เรื่องสั้นไทย “เรื่องรัก” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องรัก

เมื่อคืนตอนห้าทุ่ม  ผมเริ่มต้นพิมพ์ข้อความลงในเฟซบุ๊กค่อนข้างยาวกว่าที่เคย  ในช่องว่างสีขาวสะอาดตาซึ่งเชิญชวนด้วยประโยคคำถามว่า  “คุณกำลังคิดอะไรอยู่…”

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 1…

.

คุณปลดปล่อยสิ่งที่คุณคิดคำนึงลงไปในพื้นที่ส่วนตัวซึ่งแวดล้อมด้วยเพื่อน ๆ ผู้ไม่เคยทักทาย หรือแม้แต่จะกด “ไลก์” ให้กันเลยจำนวนเกือบห้าพันคน 

ยี่สิบปีมานี้ คนที่รู้จักคุณมักกล่าวว่าคุณนำเอาแรงบันดาลใจเกี่ยวกับเธอมาเขียนนวนิยายแลกเงิน สำหรับจ่ายเป็นค่าอาหารขยะและเหล้าราคาถูก ก่อนจะเมาหลับไปในห้องเช่าอันเก่าโทรม ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คุณก็แค่ปรารถนาให้เธอได้อ่านเรื่องราวในอดีตและตอบตัวเองว่า ถ้อยคำที่เธอเคยขอให้คุณระลึกถึงไว้เสมอนั้น ยังคงมีตัวตน อีกทั้งเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา หรือว่าได้สูญสิ้นไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในถ้อยคำแห่งความทรงจำ คุณก็ยังมีสิทธิที่จะเชื่อและตั้งความหวังไว้อยู่เสมอ
หลังจากนั้นคุณก็หลับไม่ลง...

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 2…

.

กรุงเทพมหานคร
ปี 1992

…รัฐประหารเป็นเรื่องของสถิติ แต่ความรักเป็นเรื่องอื่น…

นี่คือ 451 วัน  หลังการรัฐประหารครั้งที่ 11

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 3…

.

“ทีหลังพี่อย่าทำอย่างนี้อีกนะ บ้านเมืองยิ่งกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วเล่นหายไปสองวันสองคืนไม่กลับบ้าน งานการก็ไม่ไปทำ”

“ก็จะไปทำงานนั่นแหละ แต่บังเอิญเจอเพื่อนในกลุ่มม็อบ เลยต้องตกกระไดพลอยโจน”

“ตรงที่เขายิงกันเมื่อคืนใช่ไหม”

“ใช่...”

การจากไปอย่างแท้จริงของเธอทำให้หัวใจของคุณว่างโหวง อ่อนแรง สิ้นพลัง ถ้าหยุดเต้นไปเลยคุณก็จะไม่ยื้อยุดมันไว้หรอก การเต้นของมันไม่มีความหมายอีกแล้ว ไม่มีสิ่งใดมีความหมายนับตั้งแต่เห็นเธอในรถแท็กซี่คันนั้นค่อย ๆ ลับสายตาไป คุณไม่อยากตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ว่าเธอได้จากไปแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง ป่านนี้เธอคงอยู่ไกลมาก แค่คิดว่าอยู่ไกลกันก็ทำให้น้ำตาของคุณจะไหลออกมาเสียให้ได้ แต่ก็ต้องฝืนทนให้มันตกอยู่ในโลกภายในของคุณ หาไม่แล้วภรรยาที่นอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงก็จะสงสัยเอาได้ และนี่อาจเป็นเพียงบทเริ่มต้นของการรับโทษต่อสิ่งที่คุณได้ทำลงไป 

คุณคิดถึงการได้เปลือยกายเดินบนท้องถนนแห่งความปรารถนาอย่างอิสระ ค้นหาความเพลิดเพลินจากความเย้ายวนใจในความรัก แต่ในอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงกันข้าม คุณกลับรู้สึกราวกับว่าได้เผลอไผลเดินอวดร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าฝูงชนแห่งคุณธรรม พวกเขาย่อมส่งเสียงก่นด่าคุณ พร้อมกันนั้นก็ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่คุณอย่างเกรี้ยวกราด แม้ว่าภายในใจของพวกเขาจะรู้สึกหฤหรรษ์ก็ตาม 

คุณไม่อยากรับมือกับความวุ่นวายอีกเรื่องหนึ่งหรอกนะ คุณกลัวว่าจะรับมือไม่ไหว หรือจริง ๆ แล้วคุณคร้านที่จะต่อสู้กับปัญหาอื่น ๆ ความจริงคือคุณก็แค่ต้องการจ่อมจมอยู่ในโลกของตัวเอง อยู่กับความเศร้าสร้อยอันสวยสดงดงาม แน่นอน คุณอาจต้องฝืนยิ้มบ้างเป็นบางครั้งเพื่อไม่ให้ภรรยาล่วงรู้ถึงความในใจ เพราะหากเธอล่วงรู้ เธอย่อมจะกล่าวแก่คุณว่า “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” คุณรู้ดี

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 4…

.

คุณรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบเธออีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศซึ่งกระหึ่มด้วยเสียงเคาะขวดพลาสติกและผู้คนที่ละลานตากลางแสงไฟส่องถนนอันเจิดจ้า 

ภาพอันพร่ามัวเลอะเลือนของเธอปรากฏขึ้น ณ ตรงนั้น บนท่อน้ำโลหะขนาดใหญ่ราวลำต้นมะพร้าวที่พาดอยู่เหนือคลองบางลำพู มีลวดหนามพันท่อนี้ไว้ด้วย คงเป็นฝีมือของทหารกระมัง 

ใครที่ต้องการข้ามไปทำธุระอีกฟากฝั่งหนึ่งพากันใช้ท่อเหล็กดังกล่าวต่างสะพาน เพราะบัดนี้สะพานผ่านฟ้าลีลาศและถนนราชดำเนินกลางอันกว้างใหญ่ไม่อาจใช้สัญจรได้อีกแล้ว มันเต็มไปด้วยขดลวดหนามแบบที่ใช้ในสงครามขวางกั้นเอาไว้หลายชั้น กั้นเพื่อไม่ให้ฝูงชนเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ก็ไม่อาจห้ามคุณกับเธอไม่ให้พบเจอกันได้ 

คุณเช็ดน้ำตาพลางจ้องดูเธอขณะพยายามเดินทรงตัวอยู่บนท่อโลหะ นัยน์ตาของเธอซึ่งมองมาที่คุณเป็นประกาย รอยยิ้มนั้นกว้างและสดใส เธอกำลังโบกมือให้คุณด้วยกิริยาไม่ต่างจากเด็กสาว คุณโบกตอบพร้อมกับออกวิ่ง หัวใจของคุณเอ่อท้นด้วยความรู้สึกมากมาย จากนั้นคุณก็โผเข้าไปหาเธอและกอดเธอไว้ เธอเองก็กอดตอบไม่ต่างกัน ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นออกมาเบา ๆ 

ในเวลาเดียวกันนั้น ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ก็พากันปรบมือแสดงความยินดี คุณได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกขอบคุณพวกเขา และนึกอวยพรให้พวกเขาพบกับชัยชนะ

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 5…

.

“ทำไมถึงไปเดินอยู่แถวนั้นล่ะ มันอันตรายนะ อาจมีการปะทะกันก็ได้”

เธอก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบว่า “ฉันไปที่โรงแรมมา ไม่ได้เข้าไปหรอก จริง ๆ ตั้งใจจะไปรอคุณน่ะ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ เมื่อลาออกแล้วก็ไม่อยากกลับเข้าไปอีก เลยเดินใจลอยมาเรื่อยเปื่อย กะว่าจะหารถแท็กซี่นั่งกลับบ้าน ป่านนี้ฉันยังจัดกระเป๋าเดินทางไม่เสร็จเลยค่ะ”

“ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง ผมดีใจมากนะ ดีใจจริง ๆ ค่ำคืนนี้ช่างเหมือนความฝัน”

“คุณเลยต้องลาป่วยเพราะฉันแท้ ๆ ” เธอว่า ดวงตาฉายแววของความสุขปนเศร้า

“ลาออกยังได้นะ ถ้ามันจะทำให้ได้อยู่กับคุณนานที่สุด”

“อย่าพูดเลย เป็นไปไม่ได้หรอก”

ยังไม่ทันที่คุณจะโต้ตอบกลับไปอย่างใจคิด ทันใดนั้นก็มีเสียงฝูงชนโห่ร้องกันเกรียวกราวแว่วมาจากท้องถนน ไม่ไกลออกไปนัก 

“ปะทะกันแล้วค่ะ ไม่รู้จะมียิงกันหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วง ผนังอาคารโรงแรมนี้คงจะหนาพอ ๆ กับโรงแรมของเรา แต่คุณควรอยู่ให้ห่างจากหน้าต่างไว้หน่อย”

“เราน่าจะออกไปช่วยพวกเขา ถ้าเราถูกยิงตายพร้อมกันก็คงดีนะคะ เรื่องของเราจะได้จบ”

“ไม่ดีหรอก ความตายกลืนกินทุกสิ่ง มันย่อมทำให้เราไม่สามารถคิดถึงกันได้อีก”

เธอได้ยินดังนั้นจึงหยุดให้ความสนใจกับความวุ่นวายทางการเมืองข้างนอกโน่น แล้วโผเข้ากอดคุณไว้ นั่นทำให้ร่างของคุณหงายหลังล้มลงบนที่นอน คุณหัวเราะตาหยีอย่างมีความสุข ยกศีรษะขึ้นจูบริมฝีปากแดงของเธออย่างรักใคร่ น่าประหลาดเหลือเกิน ในจังหวะนี้นี่เองที่หัวใจของคุณรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อตระหนักได้ถึงความไม่ยั่งยืนของความสุขที่เกิดขึ้น

คุณถอนริมฝีปาก หายใจเข้าออกและสบสายตากับเธอ คุณพยายามไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ ก่อนจะจูบเธออีกครั้งโดยไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวกของฝูงชนที่ดังแว่วมาเป็นระยะ 

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 6…

.

ยามเช้าของวันที่สอง คุณกับเธอเดินออกจากห้องพักของโรงแรมมายังลิฟท์เพื่อลงไปชั้นล่าง การได้อยู่ในลิฟท์ตามลำพังกับเธออีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ลิฟท์ตัวเดิม มันก็ยังทำให้คุณหวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี 

วันนั้นเธอ...ในชุดเครื่องแบบสวยงามของโรงแรม ได้พานักท่องเที่ยวชาวยุโรปซึ่งเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งขึ้นไปส่งที่ห้องพัก ส่วนคุณในชุดสูทสีเข้มยืนมองไฟสีแดงบอกว่าลิฟท์ขึ้นไปหยุดอยู่ที่ชั้นไหน โชคดีที่หน้าที่ของคุณสามารถเข้านอกออกในได้แทบจะทุกจุดในโรงแรม คุณจึงรีบตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเธอเสร็จธุระแล้วเดินกลับมา จึงพบว่าคุณกำลังยิ้มและยืนรออยู่ที่หน้าประตูลิฟท์ คุณยื่นช็อกโกแลตแท่งหนึ่งให้ เธอยิ้มหวานพลางรับไปจากมือของคุณ จากนั้นก็แกะห่อออกกินด้วยท่าทางเหมือนเด็ก ๆ 

เป็นเรื่องปกติที่คุณจะต้องหาช็อกโกแลตมาฝากเธอทุกวัน เพราะนั่นจะทำให้หัวใจของคุณมีความสุข ทว่าเรื่องไม่ปกติก็เกิดขึ้นจนได้ในวันนั้น เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกแล้วเธอกับคุณก้าวเข้าไปพร้อม ๆ กัน ความจริงคุณเคยอยู่ตามลำพังกับเธอในลิฟท์มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เธอประสานสายตากับคุณอย่างท้าทาย ต่อมาก็จ้องมองดูคุณด้วยแววตาหยาดเยิ้ม คุณจึงไม่อาจอดใจไหว ต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากแดงของเธอ ทีแรกคุณมีอาการลังเลเล็กน้อยด้วยกลัวเธอจะปฏิเสธหรือผลักไส ก่อนจะกล้ากอดร่างหนั่นแน่นเอาไว้นานเท่าที่เวลาภายในลิฟท์เอื้ออำนวย ภายหลังคุณถึงกับรู้สึกเสียดาย เมื่อมันวิ่งลงมาถึงชั้นล่างซึ่งเป็นห้องล็อบบี้อย่างรวดเร็ว เธอกับคุณรีบผละจากกัน และทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เธอกับคุณก็ก้าวออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“เช็ดปากด้วยค่ะ” เธอกระซิบ 

นั่นทำให้คุณตกใจรีบก้มหน้าลง ก่อนจะเดินหาที่ลับตาคนเพื่อควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก น่าแปลกใจที่สีแดงซึ่งปรากฎอยู่บนสีขาวของผ้าเช็ดหน้ากลับดูไม่สวยสดและทรงเสน่ห์เท่ากับเมื่อปรากฎอยู่บนริมฝีปากของเธอ คุณบอกตัวเองเช่นนั้นด้วยความวาบหวามใจ นานมากแล้วที่คุณไม่เคยจูบหญิงสาวคนไหนด้วยความรู้สึกเช่นนี้ รสจูบอันอ่อนหวานซ่านซึ้งที่เธอตอบสนองแทบจะไม่แตกต่างจากจูบแรกในชีวิต อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงดอกไม้คนละสีในสวนสวรรค์ที่คุณไม่มีวันลืม คุณรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ 

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 7…

.

คุณกับเธอเดินกุมมือกันไปบนทางเท้าอันกว้างขวางของถนนราชดำเนินกลาง 

นี่คือยามเช้าที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้จบลงแล้ว ไร้เสียงปืน ถนนหนทางแทบจะว่างเปล่า แต่ยังคงเห็นร่อยรอยของลูกปืนเป็นรูอยู่บนกระจกร้านหรือสำนักงานริมถนน มีรอยเลือดสีจาง ๆ ปรากฏอยู่ตามซอกมุมบนทางเท้า 

ได้ยินเสียงชาวบ้านพูดกันว่ามีรถบรรทุกน้ำมาฉีดล้างถนนตั้งแต่เช้ามืด รถบรรทุกน้ำสีแดงซีด ๆ เก่า ๆ คันหนึ่งยังคงจอดทิ้งไว้อยู่ริมถนน ใครบางคนสงสัยว่าภายในแท็งก์น้ำอาจจะมีร่างของประชาชนที่เสียชีวิตซ่อนอยู่ก็เป็นได้ คำพูดนี้เรียกให้ผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้น ขณะที่เธอกับคุณยังคงอ้อยอิ่งอยู่ด้วยความสนใจ 

ทันใดนั้นเองก็มีรถบรรทุกพาทหารอาวุธครบมือหมู่หนึ่งมาส่งลงใกล้ ๆ กับรถบรรทุกน้ำ ชาวบ้านเริ่มต้นส่งเสียงด่าทอทหารว่าเป็นพวกฆาตกร พวกเขาสงสัยว่าศพของประชาชนมากมายหายไปไหนหมด บางส่วนคงอยู่ในรถบรรทุกน้ำ และพวกทหารกำลังนำไปทำลายใช่หรือไม่ ด้วยอารมณ์โกรธ พวกเขาจึงช่วยกันขว้างปาก้อนหินและข้าวของเข้าใส่ทหาร ทหารทุกนายรีบปลดปืนยาวที่สะพายออกมาประทับเล็งใส่ฝูงชน เมื่อเหตุการณ์กลับเป็นเช่นนี้ ฝูงชนซึ่งโกรธเกรี้ยวก็ได้แต่พุ่งตัวลงไปหมอบราบบนพื้นซีเมนต์ของทางเท้าโดยไม่กลัวเจ็บ หลายคนถึงกับวิ่งหนีเตลิดห่างออกไป มีเพียงเธอกับคุณเท่านั้นที่ยังคงยืนกุมมือกันไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน

“ยิงเลยสิ” เธอชูกำปั้นขวาและตะโกนขึ้นอย่างท้าทาย เหมือนมีอารมณ์ร่วมกับผู้ประท้วง

“ทหารพวกนี้ไม่ยิงเราสองคนหรอก” 

“ทำไมล่ะ เรื่องจะได้จบ”

“พวกเขาคงรู้ว่าปล่อยให้เราเป็นอย่างนี้จะทรมานกว่า”

คุณยิ้มเศร้า ๆ ให้กับคำพูดของตัวเอง ใจคิดอยากดึงร่างเธอเข้ามากอดและจูบอีกสักครั้ง ต่อหน้าทหารที่ยังคงเล็งปืนเข้าใส่

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 8…

.

คุณหวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งในห้องพักโรงแรม มันเป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว เสียงปืนสงบลงได้พักใหญ่ และนั่นก็เป็นคืนที่สองที่คุณไม่ได้ไปทำงาน

“จะย้ายกลับมากรุงเทพฯ อีกไหม...” 

คุณถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่เธอกลับนั่งก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ 

ครั้นเมื่อถามว่า “แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า” 

คราวนี้เธอเงยหน้าขึ้นทำตาแดง ๆ พลางส่ายหน้าช้า ๆ นั่นทำให้คุณพูดอะไรไม่ออก รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก คุณรู้ดีว่าไม่อาจสั่งให้เธอเลิกล้มแผนการทั้งหมดได้ เพราะมันไม่ใช่แผนการของเธอคนเดียว และเป็นเพราะว่าคุณไม่สามารถบีบบังคับเธอให้เลิกกับสามีเพื่อมาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของคุณ เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถขอร้องให้คุณเลิกกับภรรยาเพื่อมาเป็นผู้ชายของเธอคนเดียว เธอรู้และคุณก็รู้เช่นกัน เธอกับคุณต่างก็มีเสรีภาพของตนบนโลกใบนี้ ที่สำคัญคือ คุณตระหนักว่าต้องเคารพต่อการตัดสินใจของเธอเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักของคุณ

เธอถอดแหวนทองคืนให้ ทว่าคุณปฏิเสธที่จะรับไว้ พร้อมกับขอร้องให้เธอพกติดตัว

“ไม่ต้องสวมก็ได้ แค่เก็บไว้ หรือร้อยใส่สร้อยคอดีมั้ย จะได้ไม่หาย” คุณถาม เมื่อเห็น
เธอไม่ปฏิเสธ คุณจึงถอดสร้อยคอของเธอออกมาร้อยแหวนทองใส่เข้าไป ก่อนที่จะสวมกลับให้เธอใหม่ 

“ห้ามสัญญานะ ว่าจะไม่ลืมกัน” คุณเตือน

เธอได้แต่ลูบคลำแหวนทองวงนั้นไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด คุณอยากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่ก็ไม่ได้ถาม นั่นเป็นเพราะว่าคุณกลัวคำตอบอย่างนั้นหรือ ถ้าเธอพูดออกมา คำพูดของเธอก็คงจะกลายเป็นถ้อยคำสัญญา ซึ่งเธออาจไม่สามารถรักษาไว้นานเท่านานอย่างที่ใจของคุณปรารถนาก็เป็นได้ 

“ถ้าเราไม่ได้พบกันอีก ขอให้ระลึกถึงถ้อยคำที่ฉันเคยบอกคุณไว้เสมอนะคะ” ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมาและทำให้คุณสงสัยว่า นั่นคือคำสัญญาในรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่

.

คุณกำลังคิดอะไรอยู่   ครั้งที่ 9…

.

“จะทำอะไรน่ะ” คุณถามด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“ก็จะจูบพี่ไง ทำไมต้องดุด้วย”

“เพิ่งตื่น ยังไม่ได้แปรงฟันเลย” เสียงคุณอ่อนลง

“วันนี้อ่านหนังสือพิมพ์ เจอบทความระบุว่า ผู้หญิงต้องจูบผู้ชายถึง 15 คนแน่ะ กว่าจะพบรักแท้”

“มีแบบนี้ด้วยหรือ แล้วผู้ชายล่ะ” คุณยกมือลูบศีรษะของเธอเบา ๆ 

“16 คน มากกว่านิดนึง”

“แค่เรื่องของสถิติ จูบที่แท้จริงไม่ใช่อะไรอย่างนั้นหรอก”

วินาทีนั้นเอง คุณก็คิดถึงเธออีกคนหนึ่งขึ้นมา ป่านนี้เธอคงอยู่บนท้องฟ้าแล้ว และกำลังห่างจากชีวิตของคุณออกไปเรื่อย ๆ 

“คืนนี้ว่าจะลาป่วยอีกสักวัน อยากไปเดินเล่นที่ถนนราชดำเนินกับพี่ไหมล่ะ ไปถ่ายรูปกันนะ”
เธอไม่ปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังแสดงความดีใจจนออกนอกหน้าเหมือนเด็กซน ๆ ที่กำลังจะได้ออกไปผจญภัย

“ว่าแต่พี่ไม่ไปทำงานหรือ เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกหรอก”

“ช่างมัน มันมีอำนาจก็เชิญใช้ให้เต็มที่...”

คุณอยากพูดอะไรอีกมากมาย อยากระเบิดความรู้สึกออกมา แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ใด ๆ  

“หวังว่าคืนนี้คงไม่ยาวนาน แต่จบลงอย่างรวดเร็ว” คุณกล่าวขึ้นลอย ๆ คล้ายพูดกับตัวเอง คุณอยากให้ร่างกายของคุณรู้สึกง่วงนอน แล้วก็หลับไปอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงเธอ  

คุณขยับลุกจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทว่าประตูทางออกก็ราวกับอยู่ไกลออกไปจนเหมือนยากที่จะก้าวถึง จึงแลดูประหนึ่งว่าคุณได้ถูกทอดทิ้งไว้หลังประตูนั้น ในโลกอันคับแคบ ไร้ความสมหวังซึ่งท่วมท้นด้วยความรวดร้าว คุณได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ความรวดร้าวนี้จะถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความเข้มแข็ง แม้จะทำให้หัวใจของคุณเย็นชาก็ตาม

.

…สายมากแล้วแต่ผมยังนอนไม่หลับ   รู้สึกแสบตาและอ่อนเพลีย แม้กระนั้นก็ไม่ยอมเข้านอนเสียที   ใจมัวนึกอยากรู้ว่า   หากเธอได้อ่านข้อความบนเฟซบุ๊กของผม   เธอจะเพียงแค่กดไลก์หรือพิมพ์ตอบเรื่องราวเหล่านั้น 

อย่างไรก็ตาม   มีบางขณะที่ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้โลกของเราเล็กลงมาก   แต่เธอกับผมยังคงอยู่ห่างไกลกันเหมือนเดิม

.

.

หมายเหตุ เรื่องสั้น “เรื่องรัก” นี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในเซ็คชั่นจุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จากนั้นได้สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ได้นำรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “นาสตาเซีย” ปี 2559

ใส่ความเห็น