มุมเรื่องสั้นไทย
(1)
เย็นวันหนึ่ง ผมกำลังนั่งเล่นอยู่ในบ้านตามลำพัง จู่ ๆ ก็เห็นพ่อเดินเทิ่ง ๆ ผ่านช่องประตูเข้ามา แน่นอน ผมตกใจมากถึงขนาดที่พูดได้ว่าเส้นผมแทบจะลุกตั้งชันเลยทีเดียว แต่ยามนั้นผมยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง ผมกวาดตามองไปตามใบหน้า ลำคอ และแขนขาของพ่อ ทุกส่วนดูบวมเป่งราวกับจะปริแตกออก ผมแน่ใจเหลือเกินและเป็นไปอย่างเศร้า ๆ เมื่อคิดได้ว่าพ่อไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่พ่อก็ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขณะนั่งลงกับพื้นห้องรับแขก โดยวางกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลขนาดกลางลงข้างตัว กระเป๋าเดินทางทำจากไม้ซึ่งผ่านร้อนหนาวมาแล้วทั่วโลก
สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมชอบเปิดกระเป๋าใบนี้เล่นเสมอ ภายในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของกระจุกกระจิกอันน่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ธนบัตรและเหรียญต่างประเทศ นาฬิกาปลุก เข็มทิศ แม่เหล็ก หนังสือเดินทาง มีดพับ แผนที่ แว่นขยาย ฯลฯ ทว่าหลังจากที่พ่อแต่งงานใหม่ ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้เปิดดูอีกเลย และนั่นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เราสองพ่อลูกจะห่างเหินกันตลอดไปราวกับได้ตายจากกันไปแล้ว
พ่อของผมเป็นนักเดินทาง ประเทศแรกที่พ่อไปเยือนคือญี่ปุ่น ตอนนั้นพ่อกำลังหนุ่มฟ้อ เรี่ยวแรงดีมาก จากนั้นพ่อก็ตะลุยไปทั่ว ทั้งสิงคโปร์ พม่า เวียดนาม จีน อินเดีย อียิปต์ สเปน ฝรั่งเศส อเมริกา เปรู ชิลี อัฟริกาใต้ ฟิจิ ออสเตรเลีย พ่อผ่านมาแล้วทั่วโลก มีเพียงประเทศเดียวที่พ่อไม่เคยคิดจะไป นั่นคือรัสเซีย
แต่วันนี้พ่อบอกว่าพ่อเพิ่งเดินทางกลับจากรัสเซีย ที่โน่นหนาวมาก เซนส์ปีเตอร์สเบิร์กหิมะตกหนัก ผมฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพ่อถึงต้องพูดปด พ่อไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองเสียชีวิตตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ดูเหมือนพ่อจะหงุดหงิดเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะอ่านใจผมออก ถูกต้อง ผมยังกลัวไม่หาย อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าพ่อคงไม่ทำร้ายผม ความห่างเหินระหว่างเรา ไม่ใช่เหตุผลที่พ่อจะหยิบยกมาใช้ทำร้ายลูกชายอย่างผมได้ ผมพยายามหาเรื่องคุยเพื่อรักษาบรรยากาศในครอบครัวเอาไว้ ใจคิดจะถามพ่อเหมือนกันว่าพ่อมาที่นี่ทำไม แต่ปากกลับหุบนิ่งไม่ยอมขยับ ได้แต่ส่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอราวกับถูกผีอำ
ผมได้ยินเสียงพ่อบ่นพึมพำ ตอนแรกฟังไม่ได้ศัพท์ ต่อมาถึงเข้าใจว่าพ่อบ่นเรื่องโลกร้อน พ่อเป็นห่วงกลัวว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ท่วมประเทศไทย นั่นหมายความว่ามันจะท่วมบ้านหลังนี้ที่ผมอาศัยอยู่ด้วย
“นำ้แข็งขั้วโลกละลายไหลลงทะเลทุกวัน โชคดีที่ไม่มีใครขโมยเอาไปทำนำ้แข็งไส ไม่งั้นจะแย่กว่าที่เป็นอยู่” พ่อทำน้ำเสียงจริงจังและยกมือขึ้นกอดอก ผมเผลอหัวเราะ คราวนี้มีเสียงลอดออกมาได้ นี่แหละคือมุขตลกของพ่อสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ พ่อชอบพูดตลก แม้ว่าพวกลูก ๆ เพื่อนฝูงของพ่อ หรือใครต่อใครจะไม่เคยขำเลยก็ตาม
“อีกหน่อยคงต้องห่อโลกเอาไว้ด้วยพลาสติก แล้วติดแอร์ให้โลกทั้งใบ เลือกแอร์เบอร์ 5 ด้วยนะ จะได้ประหยัด ส่วนค่าไฟก็ส่งใบเสร็จไปให้สหประชาชาติ” พ่อยังไม่ยอมหยุดปล่อยมุข ผมอยากถามจริง ๆ ว่าพ่อมาที่นี่ทำไม พ่อไม่เคยมาบ้านหลังนี้เลย แล้วใครบอกทางให้แก่พ่อ หรือว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ระหว่างเราสองคนยังคงมีสายใยบาง ๆ ผูกโยงซึ่งกันและกันเอาไว้ตลอดมา
วันนั้นที่พ่อตบหน้าผม พ่อยังจำได้หรือเปล่า อายุของผมเพิ่งจะสิบสี่ปี มันไม่รุนแรงอะไรหรอกครับ แต่ความเจ็บช้ำมันชำแรกแทรกลงไปในอกได้ถึงใจทีเดียว ผมพยายามไม่ให้พ่อหรือพี่สาวคนไหนเห็นน้ำตา จึงรีบเดินหนีออกจากบ้าน ใจอยากจะเดินไปให้ไกลถึงรัสเซีย ดินแดนที่พ่อเคยบอกว่าไม่ชอบ และตายเสียดีกว่าที่จะต้องไปเหยียบที่นั่น เพื่อที่พ่อจะได้ตามหาตัวผมไม่เจอ ผมอยากหายสาบสูญไปจากชีวิตของพ่อ ทว่าความที่ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่มาก เป็นวัยรุ่นซึ่งปีกไม่กล้าขาไม่แข็งพอสำหรับการคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี ผมจึงต้องซมซานกลับเข้าบ้านในวันรุ่งขึ้น
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่พ่ออยู่บ้าน ผมก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน รอให้พ่อไม่อยู่เสียก่อนจึงค่อยออกมาเสนอหน้ากับพี่สาว ครั้นเมื่อพ่อย้ายไปอยู่บ้านที่ซื้อให้เมียใหม่ ผมจึงเป็นคนเดียวที่ถอนใจโล่งอก มีแต่พี่สาวทั้งสองเท่านั้นที่ใจหายและเศร้าโศก ถ้าวันไหนพ่อมาเยี่ยมทุกคนจะดีใจ ส่วนผมก็เหมือนเดิม เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง รอจนกว่าพ่อจะกลับจึงค่อยโผล่ออกมา หลายครั้งที่พ่อเคาะประตูห้องนอนของผมพร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่ผมก็แกล้งทำเป็นนอนหลับไม่รู้เรื่อง ผมอยากให้พ่อรู้ว่าระหว่างเราสองคนไม่มีเรื่องต้องพูดคุยกันอีกแล้ว
ตอนนั้นพ่อรู้ใช่ไหม พ่อต้องรู้แน่นอน ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับผมมันไม่มีวันเหมือนเดิม ผมอยากบอกพ่อจริง ๆ นะครับ วันนั้นพ่อไม่น่าตบหน้าผมเลย
หลายปีต่อมา พ่อเดินทางไปรัสเซียและเสียชีวิตที่นั่น ในใบมรณะบัตรระบุสาเหตุการตายว่าเพราะหัวใจล้มเหลว
(2)
แล้วจู่ ๆ ผมก็เห็นพ่อเดินเทิ่ง ๆ ผ่านช่องประตูเข้ามา ผมตกใจมาก ได้แต่จับจ้องดูใบหน้า ลำคอ และแขนขาของพ่อ ซึ่งดูบวมเป่งราวกับจะปริแตกออก นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อพยายามมาหาผมแบบคนปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนหน้านี้หลายครั้ง พ่อชอบมาแบบตลก ๆ อย่างเช่น โผล่หน้าตรงช่องลมห้องน้ำ เพื่อทำตาเหล่ตาเหลือกให้ผมขวัญบินเล่น ครั้งหนึ่งถึงกับยื่นหน้าเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน พร้อมกับใช้มือเขย่าลูกกรงเหล็กดัดดังกึงกัง
ผมรู้ว่าพ่อแค่ล้อเล่นตามมุขตลกของพ่อเท่านั้น ผมจึงข่มใจไม่ให้กลัว แต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี พลางนึกสงสัยว่าทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยถึงกลัวผี ใจส่วนลึกเคยบอกว่า ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ ในสถานที่สว่าง ๆ ก็คงไม่กลัวสักเท่าไหร่ หรืออาจจะไม่กลัวเลยก็เป็นได้ เรื่องมันแย่ตรงที่พ่อชอบมาตอนที่ผมอยู่ตามลำพัง บางทีพ่ออาจไม่อยากให้ใครเห็น นี่คงเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่พ่ออยากเยียวยาด้วยตัวของพ่อเอง แต่พ่อก็ไม่เคยคิดจะทำขณะยังมีชีวิตอยู่ พ่อจะรู้ไหมว่าพ่อได้จากลูก ๆ ไปนานมากเหลือเกิน ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์เรายังไม่ตระหนักว่าโลกกำลังร้อนขึ้นอย่างเช่นทุกวันนี้ อากาศร้อนจัดทำให้ร่างของพ่อบวมเป่งใกล้จะระเบิดเลยทีเดียว
ผมถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นพี่สาวสองคนกลับเข้าบ้านพร้อมกัน ทั้งสองนั่งลงข้าง ๆ พ่อ ผมพยายามส่งสัญญาณบอกว่าพ่อตายแล้วนะ ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่พ่อร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนสมัยก่อน ดูเนื้อหนังสิ บวมเป่งซะขนาดนั้น น่ากลัวน้ำเหลืองจะไหลออกมาด้วยซ้ำ ไม่สยองกันบ้างหรือไง แต่พี่สาวทั้งสองไม่รับรู้ ชวนพ่อคุยจ้อตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน จริงสินะ ระหว่างพวกเขาไม่มีปัญหาต่อกัน พวกเขารักใคร่กลมเกลียวเยี่ยงพ่อลูก มีเพียงผมที่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อหน้าพ่อของตัวเอง โธ่ วันนั้นพ่อไม่น่าตบหน้าผมเลย ผมควรจะทำอย่างไรดี เข้าไปกอดพ่อแม้จะเสียวสยอง หรือว่าจะเดินหนีเข้าห้องนอนเช่นในวันเก่า ๆ รอให้พ่อจากไปเสียก่อน แล้วจึงโผล่หน้าออกมาตามเดิม
ผมอยากร้องไห้ ภายในหัวของผมเต็มไปด้วยความสับสน ใช่ ผมยังรักพ่อ ขณะเดียวกันก็เกลียดพ่อด้วย เพราะเหตุนี้ใช่ไหม เราจึงเป็นเพียงแค่คนรู้จักกัน พ่อรู้จักผม ผมรู้จักพ่อ แค่คนรู้จักกันเขาไม่กอดกันหรอกครับ นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่เคยกอดพ่อเลย ถ้าพ่อไม่ไปตายที่รัสเซีย ดินแดนที่พ่อไม่เคยอยากไป และทางนั้นแทนที่จะเผาแต่ส่งหีบศพกลับมาเมืองไทย ผมอาจจะขอให้สัปเหร่อเปิดฝาโลง เพื่อดึงร่างแข็งเกร็งเหม็นเน่าของพ่อขึ้นมากอด โดยไม่รังเกียจหรือกลัวอย่างที่เป็นอยู่ ผมจะลืมรอยตบบนแก้มให้หมดสิ้นครับพ่อ แต่พ่อก็ดันไปตายเสียไกลลิบโลก ดินแดนที่พ่อไม่เคยอยากไป เรื่องมันจึงเป็นเช่นนี้เรื่อยมา
(3)
ให้ตายเถอะ ทุกคนคงนึกตำหนิว่าผมเป็นลูกอกตัญญู ลูกที่ดีไม่ควรกระทำหรือแม้แต่จะคิดกับผู้ให้กำเนิดเช่นนี้
เอาละ ผมไม่ขอแก้ตัว โลกเรานี้มีลูกดีกับลูกเลวมานานแล้ว ตั้งแต่มนุษย์เริ่มกินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วเข้าไปนั่นแหละ ลูกดีต้องบีบนวดแขนขาและเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ ส่วนลูกเลวก็ต้องไม่ลงรอยกับพ่อเหมือนผม
ผมเองนั้นไม่มีปัญหากับแม่ แม่เสียชีวิตตั้งแต่ผมยังเล็ก ชีวิตวัยเยาว์ผมมีแต่พ่อ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเคยหลุดปากบอกคุณครูว่าผมรักพ่อมากที่สุด ต่อหน้าเพื่อน ๆ ในห้องเรียนชั้นประถม ผมไม่อายเลยในตอนนั้น แต่ทุกวันนี้ผมคงอายพิลึก และไม่มีวันจะพูดอะไรเช่นนั้นออกไปอย่างเด็ดขาด ปัจจุบันนี้ผู้คนมักจะบอกรักกันก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น แต่ผมไม่ต้องการได้อะไรจากพ่อ พ่อเองก็คงไม่ต้องการได้อะไรจากลูกเลวอย่างผม เพราะพ่อคืออดีต พ่อไม่มีที่ยืนอย่างเปิดเผยบนโลกมนุษย์อีกแล้ว เว้นเสียแต่ในความทรงจำของผม แม้กระนั้นพ่อก็ยังชอบมาวนเวียนอยู่รอบ ๆ เอาละ ถ้าสายใยที่โยงเราไว้มีอยู่จริง ผมก็อยากให้มันขาดผึงเสียเหลือเกิน ผมไม่ต้องการให้ในวันหนึ่งข้างหน้า อยู่ดี ๆ พ่อก็ตบหน้าผมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่พ่อได้จากผมไปนานแล้ว
ผมเห็นพ่อขยับแข้งขาก่อนจะลุกขึ้นยืน พ่อฉีกยิ้ม ปั้นใบหน้าให้ตลกตามสไตล์ถนัด มือหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเก่งแกว่งเล็กน้อย พ่อคงเตรียมตัวจะออกเดินทางอีกครั้งกระมัง
จังหวะนี้เองที่ลูกชายของผมกลับจากโรงเรียน แกอายุแปดขวบ เรียนอยู่ชั้นป.3 แกยกมือไหว้ปู่ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากนั้นก็ไหว้ป้า ๆ แล้วตรงเข้ามากอดผม ผมได้แต่พร่ำบอกลูกว่าผมจะไม่ตบหน้าแกเลยตลอดชีวิต ไม่ว่าวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าแกจะทำตัวเลวทรามสักแค่ไหน ผมลงทุนสาบานเป็นวรรคเป็นเวร ลูกชายหัวเราะ แต่ดวงตาใส ๆ แสดงความงุนงง แกบอกว่าต่อให้ผมตีแกจนตาย แกก็จะรักผมตลอดไป จริงหรือ ผมเขย่าร่างเล็ก ๆ อันบอบบางและเอาแต่ถามย้ำไปย้ำมา ลูกจะไม่โกรธพ่อไปชั่วชีวิตเลยหรือ ลูกชายของผมพยักหน้ารับรองแข็งขัน
ผมพาลูกเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวของเขา จับอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะสั่งให้นั่งทำการบ้าน จากนั้นถึงจะเปิดโทรทัศน์ดูการ์ตูนได้ ลูกของผมต่อรองว่าขอเล่นวิดีโอเกมก่อนได้ไหม แล้วค่อยทำการบ้าน ผมไม่ยอม แกจึงแผลงฤทธิ์ตามประสาเด็ก ผมอดใจไม่ไหวจริง ๆ ด้วยความโมโหจึงคว้าไม้แขวนเสื้อทำจากลวดหวดเข้าที่น่องของแก
“ตีให้ตายเลย ตีให้ตายเลย” ลูกตะโกนใส่หน้าผมด้วยเสียงสะอื้น ผมโยนไม้แขวนเสื้อทิ้ง กอดแก และพูดว่า “พ่อขอโทษ” ผมไม่อยากให้ลูกของผมหนีออกจากบ้าน เพราะถ้าแกเข้มแข็งพอ แกอาจเดินทางไปถึงรัสเซียโน่น แล้วไม่กลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก มีแต่ผมที่จะต้องพยายามค้นหาลูก เพื่อพาแกกลับมาบ้านของเราให้ได้ แม้จะต้องเดินทางไปถึงรัสเซีย ดินแดนที่ผมไม่เคยไปเยือนมาก่อน ผมก็จะทำอย่างแน่นอน
ผมปล่อยลูกทิ้งไว้ในห้อง ตามใจแกเยี่ยงผู้คนสมัยนี้ พอเรียบร้อยดีก็เดินมาที่ห้องรับแขก แต่พ่อไม่อยู่แล้ว ถามพี่สาวสองคนที่กำลังนั่งคุยกันว่าพ่อกลับไปแล้วหรือ พี่สาวทั้งสองทำสีหน้างุนงง “ทำไมถึงถามยังงั้นล่ะ คิดถึงคุณพ่อมากใช่มั้ย” พี่สาวคนโตพูดพลางหัวเราะเบา ๆ พี่สาวคนรองบอกว่าพ่อตายไปนานหลายปีดีดัก ก่อนที่จะเราจะย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้เสียอีก วิญญาณของพ่อไม่มีวันมาถูกแน่นอน
ทั้งสองคงสติแตกไปแล้วกระมัง ผมคิดอยู่ในใจ ใช่ ผมต้องคิดอย่างนี้ หลังจากได้เผชิญหน้ากับพ่ออีกครั้งหนึ่ง พ่อที่เนื้อตัวบวมเบ่งผิดจากคนปกติ ผมสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง จึงรีบเดินเข้าห้องนอนตัวเอง
(4)
ภายในห้องนอนของผมค่อนข้างมืดเพราะหน้าต่างปิดไว้ทุกบาน แต่แสงจากช่องประตูก็ทำให้พอมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อไม่ได้อยู่ในห้องตามที่ผมคิดไว้ มีเพียงกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลวางอยู่กลางห้อง
ผมทรุดตัวนั่งลงกับพื้น คว้ากระเป๋ามาเปิดดูข้าวของข้างใน หนังสือเดินทางของพ่อ เหรียญเงินของประเทศต่าง ๆ ยังคงอยู่ภายในนั้น ผมกอดกระเป๋าไว้แน่นราวกับกอดร่างของพ่อ พยายามเหลียวมองรอบตัว พ่ออาจหลบอยู่ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า บนเพดานหรือในห้องน้ำ ผมอยากให้จู่ ๆ ผมก็เห็นพ่อเดินเทิ่ง ๆ เข้ามาหาและสวมกอดผมแหลือเกิน ผมจะไม่ตกใจหากได้เห็นว่าใบหน้า ลำคอ และแขนขาของพ่อบวมเป่งราวกับจะปริแตกออก เพื่อที่พ่อจะได้ไม่เสียใจ แม้ว่าพ่อจะเป็นเพียงแค่อดีตก็ตาม
สังหรณ์ใจบางอย่างทำให้ผมลุกพรวดตรงเข้าค้นตามซอกมุมต่าง ๆ แต่ก็คว้าน้ำเหลว พ่อไม่อยู่แล้ว ถ้าเพียงแต่พ่อยังอยู่ ถ้าเพียงแต่พ่อจะไม่เป็นแค่อดีต เราก็คงพูดคุยกันได้อย่างเปิดอก หากทำได้เช่นนั้น พ่อจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลถึงรัสเซีย ดินแดนที่พ่อไม่เคยอยากไป .
หมายเหตุ จากหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “พ่อผู้ไม่อยากเดินทางไปรัสเซีย” โดย ภพ เบญญาภา สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ รางวัลหนังสือดีเด่น ปี 2554 ประเภทรางวัลชมเชย หนังสือรวมเรื่องสั้น
เว็บไซต์ nittayasan.com