มุมเรื่องสั้นไทย
ครั้งหนึ่งผมเคยแต่งงานกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผมตกงานและทนความกดดันไม่ได้ จนต้องแยกออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง นานวันเข้าภรรยาก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยเธอเป็นอิสระจากปลักตม ซึ่งผมยอมตามใจเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความปวดร้าวใจ
หลังจากได้ใบหย่ามาครอบครองแล้ว ทันทีที่เดินออกจากสำนักงานเขต เธอชวนผมเข้าร้านพิซซ่าแห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งในสมัยก่อนเราชอบมานั่งรับประทานอาหารอยู่เป็นประจำ วันนั้นเราสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยน สลัดผัก ขนมปังกระเทียม หัวหอมทอด หรือแม้กระทั่งสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อของโปรดของผม
ผมพยายามรักษาบรรยากาศด้วยการพูดคุยเหมือนในวันเก่า ๆ ของเรา แต่อาหารบนโต๊ะก็เย็นลงและชืดชาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคิดจะกินมันอีก ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นมื้อสุดท้ายระหว่างเธอกับผม เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน
เธอเอ่ยปากขอเป็นเจ้ามือ เพราะรู้ว่างานใหม่ของผมในตำแหน่งอาสาสมัครลานกีฬา ที่ใช้งบประมาณจากแผนมิยาซาว่าให้ค่าตอบแทนไม่มากนัก แท้จริงแล้วเธอคงไม่ต้องการกินอาหารที่จ่ายด้วยเงินจากนโยบายทางการเมืองซึ่งเธอไม่เห็นด้วยมากกว่า เธอว่ามันเป็นการใช้เงินอย่างไร้ประโยชน์ เพียงแค่จ้างคนตกงานอย่างผมมาเดินเล่นเท่านั้น ผมฟังคำพูดของเธอแล้วก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเอง และทำให้ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ใจคิด มันช่างยากเหลือเกินที่จะเอ่ยปากรั้งเธอไว้
ในที่สุด เราต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่มีคำอำลาที่หน้าประตูร้านพิซซ่านั่นเอง
ปี 1999
ลานกีฬา กรุงเทพมหานคร
“วิกฤตต้มยำกุ้ง” ปี 1997 ส่งผลให้มีคนตกงานจำนวนมาก ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนโชคร้ายพวกนั้น การว่างงานทำให้ผมมีปัญหากับอดีตภรรยา ผมจึงย้ายออกมาเช่าห้องพักอยู่ตามลำพัง ชีวิตแต่ละวันผ่านไปได้ด้วยเงินจุนเจือจากแม่และเหล้าราคาถูก
กว่าผมจะหางานใหม่ได้ก็อีกสองปีต่อมา เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นได้กู้เงินจากประเทศญี่ปุ่นมากระตุ้นเศรษฐกิจ หรือที่รู้จักกันในนาม “งบมิยาซาว่า” เงินส่วนหนึ่งถูกนำมาจ้างอาสาสมัครประจำลานกีฬาในชุมชนต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานคร และโดยอาศัยเส้นสายเล็กน้อย ผมก็ได้งานอาสาสมัครที่ว่านี้ มันทำให้ผมกลับมามีรายได้ประจำ แม้จะไม่มากนัก แต่ชีวิตของผมก็มีความหวังอีกครั้ง
ที่ลานกีฬานี่เอง ผมได้รู้จักหญิงสาวรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งทำงานในตำแหน่งเดียวกับผม ทางสำนักงานเขตจัดให้เราอยู่คู่กัน เธอเป็นคนน่ารัก ร่าเริง คุยเก่ง มีลักษณะโดยรวมอย่างซื่อ ๆ และจริงใจ หลังเลิกงานวันแรกผมจึงชวนเธอไปนั่งดื่มเบียร์ที่ร้านอาหารชื่อ “The Best Time” บนถนนข้าวสาร
เธอไม่เคยมาเที่ยวแถวนี้เลย เธอบอกผมอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเธอจะประทับใจกับบรรยากาศของที่นี่มากเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวต่างชาติส่งยิ้มให้เธอเสมอ คงเป็นเพราะผิวคล้ำและรูปร่างผอมบางของเธอนั่นเอง ฝรั่งหลายคนพยายามพูดคุยด้วย แต่ภาษาอังกฤษของเธอแย่มาก ผมต้องคอยแปลให้แทบทุกประโยค เธอพูดไปขำไปอยู่เกือบตลอดเวลา จนกระทั่งเริ่มเมาเธอถึงได้นั่งก้มหน้าคอตกอย่างเซื่องซึม แล้วร้องไห้อยู่เงียบ ๆ น่าเศร้าใจที่ผมไม่ได้ปลอบโยนเธอเลย กลับปล่อยให้เธอจมอยู่กับอดีตของเธอ นั่นเป็นเพราะว่าผมก็จมอยู่ในอดีตของตัวเองเช่นเดียวกัน
เราสองคนไปพบกันที่ลานกีฬาทุกเย็น ยกเว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ (แม้ว่าโดยปกติจะไม่มีอะไรให้ทำเลยก็ตาม) เมื่อได้เวลาอันสมควร เธอกับผมก็จะวิ่งออกมาอย่างลิงโลด ก่อนพากันนั่งรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังถนนข้าวสาร เพื่อปลดปล่อยชีวิตให้ล่องลอยผ่านไปในแต่ละคืนและสามารถหลับลงได้
หลังจากนั้นราวสองเดือน คืนหนึ่งเราไปที่ “The Best Time” กันเช่นเคย มันเป็นคืนที่ผมเมาหนักกว่าปกติ นั่นเป็น เพราะว่าไม่มีเหตุผลอะไรจะเหมาะแก่การเมามายยิ่งไปกว่านั้นอีกแล้ว สำหรับการได้มาซึ่งชีวิตโสดอย่างแท้จริงของผู้ชายคนหนึ่ง เธอเองก็พลอยเมาหนักเป็นเพื่อนผมไปด้วย จนผมนึกเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านตามลำพัง จึงตัดสินใจเช่าห้องพักรายวันแถวนั้นโดยที่เธอไม่ปฏิเสธ คืนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปโดยที่เราแทบจะจำอะไรไม่ได้ในตอนเช้า แต่เธอกับผมต่างก็รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“พี่ไม่ต้องรับผิดชอบหรอกนะ ก็เราไม่ได้รักกันนี่...ใช่ไหม...”
คำพูดของเธอทำให้ผมหวนคิดถึงคำพูดของอดีตภรรยา ผู้หญิงคนนั้นก็เคยกล่าวคล้าย ๆ กันอย่างนี้มาก่อนในครั้งแรก ซึ่งทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเปลี่ยนไป แต่ครั้งนี้ผมไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผมจึงรีบลุกขึ้นจากที่นอน แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
หลังจากคืนนั้น ผมยังคงชวนเธอไปเที่ยวและหาอะไรนั่งดื่มเสมอ เท่าที่จำได้เธอไม่เคยปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว เรามักจะดื่มเบียร์และครุ่นคิดอยู่ในโลกของตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าใกล้ครองสติไม่อยู่ เราจะเดินเข้าโรงแรมเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปจนเช้า ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนสาย ที่ผ่านมาผมเคยคิดว่าเธอมีความสุขดี แล้วเหตุการณ์ก็คงดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเบื่อหน่าย และเลิกรากันไปโดยไม่มีใครต้องเจ็บช้ำ แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เย็นวันหนึ่ง ทันทีที่เจอหน้ากัน เธอแจ้งกับผมว่า เมื่อตอนบ่ายเธอได้เข้าไปเขียนใบลาออกที่สำนักงานเขต วันนี้คือวันสุดท้ายที่เธอจะมาลานกีฬา เธอบอกว่าเธอได้งานใหม่แล้ว แม่ของเธอเป็นคนวิ่งเต้นหาให้
“เป็นพนักงานขายจิวเวลรี่น่ะ” เธอว่า “เงินเดือนกับค่าคอมฯ รวมกันแล้วมากกว่าอาสาสมัครลานกีฬาหลายเท่า แต่ต้องย้ายไปทำงานไกลถึงหาดใหญ่ แม่บอกว่าฉันควรรับงานนี้ แล้วทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิม พี่เห็นด้วยมั้ย”
“ผู้ใหญ่เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน....”
“แล้วพี่จะไปกับฉันหรือเปล่า ลองไปหางานที่นั่นทำดู นะ...ไปด้วยกัน ฉันอยากให้พี่ไปด้วย หรือพี่จะให้ฉันรอ”
“อย่ารอหรือคาดหวังกับคนอย่างพี่เลย”
ผมจำได้ว่าปฏิเสธคำขอร้องของเธออย่างนุ่มนวล บทเรียนชีวิตสอนผมให้รู้จักการปฏิเสธ คืนนั้นเรากลับไปที่ร้าน “The Best Time” เพื่อชนแก้วกันครั้งแล้วครั้งเล่า และนอนด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
ตอนเช้าหลังจากที่ผมส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่แล้ว เราก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย
ปี 2000
ถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร
หลังเทศกาลปีใหม่ไม่นานนัก ผมก็ได้งานใหม่เป็นนักเขียนประจำกองบรรณาธิการของนิตยสารรายปักษ์ฉบับหนึ่ง หน้าที่หลักคือเขียนคอลัมน์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนและคอลัมน์ท่องเที่ยวต่างจังหวัด งานอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ก็ตามแต่จะได้รับมอบหมายจากบรรณาธิการ
แน่นอนว่างานใหม่ได้รับเงินเดือนสูงขึ้นและยังตรงกับความถนัดของผมมากกว่าเดิม ผมจึงทำงานด้วยความพึงพอใจ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่ามีความสุข
หลังเสร็จสิ้นการงานผมยังคงตรงดิ่งไปนั่งดื่มเบียร์ที่ร้าน “The Best Time” บนถนนข้าวสารเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะ ว่ามีเรื่องราวมากมายเคยเกิดขึ้นที่นี่ จากเรื่องใหม่ไม่นานนักก็กลายเป็นเรื่องเก่า ปล่อยให้ผมจดจำโดยไม่อาจบังคับควบคุมเหมือนเช่นกลไกอื่น ๆ
ในเวลาต่อมา “โยโกะ มิยาซาว่า” คือหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งตามลำพัง เมื่อเราสบตากันโดยบังเอิญ ผมก็เชื้อเชิญให้เธอย้ายมานั่งร่วมโต๊ะ ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำไมถึงไม่ย้ายไปนั่งโต๊ะของเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าในตอนนั้นผมเริ่มเมาแล้วกระมัง หลังจากที่ดื่มเบียร์ไปหลายขวด การดื่มเบียร์ตามลำพังมักจะทำให้ผมเมามากกว่าที่ควรจะเป็นเสมอ
ด้วยความเมาผมจึงเริ่มร้องเพลงให้เธอฟังแข่งกับเสียงดนตรีในร้าน มันเป็นเพลงจากหนังการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเคยฉายทางโทรทัศน์ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะรู้จักและร้องได้เช่นกัน ทุกเพลงที่ผมร้องขึ้น เธอจะร้องตามได้อย่างน่าประทับใจ นั่นทำให้เรายิ้มและหัวเราะให้กันแทบจะไม่ขาดระยะ เราสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นของเธอไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ครั้งนี้เลย
ผมบอกเธอว่านามสกุลของเธอเหมือนนักการเมืองญี่ปุ่นคนหนึ่ง ผู้ซึ่งแผนการจัดตั้งกองทุนเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาของเขาเคยช่วยชีวิตผมเอาไว้ เธอได้ฟังก็หัวเราะ กล่าวว่ารัฐมนตรีคลังคนนี้เธอไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ในประเทศญี่ปุ่นนั้น การมีนามสกุลซ้ำกันไม่ใช่เรื่องแปลก ผมบอกเธอว่าผมยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี อีกทั้งนามสกุลของเธอก็ทำให้ผมหวนคิดถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คืนนั้นจบลงที่ห้องพักของเธอ แล้ววันต่อมาหลังจากที่ผมกลับบ้านไปจัดกระเป๋าพร้อมด้วยกล้องถ่ายรูป เราสองคนก็ออกเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน ผมคิดถึงการได้ถ่ายภาพและเก็บข้อมูลเขียนสารคดี นอกจากนี้ยังได้ท่องเที่ยวกับสาวญี่ปุ่นผู้น่ารัก นับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
สิงหาคม ปี 2001
Author’s Lounge
โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
ในเวลานั้นผมเปลี่ยนงานใหม่แล้ว นั่นทำให้ผมนึกสงสัยว่า หากไม่ได้งานใหม่เป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับหนึ่ง ผมจะได้พบกับอดีตภรรยาอีกครั้งหรือไม่
เย็นวันนั้นผมไปงานเปิดตัวสินค้าไฮเทคของบริษัทยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง จนได้พบกับเธอโดยบังเอิญที่นั่น เธอเองก็เปลี่ยนงานใหม่แล้วเช่นกัน เธอกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าตอนนี้เธอเป็นเลขานุการิณีของผู้อำนวยการในบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายทึ่งกับงานใหม่ของผมเสียมากกว่า
“ไม่คิดว่างานอดิเรกที่ใช้เงินไปมากในสมัยเรียน จะเปลี่ยนเป็นงานที่ดูดีได้อย่างนี้” เธอเปรยขึ้นขณะสำรวจดูผมในชุดสูทสีเข้มซึ่งมีกล้องพร้อมเลนส์ขนาดใหญ่ห้อยคออยู่
หลังงานจบลง เธอเดินตามติดผมทุกฝีก้าว และเมื่อรู้ว่าผมจะนั่งแท็กซี่กลับ เธอก็เอ่ยปากขอขับรถไปส่ง ในเวลานั้นผมกำลังรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อยจึงคร้านที่จะปฏิเสธ
ระหว่างทาง บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยยวดยานคับคั่ง เธอพูดเป็นทำนองว่ายังไม่อยากรีบกลับบ้าน พลางเอ่ยปากชวนผมไปหาที่นั่งเล่น
“เคยไปร้านเดอะเบสท์ไทม์ไหม ที่ถนนข้าวสาร...” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมนึกถึงสถานที่แห่งนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ตุลาคม ปี 2001
รถไฟตู้นอน หาดใหญ่ – กรุงเทพฯ
คืนนั้นไม่ใช่เป็นเพราะเสียงล้อรถไฟกระทบรางเหล็กซึ่งกำลังแล่นทะยานฝ่าไปในความมืดมิด หรือเสียงถกเถียงกันระหว่างผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง เกี่ยวกับนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลใหม่ แต่เป็นด้วยเรื่องราวมากมายในอดีตต่างหากเล่าที่ทำให้ผมหลับไม่ลง ผมได้แต่รูดม่านเก็บตัวอยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาว ปิดโคมไฟเล็ก ๆ ตรงหัวนอน และเอนหลังจิบวิสกี้ตามลำพัง
ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่สนามบินเมื่อปีที่แล้ว ระหว่างไปส่งสาวญี่ปุ่นกลับประเทศของเธอ เธอเขียนที่อยู่ที่บ้านและอีเมลแอดเดรสลงในกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้
“ถ้าจะส่งอีเมลหาคุณ ผมคงต้องหัดใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นเสียก่อน”
“เขียนจดหมายหาฉันก็ได้ ฉันอยากอ่านลายมือของคุณ ปีหน้าฉันจะกลับมาอีก คุณรอฉันได้ไหม”
“อย่ารอหรือคาดหวังกับคนอย่างผมเลย”
“ทำไมล่ะ ฉันชอบคุณจริง ๆ นะ”
“ถ้าเพียงแต่เราจะพบกันเร็วกว่านี้...” ผมกล้ำกลืนคำพูด แล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนที่สุด ก่อนจะรวบรวมความกล้ากล่าวต่อไปว่า “บอกตามตรง ผมเคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงมาแล้วมากมาย คุณคงไม่ใช่คนสุดท้าย”
คำพูดของผมทำให้เธอนิ่งอึ้งอยู่นาน แต่สุดท้ายเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉัน...ฉันจะคิดถึงคุณตลอดไป”
เธอขอร้องให้ผมจูบเธอเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ลืมเธอ ผมพยักหน้าตกลงเพื่อเป็นการเอาใจ ทว่าเมื่อเธอเดินเข้าประตูตรวจหนังสือเดินทางจนลับสายตาไปแล้ว ผมก็โยนกระดาษซึ่งเธอเขียนที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นลงถังขยะ การกระทำนี้ราวกับการได้กินยาที่ทำให้ผมตื่นขึ้นจากความฝันก็ไม่ปาน
แต่ผมมาตื่นจากความฝันอย่างแท้จริงก็ในเช้าวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม ปี 2001 เช้าวันนั้นผมตื่นขึ้น แล้วพบว่าอดีตภรรยายังคงนอนกอดก่ายผมอยู่บนที่นอนยับยู่ยี่ในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง ผมรีบปลุกให้เธอลุกขึ้นแต่งตัวไปทำงาน เธอบิดร่างอย่างเกียจคร้านด้วยท่วงท่าที่เคยดูน่ารักใคร่ ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างภายในใจของผมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เธอขับรถมาส่งผมลงใกล้หัวมุมถนนอันพลุกพล่าน ก่อนเอ่ยปากว่า “ตอนเย็นจะไปรับที่ทำงานนะ ว่างหรือเปล่า อ้อ ขอเบอร์มือถือด้วยสิ จะได้ติดต่อกันง่ายหน่อย”
“รู้อะไรไหม หลังจากที่โทรศัพท์และหมายเลขเก่าถูกยกเลิกไปเมื่อปี 97 ผมก็ไม่เคยคิดจะซื้อใหม่อีกเลย อันที่จริงผมไม่รู้ว่ามีแล้วจะโทร.หาใครด้วยซ้ำ” พูดจบผมก็ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ท่าทางรวมถึงสีหน้าของผมคงจะทำให้เธอฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้ แววตาของเธอจึงเปลี่ยนไป จากร่าเริงกลับกลายเป็นความเศร้าและความผิดหวัง
“ทำไมต้องใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าผมด้วยล่ะ ลืมข้อผิดพลาดในอดีตของเรา แล้วกลับมารักกันเหมือนเดิมไม่ได้หรือ”
“หลังจากที่เราเลิกกันแล้ว ผมก็ไม่เหมือนเดิม ผมไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป”
ผมยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโบกมือเรียกรถแท็กซี่ ระหว่างนั้นผมหวนคิดถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งขึ้นมาอย่างหักห้ามความรู้สึกไม่ได้
น่าเศร้าเมื่อผมตัดสินใจเดินทางไปตามหาเธอ สิ่งที่คาดหวังไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ตามร้านจิวเวลรี่ต่าง ๆ ในหาดใหญ่ไม่มีใครรู้จักเธอเลย เป็นเพราะเธอไม่เคยเดินทางไปทำงานที่นั่น ดูเหมือนว่าเธอได้เปลี่ยนใจเดินทางไปยังจุดหมายอื่นแทน เป็นปลายทางซึ่งผมจะไม่มีวันค้นหาเธอพบ
ผมเคยขอที่อยู่ของเธอจากข้าราชการคนหนึ่งในสำนักงานเขต ซึ่งคุ้นเคยกันสมัยทำงานเป็นอาสาสมัครลานกีฬา แต่ที่อยู่ที่ได้มาก็เป็นเพียงบ้านเช่าซึ่งไม่มีแม้แต่เงาของเธอ หรือสมาชิกคนใดในครอบครัวให้สามารถตามหาเบาะแสของเธอได้
แม้ภายหลังเมื่อผมใช้อินเทอร์เน็ตเป็น ผมเที่ยวค้นหาเธอในโลกออนไลน์วันแล้ววันเล่า ทว่าก็ไม่เคยพบข้อมูลเกี่ยวกับเธอในนั้นเลย ทำให้รู้สึกเหมือนเธอได้หายไปจากชีวิตของผมอย่างแท้จริง ซึ่งนี่อาจจะเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว ผมบอกตัวเองและพยายามยิ้มอย่างเข้าใจ
ปี 2005
“The Best Time” ถนนข้าวสาร
ในค่ำคืนอันว่างเปล่า หากพอมีเงินติดกระเป๋าอยู่บ้าง ผมมักจะไปนั่งเล่นที่ร้าน “The Best Time” เสมอ เพื่อละเลียดเครื่องดื่มที่คุ้นเคยเหมือนวันเก่า ๆ ในบรรยากาศซึ่งมีแต่ควันบุหรี่ เสียงดนตรี และอดีตอันมัวซัว ที่แลเห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือนอยู่ภายในใจ
ผมยังคงได้พบปะพูดคุยกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา ทว่าไม่เคยมีใครเหมือนเธอ ผมจึงรอเวลาร้านปิด ก่อนจะเดินทางกลับห้องพักตามลำพังในสภาพไม่ต่างจากสัตว์บาดเจ็บ
ภายในใจได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลับมา เราอาจรักษาบาดแผลให้แก่กันและกัน เพื่อลดความเจ็บปวดที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเราทั้งสอง แล้ววันหนึ่งผมคงจะได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง ทว่าความปรารถนานี้กลับแผดเผาหัวใจของผมเรื่อยมา แต่ผมจะทำอะไรได้อีกเล่านอกจากหวัง ในขณะที่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปคืนแล้วคืนเล่า