เรื่องสั้น “แม่” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น แม่ โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสิบโมงตรงตอนที่ชายหนุ่มผละจากแม่มาเดินทอดอารมณ์  ปล่อยให้นางนั่งรอคุณหมออยู่บนรถเข็นหน้าห้องตรวจคนไข้  คนแก่วัย 65 คงสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่อนาทรร้อนใจมากนัก  เขาคิด  ผิดกับตัวเขาเองที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน  ก็จะไม่ให้มันเป็นเช่นนั้นได้ยังไงกันล่ะ  ในเมื่อชีวิตแทบทุกวันของเขาเต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน   ตามประสานักดนตรีผู้ให้ความบันเทิงแก่ลูกค้ายามราตรี   รวมถึงให้ความซาบซ่านในหัวใจแก่หญิงสาวที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาพัวพัน  

คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการหงุดหงิดแกมเสียดาย   เขาถอนหายใจยาวขณะเดินไปตามเส้นทางอันสับสนภายในอาคารของโรงพยาบาลซึ่งคลาคล่ำด้วยผู้คนไม่ต่างจากตลาดนัด   เขาคิดว่า ถ้าเพียงแต่ไม่ต้องพาแม่มาพบหมอตามนัด  ป่านนี้เขาคงมีความสุขอยู่กับเด็กสาวคนนั้น  อายุหล่อนเพิ่งจะย่างสิบเก้า  กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  หลังจากมาเฝ้าดูเขาเล่นกีตาร์ที่ผับได้ไม่กี่ครั้ง  การนัดพบกันตอนกลางวันก็เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอหากตรงกับวันหยุดของเขา แต่นั่นก็เป็นเพียงการพบปะกันเพื่อดูภาพยนตร์  กินอาหาร และเดินเล่นตามศูนย์การค้าเท่านั้น  มีเพียงวันนี้แหละที่เขาได้นัดแนะว่าจะพาเด็กสาวมาทำอาหารกินกันที่บ้าน  หลังจากนั้นเรื่องราวก็น่าจะเลยเถิดไปบนเส้นทางแห่งความหฤหรรษ์เยี่ยงคนหนุ่มสาว

   มันเป็นเรื่องง่าย   แทบไม่ต้องกังวลเลยว่าเธอจะขัดขืนหรือไม่เต็มใจ  มันไม่ต่างจากการกินข้าวแกงสักจานหนึ่งหรอก  เขาบอกตัวเอง  ก็แค่ตักใส่ปากเคี้ยวเท่านั้น  น่าเสียดาย   ฝันหวานต้องมาค้างเติ่ง  เหมือนเด็กมองมะม่วงสุกคาต้นแล้วไม่ได้สอยลงมากิน  หน้าที่พาแม่ไปหาหมอซึ่งเคยเป็นของพี่ชายกลับตกลงบนบ่าของเขา  พี่ชายคนนี้รับราชการอยู่ที่กระทรวงหนึ่ง  บังเอิญว่าจะมีคนใหญ่คนโตมาเยือน  ใบลาพักผ่อนล่วงหน้าจึงถูกยกเลิก 

“นายช่วยพาคุณแม่ไปหาหมอแทนพี่สักครั้งเถอะ  พี่ติดเรื่องงานจริง ๆ” 

ทั้งที่ไม่เต็มใจ   แต่เขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ มาปฏิเสธได้  ความปรารถนาจะกระโจนเข้าสู่ห้วงความสุขกับเด็กสาวไม่อาจหยิบยกมาเอ่ยอ้าง  แน่นอน  มันไร้สาระ  หากพิจารณากันด้วยเหตุผล   แต่ในแง่มุมของอารมณ์ความรู้สึกนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“โอ๊ะ  ขอโทษครับ” เขาหลุดปากออกไปแทบจะในทันทีที่รู้ตัวว่าเดินชนใครคนหนึ่งตรงหัวมุมทางเดิน  เพียงแวบเดียวเขาก็มองออกว่าเธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดีแบบลูกครึ่งจีนในเสื้อกาวน์สีขาว  คงเป็นหมอหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล   เขาเดินจากเธอมาด้วยรอยยิ้ม  เพิ่งตระหนักได้ว่าในสถานที่อันหดหู่และอึดอัดเยี่ยงนี้ก็ยังมีความรื่นรมย์ซุกซ่อนเอาไว้  เขาได้แต่สงสัยว่าตัวเองห่างเหินจากสถานที่แบบนี้มานานแค่ไหนกันนะ  คงแทบจะชั่วชีวิตกระมัง

เขาตัดสินใจเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของอาคาร  พร้อมกับพึมพำว่า  คิดถูกแล้วที่ขอแม่มาเดินฆ่าเวลา  เพราะจริง ๆ แล้วเขาแทบจะไม่เคยเข้าโรงพยาบาลมาก่อนด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ   เขาหลีกเลี่ยงเสมอ  วัยหนุ่มต้นสามสิบอย่างเขาจะหาเรื่องมาสถานที่แห่งความเจ็บไข้ทำไมกันเล่า  ร่างกายของเขาไม่ได้อุดมไปด้วยโรคภัยไม่ใช่หรือ  ต่างจากแม่ซึ่งถูกรุมเร้าด้วยโรคเบาหวาน   ความดันโลหิตสูง  และโรคหัวใจ   ร่างกายของแม่ไม่ผิดกับต้นไม้ใหญ่ที่ผุกร่อน  ถูกไชชอนด้วยหนอนแมลง  เท่าที่ทำได้ก็คือยืนต้นรอคอยวันโค่นลงมา  เพื่อนอนเหยียดยาวกับผืนดินและเปื่อยยุ่ยผุพังไปในที่สุด

ชั้นล่างสุดของอาคารมีคนป่วยและญาตินั่ง ๆ ยืน ๆ กันอยู่แทบจะทุกซอกมุม  แต่ละคนทำสีหน้าราวกับอยู่ในงานศพ  ในแววตาของคนเหล่านั้น  ถ้าไม่มีร่องรอยของความประหวั่นพรั่นพรึงถึงความตายที่ก้าวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบยั่วเย้า ก็มักจะเต็มไปด้วยลักษณะของผู้กำลังรอคอยอย่างท้อแท้  เหนื่อยอ่อน  เบื่อหน่าย   เขาเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

อากาศภายในอาคารแม้จะติดพัดลมตัวใหญ่ไว้หลายจุด  ทว่ายังคงรู้สึกได้ถึงความอบอ้าว  อากาศรอบตัวราวกับใกล้จะหมดลง  ดูเหมือนภายนอกนั้นฝนจวนตกแล้วกระมัง  ชายหนุ่มคิด  เสียงประกาศจากลำโพงที่ดังอยู่เป็นระยะ ๆ ของโรงพยาบาลทำให้เขารำคาญอยู่ไม่น้อย  จึงเลี่ยงออกไปเดินด้านนอกตัวอาคาร  และทำให้พบว่ามีเส้นทางอันแวดล้อมด้วยร่มเงาไม้สายหนึ่ง   ปลายทางจะเป็นที่ใดนั้นไม่แน่ชัด  แต่ก็มองเห็นว่ามีผู้คนกำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์   

เขาก้าวเนิบ ๆ ไปตามเส้นทางดังกล่าว  สายตาเฝ้าสังเกตดูใครต่อใครที่เดินสวนมา   หากเป็นนักศึกษาพยาบาลหรือแพทย์เขาจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ   แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิง   มีหลายคนที่น่ารักแบบสาวเกาหลีหรือญี่ปุ่นตามสมัยนิยม  นั่นคงเพราะมีสายเลือดของชาวจีนอยู่ในตัวไม่ต่ำกว่าครึ่ง พวกเธอไม่ต่างจากดอกซากุระ  หายากที่จะงามดั่งดอกพิกุลหรือดอกแก้ว   แต่เวลาที่ใครสักคนในกลุ่มของสาว ๆ ยกมือปิดปากเพื่อหัวเราะก็ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนได้เสมอ  ดวงตาของพวกเธอเป็นประกายสดใสสุกปลั่งเหมือนดาวรุ่ง  ต่างจากแววตาของแม่ที่ขุ่นมัวเหมือนดวงจันทร์สีซีดหลังม่านหมอก  ถ้าเด็กสาว ๆ พวกนี้เป็นดอกไม้จริงก็คงอยู่ในช่วงตูมตั้ง  บ้างก็ผลิบานส่งกลิ่นเย้ายวนใจ  ขณะที่ดอกไม้อย่างแม่คงใกล้จะร่วงหล่นเต็มที  คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มพลันเกิดอาการใจหายขึ้นมา  ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นลูกรักของแม่มาก่อน  

เดินมาได้สักพักหนึ่งก็พบโรงอาหารขนาดใหญ่  มีคนอยู่ในนั้นมากเสียจนแลดูสับสนวุ่นวาย  พี่ชายของเขาคิดถูกแล้วที่เตรียมอาหารง่าย ๆ ใส่กล่องมาให้แม่กินหลังเจาะเลือด ชั่งน้ำหนัก และวัดความดันโลหิตแล้ว   

เพราะเหตุนี้กระมัง  แม่ของเขาจึงต้องรีบมาโรงพยาบาลแต่เช้า  ทั้งที่หมอนัดไว้บ่ายสองโมง   หาไม่แล้วก็ต้องอดน้ำอดอาหารตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง  ยาบางตัวกำหนดให้กินวันละสามมื้อหลังอาหารเสียด้วย  ช่างเป็นเรื่องยุ่งยากของคนป่วยเสียจริง ๆ  เขารำพึงออกมาอย่างรำคาญแกมสังเวชใจ  นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่เข้าไปหาอะไรกินรองท้อง  บรรยากาศการกินอาหารในโรงพยาบาลเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับเขามาแต่ไหนแต่ไร  เพียงแตะเข้าไปคำสองคำก็แทบจะขย้อนออกมา

ชายหนุ่มรีบเดินไปทางสนามเปตอง  ตรงนั้นทั้งคนหนุ่มคนแก่ในชุดคนไข้กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการโยนลูกเหล็กสีเงิน  มีม้านั่งตั้งอยู่รอบ ๆ ใต้เงาไม้   เขาตัดสินใจนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนัก สายตากวาดไปรอบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจโดยไม่มีเหตุผล

ลมเย็นฉ่ำไอฝนระลอกหนึ่งกรรโชกมา  ทำให้ดอกพิกุลบนกิ่งก้านเหนือศีรษะของเขาร่วงกราว   ดอกเล็ก ๆ น่ารักของมันดอกหนึ่งร่วงหล่นลงบนหลังมือของเขา   เขาหยิบขึ้นมาพิจารณาดูรูปทรงแล้วสูดกลิ่นหอมเย็นเข้าจมูก  ช่างเป็นกลิ่นโบราณจริงหนอ  เขาคิด  ผิดกับกลิ่นหอมสมัยใหม่จากเรือนกายของเด็กสาวผู้คงกำลังผิดหวังที่เขาขอเลื่อนนัดในวันนี้  บางทีเราอาจได้พบกันตอนกลางคืน  ถ้าเธอสามารถขอทางบ้านออกมาท่องราตรีเช่นคืนก่อน ๆ   เขาให้ความหวังแก่ตัวเองเพื่อชดเชยความเบื่อหน่ายในเวลานี้

บนท้องฟ้าเมฆสีดำลอยต่ำ  อีกไม่นานฝนคงตก  เขามั่นใจ   ตอนนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมง  เวลาขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน  ตอนเที่ยงเขาน่าจะกลับไปหาแม่  ซื้อของกินสักอย่างไปให้  คิดดูก็น่าเห็นใจหากต้องทนกินอาหารเย็นชืดในกล่องอีกครั้งหนึ่ง  แต่จะซื้ออะไรดีล่ะ  เขาถามตัวเอง  น่าจะเป็นซาลาเปาไส้หมูแดงของโปรดของแม่ดีกว่า  ว่าแต่มันยังคงเป็นของโปรดอยู่หรือเปล่านะ  ช่วงหลัง มานี้แม่ของเขาอารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน  ของเคยชอบบอกไม่ชอบ  ของที่เคยเกลียดนักเกลียดหนากลับกินอย่างเอร็ดอร่อย  ราวกับแม่กำลังเข้าสู่ช่วงหวนคืนสู่ความเป็นเด็ก  และนี่ก็คือความน่ารำคาญของคนแก่  อย่างไรก็ตาม  ถ้าคนแก่ผู้นั้นเป็นแม่  เขาคิด  ก็คงเป็นเหมือนรอยสักบนท่อนแขนของเขานั่นแหละ  แสนเบื่อเพียงใดก็ไม่อาจลบทิ้งได้โดยไม่เจ็บปวด  อีกทั้งย่อมจะหลงเหลือร่องรอยไว้คอยเตือนใจเสมอเสียงเด็กร้องไห้ทำให้เขาตื่นจากภวังค์  ห่างออกไปราวห้าเมตรบนม้านั่งอีกตัวหนึ่ง  ภาพที่เห็นทำให้เข้าใจได้ว่าเด็กชายอายุราวห้าขวบกับแม่วัยสาวผู้มีสีหน้ายุ่งยากใจ  กำลังเผชิญกับปัญหาสักอย่างที่จัดการไม่ได้   เด็กน้อยเต้นเร่า ๆ น้ำหูน้ำตาเกลื่อนใบหน้า  ผู้เป็นแม่เงื้อมือทำท่าจะตีลงตรงไหนสักแห่งหนึ่งแต่เปลี่ยนใจ   หันมาลูบหลังปลอบโยน  และพูดไปต่าง ๆ นานาเป็นการหลอกล่อ   ทว่าเด็กน้อยก็ไม่ละพยศ  มิหนำซ้ำใช้กำปั้นทุบต้นแขนแม่ตัวเอง  แทนที่จะโกรธ  แม่ของเด็กกลับหัวเราะจนตาหยี หลังจากสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง  เขาก็รู้ว่าที่มาของปัญหาคือตุ๊กตาหุ่นยนต์ของเด็กชาย  มันหักชำรุดตรงส่วนที่เป็นคอกับขา   แม่ของเด็กซ่อมไม่ได้  อีกทั้งไม่มีปัญญาจะซื้อใหม่  เรื่องนี้แม้เขาจะรู้สึกว่าไม่ใช่ธุระ  แต่เขาก็อดลุกเดินไปหาไม่ได้ “ขอโทษนะครับ  ขอผมดูหุ่นตัวนั้นหน่อย  บางทีผมอาจซ่อมได้  สมัยเด็ก ๆ แม่ของผมเคยซื้อให้เล่นเหมือนกัน” “แจ็ค  ให้คุณลุงดูหุ่นยนต์หน่อยนะจ๊ะ” ทีแรกเด็กน้อยท่าทางไม่ยอม   คล้ายจะหวง  แต่เมื่อเขาย้ำว่าจะซ่อมหุ่นยนต์ตัวเก่งให้  อีกฝ่ายจึงยอม “สมัยก่อนหุ่นแบบนี้แพงมากครับ” เขาพูดพลางหาทางประกอบส่วนหัวของหุ่นยนต์เข้ากับลำตัว “เดี๋ยวนี้ราคาถูกลงมาก   สินค้าจากเมืองจีนทำให้ข้าวของถูกไปหมด” “ค่ะ แต่สำหรับครอบครัวเรา ราคาของมันหมายถึงกับอาหารมื้อเย็นสามวันเลยนะคะ” แม่เด็กชี้แจงเสียงเบา  แววตาแฝงความอายเล็กน้อย ชายหนุ่มพยายามประกอบหุ่นยนต์ขึ้นใหม่  แต่สลักบางส่วนของท่อนหัวหายไป   เขาส่ายหน้าพลางยิ้มแหย ๆ  เด็กน้อยคงเข้าใจเรื่องราวได้ดีจึงทำปากเบะ น้ำตาหยด จมูกเล็กมีน้ำมูกใส ๆ ไหลออกมาถึงริมฝีปาก “อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย” เขาล้วงเอากระเป๋าเงินออกมาเปิดดู  แล้วดึงธนบัตรใบหนึ่งยื่นให้เด็กชาย “รับไปเถอะครับ  สำหรับซื้อของเล่นใหม่ให้ลูกคุณ  ร้านค้าในโรงพยาบาลน่าจะพอมี  แกจะได้ไม่กวนใจอีก”
        เธอกล่าวคำขอบคุณออกมาหลายครั้ง  เขาเร่งให้พาเด็กชายไปซื้อของเล่น  ขณะที่ตัวเองเดินมานั่งลงบนม้ายาวตัวเดิม  ใน ในใจหวนคิดถึงตุ๊กตาหุ่นยนต์ที่เขาหมดปัญญาซ่อม   ถึงอย่างไรเด็ก ที่สุดเด็กน้อยก็จะได้ของเล่นชิ้นใหม่  แม่เด็กเองก็คงจะเห็นรอยยิ้มเบิกบานของลูก  สรุปว่าปัญหาจบไปแล้ว  แต่นี่ทำให้เขาคิดได้ว่าเมื่อวัตถุสิ่งของหักพัง  ขอเพียงมีเงินก็สามารถหาซื้อของใหม่มาทดแทนของเก่าได้  ต่างจากร่างกายของคนเรา  ถึงที่สุดแล้วมีแต่จะต้องคืนให้แก่ธรรมชาติโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง  เขาคิดด้วยความสะเทือนใจ

ไม่นานนักเขาลุกเดินกลับไปที่โรงอาหาร  เวลาพักเที่ยงอย่างนี้คนยิ่งมาก  แต่เขายังพยายามแหวกผู้คนเข้าไปซื้อซาลาเปาไส้หมูแดงด้วยอาการกระตือรือร้นเป็นพิเศษ   ระหว่างที่รอคนขายหยิบซาลาเปาใส่กล่องโฟม  เขาเหลือบไปเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังป้อนข้าวต้มให้เด็กหญิงสองคนหน้าตาเหมือนกัน   คนหนึ่งสวมชุดคนป่วย  คงเป็นฝาแฝด  เขานึกถึงวันเก่า ๆ  ตอนที่ยังเป็นเด็ก  แม่ของเขาเป็นสาวสวย  ไม่ได้ทรุดโทรมผอมแห้งหลังงุ้มเหมือนเช่นทุกวันนี้  แม่ใช้ช้อนป้อนข้าวให้เขากินทุกเช้าเย็น  หากเขาไม่สบาย  อาจเป็นไข้หวัด  แม่จะทำข้าวต้มแสนอร่อยให้กินเสมอ  คิดถึงตรงนี้น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้   กลับบ้านไปเย็นนี้  ทันทีที่พบหน้าพี่ชาย  เขาคงตรงเข้าสวมกอด  ปากก็จะพร่ำพูดว่า “ขอบคุณพี่มากครับ  ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ดูแลแม่บ้าง” พี่ชายของเขาคงจะหัวเราะอย่างประหลาดใจ  จริงซีนะ  นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยเอาใจใส่แม่เลย  นี่ทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม แม่ค้ายื่นถุงใส่กล่องซาลาเปาให้  ชายหนุ่มจ่ายเงินแล้วรีบก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังอาคารหลังเดิม   เขาแทบจะวิ่งขึ้นบันไดมุ่งสู่บริเวณหน้าห้องตรวจคนไข้   แม่อาจงงเล็กน้อยที่เขาอาสาจะป้อนซาลาเปาให้  แต่เขารู้ดีว่านั่นจะทำให้แม่มีความสุข  ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับคนที่รู้จักคิดหรอก  เขาปลอบใจตัวเอง นั่นไงล่ะ  แม่ยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น  คนไข้รายอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันกับแม่  กำลังกินข้าวพร้อมลูกหลานอย่างมีความสุข เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ารถเข็น  อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นแม่กำลังหลับไม่รู้เรื่องเหมือนเด็ก ๆ  ริ้วรอยย่นและรอยตีนกาบาดลึกบนใบหน้าของแม่ดูน่าสัมผัส  เขาก้มตัวลงเพื่อเอื้อมมือไปปัดปอยผมสีเทาซึ่งถูกลมพัดตกลงมาปรกหน้าแม่  จากนั้นก็เลื่อนมือลงมาจับตรงท่อนแขนและเขย่าเบา ๆ  “แม่  ตื่นได้แล้วครับ  ผมซื้อซาลาเปาไส้หมูแดงมาฝาก”   เงียบ… เขาเปลี่ยนมาจับหัวไหล่ของแม่เขย่าแรงขึ้นแต่แม่ยังไม่ตื่น  สังหรณ์ใจบางอย่างทำให้เขาหันมาจับชีพจรของผู้ให้กำเนิด “แม่…” เขาร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นเสียงมนุษย์  ร่างทรุดลงคุดคู้อยู่หน้ารถเข็น  สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตามองเห็นเป็นเงา ๆ หูแว่วเสียงใครหลายคนวิ่งตรงเข้ามา  ก่อนที่เขาจะฟุบหน้าลงบนตักของแม่  แล้วร่ำไห้เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก  น่าเศร้าที่มืออบอุ่นของแม่ไม่อาจลูบไล้เพื่อปลอบขวัญได้อีกแล้ว .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ตุลาคม 2552

ใส่ความเห็น