เรื่องสั้น คนขายข้าวโพดคั่ว : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น คนขายข้าวโพดคั่ว : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

สิ้นเสียงปืนลั่น “ปัง” ก็ไม่มีอะไรให้ต้องทำอีกแล้ว ร่างของผมนอนแน่นิ่งอยู่ในโกดังเก็บกระสอบเมล็ดข้าวโพดแห้งจากอเมริกา น่าประหลาด แม้ขณะนอนตัวเย็นเฉียบอยู่บนพื้นซีเมนต์ภายในโกดังอันเงียบเหงา ผมก็ยังคงรู้สึกเศร้า มันเป็นความปวดร้าวที่สะสมมานานและคอยกัดกินหัวใจของผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในขณะที่ยังเต้นหรือหยุดเต้นไปแล้วก็ตาม

ผมต้องขอโทษลูกค้าทั้งหมดของผมด้วย วันนี้พวกคนงานจะได้หยุดพักหนึ่งวัน ไม่ต้องแบกกระสอบเหล่านั้นไปขึ้นรถบรรทุกเพื่อส่งให้แก่ลูกค้าแฟรนไชส์ทั่วประเทศ พวกเขาควรได้หยุดพักเหมือนผม วันนี้จะไม่มีป็อปคอร์นอร่อย ๆ สดใหม่จากเตาให้ทุกท่านอุดหนุน เว้นเสียก็แต่ถ้าร้านแฟรนไชส์ยังมีเมล็ดข้าวโพดเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ช่างมันเถิด อย่าได้คิดจริงจังกับการกินป็อปคอร์นของผมเลยนะครับ มันไม่มีคุณค่าอะไรนักหรอก มันอาจทำให้พวกคุณอร่อยและอิ่มท้อง ทว่าไม่ได้มีสาระอะไรแก่ชีวิตเลย ไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา ไม่มีเกียรติยศ และไม่มีความรักอยู่ในนั้น ผมรู้เรื่องนี้ดีจากสายตาของพ่อ เพราะพ่อพูดทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสายตาของพ่อเอง

ผมยอมรับว่าพ่อเปลี่ยนไปเพราะผมมันไม่เอาไหนเอง ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นลูกชายคนโตที่พ่อเคยรักมาก ถึงกับตั้งชื่อให้ผมตอนแรกเกิดว่า “อนุสรณ์” และตามใจผมเท่าที่ความรักในหัวอกของคนเป็นพ่อจะตามใจได้ ผมจึงเติบโตขึ้นมาด้วยสิทธิพิเศษมากมายภายในบ้านของเรา มีของเล่นแปลก ๆ วิเศษกว่าใครเขากองเป็นพะเนิน ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุด แม้น้องชายกับน้องสาวของผมก็ไม่เคยมีใครได้รับความรักจากพ่อมากไปกว่าผม อีกทั้งโดยไม่ต้องมีเครื่องวัดหรือเครื่องชั่ง พวกเขาต่างก็รับรู้ว่า ผมได้ในสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาจะได้มากกว่าพวกเขาเสมอ น้องชายกับน้องสาวไม่อาจไล่ตามผมทันในเรื่องพวกนี้

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พ่อก็ตัดสินใจส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกา เป็นลูกคนเดียวของบ้านที่ได้รับโอกาสอันน่าอิจฉานี้ แม้ว่าผมจะไม่อยากให้ใครอิจฉาในเรื่องนี้เลยก็ตาม เพราะมันเป็นแค่ความต้องการของพ่อเท่านั้น ผมพยายามตามใจพ่อเพราะผมรักพ่อ ครั้นเวลาผ่านไปได้หกปี ผมก็ต้องกลับเมืองไทยมือเปล่า เวลาหกปีถูกพล่าผลาญไปกับการขับขี่รถสปอร์ตคันงามบนท้องถนน ความเมามายในบาร์เหล้า งานปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ และผู้หญิงต่างชาติมากหน้าหลายตา

นั่นเป็นครั้งแรกกระมังที่ผมได้เห็นแววตาอันเจ็บปวดของพ่อ เมื่อเผชิญหน้ากันที่บ้านหลังจากห่างเหินไปนาน และผมก็รู้สึกละอายใจในความผิดพลาดของตัวเองเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน โลกของผมพลันโดดเดี่ยวและว่างเปล่า ผมไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อนที่เคยสนิทสนมและเรียนด้วยกันสมัยนุ่งกางเกงขาสั้นก็ไม่รู้ว่าแยกย้ายไปอยู่ไหนบ้าง พวกเราไม่ได้ติดต่อกันเลย เพราะผมมัวไปสนุกอยู่กับเพื่อนผิวขาวผิวดำเสียหลายปี หลังจากที่ต้องแอบร้องไห้ตามลำพังอยู่ในห้องพักในช่วงสามเดือนแรก แต่งานปาร์ตี้ก็ช่วยชีวิตผมไว้ มันทำให้ผมเป็นอิสระจากความเหงา โลกจะไม่เหงาเลยถ้าคุณมีเพื่อนมากมายคอยห้อมล้อม ผมสนุกกับชีวิตในต่างแดนและไม่ต้องคิดถึงใครที่เมืองไทยอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไปหกปี ผมจำใจกลับบ้านตามคำสั่งของพ่อ หาไม่แล้วก็ต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง ผมได้แต่อำลาบรรดามิตรสหายเหล่านั้น ขอบคุณพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี พวกเขาไม่อาจช่วยเหลือผมได้ตลอดไป พวกเขาไม่อาจติดตามมาเมืองไทย เพื่อคอยประคองร่างของผมให้ยืนหยัดได้เหมือนเช่นในวันเก่า ๆ

หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ ดูรายการยอดนิยมจากอเมริกาทางเคเบิ้ลทีวีอยู่เป็นเดือน (ผมเสพติดอเมริกันฟุตบอลอย่างชนิดที่เรียกว่าเข้าเส้น) พ่อก็เรียกผมเข้าไปคุยถึงเรื่องอนาคต ทีแรกพ่อจะฝากผมเข้าทำงานในบริษัทที่พ่อเป็นผู้อำนวยการ ซึ่งพ่อไต่เต้ามาจากตำแหน่งเสมียน ครั้นหลายสิบปีผ่านไปก็ได้นั่งตำแหน่งใหญ่โต เป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทที่เคยเล็ก ทว่าบัดนี้ได้กลายเป็นบริษัทมหาชน ผมน่าจะยินดีแต่ผมก็ปฏิเสธไปด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผมอยากทำงานอิสระ หรือกิจการส่วนตัวมากกว่า” ผมกล่าวด้วยความมั่นใจ

“แล้วแกอยากทำอะไรล่ะ” พ่อถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ผมอยากทำร้านอาหาร ร้านแบบที่มีวงดนตรี…”

“และมีเหล้าเบียร์ขายด้วยใช่ไหม แกก็รู้ว่าพ่อไม่ชอบ…”

“ถ้าพ่อจะขัดก็ตามใจ งั้นผมอยู่เฉย ๆ ดีกว่า ถ้าต้องทำอะไรที่ไม่ถนัด” ผมเกือบจะหลุดปากพูดออกไปอยู่แล้วเชียวว่าเรื่องเหล้าเรื่องเบียร์นั้นผมถนัดนัก หกปีในอเมริกาสอนผมไว้มากมายเลยทีเดียว สุดท้ายพ่อก็ต้องตามใจผมเหมือนกับที่เคยตามใจมาตลอดชีวิต (ยกเว้นแค่เรื่องเดียว)

วันเปิดร้าน แขกเหรื่อมาร่วมอวยพรกันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นพรรคพวกของพ่อ ซึ่งล้วนแล้วแต่งุนงงที่พ่อยอมให้ลูกชายขายเครื่องดื่มมึนเมาได้ เพราะภาพลักษณ์ของพ่อแม้จะไม่ใช่คนประเภทสมถะ ติดจะหน้าใหญ่ใจโตเสียด้วยซ้ำ มือเติบเสมอถ้าต้องทำอะไรที่ได้หน้าได้ตา ทว่าก็เป็นคนค่อนข้างเคร่งศาสนาและไม่นิยมดื่มเครื่องดองของเมา ส่วนแม่มีเพื่อนมาร่วมงานไม่มาก เนื่องจากแม่เป็นคนเก็บตัว ไม่สู้จะชอบเข้าสังคมสักเท่าไรนัก วันนั้นอาหารมากมายถูกลำเลียงออกมาเลี้ยงดู แชมเปญขวดแล้วขวดเล่าถูกเปิดรินแจกจ่ายกันถ้วนหน้า พอเหล้าเข้าปากทุกคนก็มีความสุข เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังลั่นร้าน บริกรทำงานกันอย่างหนักทั้ง ๆ ที่เป็นวันแรก นักดนตรีร้องและบรรเลงสุดชีวิต ความสุขอบอวลเหมือนควันบุหรี่สีเทาที่หลายคนจุดสูบ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมในความคิดของผม

ในวันต่อ ๆ มา นักกินนักดื่มก็ยังเนืองแน่นเหมือนเดิม ผมนั่งนับเงินด้วยความพึงพอใจ แต่ไม่นานนักผมก็เริ่มรู้สึกเหงา ผมนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนแน่นร้านโดยไม่สนิทสนมกับใครเลย ผมคลายเหงาด้วยการรับไมตรีจากนักร้องสาวสวย ซึ่งจบลงด้วยการหลับนอนกันในห้องพักของเธอ หลังจากนั้นเราก็คบหาควงคู่กันมาโดยตลอด 

ห้วงเวลานี้เองที่ผมรู้สึกดีขึ้น ด้วยเธอมีมิตรสหายมากหน้าหลายตา บ้างก็เป็นจิตรกร บ้างก็เป็นนักเขียนหรือกวี หลายคนทำงานอยู่ในแวดวงบันเทิง มีผู้กำกับละครเวที โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ นักแสดงก็มาก ช่างเป็นสังคมที่มีสีสันเสียเหลือเกิน ทั้งสนุกและไม่จำเจ ผมต้อนรับเพื่อนของเธอที่ร้านเสมอ คนที่เป็นนักเขียนชอบเข้าครัวทำป็อปคอร์นแสนอร่อยออกมาให้เพื่อน ๆ กินเป็นประจำ   เรานั่งเคี้ยวป็อปคอร์น แต่ดื่มเบียร์ใส่น้ำแข็งแบบไทย ๆ แล้วสนุกกันจนดึกดื่น หลายครั้งถึงกับเมามายจนถึงเช้าเพื่อรอทำบุญตักบาตรด้วยกัน

ครั้นเวลาผ่านไปหนึ่งปี ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร้านไม่มีผลกำไรเลยในระยะหลัง นั่นเป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจในการบริหาร ชีวิตไขว่คว้าหาแต่ความบันเทิงสุข การงานคือความน่าเบื่อหน่าย รูรั่วภายในร้านเกิดขึ้นไม่ต่างจากเรือผุ ๆ ที่ใกล้จะจม แถมยังถูกซ้ำเติมจากบรรดาพรรคพวกที่มากินแล้วไม่จ่ายเงิน สุดท้ายกิจการก็ไปไม่รอด ร้านของผมต้องปิดตัวลงอย่างที่ควรจะเป็น

พ่อไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำในตอนที่ผมบอกความจริง นอกจากถอนหายใจยาวและส่ายหน้าเท่านั้น ราวกับว่านั่นคือวิธีต่อสู้กับความเสียใจของพ่อ ส่วนผมโล่งอกเมื่อไม่ต้องนั่งคุมร้านเหมือนเก่า พอมีเวลาว่างก็ขับรถเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งเริงรมย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงโบว์ลิ่ง ร้านคาราโอเกะ ค็อกเทลเลาจ์ หรือผับดัง ๆ ริมถนนที่ผู้คนหนุ่มสาวนิยมเที่ยวกัน ในแต่ละคืนมักแสวงหาคู่นอนไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นหญิงสาวที่มีรสนิยมเหมือนผม กล่าวคือชอบนอนกลางวัน ตื่นตอนเย็น แล้วลุกขึ้นแต่งตัวทันสมัยเพื่อออกไปสนุกกับชีวิตกลางคืน เงินในมือถูกใช้จ่ายออกไปอย่างไม่เสียดาย พักหลัง ๆ ผมต้องแอบขอเงินจากแม่เสมอ เพราะเงินที่เหลือจากการขายกิจการได้ใช้จ่ายหมดไปนานแล้ว

เรื่องนี้พ่อคงรู้ระแคะระคายมาพักใหญ่ วันหนึ่งก็เรียกตัวผมเข้าไปสอบถาม

“แกคิดจะเที่ยวอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

“ผมกำลังมองหาลู่ทางทำธุรกิจตัวใหม่อยู่ครับ”

“พ่อว่าแกไปเริ่มต้นไต่เต้าที่บริษัทก่อนดีกว่ามั้ง มีตำแหน่งว่าง…”

“พ่อก็รู้จักผมดี”

“แล้วแกอยากทำอะไร บางทีพ่อจะยอมลงทุนให้แกอีกสักครั้ง”

“จริงหรือครับ” ผมถูมือไปมาพร้อมกับยิ้มแฉ่งหน้าบาน “ผมว่าจะทำร้านคาร์แคร์ เอาแบบครบวงจรนะครับพ่อ มันต้องไปได้สวยแน่ครับ”

“ก็ดี จะได้ไม่อายชาวบ้าน แต่มันต้องใช้เงินสักเท่าไหร่กันล่ะ ไอ้คาร์แคร์ที่ว่านี่น่ะ”

คำถามของพ่อทำให้ผมยิ้มมั่นใจ รู้ดีว่าพ่ออยากเห็นผมเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตเพื่อเชิดหน้าชูตาในวงสังคม จุดอ่อนข้อนี้ของพ่อผมรู้ดี และนี่เองที่ทำให้ผมเป็นต่อ

สองเดือนหลังจากนั้น ร้านคาร์แคร์ขนาดใหญ่ในย่านทันสมัยของกรุงเทพฯ ก็เปิดให้บริการอย่างครบวงจร 

“เรารับดูแลรถยนต์ของลูกค้าตั้งแต่เรื่องความสะอาดทั้งภายในและภายนอก เช่น ล้างอัดฉีด ซักพรม ซักเบาะ ดูดฝุ่น ขัดสี ขัดลบรอย ไปจนถึงการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง นอกจากนี้ยังจำหน่ายยางรถยนต์และล้อแม็กซ์ทุกชนิดอีกด้วย พนักงานทุกคนได้รับการอบรมมาอย่างดี พร้อมที่จะดูแลรถทุกคันของลูกค้าราวกับเป็นรถป้ายแดงของตัวเอง” 

แต่ในที่สุดความท่าดีทีเหลวของผมก็บังเกิดซ้ำขึ้นอีกจนได้ แม้ในตอนแรกเหมือนกิจการจะไปได้สวย นั่นเป็นเพราะว่าคราวนี้ผมไว้ใจผู้จัดการคนเก่งมากเกินไปหน่อย แหม ก็พรรคพวกเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น ประกอบกับไม่อาจเลิกนิสัยชอบเที่ยวกลางคืนและหิ้วสาว ๆ กลับมานอนได้ ผลสุดท้ายกิจการคาร์แคร์ก็ต้องยุติลงอย่างน่าเสียดาย

คราวนี้ผมไม่กล้าบอกพ่อ ไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้า  ต้องขอร้องให้แม่ไปแจ้งข่าวแทน แล้วนั่นก็ทำให้พ่อถึงกับไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย นอกจากมองดูด้วยสายตาเจ็บปวด เอือมระอา ขมขื่น และอื่น ๆ อีกร้อยแปดของความรู้สึก ซึ่งเป็นไปในทางเลวร้าย แล้วในเวลาต่อมาก็เหลือเพียงแค่ความเย็นชา 

ตอนนั้นผมก็ยอมรับว่าผมมันไม่ดีเอง แต่พยายามแก้ตัวว่าคนเราอาจทำผิดพลาดกันได้ เป็นเพราะผมยังหนุ่ม ยังอ่อนประสบการณ์ทางธุรกิจและไว้ใจคนมากเกินไป เพื่อนกินก็มากมาย มิหนำซ้ำความที่เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี เลยทำให้มีสาว ๆ คอยมาพัวพันไม่เว้นแต่ละวัน พ่อน่าจะให้โอกาสลูกชายที่พ่อรักมากที่สุดอีกสักครั้ง ผมคิดในตอนนั้น ดีกว่าจะมัวมาทำเฉยชาราวกับผมไม่มีตัวตนอยู่ในบ้าน แม่เป็นฝ่ายบอกให้ผมหางานประจำทำไปก่อน ภาษาอังกฤษที่ติดตัวมาจากเมืองนอกน่าจะช่วยให้หางานดี ๆ ทำได้ไม่ยากนัก ผมรับฟัง แต่จะให้ปฏิบัติตามก็เป็นเรื่องฝืนใจเสียเหลือเกิน อย่างที่รู้กันว่าผมไม่ชอบเป็นลูกน้องของใคร ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ตาม

“ขอเวลาให้ผมได้คิดทบทวนสักพักหนึ่งเถอะครับ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี” ผมบอกแม่ 

วันต่อมาผมพาคนรักรายล่าสุดออกเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง เราทั้งคู่เมามายกันอย่างหนัก และส่งท้ายอย่างสุดเหวี่ยงในโรงแรมม่านรูด ก่อนจะบอกลากันง่าย ๆ เมื่อผมขับรถไปส่งเธอที่หน้าบ้านในตอนเช้ามืด เธอร้องไห้ออกมาเล็กน้อย ผมดึงเธอเข้ามากอดให้กำลังใจ แล้วขับรถจากมาเหมือนที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่น ๆ 

ชีวิตของผมกลับมาเริ่มต้นที่ศูนย์ ทุก ๆ วันผมจะนอนเมาอยู่บนเตียงนอน บางทีก็บนโซฟาห้องรับแขก เก้าอี้ในครัว สนามหญ้ารอบบ้าน พรมเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ หรือไม่ก็ตามซอกหลืบต่าง ๆ แล้วแต่ว่าเหล้าจะพาไปอยู่ตรงไหน พ่อเคยก้าวข้ามผมไปอย่างเงียบ ๆ ถ้ารู้สึกตัวอยู่ ผมก็จะเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อย มีเพียงแม่ที่คอยพูดให้กำลังใจเสมอ ทว่าผมก็ยังอยากให้เป็นพ่อมากกว่าที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้น ผมเคยเป็นลูกรัก แต่เดี๋ยวนี้พ่อหันไปรักพวกน้อง ๆ ที่เรียนจบและก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผมเคยได้ยินว่าน้องชายสอบไล่เนติบัณฑิตได้แล้ว ปีหน้าจะสอบเป็นผู้พิพากษา สำหรับน้องสาวก็ใกล้จบปริญญาโท ชีวิตของพวกเขาไปได้สวยกว่าผม พวกเขากำลังเคลื่อนที่ ส่วนผมนั้นหยุดนิ่ง

ท่ามกลางความมึนเมาในแต่ละวัน ผมเคยคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร สิ่งใดกันแน่ที่มีความหมายต่อชีวิต ผมเฝ้ามองความสำเร็จของคนอื่นด้วยสายตางุนงงของคนเมา ผมพยายามไม่ใส่ใจ ไม่อิจฉา ไม่รับรู้ แล้วล่องลอยอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ท่องไปในกระแสความคิดซึ่งมีแต่ความเปล่าเปลี่ยว ความไร้สาระ รวมถึงความคิดเพ้อเจ้อต่าง ๆ นานา มันเฝ้าบอกว่าผมเสียผู้เสียคนเพราะพ่อส่งผมไปเรียนที่อเมริกาโดยแท้ ถ้าพ่อรักผมจริง ก็คงไม่ปล่อยให้ผมต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้อยากไปเมืองนอกเลย

แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งหลอดไฟในหัวที่ดับมานานก็สว่างโพลงขึ้นในความมืดมิด เมื่อเพื่อนนักเขียนซึ่งเคยเมาหัวราน้ำด้วยกันมาหาที่บ้าน เขาบอกว่าผ่านมาแถวนี้เลยแวะเยี่ยม แม่เป็นคนพาเขาเข้ามาถึงในครัวที่ผมกำลังนั่งซึมเศร้าอยู่ นั่นทำให้ผมต้องลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ก่อนจะชวนเขาขับรถออกไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ผมไม่ได้คิดจะซื้อเหล้าสักสองสามขวด หรือเบียร์สักลังหรอกครับ เพราะเพื่อนนักเขียนเลิกดื่มแอลกอฮอล์มานานแล้ว แต่เป็นเมล็ดข้าวโพดแห้งต่างหากที่ผมต้องการ พร้อมด้วยเนย น้ำตาล เกลือ และข้าวของอีกหลายอย่าง 

“กูอยากกินป็อปคอร์นฝีมือของมึงว่ะ” ผมบอกเพื่อนนักเขียน “นานแค่ไหนแล้วที่มึงไม่ได้ทำให้กูกินเลย”

เราช่วยกันหอบข้าวของทั้งหมดเข้าครัว และลงมือทำป็อปคอร์นด้วยความกระตือรือร้น เพื่อนเป็นคนทำ ส่วนผมเป็นเพียงลูกมือ เพื่อนนักเขียนคนนี้ทำป็อปคอร์นได้อร่อยยิ่งกว่าทุกคนหรือทุกร้านที่ผมเคยลิ้มชิมรสมาตลอดชีวิต ต่อมาผมบังคับเขาให้สอนผมอย่างจริงจัง บอกว่าสักวันหนึ่งผมจะเปิดร้านขายป็อปคอร์นด้วยสูตรของเขา เพื่อนนักเขียนได้แต่หัวเราะร่วน ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะเป็นพ่อค้าขายป็อปคอร์น ผมสำรวยและรักสบายเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนั้น

เพื่อไม่ให้เป็นไปตามคำของเพื่อน เมื่อเขากลับไปแล้ว ผมจึงลงมือทำป็อปคอร์นด้วยตัวเอง ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน ผมขลุกอยู่แต่ในครัวทำป็อปคอร์นออกมาทั้งรสหวานและรสเค็ม เมื่อชิมว่ารสชาติอร่อยเหมือนของเพื่อนแล้วก็นำไปให้แม่ลองกินดู

“หอมอร่อยมากจ้ะ ลูกแม่” แม่ตักข้าวโพดคั่วใส่ปากแค่คำแรกก็รีบกล่าวชมเชยเสียแล้ว “ถ้าพ่อได้ลองกินต้องติดใจแน่”“ผมจะขายป็อปคอร์นตามตลาดนัดครับแม่” ผมโพล่งออกมา พร้อมกับยิ้มให้กับความหวังใหม่ ๆ

เมื่อพ่อรู้ว่าผมจะเปิดร้านขายป็อปคอร์น ขายแบบพ่อค้าเร่ตามตลาดนัดเสียด้วย หรือไม่ก็อาจทำเป็นร้านเล็ก ๆ ริมถนน พ่อถึงกับยิ้มเหยียดหยามออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมคิดว่าถ้าถุยน้ำลายใส่หน้าผมได้ พ่อก็คงจะทำไปแล้ว แต่พ่อสุภาพเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนั้น

“นี่แกกำลังบอกว่า แกจะเป็นคนขายข้าวโพดคั่วงั้นเรอะ ขายตามตลาดนัดด้วยแน่ะ โอ้…ทำไมไม่ขอเงินสักล้านสองล้านไปเปิดโรงงานเลยล่ะ”

“เรื่องทุนรอนผมไม่รบกวนพ่ออีกแล้วครับ ผมขอพ่อมามากพอแล้ว ว่าแต่ป็อปคอร์นนี่ไม่อร่อยหรือครับ พ่อคิดว่ามันจะขายไม่ได้งั้นหรือ”

“นอนเมาต่อไปยังจะส่งผลดีกับทุกคนมากกว่านะสำหรับคนอย่างแก อย่าได้คิดทำอะไรให้วุ่นวายล่มจมอีกเลย โธ่ มันน่าอายจริง น่าอายเหลือเกิน อุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาแท้ ๆ”

คำพูดของพ่อทำให้ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ต่อมาก็รู้สึกสะเทือนใจ โชคดีที่วันนั้นผมไม่ได้ดื่มเหล้าเลยแม้สักหยดเดียวเพราะมัวแต่สนุกกับการทดลองทำป็อปคอร์น หาไม่แล้วก็คงปีนขึ้นหลังคาบ้าน แล้วกระโดดเอาหัวทิ่มดินให้มันจบเรื่องกันไป ทว่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมจึงผลุนผลันเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าเดินทาง และขับรถออกจากบ้านมาโดยไม่ฟังเสียงร้องห้ามปรามของแม่ ภายในสมองมีแต่คำพูดของพ่อกับเรื่องขายข้าวโพดคั่ว ด้วยความที่มีเงินติดตัวมาไม่มากนัก พอขับรถตระเวนหาห้องเช่าริมถนนใหญ่ได้ห้องหนึ่ง ก็เอาเงินทั้งหมดที่มีอยู่จ่ายเป็นค่ามัดจำไว้ก่อน จากนั้นจึงเที่ยวเร่ขายรถตามเต้นท์รับซื้อรถยนต์ ได้เงินแล้วก็มาทำสัญญาเช่านานสองปี ผมตั้งใจจะใช้ห้องเช่าดังกล่าวเป็นสถานที่ผลิตป็อปคอร์นจำหน่ายสักระยะหนึ่ง ความจริงผมไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไรนักหรอก มันอาจจะพังไม่เป็นท่าเหมือนครั้งก่อน ๆ ก็เป็นได้ ทว่าผมก็ไม่อยากกลับไปบ้านนั้นอีก ตราบใดที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผมต้องพยายามอยู่ให้ได้ด้วยกำลังของตัวเอง

ความจริงการทำข้าวโพดคั่วตามวิธีการที่เพื่อนนักเขียนสอนนั้น ถ้าจะให้ดีต้องใช้กะทะก้นลึกคั่วด้วยไม้พายยาว แต่ผมต้องการสร้างความสะดุดตา จึงลงทุนซื้อตู้คั่วป็อปคอร์นสีแดงสดกรุรอบด้านด้วยกระจกใส หน้าตาของตู้ป็อปคอร์นที่ว่านี้น่ารักมากเลยทีเดียว ภายในมีหม้อคั่วข้าวโพดอยู่ด้วยกันสองหม้อ แถมยังมีระบบอุ่นข้าวโพดที่คั่วเสร็จแล้วด้วย

ในที่สุด ผมก็เริ่มต้นขายวันแรกด้วยการทำข้าวโพดคั่วรสเนยเค็มแบบดั้งเดิม ขายราคาถูกกว่าปกติเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แล้วเมื่อลูกค้าถามหาข้าวโพดคั่วรสหวาน ผมก็ทำแบบเคลือบเนยคาราเมลบรรจุถุงซิปไว้จำหน่าย ปรากฏว่าขายดีมากกว่ารสดั้งเดิมเสียอีก ทำมาเท่าไรก็ไม่พอขาย มิหนำซ้ำยังมีแม่ค้าหลายรายมาขอซื้อไปจำหน่ายอีกทอดหนึ่ง มันทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้นและสนุกกับกิจการใหม่ แม้ว่าจะเป็นการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม

หลังจากนั้นแค่หนึ่งเดือน ป็อปคอร์นของผมก็มียี่ห้อเป็นของตัวเอง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ต่างแวะเวียนมาอุดหนุนอยู่เป็นประจำ ผมต้องทำงานจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เรื่องดื่มเหล้าไม่ต้องพูดถึง ผมไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอกครับ ผมต้องลงทุนซื้อเครื่องคั่วข้าวโพดและเครื่องเคี่ยวคาราเมลขนาดใหญ่ รวมถึงหาลูกจ้างมาช่วยงานสองคน กิจการกำลังไปได้สวยทีเดียว ผมจึงกล้าเพิ่มกำลังการผลิตเพราะมองไกลออกไปอีก

แม่เคยมาดูผมทำงานหลายครั้ง วันแรกนั้นใบหน้าของแม่เต็มไปด้วยความฉงนที่เห็นผมทำงานหนักเหมือนผู้ใช้แรงงานคนหนึ่ง แต่พอเข้าใจแล้วใบหน้าของแม่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตอนที่แม่ขอตัวกลับบ้าน ผมได้ขอร้องให้แม่ชวนพ่อมาด้วยในคราวหน้า ผมอยากอวดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสร้างขึ้นด้วยสองมือนี้ให้ปรากฏแก่สายตาของพ่อ ทว่าพ่อก็ไม่เคยมา    ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่พ่อถึงจะมาเยี่ยมผม ไม่มีความหวังให้เห็น ผมรู้สึกว่าพ่อคงไม่รักผมแล้ว

กระทั่งเวลาผ่านไปได้สองปี บัดนี้ผมเป็นเจ้าของโรงงานขนาดเล็กกับคนงานร่วมสามสิบคน มีโกดังเก็บวัตถุดิบได้มาตรฐาน ผมผลิตข้าวโพดคั่วขายเองและมีแฟรนไชส์ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้ค้าหน้าใหม่ที่ต้องการมีกิจการสนุก ๆ เอร็ดอร่อย และสร้างความสุขให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย 

เงินทองจากความพากเพียรไหลเข้าบัญชีธนาคารของผมทุกวัน แต่เงินมากมายพวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข ตอนแรกผมอาจจะสนุกกับเงินจำนวนมากเหมือนคนอื่น ๆ ครั้นมีเวลาว่างหลังเลิกงานเพิ่มขึ้น ผมก็ตระหนักว่าตัวเองไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้เลย เงินไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข ผมอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกคนงานที่พูดจาเข้าใจกัน ทว่าไม่อาจผูกพันเป็นครอบครัวเดียวกันได้ พวกเขาต่างก็มีครอบครัวของตัวเองให้กลับไปหา   ผมต่างหากที่ไม่มีครอบครัว ผมไม่รู้ว่าจะหาเงินมากมายไปทำไมกัน ความสำเร็จในชีวิตมีไว้เพื่อใครอย่างนั้นหรือ ผมถามตัวเองอยู่เสมอ

นานเหลือเกินที่ผมไม่ได้แตะเหล้าเลย แต่เมื่อคืนผมหวนกลับไปหามันอีก เช่นเดียวกับที่คนเรามักจะแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนสนิทเวลารู้สึกเหงา ผมค่อย ๆ จิบมันทีละเล็กทีละน้อยลงคอ ดื่มไปคิดไป ความเคยชินเก่า ๆ ย้อนกลับมาอีกครั้ง เหล้าทำให้ผมคิด เหล้าทำให้ผมพูดกับตัวเอง ผมกอดขวดเหล้าไว้เหมือนสมัยที่ผมเคยกอดแขนพ่อตอนเป็นเด็ก แล้วผมก็ร้องไห้ ผมพยายามไม่เสียน้ำตา ทว่ายิ่งดื่มเหล้าเข้าไปผมก็ยิ่งร้องไห้ ปืนพกที่เหน็บเอวไว้ด้านหลังเย็นเฉียบ อากาศภายในโกดังเก็บของน่าจะทำให้มันอุ่นขึ้นสักหน่อย แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำให้มันเย็นยะเยียบยิ่งกว่าเดิม ความเย็นของเหล็กรมดำช่วยยืนยันว่ามันมีตัวตนอยู่กับผม เป็นเพื่อนของผม นั่นเองที่ทำให้ผมล้วงมันออกมาระเบิดสมองตัวเอง ในขณะที่แขนอีกข้างยังคงกอดขวดเหล้าว่างเปล่าเอาไว้

ตอนที่พ่อเดินเข้ามาหาผม ร่างของผมยังคงนอนนิ่ง  ส่วนเลือดไหลนองบนพื้นซีเมนต์โกดัง ตำรวจกับนักข่าวทำงานกันวุ่นวาย มีเพียงพ่อที่คุกเข่าใกล้ร่างผม ริมฝีปากของพ่อเม้มเป็นเส้นตรง ดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อยในทีแรก จากนั้นเปลี่ยนเป็นสั่นระริก พ่อพยายามไม่กัดริมฝีปากตัวเองแต่ก็กัดอย่างแรง แล้วทันใดนั้นน้ำตาของพ่อก็ไหลออกมา จังหวะนี้เองที่พ่อล้มตัวลงกอดร่างของผมเอาไว้อย่างที่ผมปรารถนามานานเหลือเกิน ไม่มีแววตาเย็นชาให้เห็นอีกแล้ว พ่อสะอื้นไห้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ

พลันผมก็รู้สึกเสียใจ เพิ่งรู้ว่าไม่ควรฆ่าตัวตายเลย มันไม่มีประโยชน์อะไร แต่กลับทำให้พ่อของผมร้องไห้ ผมแค่อยากรู้ว่าพ่อยังรักผมอยู่ไหม ไม่ใช่อยากเห็นพ่อร้องไห้.

ใส่ความเห็น