มุมเรื่องสั้นไทย
1.
“คุณป้า จักรยานสีส้มคันนั้นยังอยู่หรือเปล่าครับ”
“คันนั้นนั่นเอง คุณแน่ใจหรือคะ ว่าต้องการจะใช้คันนั้นจริง ๆ มัน...”
“ใช่ครับ ผมต้องการใช้คันนั้น กะว่าจะขอใช้เป็นประจำระหว่างพักอยู่ที่นี่ด้วย”
“ออกจะเก่ามากแล้วนะคะคุณ แต่หลานป้ามันก็ซ่อมแซมอย่างดี มันรักจักรยานทุกคัน จึงดูแลเอาใจใส่เสมอ”
จักรยานแม่บ้านสีส้มคันนั้นเก่าไปมากจริง ๆ แต่ก็ยังขี่ได้ลื่นไหลดี จุดหมุนตามส่วนต่าง ๆ เงียบ ไม่มีเสียงรบกวนเลย ผมจึงสามารถขี่ไปตามถนนเลียบหาดได้โดยไม่มีอะไรติดขัด และผมก็ได้แต่หวังว่า จินตนาการของผมจะลื่นไหลดุจเดียวกัน ผมอยากจะได้เรื่องดี ๆ จากสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้สักเรื่องหนึ่ง ก่อนที่ผมจะต้องกลับกรุงเทพฯ
เป็นเวลาตีสามแล้วแต่ผมยังเขียนอะไรไม่ได้ บุหรี่ถูกเผามวนแล้วมวนเล่า ในขณะที่สายตาเหม่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปยังท้องทะเลดำมืด แลเห็นเพียงจุดแสงสีเขียวของเรือตกหมึกลอยลำอยู่มากมายในเวิ้งอ่าว
การหลบหนีความวุ่นวายจอแจของเมืองหลวงออกมาถึงบ้านกรูดไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย คงเสียค่าห้องเช่าโดยไม่ได้เรื่องราวกลับมา ผมคิด
หรือว่าแท้จริงแล้วผมไม่ได้ต้องการกลับมายังท้องทะเลแห่งนี้เพื่อเขียนหนังสือ แต่กลับมาเพื่อคิดถึงเธออีกสักครั้ง ผมคิดถึงเธอเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ผมอดถามตัวเองไม่ได้
และแล้วภาพของเธอในชุดเดรสเปิดหัวไหล่ ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีขาวยาวถึงหน้าแข้ง ก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดเหมือนที่เคยเป็นมาเสมอนับจากวันนั้น เธอยิ้มอ่อนหวานทว่าดูเศร้า เธอโบกมือให้ผม ขณะจูงจักรยานสีส้มที่ขอยืมจากคุณป้าเจ้าของห้องเช่า
เธอบอกว่าจะออกไปขี่จักรยานเลียบหาดในตอนเช้า ซึ่งเป็นเช้าวันที่ลมพัดแรงเหมือนจะมีพายุเข้า เส้นผมสีน้ำตาลอันยาวสลวยของเธอปลิวไสว เธอช่างดูงดงามที่สุดในเช้าวันนั้น รูปร่างผอมบางแทบจะปลิวไปตามแรงลมเลยทีเดียว หน้าตาและบุคลิกของเธอดูไม่ต่างจากสาวมีการศึกษาซึ่งทำงานอยู่ในสำนักงานดี ๆ ที่ไหนสักที่หนึ่ง ผมยังจำได้แจ่มชัดราวกับเป็นภาพเหตุการณ์ของเมื่อวานนี้
2.
“คงอีกไม่นานนักหรอกค่ะ ที่ฉันจะลาออกไปเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง” เรไร - สาวร่างสันทัด อายุราวยี่สิบสองปี บุคลิกดูสุภาพเรียบร้อยเหมือนคนมีการศึกษา มิหนำซ้ำยังเปี่ยมด้วยเสน่ห์น่ารักน่าใคร่ เธอเคยเล่าให้ผมฟังถึงความหวังของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว
“ผมจะไปช่วยล้างจาน...”
“พูดต่อไปสิคะ”
“บางทีอาจจะช่วยเสิร์ฟด้วย เวลาที่ลูกค้าแน่นร้าน”
“จริงหรือ ดีใจจัง แต่คุณทำไม่ได้หรอกค่ะ คำพูดของคุณไม่ใช่ความจริง ฉันไม่รู้จักคุณเลย คุณเองก็ไม่เคยแนะนำฉันให้เพื่อนของคุณรู้จักแม้สักคนเดียว”
บทสนทนาในแสงสลัว ท่ามกลางเสียงร้องและดนตรีอันอึกทึกภายในร้านคาราโอเกะกึ่งค็อกเทลเลาจน์ ย่อมฟังดูไม่น่าเชื่อถือ เธอคงคิดว่านั่นเป็นเพียงคำพูดจากปากของนักเที่ยวผู้กำลังมึนเมาไปกับสุราฝรั่ง ผมจึงใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของเธอไว้แน่น เผื่อว่าเธอจะรู้สึกได้ถึงความมีตัวตนของผมขึ้นมาบ้าง ผมพยายามทำให้เธออบอุ่นและมีความหวัง
“ปฏิเสธสิคะ รีบปฏิเสธออกมา ฉันรอฟังอยู่นะ หรือฉันไม่มีค่าพอที่จะได้รับฟัง”
ผมยิ้มใจเย็น แกล้งทำเป็นสั่นศีรษะ เธอจึงสะบัดหน้าอย่างแง่งอน แล้วลุกขึ้นเดินไปทางโต๊ะของลูกค้ารายอื่น ผมแน่ใจว่าอีกไม่นานเธอจะกลับมา เหมือนเช่นหลายต่อหลายคืนที่เรามีความสุขด้วยกัน ผมกำลังวางแผนว่าคืนนี้จะพาเธอไปนอนเล่นที่บางแสน แทนที่จะเป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ
แต่เธอก็ไม่เคยกลับมา...
หลายปีต่อมา ผมได้พบกับเรไรอีกครั้งในโรงนวดแผนโบราณแห่งหนึ่ง เธอนั่งก้มหน้าก้มตาถักโครเชต์อยู่ในตู้กระจก บนอัฒจันทร์ขนาดเล็กและเตี้ยเพียงสามขั้น ซึ่งปูด้วยพรมหรือผ้าสักหลาดสีแดงสด บนเพดานมีโคมไฟเปิดไว้สว่างโร่
แวบแรกที่เห็นผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ใบหน้าเห่อชาด้วยความดีใจ แน่นอน ผมจำเธอได้ในทันที จึงรีบบอกหมายเลขบนเข็มกลัดสีแดงบนอกเสื้อของเธอแก่พนักงานเชียร์แขก
ตอนที่เธอเดินออกมาจากตู้กระจกนั้น ผมสังเกตเห็นว่าเธอเดินขากะเผลกเล็กน้อย ขาของเธอคงเจ็บ ผมคิด
เธอเดินนำหน้าผมขึ้นบันไดไปยังชั้นบนโดยไม่พูดอะไร ไม่กี่นาทีต่อมาเราก็ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องปรับอากาศขนาดเล็ก เธอยื่นห่อพลาสติกบรรจุเสื้อกางเกงสำหรับเปลี่ยนให้ผม ก่อนจะเดินออกจากห้องนวดหายไปสักพักหนึ่ง
เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยอ่างพลาสติกซึ่งบรรจุไว้ด้วยน้ำอุ่นและสบู่เหลว เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยขณะที่นั่งยอง ๆ ทำความสะอาดเท้าของผมในอ่างน้ำใบนั้น ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตา
ผมเฝ้าแต่สงสัยว่าเธอยังจำผมได้หรือเปล่า หรือว่าเธอลืมผมเสียแล้ว ผมรอให้เธอพูดอะไรออกมาสักคำหนึ่ง ถ้อยคำซึ่งจะช่วยบอกว่าเธอยังคงจำผู้ชายคนนี้ได้ แต่เธอก็ยังไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาราวกับว่าเธอลืมวิธีพูดจาภาษามนุษย์ไปนานแล้ว
“ขึ้นไปนอนบนเตียงค่ะ”
กว่าผมจะได้ยินเสียงเธออีกครั้งก็หลังจากที่เธอใช้ผ้าขนหนูสีแดงเช็ดเท้าทั้งสองข้างของผมจนแห้งดี เสียงของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย น้ำเสียงและหางเสียงยังคงมีความหวานไพเราะ ทว่าฟังดูราวกับไร้หัวใจ เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่งซึ่งทำทุกสิ่งทุกอย่างไปตามหน้าที่เท่านั้น ใบหน้าของเธอยิ่งไปกว่าเสียงพูด ผมสงสัยว่าเธอยังคงมีความรู้สึกอยู่หรือไม่
“ช่วยสั่งเบียร์ให้ผมขวดนึงด้วย ส่วนเรจะกินอะไรก็สั่งได้ตามสบาย อ้อ ผมหวังว่าคุณคงชื่อเรนะ ถ้าผมจำคนไม่ผิด ใช่ ถ้าผมจำคุณผิดไป ผมก็คงเป็นบ้าแล้วนั่นแหละ” ผมกล่าวออกไปอย่างอัดอั้นตันใจ
“เรียกฉันว่าแอนนาดีกว่า เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็เรียกฉันอย่างนี้” เธอพูดเสียงเรียบ ก่อนจะลุกจากเตียงเดินออกไปนอกห้อง สักครู่หนึ่งก็กลับมานั่งก้มหน้านวดขาของผมต่อ
“เสียงของเรไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“บอกแล้วว่าฉันชื่อแอนนา” เธอเงยหน้าขึ้นพลางจ้องผมด้วยแววตาดุ ๆ
“มันเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่คืนนั้นเรก็หายหน้าไปเลย ผมได้ยินพนักงานพูดกันว่าเรเมาหนัก ทั้ง ๆ ที่เรไม่ใช่คนดื่มเหล้า ผมไปรอเรอยู่ที่นั่นนานถึงสองเดือนรู้ไหม”
เรไรถอนหายใจ เงียบเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แล้วก็กล่าวออกมาเพียงสั้น ๆ ว่า “ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องมันนานมาแล้ว ฉันไม่มีค่าพอที่คุณจะมาสนใจหรอก”
“ไม่ได้ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เรไรนั่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องในคืนนั้น
“มีแขกคนหนึ่งบอกว่ารู้จักคุณดี เขาเคยอ่านงานเขียนของคุณหลายเรื่อง เขาว่าคุณมีลูกเมียแล้ว แล้วทำไม…ทำไมคุณถึงยังมาทำดีกับฉันอีก”
ผมตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น ผมอดกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงไม่ได้ คำพูดที่ควรพูดออกไปกลับติดอยู่ในลำคอที่ตีบตัน
“ผมขอโทษ” ผมทำได้แค่เพียงเอ่ยออกมาสั้น ๆ ขณะลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือของเธอไว้ แล้วเรไรก็ร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
คืนนั้นผมเหมาชั่วโมงของเธอจนถึงห้าทุ่ม เมื่อโรงนวดแผนโบราณได้เวลาปิด ผมจึงจ่ายเงินแล้วแต่งตัวเดินลงมาข้างล่าง แลเห็นเธอกำลังยืนพูดอยู่กับพนักงานสาวคนหนึ่งที่เคาน์เตอร์ ผมได้แต่ยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่ตรงนั้น
เมื่อเธอคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไปตรงประตูทางออก ผมก็รีบบอกพนักงานสาวคนหนึ่งว่าขอฝากรถจอดไว้ด้วย เวลานั้นรถของผมยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงนวด มันเป็นเพียงโคโรล่ารุ่นเก่ามากแล้ว ผมจึงไม่นึกเป็นห่วงเท่าไรนัก ก่อนจะก้าวตามเธอไปโดยไม่รอช้า
“เรพักอยู่ที่ไหน”
เธอหันมามองหน้าผม ดวงตามีแววครุ่นคิด แล้วโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอกลับคว้าแขนผมดึงให้เดินตามเธอเข้าไปในซอยด้านหลังโรงนวดแห่งนั้น
มันเป็นเวลาค่อนข้างดึก ทางเดินจึงเกือบจะร้างว่างเปล่าผู้คน มีเพียงคนเมาสองสามคนกำลังยืนพูดคุยกับหมอนวดสาวกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงต้นซอย สองข้างทางเดินเป็นตึกแถวสองชั้นสภาพเก่าโทรมที่เจ้าของปิดประตูเข้านอนกันหมดแล้ว
ครั้นเดินเข้าไปในซอยได้ราวสองร้อยเมตรก็พบกับตึกสี่ชั้น มองเห็นป้ายชื่อขนาดใหญ่ของอพาร์ทเมนท์เด่นสะดุดตา สภาพของมันกลางเก่ากลางใหม่
“ฉันพักอยู่ที่นี่ค่ะ” เธอว่า
ยามประจำตึกส่งเสียงทักทายเธออย่างคุ้นเคย เธอโต้ตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเหมือนจะสนิทสนม แต่ก็ยังมีความถือตัวอยู่ในที เราก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องพักของเธอบนชั้นสอง ห้องพักอยู่สุดทางเดินติดกับประตูทางหนีไฟ
ภายในห้องพักมีเพียงเตียงนอนขนาดควีนไซส์ ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง เหมือนกับห้องเช่าทั่วไปในเมืองใหญ่ โชคดีที่ยังมีตู้เย็นและโทรทัศน์เก่า ๆ เครื่องหนึ่งตั้งอยู่ตรงปลายเตียง
“เบียร์กับเหล้าอยู่ในตู้เย็นนะคะ ถ้าคุณอยากดื่มต่อ” เธอหันหน้ามาบอก ขณะคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป
ในเวลาต่อมา เรานั่งกับพื้นห้องซึ่งปูด้วยแผ่นกระเบื้องสีขาว และดื่มเหล้าบนโต๊ะญี่ปุ่น
“จำได้ว่าฉันดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า ฉันถึงกับสั่งเปิดขวดใหม่เป็นของตัวเองเลยทีเดียวค่ะ แล้วฉันก็เมาเหมือนหมา เที่ยวอาเจียนใส่อ่างล้างหน้าทุกใบจนอุดตันไปหมด ก็อย่างที่คุณรู้มา”
“ผมรอเรอยู่ข้างล่างตึกตั้งนาน”
“คืนนั้นฉันเมาหลับในห้องแต่งตัวค่ะ จนเช้าถึงได้นั่งแท็กซี่กลับห้องพัก ไปเก็บข้าวของกลับบ้านต่างจังหวัดน่ะ ไม่ได้บอกใครเลย ไม่ได้ลาออกด้วย ในเวลานั้นฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ฉันรู้สึกอยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ พวกท่านดีใจกันใหญ่ที่เห็นหน้าฉัน สองปีทีเดียวที่ฉันไม่ได้กลับบ้านเลย ส่งแต่เงินกลับไป”
“มิน่าผมถึงตามหาเรไม่พบ”
“คุณตามหาฉันจริง ๆ หรือคะ ไม่ได้หลอกให้ฉันดีใจเล่นใช่ไหม ฉันมีค่าขนาดนั้นเลยหรือคะ สำหรับคุณ” เธอถามด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีรอยยิ้ม จากนั้นก็ยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวจนหมด
“ผมคิดถึงเรมากรู้ไหม”
“คุณน่าจะเก็บความคิดถึงไว้สำหรับเมียของคุณมากกว่านะคะ”
“อย่าพูดถึงคนอื่นเลยดีกว่า เราเลิกกันนานมากแล้ว”
“ทำไมล่ะ ทะเลาะกัน หรือว่าเข้ากันไม่ได้”
“มันไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว จริง ๆ นะเร” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวบ้าง
“ฉันเข้าใจคุณนะคะ ว่าเรื่องอย่างนี้อธิบายได้ยาก ฉันเองก็เคยเป็น คุณคงไม่รู้สินะ หลังจากกลับไปบ้านนอก ไม่นานฉันก็แต่งงานกับผู้ชายชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มาติดพัน ฉันคิดว่าเขารักฉันจริง เรามีลูกด้วยกันหนึ่งคนเป็นผู้ชาย ก่อนที่เราจะทะเลาะกันเพราะเรื่องผู้หญิงอื่น ฉันจึงหนีกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกครั้ง ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
“เรแต่งงานแล้วงั้นเรอะ” ผมถามออกไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกเหมือนถูกตีเข้าตรงหัวใจอย่างแรง
เธอรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาซองจดหมายรัดยางปึกหนึ่งยื่นส่งให้ผม
“อ่านจดหมายนี่ดูสิคะ เขาเขียนจดหมายถึงฉันหลายฉบับ ด่าฉันต่าง ๆ นานาในจดหมายพวกนี้ ว่าหนีมาขายตัวบ้างละ ด่าว่าเป็นกะหรี่บ้างละ จึงทิ้งเขามาโดยไม่บอกกล่าว ฉันไม่เคยเขียนถึงเขาอีกเลยนอกจากฉบับแรก ฉันอยากให้เขารู้ว่าฉันมากรุงเทพฯ เพื่อทำงานหาเงินเก็บไว้ให้ลูก ที่สำคัญฉันไม่อยากทนอยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว เขาเป็นผู้ชายใจร้ายเหมือนคุณนั่นแหละ”
ผมรับจดหมายปึกใหญ่มาถือไว้ด้วยความมึนงง รู้สึกเจ็บในอก และเสียดายบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่อาจบอกเป็นถ้อยคำได้ว่าคืออะไร สุดท้ายผมก็ไม่ได้เปิดซองจดหมายพวกนั้น เท่าที่ทำได้คือวางมันลงบนโต๊ะญี่ปุ่น สภาพการณ์จึงดูราวกับว่าผมกำลังนั่งดื่มเหล้ากับหญิงสาวลูกหนึ่ง โดยมีจดหมายสามีของเธอวางอยู่ตรงหน้าเป็นสักขีพยาน
“ก่อนหน้านั้นเขาทุบตีฉันและผลักฉันตกบันได ตอนที่ฉันพยายามห้ามเขาไม่ให้ไปหาผู้หญิงอื่น ขาฉันหักจนต้องเข้าเฝือกและยังคงมีปัญหามาจนทุกวันนี้ คุณคงเห็นแล้ว เขาใจร้ายไม่ผิดจากคุณ แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ฉันผิดหวังและเจ็บปวดได้เท่ากับคุณ”
คงเป็นเพราะความมึนเมานั่นเอง จึงทำให้เธอกล้าพูดความในใจออกมามากขึ้น ที่น่าแปลกก็คือใบหน้าของเธอไม่มีร่องรอยของความเศร้าโศกเลย จะมีก็แต่ความเย้ยหยันในแววตาและบนริมฝีปาก คนที่เศร้ากลับเป็นผม ผมเอื้อมมือไปจับมือของเธอและปรารถนาจะยกขึ้นมาจูบ แต่เธอออกแรงขืนมือเอาไว้
“อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ การกระทำของคุณมันไม่จริงใจ ลืมเสียเถอะ…ว่าครั้งหนึ่ง ฉัน…ฉันเคยรักคุณ” พูดจบเธอก็ร้องไห้ออกมา ก่อนจะล้มตัวลงนอนคุดคู้กับพื้นห้องเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
“ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันได้แล้วค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำแล้ว อาบน้ำด้วยนะคะ”
“เรตื่นแต่เช้าเลยหรือ”
“ออกไปซื้อแปรงสีฟันให้คุณไงคะ แล้วก็ซื้อเกาเหลาเลือดหมูของโปรดของคุณมาด้วย ฉันยังจำได้นะว่าคุณชอบกินเกาเหลาเลือดหมูมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ร้านคาราโอเกะเลิก ถ้าเราไปเที่ยวผับกันต่อ ผับเลิกแล้วคุณเป็นต้องขับรถตระเวนหาเจ้านี่กินเป็นประจำ”
แม้จะยังรู้สึกอ่อนเพลียและมึนงงศีรษะอยู่บ้าง แต่ผมก็รีบลุกจากเตียงนอนไปเข้าห้องน้ำ พอจัดการธุระเสร็จก็ออกมานั่งกินอาหารเช้าตามความต้องการของเธอ ทั้ง ๆ ที่ความจริงผมอยากได้เบียร์สักขวดมากกว่า
“อืม อร่อยใช้ได้เลย ซื้อร้านไหนกันละนี่”
“แถวท่าน้ำค่ะ ไม่ได้อุดหนุนมานานแล้ว พอดีฉันเป็นโรคเบื่ออาหารน่ะ แต่การได้เจอคุณทำให้ฉันกลับมารู้สึกหิวอีกครั้ง”
ผมพยายามนึกถึงภาพท่าเรือที่เคยเดินไปขึ้นเรือข้ามฟากอยู่หลายครั้ง จึงคิดขึ้นมาในตอนนั้นว่าอยากชวนเธอไปนั่งเรือข้ามฟากเล่นกัน แต่แล้วอย่างทันทีทันใด ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีก มันเป็นอารมณ์สนุกแบบเด็ก ๆ ที่ชอบทำอะไรโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า
“วันนี้เรต้องทำงานหรือเปล่า หยุดงานได้ไหม”
“ตั้งใจจะนอนกับฉันทั้งวันเลยหรือคะ”
“เปล่า” ผมอดหัวเราะให้กับคำพูดตรงไปตรงมาของเธอไม่ได้ “อยากไปนอนกับเรที่ริมทะเลมากกว่า”
“ไปค่ะไป ฉันนอนไม่ค่อยหลับมานานมากแล้ว ฉันอยากไปเที่ยวทะเลกับคุณ ฉันจะนอนที่ริมทะเล แล้วหลับบนตักของคุณให้สนิทเลยค่ะ คุณรู้อะไรไหม ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นทะเลเลย ทะเลจริง ๆ นะคะ ฉันมันเด็กหลังเขา บ้านเกิดฉันมีแต่ภูเขา”
“ล้อเล่นน่า มีใครบ้างไม่เคยเห็นทะเล ทำไมทำหน้าทำตาอย่างนี้ พูดจริงหรือนี่ โธ่ น่าสงสารจัง เด็กน้อยของผม โอเค เดี๋ยวเรจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋านะ ผมจะไปเอารถที่โรงนวดก่อน ไม่รู้หายไปหรือยัง” ผมพูดอย่างร่าเริง รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ราวกับว่ากำลังมีความสุขในชีวิตมากเป็นพิเศษ
บนม้ายาวริมถนนเลียบหาด ผมนั่งเหม่อมองดูท้องทะเล รู้สึกมีความสุขที่ได้มาอยู่ที่นี่ โดยมีเรไรนอนหนุนตักอยู่บนม้ายาว เธอกำลังหลับสนิทเลยทีเดียว และผมพยายามนั่งนิ่ง ๆ เพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวนเธอ สีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงมากของเธอฟ้องว่าเธอเองก็มีความสุขเช่นเดียวกัน ผมได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ร้องไห้อีก บรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้น่าจะทำให้เธอร่าเริงเหมือนนกตัวน้อย ๆ เลยทีเดียว ผมคิด
เธอหลับไปมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ตื่นแล้วก็ชวนผมไปหาอาหารทะเลกินกัน เจ้าของห้องเช่าบอกว่ามีร้านอาหารริมหาดอยู่เจ้าหนึ่ง ผมปล่อยให้เธอเป็นคนขี่จักรยานส่วนผมนั่งซ้อนท้ายแต่เป็นคนออกแรงถีบเอง เธอแค่คอยควบคุมบังคับแฮนด์จักรยานให้ตรงทางเท่านั้น เราสองคนคงดูเหมือนคู่รักวัยรุ่น และผมหวังว่านั่นจะทำให้เธอมีความสุข
ตกค่ำเราเก็บตัวดื่มเบียร์อยู่ในห้องพักเล็ก ๆ โดยไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ทว่าอาศัยเปิดหน้าต่างกระจกเพื่อรับลมจากท้องทะเล มีเสียงคลื่นซัดฝั่งแว่วมาจากระยะไกล ผมคิดว่าคงจะไม่มียุงมารบกวน
“คุณจำความฝันของฉันได้ไหมคะ”
“ร้านก๋วยเตี๋ยวงั้นหรือ จำได้สิ”
“ฉันเลิกฝันเรื่องนั้นไปนานแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันฝันแค่อยากรับลูกชายของฉันมาอยู่ด้วยเท่านั้น ฉันเก็บเงินได้เยอะแล้วนะ” พูดจบเธอก็ลุกพรวดพราดไปคว้ากระเป๋าสะพาย แล้วล้วงสมุดฝากเงินของธนาคารแห่งหนึ่งมาเปิดให้ผมดูตัวเลข
“เก็บเงินเก่งนี่ มีเยอะกว่าผมอีก”
เรไรหัวเราะเบา ๆ แต่กลับฟังดูเศร้าเหลือเกิน
เราวางแผนจะอยู่ที่บ้านกรูดกันหลายวัน หาดทรายและท้องทะเลอันเงียบสงบทำให้เรไรประทับใจมาก เธอบอกว่าอยากอยู่ให้นานที่สุด เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา จะกลับไปทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนผมเองยังพอมีเงินอยู่บ้างจึงตามใจเธอ เพื่อเป็นการชดเชยต่อสิ่งที่ผมได้ทำให้เธอเป็นทุกข์มาก่อน ประกอบกับสถานที่แห่งนี้ก็ยากที่จะพบคนรู้จัก ผมจึงรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองมากทีเดียว
คืนหนึ่งผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้ เรไรนั่นเอง เธอร้องไห้อยู่คนเดียวในความมืด
“ร้องไห้ทำไมล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันฝันถึงลูกชายค่ะ”
ผมพูดอะไรไม่ออก
“ในฝันแกยังเล็กเท่ากับตอนที่ฉันจากมาอยู่เลย แกไม่ยอมโตขึ้นเลย ทำไมถึงเป็นยังงั้นไปได้คะ”
“สักวันหนึ่งเรก็จะได้เห็นแกโตขึ้นเป็นหนุ่มด้วยสายตาของเรเอง รอวันที่เรจะกลับไปรับแกมาอยู่ด้วย”
“พ่อแกคงไม่ยอม เขาเขียนมาในจดหมายว่า จะไม่ยอมให้ลูกมีแม่เป็นกะหรี่ขายตัวค่ะ แต่คุณก็รู้ว่า ฉันไม่เคยขายตัว ฉันนอนกับคุณฟรี ๆ โดยไม่เคยคิดเงินแม้สักบาทเดียว”
ผมดึงเธอเข้ามาสวมกอด ครั้นแล้วด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมก็อดร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ ไม่ได้ รู้สึกซาบซึ้งใจไปกับคำพูดซื่อ ๆ ของเธอจนบอกไม่ถูก
“ฉันเป็นคนไม่มีค่า แต่ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวนะ”
“ผมต่างหากที่ไม่มีค่าพอสำหรับเร”
“ลูกชายของฉันจะภูมิใจในตัวฉันหรือเปล่าคะ”
“ภูมิใจแน่นอน เรจะเป็นแม่ที่ดี ไม่ใช่สิ เรเป็นแม่ที่ดีอยู่แล้วนี่”
ผมรู้สึกดีใจที่ชีวิตของเราสองคนได้หวนกลับมาพบกันใหม่ ผมจะชดเชยให้เธอโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ทว่านั่นคือความต้องการที่แท้จริง หรือเป็นเพียงความปรารถนาในความฝันกันแน่นะ ผมถามตัวเอง แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ให้ผม นอกจากเสียงคลื่นทะเลที่แว่วลอยตามลมเข้ามาทางช่องหน้าต่างเท่านั้น
“คุณจะโกรธฉันไหม ถ้ารู้ว่าฉันโกหกคุณ” เรไรถาม “ฉันคงทนไม่ได้ ถ้าต้องสูญเสียคุณไปอีกครั้ง”
“ผมยินดีให้เรโกหก ถ้ามันจะทำให้เรสบายใจ”
หญิงสาวซบหน้าลงบนแผ่นอกของผม
“ฉันขอโทษ”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอู้อี้และแผ่วเบา
3.
เช้าแล้ว ผมปิดฝาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก และเดินออกจากห้องพักลงไปใต้ถุนอาคารชั้นล่าง คว้าจักรยานสีส้มคันนั้นได้ก็ถีบมันไปตามเส้นทางเลียบหาดเหมือนเช่นทุกวัน ไม่นานเท่าไหร่นักก็ไปถึงม้านั่งตัวเดิม ผมจอดจักรยานทิ้งไว้ตรงริมถนน ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้ายาวตัวนั้น
ผมนั่งอยู่ที่นั่น ทอดสายตามองดูท้องทะเลและพยายามทบทวนความรู้สึก ตลอดจนเรื่องราวในเรื่องที่เพิ่งเขียนจบไปเมื่อตอนรุ่งสาง แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ลืมเล่าถึงรองเท้าผ้าใบสีขาวของเรไร ที่ถูกถอดวางไว้บนม้ายาวอย่างเป็นระเบียบ
ผมยังคงเห็นเธอในชุดเดรสเปิดไหล่ ตัดจากผ้าฝ้ายสีขาวยาวครึ่งแข้ง เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลปลิวไสวไปตามกระแสลมทะเล รอยยิ้มของเธอช่างงดงามอ่อนหวานเหมือนเช่นที่เคยเป็น
เธอไม่ได้ทิ้งอะไรไว้มากไปกว่านี้ รอยเท้าของเธอบนผืนทรายในเช้าอันแสนเศร้าวันนั้น ก็ไม่อาจนับเป็นสิ่งที่เธอทิ้งเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม นี่คงเพียงพอแล้วต่อการกล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่ง เพื่อให้เธอมีตัวตนอยู่ในเรื่องของผมตลอดไป