งที่หลอดไฟกำลังสื่อสารหรอก หากมันต้องการสื่อสารกับฉันจริง ๆ เพราะสมองของฉันไม่ได้คิดหรือทำเรื่องอะไรแปลก ๆ อย่างนี้มานานมากแล้ว
เวลาผ่านไปอีก ฉันเองยังคงข่มตานอนไม่หลับ ในที่สุดตัดสินใจว่าจะต้องออกไปข้างนอกห้องให้ได้ ฉันจะหาซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนใหม่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอนายอีกแล้ว เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนอนให้หลับในห้องที่มีหลอดไฟติด ๆ ดับ ๆ แบบนี้ หรือว่าฉันควรจะทุบหลอดไฟทิ้งเสีย ง่ายนิดเดียว แต่ถ้าทำเช่นนั้น ในเวลาที่ต้องการแสงไฟล่ะ ฉันจะได้แสงจากไหน อย่างน้อย หลอดไฟดวงนี้ก็ยังทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องนี้ได้บ้าง แม้มันจะน่ารำคาญก็ตาม ครั้นจะกดสวิตช์ปิดซึ่งควรเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะว่าห้องนี้ไม่เคยมีสวิตช์ปิดเปิด การบังคับควบคุมล้วนมาจากอำนาจของนายเท่านั้น ถ้าถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่มีคำตอบเช่นเคย เพราะเหตุผลของนายมักจะเป็นเรื่ีองหยั่งได้ยากและ ลำบากที่จะคาดเดา นายเคยบอก (เล่าสืบกันมา) ว่า อย่าพยายามคิดอะไรที่มันยุ่งยากจนฟุ้งซ่าน สิ่งที่ทุกคนควรทำก็คือลิ้มรสอาหารแสนอร่อยที่นายมอบให้ทุกวัน ทุกคนควรกินให้มากที่สุด จากนั้นก็นอนหลับพักผ่อน นั่นแหละคือความบรมสุขสำหรับทุกคนที่เชื่อฟังและศรัทธานาย แล้วเหตุใดนายจึงไม่รับรู้ว่าภายในห้องนี้กำลังมีปัญหาเรื่องหลอดไฟ ทำไมนายไม่ส่งหลอดไฟดวงใหม่มาเปลี่ยนให้ หรือว่าแท้จริงแล้วนายก็ไม่ได้เป็นผู้รู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ฉันเชื่อมานาน โอ้ แค่คิดฉันก็รู้สึกผิดบาปเสียแล้วที่กล่าวหานายเช่นนี้
“ได้โปรดเถิด ได้โปรดยกโทษให้แก่ผู้ศรัทธานายด้วย” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ รู้สึกปวดศีรษะและอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก บางทีอาจเป็นเพราะว่าวันนี้ฉันคิดในเรื่องไม่เป็นเรื่องมากจนเกินไป มันเลยเถิดเสียแล้ว หน้าที่คิดเป็นของนายไม่ใช่หรือ เป็นของนายแต่เพียงผู้เดียวมานาน นายเป็นหัวที่จะนำทางส่วนหางไปในทิศทางที่ถูกต้อง ฉันน่าจะปล่อยให้ปัญหาทุกอย่างเป็นเรื่องของนายเหมือนที่ผ่านมา เพราะทุกคนล้วนทราบดีว่านายก็ต้องการเช่นนั้น ความเมตตากรุณาอันสูงส่งนั่นเองที่ทำให้นายไม่อยากให้ทุกคนใช้ความคิด มันเหน็ดเหนื่อย มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียเวลาอันแสนสุขไปเปล่า ๆ แต่ให้ตายเถอะ ในห้วงเวลานี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันเสียแล้วที่จะสั่งตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน แค่จะปิดหลอดไฟในห้องก็ยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการหยุดความคิดตัวเอง ฉันมองหลอดไฟที่ติดและดับนั้นพร้อมกับรับรู้ว่า การทำให้ความคิดหยุดชั่วขณะหนึ่งในกระแสธารของความคิดที่กำลังหลั่งไหลนับเป็นเรื่องยากที่สุด
เวลาในห้องล่วงเลยไป ฉันไม่รู้หรอกว่าข้างนอกห้องตอนนี้เป็นเวลาอะไร มันอาจจะเป็นยามเช้า สาย บ่าย เย็น หรือมืดค่ำ ฉันไม่เคยรับรู้มานานแล้ว แต่ในห้องนี้ยังคงมีเวลา บางทีนายอาจต้องการให้มีจุดสังเกตบางประการ ไม่เช่นนั้นในห้องก็คงดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องเรือน ฝาผนังทั้งสี่ด้าน เพดาน และพื้นห้อง สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉันจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ก็แต่บนจานข้าวของนายเท่านั้น อาหารทุกมื้อได้มาแล้วหมดไป ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเข้ามาในห้องหรือปรากฏขึ้นได้อย่างไร แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเรื่องปกติตามที่นายกำหนดไว้ มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่หลอดไฟแสดงอาการผิดปกติ ส่งผลให้ห้องของฉันเกิดความสว่างและมืด วนเวียนสลับกันไปราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น
ในที่สุดฉันต้องลุกจากเตียงนอนมาเดินวนอยู่ในห้องที่ดูราวกับกำลังบีบแคบลงทุกขณะ ยามนี้สภาพของฉันคงไม่แตกต่างไปจากสัตว์ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก มันไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการกระโจนออกสู่โลกภายนอก
และแล้วสิ่งที่ฉันแอบคิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง ๆ อาหารในจานข้าวของนายบนโต๊ะพลันเปลี่ยนไป ภาพที่เห็นตอนนี้คือไส้กรอกนานาชนิดส่งกลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก รูปลักษณ์ของมันก็ชวนยั่วน้ำลายเป็นที่สุด ขวดน้ำอัดลมหายไปเช่นกัน และถูกแทนที่ด้วยกระป๋องเบียร์แช่เย็น ดูเหมือนจะมีอิทธิพลบางอย่างชักจูงให้ฉันอยากลิ้มลองขึ้นมา ฉันเริ่มไม่ใส่ใจกับหลอดไฟที่กำลังติด ๆ ดับ ๆ ไม่สนใจกับความปรารถนาที่จะออกไปจากห้องนี้แล้ว ฉันทำได้แค่นั่งลงกินไส้กรอกเลิศรสเหล่านั้น สนุกเฮฮาไปกับเบียร์เย็นฉ่ำรสละมุนในกระป๋อง ที่ดื่มมากเท่าใดก็ดูเหมือนจะไม่พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกมีความสุข (ที่จริงเป็นความรู้สึกสนุกเสียมากกว่า) ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นอกจากสิ่งที่นายเลือกสรรให้ เพราะนายคนเดียวย่อมรู้ดีที่สุด นายเข้าใจความต้องการของทุกคนเสมอ จงหยุดคิดแล้วปล่อยให้นายคิดแทนเถอะ ฉันบอกตัวเอง จริงสินะ ฉันไม่ควรคิดอะไรให้มากความ แค่รับในสิ่งที่นายให้มาและไม่ออกไปยุ่งกับโลกภายนอกอีก แค่นี้ฉันก็จะเสวยสุขไปชั่วชีวิต
ฉันพยายามไม่คิดอะไรเลย…
ความคิดของฉันเหมือนจะหยุดไปชั่วขณะ แต่แล้วมันก็คิดขึ้นมาอีก ครั้นคิดได้เพียงวาบหนึ่ง ความคิดก็หยุดลงเช่นเดิม มันเคลื่อนไหวแล้วหยุดนิ่งสลับกันไปอย่างน่าประหลาด มีสภาพไม่ต่างไปจากหลอดไฟในห้องที่ยังคงติด ๆ ดับ ๆ
ฉันคิดและไม่คิดสลับกันไปมา…
ในช่วงเวลานั้น ฉันไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่เห็นไส้กรอกและกระป๋องเบียร์หายไปราวกับไม่มีตัวตน แต่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็กลับมาปรากฏอยู่ตามเดิม หรือว่าแอลกอฮอล์ได้ทำให้ประสาทตาของฉันฟั่นเฟือนเสียแล้ว จนมองเห็นภาพตรงหน้าแปลกประหลาดเช่นนั้น ฉันเริ่มอยากรู้ว่าข้างนอกห้องจะเป็นเหมือนเช่นนี้หรือไม่ และนี่เป็นอีกครั้งที่ฉันนึกถึงรองเท้าที่อยู่ในตู้เก็บของขึ้นมาอีก
จานข้าวบนโต๊ะเริ่มแปรเปลี่ยนอีกครั้ง บัดนี้เนื้อวัวย่างหอมกรุ่นเข้ามาแทนที่ไส้กรอกที่ฉันเบื่อหน่ายแล้ว ขณะเดียวกันกระป๋องเบียร์ก็หายไปด้วย สุราชั้นดีปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ฉันเมินหน้าหนี ก่อนจะลุกขึ้นยืนและก้าวตรงไปที่ตู้เก็บของเพื่อหยิบรองเท้า ฉันคิดว่าจะต้องออกไปจากห้องนี้ให้จงได้ ครั้นเปิดประตูตู้ สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก เมื่อบรรดาหลอดไฟที่ฉันเคยค้นหากลับปรากฏให้เห็นราวกับว่ามันกองอยู่ตรงนั้นตลอดมา แต่เวลานี้ฉันไม่ใส่ใจกับหลอดไฟในตู้อีกแล้ว มันไม่มีความหมายใด ๆ อีกต่อไป ฉันไม่ต้องการเปลี่ยนหลอดไฟ สิ่งเดียวที่ฉันต้องการก็คือรองเท้า
รองเท้า…มันเคยมีอยู่ในตู้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีอยู่…
ฉันเริ่มต้นรื้อข้าวของอีกครั้ง หลอดไฟจำนวนมากถูกนำออกมากองนอกตู้ พวกเสื้อผ้ากับข้าวของจิปาถะก็เช่นกัน แต่น่าประหลาด ฉันกลับไม่พบรองเท้าคู่นั้น
หลอดไฟในห้องยังคงติดและดับราวกับเป็นวัฏจักรของมัน…
แต่ไม่มีใครห้ามฉันได้อีกแล้ว ฉันตัดสินใจออกจากห้องอันแสนสบายนี้ไปโดยไม่สวมรองเท้า ยอมรับแล้วว่าอาจได้รับความทุกขเวทนาบ้างหากต้องผจญกับพื้นถนนอันร้อนระอุ หรือเส้นทางที่เต็มไปด้วยคมกรวดคมหนาม แต่มันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องออกไปข้างนอกเสียที เมื่อเดินผ่านโต๊ะอาหาร ฉันหยุดคว้าจานข้าวของนายขึ้นมาเททุกสิ่งทุกอย่างทิ้งลงกับพื้น ก่อนจะถือจานเปิดประตูก้าวออกไปสัมผัสความสว่างไสวจากแสงตะวันอันสดใส ซึ่งเป็นความสว่างที่โปร่งโล่งยิ่งนัก บางทีฉันอาจจะออกเดินเคาะประตูเรียกคนในห้องต่าง ๆ ให้ออกมาสัมผัสความสว่างเช่นนี้บ้าง พวกเราจะพร้อมใจกันนำจานข้าวไปคืนแก่นาย ถ้าพวกเรามีความกล้าหาญมากพอ อีกทั้งสามารถค้นหานายพบ ด้วยนายก็มิได้แตกต่างไปจากสรรพสิ่งใด ๆ บนดินแดนที่นายครอบครองอยู่เลย นายคงเป็นเช่นหลอดไฟบนเพดานที่ติด ๆ ดับ ๆ หรือสิ่งของในตู้ที่บางครั้งมีอยู่ แต่บางครั้งก็หายไป
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเวลาที่นายหายไปเช่นในยามนี้ แต่หากวันใดนายหวนคืนกลับมา สิ่งแรกที่ฉันจะบอกก็คือ…ฉันไม่ต้องการจานข้าวของนายอีกแล้ว.
(พิมพ์ครั้งแรก จุดประกายวรรณกรรม 26 มิถุนายน พ.ศ. 2548 )