เรื่องสั้น “ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น "ผมแค่จะออกไปเดินเล่น" โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์

ตั้งแต่จำความได้  เขาก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นมาเยือนโลกนี้ด้วยเหตุผลใด  แน่นอน  เขามาโลกนี้ในฐานะมนุษย์ผู้มีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด  และต้องการใช้มันเพื่อออกไปเดินเล่นเท่านั้น  แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะอะไรกันนะ  เขามักจะตั้งคำถามเช่นนี้อยู่เสมอ

สมัยเป็นเด็ก  เมื่อรู้ตัวว่าต้องไปโรงเรียนเพื่อนั่งอยู่ในห้องอันแออัดทั้งวันเหมือนกับพวกพี่ ๆ  เขาเคยขอร้องพ่อกับแม่ว่า “ไม่ไปที่นั่นไม่ได้หรือ  ผมไม่อยากไป  ผมมาโลกนี้เพื่อการเดินเล่นอย่างมีความสุขเท่านั้น” พ่อกับแม่ทำท่าประหลาดใจแกมขบขัน  เขาถึงกับร้องไห้ออกมา  เขาร้องไห้อยู่เป็นเดือน  และในเช้าวันแรกของการเปิดภาคเรียน  ทันทีที่จะถูกจับแต่งเครื่องแบบนักเรียน  เขาก็เดินหลบออกไปทางประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับสวนสาธารณะ 

“อ้าว  จะหนีไปไหนกัน  ไม่ได้นะ” แม่ตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด  ขณะที่พ่อหัวเราะชอบใจ  แต่หยิบไม้เรียวมาหวดลมเล่นไปมา  

 “ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” เขาตอบ  ก่อนจะเดินน้ำตาซึมกลับเข้าบ้าน  

“ไม่ได้  ลูกต้องไปเรียนหนังสือ  รู้ไหมมันเป็นหน้าที่” แม่พูดพร้อมกับดึงเขาเข้าไปกอดอย่างปลอบโยนและรักใคร่

เหตุการณ์ในวัยเยาว์ครั้งนั้นเป็นแค่การเริ่มต้น เมื่อเขาเติบโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เขาก็ตระหนักดีว่าการจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจนั้นเป็นเรื่องทำได้ยาก  ทุก ๆ ครั้งที่เขาคิดจะเดินไปไหนต่อไหน  ก็จะมีการยัดเยียดคำว่า “หน้าที่” หรือเรียกร้องเอาความรับผิดชอบจากเขาเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นที่เขาต้องการไว้ผมยาวแต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาต  หรือการจำใจเรียนในสาขาที่พ่อกับแม่คิดเอาไว้แล้ว  ใช่ เขาอยากเป็นนักวาดรูปธรรมดา ๆ คนหนึ่งผู้บันทึกความงามของสรรพสิ่งรอบตัว  แต่แล้วเขากลับต้องเลือกเรียนกฎหมายในที่สุด

“ตระกูลของเราเป็นนักกฎหมายมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่” พ่อเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเตือนในวันหนึ่ง

“ผมไม่อยากเรียนครับพ่อ ผมขอเรียนศิลปะไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้  มันเป็นหน้าที่”

“โธ่  ผมแค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น”

เขาจำต้องเลือกเดินบนเส้นทางสายที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  ความอ่อนโยนในหัวใจทำให้เขาไม่อาจทำให้ผู้มีพระคุณผิดหวัง  แม้กระนั้นในจิตใจเบื้องลึกก็ยังคงปรารถนาการออกไปเดินเล่นอย่างอิสระเสรี  เขาเฝ้าแต่หวังว่าคงมีสักวันหนึ่ง วันที่เขาสามารถออกไปเดินเล่นได้ตามใจชอบ  จะไม่มีใครมาขัดขวางหรืออ้างเหตุผลใด ๆ คัดค้านอีก  ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะในสายตาของคนอื่นแล้ว  มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ของตนเสมอ

หลังจบการศึกษา  เขายึดเอาอาชีพทนายความหาเลี้ยงชีพตามธรรมเนียมของครอบครัว  ความเข้มงวดของพ่อกับแม่ทำให้เขาไม่มีเวลาใส่ใจกับเรื่องความรักเยี่ยงคนหนุ่มสาวทั่วไป  ทุกวันมีแต่ความเคร่งเครียดกับการงาน   ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาหลงลืมความต้องการที่จะออกไปเดินเล่นได้บ้าง  งานหนักกดทับความคิดฝันของเขาไว้จนแทบจะบี้แบนติดพื้นดิน  แต่แล้ววันหนึ่งมันกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อเขาได้รับมอบหมายจากสำนักงานให้เข้าไปดูแลลูกความคนหนึ่ง  ลูกความผู้นี้ตกเป็นจำเลยในคดีข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวที่น่าสงสาร   มิหนำซ้ำยังอ่อนแอต่อการเรียกร้องหาความยุติธรรมอีกด้วย   จำเลยสารภาพความจริงต่อเขาว่าลงมือข่มขืนเธอจริงเพราะความมึนเมา  ไม่ได้ถูกใส่ร้ายแต่อย่างใด  เมื่อรู้เช่นนี้เขาจึงปฏิเสธที่จะแก้ต่างให้  เขาเห็นว่าชายผู้นี้สมควรสารภาพต่อศาลไปตามความจริง  แทนการใช้ทนายความอย่างเขาช่วยหาช่องโหว่ของกฎหมาย  หรือใช้เล่ห์กลใด ๆ มาทำให้พ้นผิด  แต่หัวหน้าของเขาไม่คิดเช่นนั้น

“เป็นหน้าที่ของทนาย  เป็นหน้าที่ของคุณ  เข้าใจไหม  คุณต้องช่วยลูกความรายนี้”

“แต่เขาผิดจริง ๆ นี่ครับ  แล้วทำไมเราต้องทำให้คดีพลิกไปจากความเป็นจริงด้วยล่ะครับ”

“อ้าว  ไม่งั้นเขาจะมีทนายไว้ทำไมกันล่ะ  คุณก็ทำเป็นซื่อไปได้”

“ไม่ล่ะครับ  ผมทำให้ดำเป็นขาวไม่ได้”

“บอกแล้วไง  นี่คือหน้าที่  และคุณต้องทำ  เอ๊ะ ผมพูดยังไม่ทันจบเลย  นี่คุณจะไปไหน”

“ผมแค่จะออกไปเดินเล่นครับ”

“ไม่ได้  กลับมาทำหน้าที่ของคุณก่อน”

ผลสุดท้ายเขาก็ต้องว่าความให้แก่ลูกความอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  คดีสิ้นสุดลงที่ชัยชนะของเขาและจำเลย  ซึ่งในความรู้สึกของเขาแล้วชัยชนะครั้งนี้ก็ไม่ต่างไปจากมืออันหยาบกร้าน  ที่กระชากเขาเข้าไปตบซ้ายตบขวาอย่างรุนแรง จนรวดร้าวเข้าไปถึงหัวใจ   

แน่นอน   เขายังคงมีหัวใจอยู่   แต่มันทำให้เขาเก็บตัวเศร้าซึมอยู่กับบ้าน  ไม่คิดจะไปทำงานอีก  เฝ้าแต่นึกถึงใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวเคราะห์ร้ายตอนฟังคำพิพากษา  เขาจำหยาดน้ำตาเปียกชื้นของเธอได้เป็นอย่างดี  เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดซึ่งเกิดจากความพ่ายแพ้ในดวงตาคู่นั้น  ดวงตาของเธอราวกับจะฟ้องว่า  เขาเองคือผู้ที่ได้ข่มขืนเธอเป็นคนที่สอง  และนั่นทำให้เขาสะเทือนใจยิ่งนัก  จนกระทั่งอยากจะออกเดินอีกครั้ง  ไม่ใช่เพื่อเดินเล่นอย่างที่แล้วมา  แต่เพื่อตรงไปหาหญิงสาวและปลอบประโลมให้เธอหายเศร้า  เขาไม่อาจปิดกั้นหรือเก็บกดความคิดดังกล่าวเอาไว้   จึงได้ระบายให้พ่อกับแม่ฟัง

“ไม่ได้การ ลูกเรามันเป็นอะไรไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างขัดเคือง “นี่คิดว่าตัวเองเป็นนักอุดมคติหรืออย่างไร”

“อย่าคิดมากเลย ลูกเอ๊ย สิ่งที่ลูกทำลงไปมันเป็นหน้าที่เท่านั้น  ถ้าลูกไม่ทำ คนอื่นเขาก็ต้องทำ” แม่ทำเสียงเย็น ๆ เหมือนคนเข้าใจโลก

ในเวลาต่อมาพ่อกับแม่ของเขาก็ปรึกษากัน  ทั้งสองเห็นตรงกันว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะมีครอบครัว  หน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น  ก็คงทำให้เขายุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านได้อีก

“มันจะได้ไม่มีเวลาเหลือพอจะร้องขอออกไปเดินเล่น” พ่อสรุปโดยไม่ฟังคำโต้แย้งของเขา  ส่วนแม่ก็เป็นผู้สนับสนุนพ่อตลอดกาล  มิหนำซ้ำยังพูดไกลไปถึงการได้อุ้มหลานอย่างกระตือรือร้น

ผู้หญิงคนที่พ่อกับแม่พาเขาไปดูตัวนั้น  แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารัก  อีกทั้งยังมีชาติตระกูลและการศึกษาดี   แต่ไม่ได้ทำให้เขาปลาบปลื้มหรือหลงใหลอะไรเลย   เขาไม่อาจทำใจได้ว่า  ยุคสมัยนี้ยังมีการใช้ประเพณีคลุมถุงชนอยู่อีก

“คลุมถุงชนที่ไหนกัน” พ่อแย้งอย่างขัดใจ “ทั้งสองฝ่ายให้เวลาทำความรู้จักกันสักพัก  พาน้องเขาไปเที่ยวสักสามสี่หน  แล้วค่อยหาฤกษ์ยามแต่งกัน  ฝ่ายโน้นเขาก็ออกจะชื่นชมเราอยู่จนออกนอกหน้า”

“ไม่แต่งไม่ได้หรือครับ  ผมยังไม่พร้อม  ผมอยากออกไปเดินเล่นมากกว่า  ผมอยากเดินไปหาผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น”

“ไม่แต่งแล้วใครจะสืบตระกูลของเรา  อย่าพูดอีกว่าจะออกไปเดินเล่น  มันเป็นเรื่องบ้าบอ  เฮ้อ  วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าเศร้า  ลืมผู้หญิงคนนั้นไปได้แล้ว”

“ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาดวงตามีแววเศร้าสร้อย  รู้ดีว่าเป็นคำพูดเปล่าประโยชน์  ถึงอย่างไรเขาก็ต้องแต่งงานในไม่ช้านี้  ถ้าขืนคัดค้านต่อไปอีก  ไม่พ่อหรือแม่ก็ต้องเตือนสติเขาว่า “มันเป็นหน้าที่”

ในที่สุด หญิงสาวที่พ่อแม่หามาให้ก็เข้าพิธีสมรสกับเขา  ทั้งสองย้ายไปอยู่ในเรือนหอซึ่งเป็นบ้านหลังกะทัดรัด ปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ของพ่อตาแม่ยาย  ชีวิตครอบครัวเยี่ยงหนุ่มสาวทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้น  เนื่องจากภรรยาเป็นคนสุภาพและช่างเอาใจ  เขาจึงหลงลืมเรื่องการออกไปเดินเล่นอยู่พักใหญ่  วันหนึ่ง ๆ หากไม่ไปทำงานที่บริษัทของพ่อตาในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย  เขาก็จะพาภรรยาออกไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่าง ๆ เยี่ยงคนมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ  ราวกับว่าต้องการชดเชยให้กับความปรารถนาที่เกิดขึ้นครั้งยังเยาว์  ซึ่งดูเหมือนกำลังสูญหายไปตามกาลเวลา  กระทั่งเย็นวันหนึ่งภรรยาของเขาได้เอ่ยปากเรื่องการมีทายาทขึ้นมา

“เราก็แต่งงานกันมานานแล้วนะคะ  ญาติ ๆ ชอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีลูก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา  แต่ก็มีร่องรอยของการคาดคั้นขอคำตอบอยู่ในที

“เราต้องมีลูกด้วยหรือ  พี่ไม่อยากมีเลย  รู้สึกว่าการมีลูกจะทำให้เราขาดอิสระไปมากนะ  อย่างที่เขาพูดกันว่าลูกเป็นห่วงผูกคอไงล่ะ”

ถึงตรงนี้ภรรยาของเขาก็หัวเราะ  แล้วกล่าวแย้งว่า “แต่ก็มีนี่คะที่เขาบอกว่าลูกคือโซ่ทองคล้องใจ  ตอนนี้พ่อกับแม่คงอยากอุ้มหลานกันเต็มแก่แล้ว  เรามีแค่สองคนก็พอ จะได้เลี้ยงพวกเขาให้มีคุณภาพได้เต็มที่”

“พี่แค่อยากออกไปเดินเล่น  ใช่ พี่แค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น  แต่พี่รู้ว่าพี่คงไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้  เพราะอะไรรู้ไหมจ๊ะ” เขาถามพลางมองสบตาภรรยา

“เพราะมันเป็นหน้าที่” ภรรยาและเขาพูดขึ้นพร้อม ๆ กัน  แต่เรื่องมันต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งหัวเราะอย่างขบขัน  ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งแทบจะร้องไห้ออกมา

ชีวิตของเขาดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นในสายตาของผู้คนในสังคม  เขามีลูกชายหญิงสองคนตามความต้องการของผู้ใหญ่และภรรยา   ส่วนหน้าที่การงานตลอดจนความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นตามอายุ   

เขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มร่างโปร่งบางกลายเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่  เส้นผมดกดำหายไปและถูกแทนที่ด้วยผมหงอกแซมอยู่บนหัว  การกินดีอยู่ดีทำให้ร่างกายของเขาอุดมไปด้วยไขมันและโรคของคนชั้นกลาง  ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  และไขข้ออักเสบ   นั่นคงเป็นเพราะเขาไม่เคยได้ออกไปเดินเล่นเลย  แม้บัดนี้ฐานะของเขาว่าไปแล้วคือผู้นำครอบครัวอย่างแท้จริง   พวกผู้ใหญ่ในอดีตไม่ได้เข้ามาบังคับให้เขาต้องทำอะไรอีก   แต่เขาก็ไม่สามารถทำตามใจชอบได้อย่างที่เคยปรารถนา   เขาทำได้เพียงแค่ดูแลธุรกิจของตระกูลให้เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง  คอยดูแลลูกเมียให้เต็มไปด้วยความอบอุ่น  ทั้ง ๆ ที่หากเขาจะออกไปเดินเล่นก็คงไม่มีใครกล้าคัดค้าน  หรือว่าจะมีเขาเองก็ไม่แน่ใจ  บางครั้งเขาก็สงสัยว่าตัวเองคงจะไม่ต้องการออกไปเดินเล่นอีกแล้วกระมัง

วันหนึ่งเขาเกิดอาการหน้ามืดในห้องน้ำและล้มลงก้นกระแทกพื้น  ผลปรากฏว่ากระดูกเชิงกรานหัก  ร่างกายซีกหนึ่งกลายเป็นอัมพาต  พูดไม่ได้  เขาต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานจนน่าเบื่อ  ท่ามกลางการดูแลเอาใจใส่จากลูกเมีย  รวมทั้งแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นดี   อย่างไรก็ตาม  อาการของเขาทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นต้องให้อาหารเหลวผ่านท่อและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ   

ใครต่อใครพากันคร่ำครวญกลัวว่าเขาจะจากไป แต่เขากลับนอนยิ้มอยู่บนเตียง  พร้อมกับคิดว่าคนเราส่วนใหญ่มักกลัวโลกหลังความตาย   ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย   มิหนำซ้ำยังคิดอย่างยินดีว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะได้ออกไปเดินเล่นเสียที   ใช่แล้ว  เขาจะเดินออกจากที่นี่  ไปจากโลกนี้ เพื่อเดินเล่นตลอดกาล

“คุณหมอคะ อย่าปล่อยให้สามีของดิฉันเป็นอะไรไปนะคะ  ขอให้ช่วยเต็มที่  เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีปัญหา  ครอบครัวเราจะจ่ายเต็มที่  ขอแค่ให้พี่เขายังมีลมหายใจอยู่  แม้จะนอนนิ่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ”

“ครับคุณหมอ  ช่วยยื้อชีวิตของคุณพ่อผมไว้ด้วยนะครับ  คุณพ่อต้องเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราไปอีกนาน ๆ ”

“หนูรักคุณพ่อ  อย่าให้คุณพ่อตายนะคะ  หนูอยากให้คุณพ่ออยู่กับหนูทุกวัน”

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมาตรวจเยี่ยมได้หันไปกำชับนายแพทย์คนหนึ่งให้ดูแลเขาจนสุดความสามารถ  เครื่องมือทันสมัยที่ใช้พยุงชีวิตเท่าที่มีอยู่ได้ถูกนำมาใช้อย่างครบถ้วน  เขาเฝ้ามองการทำงานและอากัปกิริยาของคนรอบข้างอย่างโศกเศร้าแกมผิดหวัง   หรือว่าทั้งหมดนี้คือหน้าที่อีกประการหนึ่งของเขา   เขาจะตายไม่ได้ใช่ไหม   เขามองสบตากับนายแพทย์คนนั้น  และถ้าเขาพูดได้เขาก็อยากจะพูดว่า

“เอาเครื่องช่วยหายใจออกได้ไหมครับคุณหมอ   ถอดออกเถอะ  ไม่ต้องห่วงผมหรอก  ผมแค่จะออกไปเดินเล่น” .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารช่อการะเกด ฉบับ 44 เม.ย – ก.ค 2551

ใส่ความเห็น