เรื่องสั้น “ความตายในครอบครัวของโจ” : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น ความตายในครอบครัวของโจ

มุมเรื่องสั้น วรรณกรรมไทย

.

ตอนหัวค่ำ ขณะที่โจกำลังแหงนหน้ามองหาดาวอังคารอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้าน ทันใดนั้นเองก็มีนกแสกตัวหนึ่งบินมา เขาเห็นเข้าก็รีบร้องเรียกเอาไว้ ร้องอย่างเชื้อเชิญเลยทีเดียวเชียวแหละ มันโผลงเกาะที่หลังคาบ้านสองชั้นของเขา พร้อมกับส่งเสียงดัง “แซก…แซก…”

วงหน้ารูปหัวใจของมันเต็มไปด้วยขนสีขาว ดวงตากลมโตที่จ้องมองมาดูเป็นสีดำสนิท จงอยปากของมันแหลมและงองุ้ม ดู ๆ ไปก็น่ารักดีเหมือนกัน เขาไม่คิดหรอกว่ามันจะมีพิษภัยอะไร แต่เมื่อนำเรื่องนี้ไปบอกพี่แจ็ค พี่ชายของเขากลับบอกว่าการที่มันส่งเสียงร้องถือเป็นลางบอกเหตุ เป็นลางร้ายหรือลางหายนะ อะไรก็ได้ที่มีความหมายไปในทางไม่ดี จะต้องมีคนตายในบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน อย่างช้าก็ภายในสามวันเจ็ดวัน เขาได้ยินก็รู้สึกกลัวมาก ใครจะไม่กลัวความตายบ้างล่ะ พลางสงสัยว่าพ่อจะเฆี่ยนเขาด้วยไม้เรียวหรือไม่นะ ถ้าเกิดรู้ความจริงขึ้นมา แต่ทีนี้หากทุกคนพากันตายหมด ตายเพราะเจ้าทูตแห่งความตายนั่น ปัญหาเรื่องนี้ก็คงจบกันไป ทว่านกแสกตัวเดียวจะทำให้คนตายได้ทั้งบ้านเชียวรึ เสียงร้องของมันมีอำนาจขนาดนั้นเลยหรือ นกแสกหนึ่งตัวน่าจะมีผลต่อคนหนึ่งคนมากกว่า แค่นี้ก็รุนแรงเกินไปแล้ว เขาคิดด้วยความสยองใจ

“แล้วใครจะตายหรือฮะ” โจถาม อันที่จริงเขาอยากถามต่อไปอีกว่าความตายเป็นอย่างไร ทำไมคนเราถึงได้กลัวกันนักกลัวกันหนา เขาเองก็กำลังกลัวอยู่นี่ไงล่ะ มันคือความรู้สึกเจ็บปวด ร้อนอึดอัด หนาวสั่น โดดเดี่ยว หรืออะไรกันแน่ เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปตามที่ใจคิด

“ไม่มีใครรู้หรอก อาจเป็นพ่อ แม่ พี่ หรือไม่ก็แกเองนั่นแหละ” พี่แจ็คตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ

ตกดึกเขานอนร้องไห้เพราะคิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องความตายอยู่นาน รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในชีวิต ไร้หลักให้ยึดเหนี่ยวสำหรับอนาคต ไม่มีเรื่องราวใด ๆ ให้หวังอีกแล้ว หนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ไม่มีความหมาย ของเล่นมากมายในตู้ก็ไม่มีความหมายเช่นกัน และถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ตื่นขึ้นมาจะเป็นอย่างไรนะ นี่หมายถึงคนอื่น ๆ โชคดีมีชีวิตรอด ส่วนเขาโชคร้ายตายคนเดียว เรื่องมันสำคัญตรงนี้เอง เขาอยากรู้ว่าจะมีใครร้องไห้ให้เขาบ้างหรือเปล่า จะมีใครคิดถึงเขาตลอดไปเหมือนกับว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาถามตัวเองก่อนจะหลับไป แล้วในเวลาต่อมาก็ฝันร้ายดิ้นรนเตะถีบอยู่ในโปงผ้าห่มเกือบตลอดทั้งคืน

ครั้นเมื่อตอนเช้ามาถึง เขายังไม่ตาย (โชคดีอะไรอย่างนี้ หรือความตายเพียงแค่ยืดเวลาออกไปเล็กน้อย) ทุกคนในบ้านต่างก็ตื่นขึ้นมาตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน พิเศษหน่อยก็ตรงที่เป็นวันอาทิตย์ จึงได้หยุดอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน และยังมีอาหาร ขนม รายการโทรทัศน์ เหมือนที่วันอาทิตย์ควรมี แต่เรื่องมันแย่ตรงที่โจไม่สนใจจะดูหนังการ์ตูนทางโทรทัศน์อีกแล้ว เขาเอาแต่คิดถึงความฝันเมื่อคืน มันชัดเจนมากทีเดียว แม้เขาจะไม่แน่ใจนักว่าความฝันเป็นภาพสีหรือขาวดำ มันดูหม่นมัวมากในความฝันนั้น บางครั้งดูเลือนรางราวกับตกอยู่ในกระแสเมฆหมอก เขาเห็นแม่ในความฝันด้วย แม่ตายแล้ว ทว่าแม่คงไม่รู้ตัวหรอกว่าแม่น่ะตายไปนานแล้ว ในความฝันแม่ไม่ยอมพูดจาออกมาสักคำ แค่ยิ้มน้อย ๆ และนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดี ในความฝันเขาพยายามกระซิบบอกพ่อแต่พ่อไม่สนใจในเรื่องนี้เลย พ่อยังไม่รู้ หรืออาจยังทำใจไม่ได้ พ่อรักแม่มากเหมือนกับที่รักเขา แล้วดูนั่นสิ พ่อขยันชวนแม่คุยสารพัดเรื่องเสียจริง คุยไปพร้อมกับที่ดูรายการโทรทัศน์ไปด้วย พ่อไม่รู้หรือว่าแม่ไม่มีชีวิตแล้ว สิ่งที่พ่อทำหรือพูดออกไปล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระ พูดในเรื่องที่ไม่มีใครสนใจ พูดในเรื่องที่ไกลตัว คนรักกันเท่านั้นจึงจะทนฟังเรื่องไร้สาระของกันและกันได้ โจคิด ถึงตอนนี้เขาก็รู้สึกกลัวแม่มาก จึงได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ แต่จะถอยออกไปอยู่ห่าง ๆ ก็กลัวว่าแม่รู้เข้าแล้วจะเสียใจ เขาไม่อยากให้แม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ เขามักจะทำให้แม่เสียใจอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ทั้ง ๆ ที่แม่เคยบอกว่ารักเขามากที่สุด อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว บางทีอาจมีแต่ความตายเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

“เป็นอะไรไปหรือโจ ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่พูดไม่จา” พ่อละสายตาจากจอโทรทัศน์ แล้วหันมาถามเขาอย่างขัน ๆ

“ไม่สบายปวดหัวหรือเปล่าลูก” แม่เอ่ยถามบ้าง ขณะนั่งเย็บชายขากางเกงของพ่อที่เก้าอี้ตัวโปรด

โจฝืนยิ้ม ส่ายหน้า รู้สึกหัวใจแห้งแล้งเต็มที เขาจะบอกทุกคนได้อย่างไรเกี่ยวกับความฝันเมื่อคืน เขาจะบอกทุกคนได้อย่างไรถึงความซุกซนของเขา ที่ร้องเรียกนกแห่งความตายให้มาเกาะบนหลังคาบ้าน มิหนำซ้ำมันยังดันร้องขึ้นมาอีกด้วยเสียงอันน่ากลัว เสียงที่เรียกความตายให้มารุมล้อมบ้านของเขาเอาไว้ เขาไม่เคยรู้จักมันมาก่อนเลย แม้แต่ภาพถ่ายก็ยังไม่เคยเห็น พี่ชายของเขาจะต้องนำเรื่องนี้ไปฟ้องครูใหญ่อย่างแน่นอน การฟ้องครูใหญ่ย่อมเป็นเรื่องเอิกเกริกและสร้างความอับอายให้แก่เขามากกว่าการไปฟ้องพ่อ เขาอาจโดนลงโทษที่หน้าเสาธงด้วยซ้ำ จากนั้นครูใหญ่ก็จะไปแจ้งตำรวจ เขาจะถูกลงโทษหนักขึ้นในฐานะอาชญากรเด็ก เป็นที่รู้กันว่าตำรวจชอบนักที่จะจับใครสักคนมาลงโทษ ครูประจำชั้นเคยเล่าว่าแม้แต่แพะก็ยังถูกตำรวจจับตัวมาขังหรือทุบตีอยู่บ่อย ๆ พวกนี้ทำตัวเหมือนคนป่าที่ชอบจับนักท่องไพรไปบูชายัญ จริงด้วย เรื่องจะต้องเป็นอย่างนี้ เขานึกเห็นภาพตำรวจขับรถเปิดไซเรนดังหวอ ๆ มาที่โรงเรียน เพื่อจับเขาเข้าคุกในข้อหาวางแผนฆ่าแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง เพื่อนทุกคนจะไม่มีใครอยากคบกับคนเลวอย่างเขา ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเขาแค่ร้องเรียกนกแสกเล่นเท่านั้น ไม่ได้ต้องการทำให้แม่ตาย ไม่ได้อยากให้ทุกคนต้องมาตายเพราะความไร้เดียงสาของเขา เรื่องมันช่างน่ากลัวและเศร้าสิ้นดีที่แม่ต้องตายไปจากโลกนี้ ในความฝันเห็นได้ชัดว่าแม่ตายไปแล้ว แต่ยังมีตัวตนอยู่ในความคิดของเขาและคนในบ้าน สุดท้ายเขาก็คงต้องเดินเข้าเรือนจำไปอยู่ร่วมกับบรรดาฆาตรกรทั้งหลาย บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องดีสำหรับคนอย่างเขา เด็กซุกซนเหลือขอผู้นำเอาความตายมาสู่บ้านอันเป็นที่รักหลังนี้

มีเสียงบันไดลั่น พี่ชายของเขากำลังเดินหน้าตายับยู่ยี่ลงมาจากห้องนอนชั้นบนเพราะตื่นสาย เมื่อเห็นเขากำลังนั่งกินข้าวต้มปลาอย่างซังกะตายก็ตรงเข้ามากระซิบข้างหูว่า “นกผีตัวนั้นร้องอยู่ตั้งนาน จนแกหลับมันถึงได้บินจากไป พูดแล้วขนลุก จะต้องมีคนตายแน่นอน”

โจได้ยินถ้อยคำของพี่แจ็คก็ทำปากเบะตาแดง ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะกิน จึงเลื่อนชามข้าวต้มออกไป เขาอยากบอกพี่ชายว่าไม่ใช่แค่จะมีคนตายหรอก แม่น่ะตายตั้งแต่เมื่อคืน เขาฝันเห็นว่าแม่ตายไปแล้วจริง ๆ แต่เขาก็พูดไม่ออก ลำคอตีบตันขึ้นมาด้วยความสะเทือนใจ จึงรีบวิ่งขึ้นห้องนอนโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกและเสียงหัวเราะของพี่แจ็ค เขากระโจนขึ้นเตียงคลุมโปง แล้วปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ภายในใจได้แต่อธิษฐานถึงพญามัจจุราชว่า อย่าได้นำความตายมายังบ้านของเขาเลย สำหรับความตายที่จะมาถึงก็ขอให้นำมันกลับคืนสู่ปรโลก อย่าให้คนที่เขารักต้องตาย อย่าให้ทุกคนในครอบครัวหายไปจากชีวิตของเขา เขายอมแลกกับการขยันเรียนมากขึ้นก็ได้ หรือจะให้อดขนมสักเดือนหนึ่งก็จะไม่งอแงเลย เขาจะเป็นเด็กดีไปนาน ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าพญามัจจุราชจะได้ยินคำขอร้องจากเขาไหม บางทีท่านอาจกำลังง่วนอยู่กับความตายในบ้านหลังอื่นก็เป็นได้ มีบ้านมากมายบนโลกใบนี้ บ้านของเขาอาจได้รับการยกเว้น เพราะว่าเขาได้ร้องขอไว้เป็นอย่างดีแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น ตอนสายประมาณสิบโมงกว่า ๆ เขาได้ยินเสียงพี่แจ็คเข้าห้องน้ำหลายครั้งเพราะท้องเสียสลับกับอาเจียน ต่อมาก็ร้องโอดโอยแล้วหน้ามืดเป็นลม ในที่สุดพ่อต้องขับรถไปส่งพี่ชายของเขาที่โรงพยาบาล แม่กับเขาติดตามไปด้วย ถึงเขาจะกลัวแม่ก็เถอะ แต่เรื่องนี้มันจำเป็น แม่เคย

ไว้ว่าคนเราต้องอย่าทอดทิ้งกันในยามเจ็บป่วย โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันพี่แจ็คไปถึงโรงพยาบาลในสภาพหมดแรง แต่รู้สึกตัวแล้ว ทว่ายังต้องนั่งรถเข็นและเข้าห้องฉุกเฉิน มีเจ้าหน้าที่มาวัดความดันโลหิต ชีพจร และให้น้ำเกลือ พร้อมกับถามอาการ รวมถึงโรคประจำตัวต่าง ๆ จากนั้นรออยู่ไม่นานก็มีหมอมาตรวจโดยคลำท้องอยู่สักครู่หนึ่ง 

หมอถามพี่ชายของเขาว่าเคยผ่าไส้ติ่งหรือยัง พ่อตอบแทนว่า “ยังไม่เคยครับ ไม่เชื่อคุณหมอดูที่ท้องสิ ไม่มีรอยแผลผ่าตัดแม้แต่นิดเดียว สมาชิกในบ้านเราไม่เคยมีใครผ่าตัดไส้ติ่งมาก่อน พวกเราคงตายไปพร้อมกับไส้ติ่งของเราในวาระสุดท้ายนั่นแหละครับคุณหมอ” พ่อกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี 

หมอหัวเราะ พูดออกตัวว่าหมอก็ถามไปตามเรื่องตามราวของหมอนั่นแหละ จุดประสงค์ต้องการจะชวนคุยเสียมากกว่า จากนั้นหมอก็ให้เจ้าหน้าที่นำพี่ชายของเขาไปเข้าเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ พอย้ายกลับมาห้องฉุกเฉินอีกที ก็มีสายระโยงระยางแปะที่หน้าอกและนิ้วของพี่ชายของเขา ซึ่งนอนหนาวสั่นอยู่ตลอดเวลา หมอชี้แจงว่าไส้ติ่งของคนไข้แตก ต้องผ่าตัดด่วน ชักช้าอาจเสียชีวิตได้

“หมายถึงตะ…ตาย…ใช่ไหมครับ” โจถามเสียงสั่น ๆ และในที่สุดก็ถึงกับร้องไห้โฮออกมา เป็นเพราะความร่วมมือของเขากับเจ้านกแสกนั่นเอง เขาไม่ได้ตั้งใจเลย แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ชายของเขาสักเท่าไรนักก็ตาม ความตายมาทักทายแล้วก็เริ่มครอบงำทุกคนในบ้าน คำอธิษฐานของเขาไม่ประสบผลสำเร็จ พี่แจ๊คคงไม่รอดแน่ ๆ คราวนี้ แต่แวบหนึ่งของความคิด เขารู้สึกว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ หากพี่ชายของเขาตายจริง ๆ เพราะอย่างที่รู้กันดี คนตายน่ะพูดไม่ได้หรอก ความจริงย่อมจะตายไปพร้อมกับตัวความตายเอง (ยกเว้นในความฝัน อีกทั้งบางกรณีคนตายก็พูดได้เหมือนแม่ของเขา) จะไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ครูใหญ่ไม่มีทางรู้ แล้วตำรวจก็จะไม่มีวันขับรถเปิดไซเรนมาจับตัวเขาไปเข้าคุก ที่แน่นอนคือเขาจะไม่ถูกพ่อตี ใครก็รู้ว่าพ่อของเขามือหนักขนาดไหนตามประสาคนเส้นลายมือขาด พ่อไม่เคยเชื่อเรื่องรักวัวให้ผูกรักลูกให้กอดอย่างที่มีการรณรงค์กันอยู่ในตอนนี้เลย “ให้ตายเถอะ สำหรับพวกลูก ๆ ต้องตีเท่านั้นถึงจะได้ดี” พ่อเคยพูดเสียงดังฟังชัด แล้วก็หัวเราะ

“ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะโจ พี่แจ๊คแค่ไส้ติ่งแตกเท่านั้น หมอผ่าตัดให้แล้วก็จะหายดีเหมือนเดิม ไม่กี่วันก็ลุกขึ้นมาวิ่งปร๋อ เชื่อแม่สิ” แม่ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและแผ่วเบา เสียงของแม่ราวกับดังอยู่ในห้วงความฝัน แต่ดูเหมือนว่าที่จริงแล้วแม่กำลังกลั้นสะอื้นไว้มากกว่า ความตายไม่ได้ทำให้แม่รักลูกน้อยลงเลย

“พี่แจ็คไม่มีทางรอดหรอกครับแม่”

“เหลวไหล ทำไมโจพูดยังงั้น” คราวนี้แม่เอ็ดเสียงดัง แม่กลายเป็นแม่คนเดิม

“เป็นความผิดของผมเอง แต่ผมบอกใครไม่ได้” เขาก้มหน้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาร่วงเผาะ

ทันใดนั้นเอง ด้วยความกลัว โจจึงวิ่งหนีออกมาจากบริเวณหน้าห้องผ่าตัด มุ่งหน้าตรงไปตามทางที่พลุกพล่านด้วยผู้คน ทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและญาติคนไข้ กลิ่นยาหรือสารเคมีบางอย่างซึ่งฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นชอบกล หรือว่ามันคือกลิ่นของความตาย ความตายกำลังห้อมล้อมเขาไว้ทุกทิศสินะ เขาวิ่งมาจนสุดทาง และพบว่าตรงนั้นเงียบเหงาวังเวงพิกล อากาศเย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาดทำให้ขนลุกตั้งชัน มีป้ายติดไว้ที่หน้าประตูบอกว่าเป็นห้องดับจิต เขาเคยอ่านพบในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นว่า ห้องดับจิตมีศพคนตายเก็บไว้เป็นจำนวนมาก จินตนาการทำให้เขารู้สึกสยองพองขน จินตนาการชักพาให้มองเห็นศพคนตายจำนวนมากกำลังนอนบิดตัวอยู่ในช่องต่าง ๆ เต็มไปหมด โดยที่แต่ละศพกำลังยิ้มเยาะเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วริมฝีปากซีดเขียวเหล่านั้นก็พร่ำพูดว่า “ไอ้หนู แกไม่น่าล้อเล่นกับความตายเลย”

ยังไม่ทันที่เขาจะร้องไห้ออกมาอีก พ่อก็ตามมาทัน และย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับลูบหัวเขา

“วิ่งหนีมาทำไมล่ะโจ เป็นอะไร บอกพ่อมาทีซิ”

“เป็นความผิดของผมเองครับ พ่อ”

“ความผิดงั้นเรอะ โจไปทำอะไรผิดมาล่ะ”

เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พ่อฟัง พอรู้เรื่องทั้งหมด พ่อก็หัวเราะพลางส่ายหน้า “ไม่จริงหรอกโจ พี่แจ็คเขาก็แค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง นกแสกเป็นนกธรรมดาเหมือนนกทั่วไปนั่นแหละ มันไม่ได้มีอิทธิพลกับความตายเลยแม้แต่นิดเดียว” พ่อว่า

“ผมฝันด้วยนะครับ ฝันว่าแม่ตายไปแล้ว แต่ก็ยังแวะมาหาพวกเราอยู่ ในความฝันผมรู้ดีว่าแม่ตายจริง ๆ แม่เป็นคนตายที่เดินทางมาหาคนเป็นอย่างพวกเราครับ ผมกลัวแต่ก็พยายามไม่ให้แม่รู้ พ่ออย่าบอกแม่นะ อย่าให้แม่รู้ว่าผมรู้ความลับของแม่แล้ว เดี๋ยวแม่จะเสียใจ”

“โจ ความฝันไม่ใช่ความจริง ลูกต้องแยกให้ออก จะไม่มีใครตายตามที่พี่แจ็คพูดแน่นอน พ่อสัญญา”

“พ่อสัญญานะครับ ว่าจะไม่มีใครตาย”

“พ่อสัญญา”

ถึงตรงนี้โจค่อยยิ้มออกมาได้ จึงยอมให้พ่อจูงมือพาเขากลับไปหาแม่ ซึ่งยืนรอด้วยสีหน้าเป็นกังวลอยู่หน้าห้องผ่าตัด

“ทำไมทำแบบนี้ล่ะโจ แม่ยิ่งกลุ้ม ๆ อยู่ด้วย ทำตัวให้เรียบร้อยหน่อยได้มั้ย”

โจพยักหน้ารับคำ แม่คงไม่รู้หรอกว่าเขาก็เป็นกังวลเช่นกัน ถ้าพี่แจ็คเป็นอะไรไป เขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย คำพูดของพ่อก็แค่คำปลอบใจเท่านั้น เขาโตพอที่จะรู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่คำโกหก ซึ่งคนเราใช้หลบเลี่ยงจากความจริงชั่วคราว ทว่าเขาก็ยกโทษให้แก่คำโกหกของพ่อ เพราะเขารักพ่อ รักเท่ากับที่รักแม่มาตลอดชีวิตของเขา

ราวหนึ่งชั่วโมงหมอก็เดินออกมาบอกว่าคนไข้ปลอดภัยแล้ว แต่ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปสักห้าวัน จากนั้นจึงค่อยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีความตายเกิดขึ้น นี่หมายความว่าเรื่องนกแสกไม่เป็นความจริงอย่างนั้นใช่ไหม จึงไม่มีใครตายเลยสักคน อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังดีใจที่พี่ชายปลอดภัย หรือว่าแท้จริงแล้วเรื่องนกแสกจะเป็นแค่การล้อเล่นตามที่พ่อพูดไว้จริง ๆ  ภายในใจของเขารู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย

พ่อตกลงกับแม่ว่าจะพาเขากลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน โดยแม่จะรออยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อพี่แจ็คฟื้นแล้วจะได้เข้าไปเยี่ยม ตอนเย็นพ่อจะนำเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นมานอนเฝ้าพี่แจ็คเอง ส่วนเขาจะต้องนอนอยู่บ้านกับแม่สองคน แค่คิดก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

เขากลับมาบ้านและนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ตามลำพัง มันเป็นเกมเกี่ยวกับการไล่สังหารผีดิบเดินได้ด้วยปืนลูกโม่ ในเกมเขามีอาวุธคู่มือ ทว่าในชีวิตจริงเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากมือเปล่า มือที่เพียงแค่แม่จูงไปทางไหนก็ต้องยอมตามไปแต่โดยดี แล้วถึงแม้ว่าเขาจะมีปืนเหมือนในเกม เขาก็คงไม่กล้ายิงแม่ตัวเอง อะไรทำให้เขาเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขารักแม่ เขาอยากถามพ่อในตอนนี้เหลือเกินว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน พ่อจะมีแม่อยู่ในความทรงจำตลอดไปหรือไม่ และความตายจะทำให้พ่อลืมแม่หรือเปล่า เมื่อหันไปดูก็เห็นพ่อกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา รอเวลาให้ถึงตอนเย็นเพื่อกลับไปโรงพยาบาล

“พ่อรักแม่หรือเปล่าครับ”

“รักสิ รักมากเท่ากับที่รักโจ แล้วก็พี่แจ็ค”

“ตกลงว่าพี่แจ็คจะไม่ตายใช่มั้ยครับพ่อ”

“ใช่แล้วโจ พี่แจ็คจะไม่ตาย”

“แล้วแม่ล่ะ พ่อจะบอกว่าแม่ยังไม่ตายงั้นหรือครับ”

“แม่ยังมีชีวิตอยู่ และแม่จะไม่ตายอย่างแน่นอน”

“รวมทั้งพ่อด้วย”

“ลูกก็รู้ดีอยู่แล้วนี่”

“พ่อสัญญาได้ไหม ว่าพวกเราจะไม่มีวันตาย พวกเราจะไม่พรากจากกัน นกแสกทำอะไรเราไม่ได้”

พ่อนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียดว่า “พ่อให้สัญญาอะไรทำนองนั้นไม่ได้หรอกโจ คนเราทุกคนต้องตายด้วยกันทั้งนั้น แต่คงไม่ใช่ตอนนี้หรือเร็ว ๆ นี้แน่ ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ”

“พ่อรู้ได้ยังไงครับ อะไรทำให้พ่อมั่นใจ” โจถามด้วยความสงสัย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ

“หุบปากซะทีเถอะโจ เล่นเกมไปเงียบ ๆ อย่าถามอะไรไร้สาระอีกนะ ทำตัวให้เหมือนเด็กโต ๆ หน่อย พ่อยิ่งกังวลเรื่องพี่แจ็คอยู่ด้วย” พ่อกล่าวเสียงดังด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

เขารู้สึกผิดหวังในคำพูดของพ่อมาก พ่อไม่น่าจะพูดกับลูกของตัวเองอย่างนี้เลย ทว่าคิดไปคิดมาเขาก็รู้สึกดีที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ คนมีชีวิตก็มักมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้เสมอ เหมือนผู้ใหญ่ทุกคนที่เขารู้จักนั่นเอง ทั้งครู ภารโรง คนขับรถโรงเรียน และแม่ค้าขายขนม เดี๋ยวนี้เขารู้สึกรักการมีชีวิตขึ้นมาอย่างล้นเหลือ มันช่างดีอะไรเช่นนี้กับการมีสำนึกรู้ว่าเรายังมีตัวตนอยู่ เขาจะไม่ยอมให้ความตายมากล้ำกรายบ้านของเขาอย่างเด็ดขาด เขาตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าคืนนี้เห็นนกแสกบินมาเกาะหลังคาบ้านอีก เขาจะคว้าหนังสติ๊กไปยิงมันให้ขนกระจุย เขาจะไม่ปล่อยให้นกแสกนำความตายไปยังบ้านทุกหลังบนโลกนี้

“มันต้องเสียสละเพื่อมนุษย์ทุกคน” โจพูดกับตัวเอง.

.

หมายเหตุ เรื่องสั้นเรื่องนี้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “สะพานรวมเมฆ” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์

ใส่ความเห็น