อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์
ยามบ่ายของวันอาทิตย์ ถนนในตัวอำเภอชะอำดูหงอยเหงา คงเป็นเพราะฝนที่ตกปรอย ๆ ลงมาจากท้องฟ้าสีเทาอันหม่นหมองนั่นเอง บรรดาตึกรามร้านรวงสองฟากฝั่งถนนนราธิปจึงพากันปิดประตูเงียบงัน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังทอดร่างหลับไหล
ผมเดินอยู่ตามลำพังด้วยความรู้สึกว่าการห่างหายไปนานถึงสามเดือน ไม่ได้ทำให้เมืองนี้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แต่ผมกลับมาที่นี่ทำไมกันนะ ผมถามตัวเอง แล้วตระหนักได้ว่าคำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับภาพเขียนสีชอล์กบนแผ่นกระดาษที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยลุงเปี๊ยก ซึ่งเวลานี้ม้วนเป็นทรงกระบอกยาวอยู่ในมือของผม
ความจริงลุงเปี๊ยกมอบภาพนี้ให้ผมด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่งผมก็คิดว่าไม่ควรรับมาเลย แน่นอน นั่นเป็นเพราะลุงเปี๊ยกรักภาพเขียนทุกภาพมาก แกทะนุถนอมผลงานด้วยการม้วนแล้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์หนา ๆ ภาพที่ผมนำติดมือมาก็เช่นกัน เพียงแต่วันนี้หุ้มพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อกันฝน
“คิดยังไงเอ็งถึงได้เลือกเอาภาพสุดรักสุดหวงของลุงวะ” ลุงเปี๊ยกเคยถามในวันที่มอบให้เป็นของที่ระลึก เมื่อรู้ว่าผมกำลังจะย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น
“อาจเป็นเพราะดวงตาของนางแบบกระมังครับ ดูมีเสน่ห์จับใจมากที่สุด ที่สำคัญผมเพิ่งเคยเห็นภาพนี้ด้วย ลุงเปี๊ยกไม่เคยนำออกมาอวดเลย” ผมตอบและกวาดสายตามองดูภาพอื่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพวาดครึ่งตัวของหญิงสาว 7-8 คน ใช้เทคนิคสีชอล์กบนกระดาษในรูปแบบเหมือนจริง
“รักครั้งแรกของลุงเอง นางแบบภาพพอทเตรทคนนี้น่ะ เป็นคนรักคนแรกกับความหวานชื่นยิ่งกว่ารักครั้งไหน ๆ รู้อะไรมั้ย ลุงสู้เก็บงำเก็บซ่อนมาหลายสิบปีแล้วว่ะ เวลาเมียไม่อยู่ก็จะรื้อออกมาดูย้อนความหลังเล่นซะทีนึง แต่มันก็แค่ความหลังนั่นแหละว้า เหมือนกับความฝัน ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว”
แม้ลุงเปี๊ยกจะกล่าวออกมาเหมือนไม่ใส่ใจไยดี ทว่าดวงตาที่เคยฝ้าฟางและอ่อนล้ากลับเปล่งประกายขึ้น จนเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาไม่ต่างจากสายตาของคนหนุ่ม กี่ครั้งกันนะที่ผมได้เห็นแววตาของแกเป็นเช่นนั้น ผมครุ่นคิดและตั้งคำถาม พร้อมกันนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ข้างหน้า ไม่นานนักก็ทิ้งถนนนราธิปที่กำลังง่วงเหงาไว้ทางเบื้องหลัง
ตั้งแต่รู้จักกับลุงเปี๊ยกครั้งย้ายมาอยู่ชะอำใหม่ ๆ ผมมักจะรู้สึกว่าเวลาที่ชายชราเล่าเรื่องราวในอดีต แกช่างดูมีชีวิตชีวาอย่างเหลือเชื่อ เรื่องเล่าอันแจ่มชัดมักหลุดออกจากปากในระหว่างการรอคอยลูกค้ามาตัดผม ซึ่งก็นานเหลือเกินกว่าจะมีใครแวะเวียนเข้ามาภายในร้านซอมซ่อใต้ถุนบ้านของแก ดูเหมือนความหลังที่เจิดจ้าอยู่ในความทรงจำจะทำให้ผู้เล่ากลับกลายเป็นคนหนุ่มได้เสมอ แน่นอน ลุงเปี๊ยกยามพูดถึงเรื่องราวในอดีต แกจะดูราวกับคนหนุ่มที่มากล้นไปด้วยพลังแห่งความรักและความฝัน แต่ไม่นานนัก หลังจากเรื่องราวบางฉากบางตอนจบลง แกก็จะกลับไปเป็นชายชราผู้ทรุดโทรมสิ้นหวังดุจเดิม
น่าประหลาดใจที่ชายชราที่ว่านี้ทำให้ผมคิดถึงได้เสมอ ดังนั้นในวันว่างผมจึงชอบเดินออกจากห้องเช่าเพื่อไปสนทนากับลุงเปี๊ยกโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก นอกจากนิยายชีวิตตอนใหม่ของแกเท่านั้น บางครั้งก็ใช้บริการตัดผมของแกบ้างเป็นการเอาใจ ทว่าลุงเปี๊ยกรู้ทัน เพราะผมมักจะขอให้แกเล็มแค่ปลายผมเล็กน้อยเท่านั้น แต่จ่ายเงินตามปกติ ตอนหลังแกเลยไม่ยอมรับเงินจากผม
“ลุงเห็นเอ็งเหมือนลูกหลานว่ะ ไม่คิดเงินหรอก” ลุงเปี๊ยกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเครือ ๆ ทว่าอ่อนโยน ใบหน้าตกกระที่เรียวยาวกว่าคนปกติ และแก้มตอบเหี่ยวย่นของแกเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถึงกระนั้นดวงตาขุ่นฝ้าที่จมอยู่ในเบ้า ซึ่งเกลื่อนด้วยรอยตีนกา กลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าลึกซึ้ง ผมเคยเฝ้าอ่านความหมายในดวงตาของแกเสมอ เฝ้ามองดูลักษณะภายนอกของชายวัยเจ็บสิบ ผู้เป็นเจ้าของความร่วงโรยอันเกิดจากฝีมือของกาลเวลา เส้นผมบาง ๆ ขาวโพลนทั่วศีรษะของแกราวกับจะบอกว่าสำหรับลุงเปี๊ยกแล้ว โลกนี้ไม่มีความหวังเรืองรองใด ๆ อย่างที่เราจะพบเห็นกันได้ก็แต่ในคนหนุ่มสาวเท่านั้น
แล้วด้วยเหตุผลใดกันเล่า ในเวลาต่อมาผมจึงไปหาลุงเปี๊ยกที่ร้านตัดผมทุกวัน แม้ว่าวันนั้นงานของผมจะยุ่งมากที่สุดก็ตาม บางทีถ้าไม่นับนิยายชีวิตของแก ก็คงเป็นรอยยิ้มนาน ๆ ครั้งของแกนั่นแหละ รอยยิ้มของลุงเปี๊ยกจะเปล่งประกายขึ้นในยามที่แกมีโอกาสได้เล่าความหลังหรือนิยายของแกอย่างออกรสชาติ
“ลุงเปี๊ยกน่าจะไปเป็นนักเขียนนะครับ ผมว่าลุงเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีคนนึง” ผมเคยแสดงความคิดเห็นแกมสัพยอกแกเล่น
“นักเขียนงั้นเรอะ ก็นักประพันธ์น่ะซี” ลุงเปี๊ยกพูดพลางทำสีหน้าขึงขัง
“ฮึ เอ็งนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว สมัยก่อนลุงเคยเขียนนิยายไว้เยอะพอตัว แนวบู๊โลดโผนนี่ถนัดมาก เคยตีพิมพ์ในนิตยสารสมัยโน้นด้วยนะเว้ย ดังถึงขนาดมีคนมาขอซื้อแน่ะ บอกว่าจะเอาไปสร้างเป็นหนังจอเงินให้มิตรเล่นคู่กับเพชรา แต่สุดท้ายเงียบไป ลุงก็เฉยไม่ได้ตามทวงถาม นักเขียนเราไม่ควรคลานเข้าไปง้อนายทุนหรอกเว้ย มันต้องมีศักดิ์ศรี อีกอย่างช่วงนั้นกำลังอกหักพอดี พาลเลิกเขียนนิยายไปเลย เออ อย่ายิ้มยังงั้น สมัยก่อนลุงหล่อนะโว้ย อย่าให้คุย แต่เจ้าหล่อนทนความจนกับความขี้เมาของลุงไม่ไหวก็เลยบอกศาลา เราแยกทางเดินกันด้วยความเจ็บปวด ลุงมักจะเอาภาพพอทเตรทที่หล่อนนั่งเป็นนางแบบให้ลุงวาดออกมาดูเสมอ ฝีมือวาดภาพเหมือนของลุงใช้ได้เลยนะ อยากดูไหมล่ะ เออ…เอาไว้วันหลัง วันนี้อีแก่มันไม่ยอมออกไปไหน รู้มั้ย คนรักคนแรกและคนเก่า ๆ อีกหลายคนของลุงล้วนแต่หน้าตาแจ่ม ๆ ทั้งนั้น อ้าว…เฮ้ย ทำไมต้องอมยิ้มด้วย ไม่เชื่อใช่มั้ย เอ็งนี่มันน่าเตะจริง ๆ ซีวะ พับผ่าเอ๊ย”
ลุงเปี๊ยกพูดไปเหนื่อยหอบไป แต่ก็มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าและในดวงตา ราวกับการพูดออกมานั้นคือการไขว่คว้า หาความสุขในวัยชราของตัวแกเอง หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่า การพูดถึงคนรักในวัยหนุ่มทำให้ภาพในอดีตของแกชัดเจนมากขึ้น มีตัวตนมากขึ้น ไม่รางเลือนเหมือนตอนที่เก็บงำไว้ในหัวใจ
“ทำไมลุงเปี๊ยกถึงได้ปิดเรื่องนี้ไว้ล่ะครับ แถวนี้ไม่มีใครรู้เลยว่า…”
“พูดไปก็อายปากว่ะ เชอะ นักประพันธ์ มันเป็นความหลังไปหมดแล้ว คนเราควรอยู่กับวันนี้ไม่ใช่เรอะ ใช่ไหมล่ะ อดีตแม้จะหอมหวานยังไงมันก็เป็นได้แค่ความฝัน” ตอนท้ายลุงเปี๊ยกลดเสียงลงจนกลายเป็นพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง ท่าทางของแกดูแก่ขึ้นไปอีกสักสิบปี
เวลานั้นผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าในอนาคตเมื่อผมมีอายุเท่ากับแก ผมจะมีชีวิตเหมือนหรือแตกต่างไปอย่างไรบ้าง สภาพชีวิตของลุงเปี๊ยกในช่วงบั้นปลายทำให้ผมหวั่นไหว เมียของลุงเปี๊ยกไม่ได้ดูแลแกเลย เรื่องการอยู่การกินลุงเปี๊ยกต้องจัดการเองทั้งสิ้น คนในวัยปูนนี้ออกจะงก ๆ เงิ่น ๆ ทำอะไรก็ช้าจนน่ารำคาญในสายตาของคนที่ไม่เข้าใจ ผมรู้สึกสงสารแกเสมอ โดยเฉพาะหากบังเอิญเห็นแกเดินกระย่องกระแย่งออกไปหาซื้ออาหารมากินตามลำพัง
จริงอยู่ที่ร้านข้าวแกงในตลาดเทศบาลชะอำ ไม่ได้อยู่ไกลจากร้านตัดผมของลุงเปี๊ยกมากนัก แต่ก็นับว่าไกลโขสำหรับคนในวัยเจ็ดสิบอย่างนี้ ดังนั้นก่อนจะแวะไปคุยด้วย ผมมักเข้าตลาดเพื่อหาซื้อของกินไปฝากแก โดยกะให้ทันเวลาอาหารมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น ซึ่งลุงเปี๊ยกก็จะบ่นอย่างเกรงอกเกรงใจ มิหนำซ้ำยังห้ามปรามอีก แต่ผมรู้สึกว่าแกกินอาหารได้อร่อยเป็นพิเศษหากเป็นของฝากจากผม ถึงแม้หลายต่อหลายครั้งดวงตาของแกจะเปียกชื้น แน่นอน มันเป็นประกายยามกระทบแสง สวยงามแต่แสนเศร้า หัวใจของแกคงเต็มไปด้วยความตื้นตันจนไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้
“ไม่มีใครอยากเอาใจใส่หรอก คนแก่น่ะ” ลุงเปี๊ยกบ่นให้ฟังหลังอาหารเย็นวันหนึ่ง “เว้นเสียก็แต่คนแก่รวย ๆ นั่นอาจเป็นข้อยกเว้น แต่ลุงก็ไม่เคยรวยซะที สมัยก่อนตอนทำงานหนังสือพิมพ์ เขียนนิยายไปด้วย ลุงก็เฟื่องพอตัว ลุงแต่งตัวดีทันสมัยเชียว มีเงินออกไปเที่ยวเตร่เสมอ รู้ไหมลุงลุยมาหมดแล้ว ไล่ตั้งแต่ย่านตลาดนางเลิ้ง บางลำพู มาจนถึงแถวเสาชิงช้า หน้าพระลาน ร้านดัง ๆ อย่างพูลสิน อันเฮียงเหลา เทียนซ้ง หรือมิ่งหลี ลุงเข้าไปกินเข้าไปเมานับครั้งไม่ถ้วน กินกับพวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ นักประพันธ์ด้วยกันนั่นแหละ เฮ้อ…ว่าไปแล้วมันก็เป็นการฝันถึงอดีตตามประสาคนแก่ แต่เมื่อกี้ลุงว่าไงนะ ว่าลุงฝันงั้นเรอะ ไม่ใช่ ๆ ลุงเลิกฝันถึงทุกเรื่องมานานเต็มทีแล้ว แม้แต่เรื่องรวย อันที่จริงรวยได้ก็ดีเหมือนกันนะ คงมีคนห้อมล้อมมากหน้าหลายตา เอ็งเห็นด้วยมั้ยวะ เออ แต่ตอนนี้ลุงไม่รวย เป็นแค่คนแก่ ทำไมเอ็งถึงยังมาเสนอหน้าอยู่บ่อย ๆ ล่ะ”
พูดจบลุงเปี๊ยกก็จ้องมองผมด้วยแววตาประหลาดใจ คิ้วขาวบางขมวดชิด แกมักทำแบบนี้เสมอ นั่นยิ่งทำให้หน้าผากที่ย่นอยู่แล้วเป็นริ้วลึกมากขึ้น เสมือนหนึ่งเป็นจารึกบอกเล่าอดีตของผู้พูดเอง
การได้พบปะกันประจำทำให้ลุงเปี๊ยกกับผมสนิทชิดเชื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเมียแกไม่อยู่บ้าน และคาดคะเนได้ว่าคงออกไปนาน แกจะทยอยนำภาพอดีตคนรักออกมาอวดผมทีละภาพสองภาพ (ยกเว้นภาพหญิงสาวคนแรกของแก) ทุกภาพม้วนห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แกทะนุถนอมมันเหมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่หาไม่ได้อีกแล้ว
“ให้กลับไปเขียนอีกก็ไม่ไหว ทำไม่ได้หรอก ฝีมือมันหดหาย…หายไปเหมือนกับความเป็นหนุ่มนั่นแหละ” แกทำสีหน้าปลง ๆ นัยน์ตาลอยไร้จุดหมาย
“แล้วเรื่องเขียนหนังสือล่ะครับ ลุงไม่คิดจะเขียนอีกหรือ”
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่” ลุงเปี๊ยกใช้หลังมือขยี้ตาเบา ๆ แต่ทำเป็นกลบเกลื่อนด้วยการบ่นว่าคันตรงหัวตา จากนั้นพูดต่อไปว่า “ลุงไม่มีอะไรให้จินตนาการอีกแล้ว หรือเอ็งคิดยังไง เฮ้อ ไม่เอา ๆ อย่าไปพูดถึงมันเลย”
ผมจำได้ว่าตัวเองมองหน้าลุงเปี๊ยก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ลองดูซีครับ ลุงน่าจะทำได้ อย่างที่เขาพูดกันว่า…ไม่มีใครแก่เกินฝันไงครับ”
แกทำเป็นนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปที
“ว่างแล้วจะลองดู แต่ลุงไม่รับปากหรอกว่ะ แค่หน้าเดียวจะเขียนได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย ถ้าเขียนก็คงเป็นแนวอะไรนะ ที่เขาเรียกว่า….อัตตะ ๆ เอ้อ อัตตะอะไรว้า สมองคนแก่นี่มันคิดอะไรไม่ออกอยู่เรื่อย เหมือนมีผีเสื้อตัวสวยบินผ่านมาให้ไขว่คว้า ครั้นจะคว้าได้ก็บินหายไปซะดื้อ ๆ”
“อัตชีวประวัติใช่มั้ยครับ” ผมโพล่งออกไป
ลุงเปี๊ยกหัวเราะปากกว้าง มองเห็นฟันเหลืองโยกเยกที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่ แกว่า “ใช่ ๆ มันน่าลองเหมือนกันนะ นิยายเชิงอัตชีวประวัติของคนแก่หมดสภาพคนหนึ่ง เขียนให้ได้ซักตอน แล้วลุงจะให้เอ็งลองอ่านดู” กล่าวจบแกก็หัวเราะอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหมือนเยาะเย้ยอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมไม่แน่ใจนัก อาจเป็นชีวิตของแกเองก็เป็นได้
“แค่ลุงคิดและลงมือเขียน ลุงก็ได้ชื่อว่ากลับมาเป็นนักเขียนแล้วละครับ” ผมพยายามให้กำลังใจ
น่าเสียดาย หลังจากลุงเปี๊ยกรับปากจะเขียนนิยายเรื่องใหม่ของแก แทนการเล่าออกมาอย่างไม่ต่อเนื่องเหมือนที่แล้ว ๆ มา ผมก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับงานของตัวเอง อีกทั้งต้องวางแผนโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้มีเวลาให้กำลังใจ หรือทวงถามแกเรื่องงานเขียนอีก
ลุงเปี๊ยกมารู้ว่าผมจะย้ายบ้านก็แค่สองสามวันก่อนขนของ แกทำท่ายิ้มแย้มสบายอารมณ์พร้อมกับให้ศีลให้พร ทว่านัยน์ตาของแกอ่อนแสงลงเหมือนตะเกียงใกล้ดับ ดูเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้งที่แกเคยถ่ายทอดความเศร้าออกมาให้ผมรับรู้ แล้วก็เป็นครั้งนั้นเองที่แกได้เปิดโอกาสให้ผมเลือกภาพเหมือนคนรักของแกไว้เป็นที่ระลึกในยามจากกัน
“ลุงเปี๊ยกไม่เสียดายหรือครับ อุตส่าห์เก็บรักษามานาน อย่าเลย ผมรู้ดีว่ามันมีค่าแก่หัวใจของลุงมาก เก็บไว้เถอะครับ รับรองผมไม่ลืมลุงหรอก” ผมปลอบใจแก ขณะเดียวกันก็พยายามฝืนหัวเราะออกมา ซึ่งฟังดูไม่เข้ากับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรน่า แค่เอ็งดูแลรักษาไว้แทนลุงก็พอ อย่าทิ้งขว้าง นั่นมันภาพคนรักคนแรกของลุงเชียวนะโว้ย” ลุงเปี๊ยกพยายามทำน้ำเสียงติดตลกตามผม แต่คนในวัยขนาดนี้ทำอะไรก็ไม่ตลกเสียแล้ว ผมเกือบจะคิดว่าลุงเปี๊ยกจะร้องไห้ออกมาให้เห็นด้วยซ้ำ แกคงรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาจับใจ และต้องยอมรับว่าต่อแต่นี้ไป จะไม่มีเพื่อนคราวลูกคราวหลานมานั่งฟังอดีตของแกอีกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ผมก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ฝนปรอย ๆ เพิ่งจะขาดเม็ด บ้านและร้านตัดผมของลุงเปี๊ยกปรากฏขึ้นในสายตาของผม อีกไม่กี่นาทีเราสองคนก็จะได้พบกัน ไม่แน่นัก แกอาจดีใจที่เห็นผมมาเยี่ยมโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า จนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาพราก ๆ ก็เป็นได้ ความคิดนี้ทำให้ผมอมยิ้ม ก้มมองม้วนภาพเขียนในมือที่ตั้งใจเอามาคืน มีร่องรอยหยดฝนเล็กน้อยบนห่อพลาสติก ผมบอกตัวเองว่าอดีตของแกก็ควรอยู่กับแก แทนที่จะอยู่กับคนอื่น
ตอนที่เดินไปถึงหน้าบ้านของลุงเปี๊ยก ประตูรั้วล็อคกุญแจไว้ ประตูบ้านด้านในปิดเงียบ ผมชะเง้อมองเข้าไปจึงเห็นว่าเก้าอี้ตัดผมไม่อยู่ที่เดิมเสียแล้ว ความรู้สึกว่างโหวงผุดขึ้นภายในใจ เวลานั้นกลีบดอกไม้สีเหลืองบอบบางที่ผมไม่รู้จักได้ปลิวมาหล่นลงตรงแขนของผม
ผมกดกริ่งที่เสาประตูรั้วสองครั้งติดกัน ทว่านานหลายอึดใจกว่าจะมีเสียงถอดกลอนประตูบ้านจากด้านใน เมียของลุงเปี๊ยกโผล่ออกมาผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ายับย่นแสดงความประหลาดใจแกมหงุดหงิด
“สวัสดีครับป้า ผมมาหาลุงเปี๊ยก” ผมพูดผ่านลูกกรงประตูรั้วเข้าไป
“ไอ้เปี๊ยกเรอะ มาหามันทำไมเอาป่านนี้ เผามันไปร่วมเดือนแล้ว ใครอยากเจอมันคงต้องไปหาเอาในนรกนั่นแหละ” สีหน้าของเมียลุงเปี๊ยกดูหงุดหงิดยิ่งขึ้น และทำท่าจะดึงบานประตูปิดตามเดิม แต่ผมรีบร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน แม้จะยังไม่หายจากอาการงุนงงแกมตกใจก็ตาม ผมไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะต้องมารับฟังข่าวร้าย ใช่ มันเป็นข่าวร้ายที่ผู้บอกเล่าไม่คิดจะเกริ่นล่วงหน้าให้ผู้ฟังได้เตรียมใจไว้บ้าง
“โธ่ ลุงเปี๊ยก ไม่น่าเลย…” ผมคราง รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อติดอยู่ตรงลำคอ แต่ก็พยายามฝืนกล่าวออกไปว่า “ผม…ผมเสียใจด้วยครับ ผมไม่รู้เรื่องเลย แค่แวะมาเยี่ยม จะเอาของมาคืนลุงเปี๊ยกด้วย นี่ไงครับ เป็นของที่ลุงเปี๊ยกแกหวงมาก ป้าช่วยเก็บรักษาไว้ด้วยนะครับ”
ด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง ทำให้ผมไม่มีสติพอจะใคร่ครวญได้ทันว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ นอกจากยิ้มอย่างโล่งอก เมื่อเห็นเมียลุงเปี๊ยกเดินมาหา แต่ทันทีที่แกรับม้วนภาพเขียนผ่านลูกกรงไปคลี่ออกดู อย่างฉับพลัน ผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตของลุงเปี๊ยกก็ฉีกภาพเหมือนนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะขยำขว้างลงบนพื้นปูนเปียกแฉะ เศษกระดาษค่อย ๆ ดูดซับน้ำฝน อีกไม่นานก็คงเปื่อยยุ่ย
“หนอยแน่ะ คิดว่าเผาไปกับโลงของมันจนหมดแล้ว ชิชะ ยังมีเหลือโผล่มาให้กูเจ็บใจอีกจนได้” เมียลุงเปี๊ยกทรุดตัวนั่งยอง ๆ ร้องไห้โฮ เสียงคร่ำครวญหลุดออกมาจากริมฝีปากย่น ๆ ที่แบะออก “มันใจดำเหลือเกิน ฮือ ฮือ ไอ้เปี๊ยกนะไอ้เปี๊ยก มันไม่เคยวาดภาพฉันบ้างเลย ทำไมล่ะ ฉัน…ฉันก็เป็นเมียของมันคนนึง…”
ผมมองดูเศษกระดาษที่กลายเป็นซากความทรงจำของลุงเปี๊ยกด้วยความสะเทือนใจ แต่ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะสงสารลุงเปี๊ยก หรือแท้ที่จริงแล้วผมสงสารเมียแกกันแน่ .
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย มีนาคม 2553