เรื่องสั้นไทย “สนามหลวงวันธรรมดา” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย-สนามหลวงวันธรรมดา-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์

เขาแสยะยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ   รีบเสยผมเผ้าและลูบหนวดเคราให้เข้าที่   ก่อนจะคว้ากระสอบปุ๋ยเก่า ๆ ข้างกายเดินเลียบเลาะไปตามรั้วศาล   เมื่อถึงทางม้าลายก็ข้ามถนนราชดำเนินในโดยมุ่งหน้าไปยังท้องสนามหลวง   เที่ยวสอดส่ายสายตาดูตามพื้น   พลางคิดในใจว่า   ถ้าโชคเข้าข้างก็คงได้ขวดน้ำพลาสติก   หรือกระป๋องเบียร์มากพอจะเปลี่ยนเป็นข้าวราดแกงได้สักหนึ่งจาน   การใช้ชีวิตเยี่ยงนี้นับเป็นเรื่องปกติของชายจรจัดมานา

หลายปีแล้ว   ด้วยเหตุผลที่เขามักอ้างกับตัวเองเสมอว่า   ”…ก็เพื่อเสรีภาพ”   

นั่นยังไงเล่า   เขามองเห็นกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงยี่ห้อหนึ่งแล้ว   มันนอนสงบนิ่งอยู่ข้างตู้โทรศัพท์สาธารณะ   ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปหยิบ   พลันก็รู้สึกผิดสังเกตที่เห็นผู้คนแถวนั้นพากันสุมหัวรุมล้อมกันเป็นวงกลม   เหมือนกำลังมุงดูเหตุการณ์ที่น่าสนใจอะไรสักอย่างหนึ่ง

บางทีอาจจะเป็นการแสดงปาหี่   ชายจรจัดเดา   แต่มันนานมาแล้วที่ท้องสนามหลวงไม่มีใครมาเล่นปาหี่ให้ดู   สุดท้ายเขาสรุปว่า   มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ   ขอแค่มีการแสดงแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาให้ดูก็ดีถมเถแล้ว   และด้วยความอยากรู้อยากเห็น   บวกกับการดำรงตนเหมือนหมาเฝ้าบ้านที่ต้องคอยระแวดระวังดูสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ   ชายจรจัดจึงเดินเข้าไปชะเง้อมองเหมือนคนอื่น ๆ

ให้ตายเถอะ   ชายจรจัดอุทาน   เลือดในกายที่ไม่ได้สูบฉีดซ่านซ่าแบบนี้มานานแล้ว   มีอันพุ่งปี๊ดขึ้นสู่สมองและใบหน้าของเขา   จนรู้สึกเห่อชาปนเปไปกับความตื่นเต้น   มือไม้ปากคอสั่นระริก

ภาพที่เห็นเป็นหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่งกำลังนอนเปลือยกายเป่าลูกโป่งอยู่บนพื้นหญ้ากลางแจ้ง   ขณะนั้นแสงแดดยามเที่ยงวันสาดส่องต้องร่างคนทั้งสองจนสว่างขาวโพลนไปหมด   บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็จ้องมองไม่วางตาราวกับกำลังชมการแสดงละครอันน่าตื่นเต้นแห่งยุคสมัย   ทุกคนล้วนเกร็งตัวแข็งทื่อ   และเงียบกริบเหมือนหยุดหายใจ   ไม่มีใครส่งเสียงออกมาสักแอะหนึ่ง

ชายจรจัดสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธเกรี้ยว   เขาเหลียวมองหาตำรวจ   บัดซบจริง   มันปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันวะ   เขาคิดอย่างไม่สบอารมณ์   ขณะเดินเลี่ยงออกมา   ท้องไส้ที่เคยปั่นป่วนด้วยความหิวดูจะคลายอาการไป   เขาบอกตัวเองว่า   เวลานี้จะมัวมาคิดถึงแต่ความหิวไม่ได้เสียแล้ว   เขาต้องตามหาตำรวจสักคนมาจัดการกับเรื่องนี้เสียก่อน   แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท้องสนามหลวงเพียงคนเดียวก็เถอะ   แต่เขาเชื่อว่าตนเองยังคงหวังดีกับที่นี่เสมอ   และไม่เคยคิดจะแปรเปลี่ยนความหวังดีเป็นอย่างอื่น   เช่นที่หลายคนเคยทำหรือกำลังทำอยู่

แดดกลางวันช่างร้อนแรงเสียเหลือเกิน   ป่านนี้ตำรวจไม่รู้หายหัวไปอยู่ที่ไหนกันหมด   ชายจรจัดบ่นพึมพำ   ขณะมองหาร่มเงาเพื่อจะหลบเข้าไปนั่งพักสักหน่อย   ทว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นร่มเงาว่าง ๆ เลย   เนื่องจากใต้ต้นมะขามทุกต้นรอบสนามหลวงล้วนมีคนเข้าไปจับจองจนหมดแล้ว

ครั้นเมื่อเขาเพ่งมองดูชัด ๆ กลับพบว่า   กลุ่มคนใต้ต้นมะขามที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังจั่วไพ่กันหน้าดำหน้าแดง ส่วนต้นมะขามถัดไปก็มีเด็กวัยรุ่นกำลังใช้ปากดูดควันจากบ้องกัญชาจนนัยน์ตาปรือ   และบางคนกำลังง่วนอยู่กับการเสพยาชนิดใหม่ซึ่งมีราคาแพงมาก   อ้าว  ไกลออกไปโน่น   หญิงชายกลุ่มใหญ่ดวดเหล้าเมาปลิ้นอยู่ใต้ต้นมะขามในสภาพแทบไม่เป็นผู้เป็นคน   ต่างโยกย้ายส่ายหัวไปตามจังหวะดนตรีอันคึกคักเหมือนลืมโลก   ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ชายจรจัดประหลาดใจขึ้นมาทันทีว่า   วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสนามหลวงกันแน่   ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่สนามหลวงวันธรรมดาแท้ ๆ   ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษเลย

เขาเดินโฉบเข้าไปเก็บขวดน้ำที่กองอยู่รอบวงพนันและวงเหล้า   พอเห็นก้นบุหรี่ที่เจ้าของเพิ่งดีดทิ้งยังติดไฟแดง ๆ อยู่   ก็รีบหยิบขึ้นมาคีบอัดควันละเอียดเข้าปอดอย่างสบายใจ   แม้จะรู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ   แต่ของแบบนี้ก็เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนั่นแหละ   ที่ลงได้ติดเสียแล้วก็เลิกยากเหลือเกิน เขาคิด   ก่อนจะดื่มน้ำที่เหลืออยู่ในขวดใบหนึ่งดับกระหาย   จากนั้นเดินเตร่เที่ยวมองหาตำรวจและขวดเปล่าไปเรื่อย ๆ

ในเวลาต่อมา   เขาเจอหนังสือพิมพ์ที่ใครบางคนทิ้งไว้บนพื้น   จึงหยิบขึ้นมาอ่านข่าวอย่างลวก ๆ   เมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจ   เลยเดินเก็บขวดเปล่าต่อไปตามเดิม   เผลอประเดี๋ยวเดียวก็ได้ขวดเกือบเต็มกระสอบ   ดูท่าว่าเย็นนี้อาจถึงขั้นได้กินเกาเหลาเนื้อเปื่อยที่ท่าพระจันทร์ให้หนังท้องตึงสมฐานะ   แค่นี้ก็หรูหราเป็นที่สุดแล้ว   ชายจรจัดบอกตัวเองด้วยความยินดี

กำลังรู้สึกสบายใจหายห่วงเรื่องปากท้อง   ชายจรจัดมีอันต้องกระโจนหลบรถบรรทุกคันหนึ่ง   ซึ่งแล่นเฉียดร่างเขาเข้าไปในใจกลางท้องสนามหลวงอย่างคึกคะนอง

มันขับรถประสาอะไรของมันวะ   ไม่ดูคนเดินบ้างเลย เขายกกำปั้นโวยวายด้วยความโมโห   เมื่อมองไปยังรถบรรทุกที่จอดนิ่งแล้ว   ก็เห็นว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกระโดดลงมายืนล้อมรอบตัวรถไว้ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง   นั่นทำให้ชายจรจัดอดที่จะเดินเข้าไปสังเกตการณ์ไม่ได้

สักครู่หนึ่ง   ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นก็ช่วยกันแบกข้าวของบนรถบรรทุกลงมาตั้งบนพื้นหญ้า   ทั้งหมดประกอบไปด้วยลำโพงขนาดใหญ่ราวสิบตู้   โต๊ะสำหรับตั้งถังน้ำดื่ม   และหีบเหล็กใบใหญ่ใส่อะไรไม่อาจรู้ได้   ส่วนบริเวณท้ายรถจัดวางขาตั้งไมโครโฟนกับตู้ลำโพงขนาดใหญ่เอาไว้   พร้อมขึงผ้าขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงว่า   “การปราศรัยของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ณ ท้องสนามหลวง”

เหมือนนกรู้   ชั่วเวลาไม่นานนัก   ผู้คนทั้งหญิงชาย   ลูกเด็กเล็กแดง   และคนแก่คนเฒ่า   ต่างจูงไม้จูงมือกันมาปูเสื่อลงบนพื้นหญ้า   บ้างก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์   อย่างหลังนี่มักจะเป็นพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพราะเน้นความคล่องตัว   แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะยืนเกาะกลุ่มกันเสียมากกว่า   พร้อมกันนั้นก็ทำสีหน้าสีตาเหมือนจะบอกคนรอบ ๆ ตัวว่า   งานนี้ถ้าพูดไม่สนุกถูกใจรับรองได้มีการเดินหนีแน่ ๆ

ไม่นานเท่าไรนัก   รถเก๋งคันยาวหลายวาสีดำขลับก็แล่นเข้ามาจอดข้างรถบรรทุก   ชายวัยกลางคนท่าทางโอ่อ่าก้าวลงจากรถยนต์หรูหราอย่างสง่าผ่าเผย   หลังจากที่ตำรวจในเครื่องแบบนายพลคนหนึ่งรีบแย่งเปิดประตูกับคนขับรถของนักการเมืองคนดังกล่าว   ซึ่งแม้จะลงทุนกระโดดออกมาทันทีที่รถจอดก็ยังช้ากว่านายพลอยู่ดี   และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้คนขับรถถูกไล่ออกก็เป็นได้   ชายจรจัดเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“นี่แก   หัวเราะให้มันเบา ๆ หน่อย   งานนี้ไม่ใช่การแสดงจำอวดหรือปาหี่นะเว้ย   ท่านกำลังจะขึ้นกล่าวคำปราศรัยแล้ว”   ตำรวจหนุ่มซึ่งเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของชายจรจัดตั้งแต่เมื่อใดไม่แน่ชัดสั่งเสียงเข้ม   มันทำให้เขาก็นึกขึ้นได้ว่า   ตนกำลังตามหาตำรวจสักคนหนึ่ง   เพื่อไปจัดการปัญหาในท้องสนามหลวงที่เพิ่งพบเห็น   แต่วาจาของตำรวจนายนี้ก็ทำให้เขาต้องส่ายหน้า   รีบเดินเลี่ยงหนีมาด้วยความเอือมระอา

“ที่นี่มีแต่ตำรวจของนักการเมืองเต็มไปหมดเลยโว้ย”   ชายจรจัดบ่นเสียงดังด้วยความไม่สบอารมณ์   ไม่ได้นึกกลัวว่าจะถูกจับตัวส่งหน่วยงานประชาสงเคราะห์แม้แต่น้อย   ต่อให้ต้องหมดสิ้นเสรีภาพที่เขามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็ตาม   ด้วยขณะนี้เขานึกเศร้าใจที่ตำรวจตั้งมากมายไม่ใส่ใจกับปัญหาความเสื่อมโทรมในท้องสนามหลวงเลย   แต่ถ้าเป็นเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวของนักการเมืองที่มีอำนาจแล้วล่ะก็   ตำรวจพวกนี้มักจะรวดเร็วในการรับใช้อยู่เสมอ   เพื่อปูทางไปสู่ความก้าวหน้าในอาชีพของตน   คิดแล้วชายจรจัดก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ

เขาลองไล่นับจำนวนตำรวจที่เห็นอยู่ละลานตา   นับไปนับมาก็บอกตัวเองว่า   คงนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน   ดูเอาเถอะ   แม้กระทั่งบนคาคบต้นมะขามก็มีตำรวจนั่งซุ่มอยู่   ไกลออกไปบนหลังคาตึกส่วนราชการต่าง ๆ   บนหอประชุมมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเตร็ดเตร่อยู่ในนั้นสามปี   ก็ยังเห็นตำรวจพร้อมอาวุธปืนยาวเป็นร่างสีดำตัดกับความสว่างของท้องฟ้า

การปราศรัยครั้งนี้ของนักการเมืองผู้ยิ่งยงคงจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เสียแล้ว   ชายจรจัดนึกด้วยอาการครั่นคร้ามในวาสนาบารมีของนักการเมืองคนดังกล่าว   ซึ่งบัดนี้ได้ก้าวขึ้นบันไดเล็ก ๆ ไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หลังไมโครโฟนท้ายรถบรรทุก

มีเสียงปรบมือดังเปาะแปะจากกลุ่มประชาชนที่มาฟังคำปราศรัย   นักการเมืองออกอาการไม่สบอารมณ์ด้วยความหงุดหงิด   บริวารคนหนึ่งคงเข้าใจในสถานการณ์ดี   จึงรีบยกวิทยุสื่อสารขึ้นมากรอกคำสั่งลงไป   ก่อนจะล้วงเอาธนบัตรจำนวนมากออกมาจากหีบเหล็ก   แล้วโปรยพวกมันให้ปลิวไปตามกระแสลมร้อน

ทันใดนั้นเอง   ผู้คนที่นั่งและยืนอยู่ต่างก็พากันปรบมือเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องสนามหลวง   ก่อนจะรีบวิ่งแย่งกันไล่เก็บธนบัตรที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้นหญ้า

ช่างภาพจากหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์นับสิบชีวิตรีบวิ่งตามไปถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน   บางคนตรงเข้าไปบันทึกภาพสีหน้าอันอิ่มเอิบของนักการเมืองในระยะใกล้   ขณะที่อีกหลายคนผละไปถ่ายภาพบริวารของนักการเมืองกำลังปรบมือและส่งยิ้มให้กำลังใจเจ้านายอยู่ข้างรถบรรทุก

ชายจรจัดมองการโปรยทานของนักการเมืองด้วยสายตาสงสารแกมสังเวช   พลางคิดว่าขยะในมือของเขายังมีค่ามากกว่าเงินเหล่านั้น   เนื่องจากไม่ได้คดโกงใครมา   ทั้งนี้โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด

จังหวะนั้นเอง   นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ได้กระแอมไล่เสมหะที่ระคายคอสองสามครั้ง   ก่อนจะเริ่มกล่าวถึงความสามารถของตน   และเมื่อมีจังหวะเหมาะก็แจ้งให้ทุกคนรับรู้ถึงผลงานของตน   ที่ได้กระทำลงไปเพื่อประชาชนในช่วงเวลาหลายปีมานี้   จากนั้นจึงกล่าวถึงอนาคตอันสดใสของทุกคนในท้องสนามหลวง

“….ผมขอสัญญาตามแผนยุทธศาสตร์ว่า   จะทำให้ท้องสนามหลวงเป็นดินแดนที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข   มีความปรองดอง   มีเสรีภาพ   มีความเจริญ   และแน่นอน   ไม่มีความยากจนทั้งในหมู่คนขยันและคนเกียจคร้าน   ทุกคนจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง   ข้าราชการจะตั้งหน้าตั้งตาคอยรับใช้ประชาชนเสมอ   ผลประโยชน์ทับซ้อนจะไมีอย่างเด็ดขาด   ไม่ว่าจะจำเป็นหรือไม่ก็ตาม   เยาวชนจะได้รับการปกป้องให้ไกลห่างจากอบายมุข   ความเลวร้ายจะต้องถูกควบคุมมิให้บ่อนทำลายทุกชีวิตในท้องสนามหลวง…”

คำพูดที่พ่นออกจากปากนักการเมืองผู้นั้นดังกังวานก้องไปทั่วทุกสารทิศ   ทว่าไม่นานนักก็ต้องถูกขัดจังหวะลง   เมื่อมีนักข่าวสาวคนหนึ่งตะโกนขัดขึ้น

“ท่านคือจอมโกหก   ท่านลองมองไปให้ทั่วสนามหลวงดูอีกครั้งเถอะค่ะ   ลองดูให้ชัด   สถานที่แห่งนี้กำลังเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมใช่ไหม   ที่ผ่านมาท่านพูดแต่คำว่าจะเท่านั้น   โดยไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จเลย   นอกจาก…ความล้มเหลว”

ชายจรจัดมองเหยี่ยวข่าวสาวด้วยความนิยมชมชอบ   รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักเธอที่ไหนมาก่อน   แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง   เมื่อเห็นร่างบอบบางของเธอล้มลงกองกับพื้น   หญ้า   หลังจากมีเสียงปืนดังขึ้นสองนัดติด ๆ กัน   ขณะนั้นประชาชนมีท่าทีตื่นกลัว   แต่ก็ถูกตำรวจสั่งให้อยู่ในความสงบ  

การปราศรัยคงต้องล้มเลิกกลางคันเสียแล้วกระมัง   เขาคิด   นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คงกล่าวคำไว้อาลัยแด่การจากไปของนักข่าวผู้กล้าหาญคนนี้   จากนั้นน่าจะสั่งการให้ควานหาตัวมือปืนใจโหดมาลงโทษโดยเร็วที่สุดตามธรรมเนียม

ทันใดนั้นก็มีเสียงครางหึ่ง ๆ ดังขึ้น   รถขุดสีเหลืองไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน   มันแล่นมาจากถนนด้านวัดมหาธาตุ แล้วตรงรี่เข้ามายังบริเวณที่นักการเมืองปราศรัยอยู่   ก่อนจะขุดพื้นสนามหลวงจนเป็นหลุมลึก   และโดยไม่มีพิธีรีตอง   ลูกน้องของนักการเมืองก็ใช้เท้าเขี่ยร่างไร้ลมหายใจกลิ้งตกลงไปยังก้นหลุมนั้น

อะไรกันวะ   นี่มันเล่นกันอย่างนี้เลยรึ   ชายจรจัดรำพึงด้วยความงุนงง   แต่เขายิ่งงงหนักมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นชายกลางคนแต่งกายค่อนข้างภูมิฐาน   ท่าทางมีความรู้เหมือนเป็นครูบาอาจารย์หรือนักกฎหมาย   ได้ก้าวออกมาจากกลุ่มคนเพื่อประท้วงการกระทำดังกล่าว   พร้อมกับตะโกนบอกนักการเมืองบนรถบรรทุกว่า “เกิดเรื่องไม่ถูกต้องขึ้นแล้ว   ท่านจะมัวยืนเฉยอยู่บนรถได้อย่างไรกัน”

ยังไม่ทันที่นักการเมืองจะโต้ตอบอะไรออกมา   เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกนัดหนึ่ง   ส่งผลให้ชายคนดังกล่าวล้มลง   ศีรษะด้านที่มองเห็นบางส่วนแหว่งวิ่นฟาดลงกับพื้น   เนื่องจากกะโหลกซีกหนึ่งของเขาได้กระเด็นหายไปในอากาศตั้งแต่สิ้นเสียงปืนแล้ว   ร่างเคราะห์ร้ายถูกชายสองคนจับหัวจับขาเหวี่ยงลงไปกองกับศพของนักข่าวสาว   ก่อนที่รถขุดคันเดิมจะรีบตักดินกลบหลุมจนเรียบสนิท   จากนั้นก็มีชายฉกรรจ์หลายคนหอบเอาผืนหญ้าสี่เหลี่ยมมาปูลงบนหลุมฝังศพ   จนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับสนามหญ้าเดิม

ชายจรจัดขยี้ตาทั้งสองข้าง   ถามตัวเองว่า   เฮ้ย   กูฝันไปหรือเปล่าวะ   นี่มันกลางวันแสก ๆ เชียวนะโว้ย   แม้ว่าแดดจัดเมื่อก่อนหน้านี้จะสลัวลงมากแล้ว   ด้วยมีเมฆดำจากทางด้านสะพานพระปิ่นเกล้าลอยมาบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้   แต่ทุกภาพทุกเหตุการณ์ในสนามหลวงยังคงแจ่มชัดสำหรับคนที่ดวงตาไม่มืดบอด   เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า   สูงขึ้นไปนั้นพลันบังเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน

นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ชูมือขึ้น   รีบกล่าวถึงเรื่องความอยู่ดีกินดีของผู้คนในท้องสนามหลวงต่อไป   เหมือนไม่ได้เห็นหรือรับรู้ว่ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นที่นี่เลย   นักการเมืองยังคงยุ่งอยู่กับคำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ทุกคนมีข้าวเต็มจานทุกมื้อ   มีไก่ย่างกินทุกวัน   มีโทรศัพท์มือถือใช้   มีรถมอเตอร์ไซค์ขี่   มียาแจกฟรีเวลาป่วย   มีเงินสวัสดิการใช้ทุกเดือน   และมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกซอกมุมของท้องสนามหลวง   ประชาชนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงไชโยโห่ร้อง   ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งส่งเสียงฮาป่าโหวกเหวกสลับกัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจสิบกว่าคนในมือถือไม้กระบองสีดำตรงรี่เข้าทุบตีประชาชนกลุ่มที่ส่งเสียงฮาป่าด้วยท่าทางขึงขังทำให้พวกนั้นเงียบเสียงลงไป   แต่คงไม่หนำใจจึงหันมาไล่ตีช่างภาพหลายคนด้วย   บางทีนั่นอาจจะเป็นบทลงโทษสำหรับคนที่พยายามบันทึกภาพความโหดร้ายเอาไว้ก็เป็นได้   ชายจรจัดคิด

หลังจากนั้นนักการเมืองยังคงปราศรัยต่อไปอย่างเมามันในน้ำลายของตัวเอง   ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในเหตุการณ์รุนแรงทางด้านล่างเลยแม้แต่น้อย

ไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น   ชายจรจัดรีบหันไปมอง   จึงทันได้เห็นชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมสามคนกำลังฉุดกระชากหญิงคนดังกล่าวเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุกของนักการเมือง   พวกมันรุมฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหล่อนจนเปลือยตลอดตัว   ก่อนจะรุมข่มขืนอย่างบ้าคลั่ง

ชายจรจัดปากสั่นด้วยความโกรธ   เหลียวมองดูว่าจะมีใครเข้าไปช่วยเธอบ้าง   แต่น่าประหลาดเหลือเกิน   ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ตำรวจนับร้อยนับพันคนในท้องสนามหลวงล้วนยืนฟังคำปราศรัยอย่างหน้าตาเฉย   เขาตัดสินใจวิ่งไปที่รถบรรทุก   ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว   เมื่อแลเห็นหญิงสาวผู้โชคร้ายถูกปาดคอตาเหลือกค้างอยู่ใต้ท้องรถบรรทุก   ส่วนฆาตกรทั้งสามหันไปไล่ปล้นเอาเงินทองจากคนที่มาฟังนักการเมืองพูด   เขาพยายามตะโกนเรียกตำรวจ   แม้กระนั้นก็ไม่มีใครได้ยิน   ทุกคนกำลังสนใจฟังคำพูดเปื้อนน้ำลายของนักการเมืองมากกว่าเรื่องอื่นใด

เขาเดินคอตกออกมา   รู้สึกสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องหลบไปนั่งใต้ต้นมะขาม   สถานที่ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นไฮโลกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด   โดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องสนามหลวงราวกับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องปกติ

สักพักหนึ่งจึงมีตำรวจสองนายเดินผ่านมา   เจ้ามือไฮโลรีบยื่นเงินปึกหนึ่งให้อย่างรำคาญ   เขาเห็นตำรวจนายหนึ่งยิ้มหน้าบาน   ขณะที่อีกนายหนึ่งทำท่าสนใจเงินที่กองอยู่ข้างถ้วยไฮโล   แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร   นอกจากรีบเดินไปยังต้นมะขามต้นอื่น ๆจะอิจฉาดีไหมนะ   เขาถามตัวเอง   ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่ามันดีกว่าเดินเก็บขยะขายตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า   แต่นี่ก็ไม่ใช่วิถีทางของคนอย่างเรา   มนุษย์ผู้รักความเป็นอิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง   ชายจรจัดรำพึง   อย่างน้อยเขาก็ยังมีเสรีภาพ   คิดจะนอนอาบแสงแดด   แสงจันทร์   หรือแสงดาวอย่างไรก็ได้   ไม่ต้องเป็นที่สนใจของใครโดยเฉพาะนักการเมือง   คงน่ารำคาญพิลึก   หากจะต้องคอยยกมือรับไหว้เวลาคนพวกนี้ออกเดินหาเสียง   เพื่อจะขอเข้าไปเป็นเจ้านายของประชาชนอยู่ในสภา   คิดแล้วชายจรจัดก็อยากจะล้มตัวนอนเพื่อลืมทุกเรื่องที่ได้เห็นมาในวันนี้   ตอนเย็นค่อยลุกขึ้นมาหาอาหารกินตามฐานะของตน

ในห้วงเวลานั้น   ลมแรงจากฟากฝั่งหนึ่งของท้องสนามหลวงที่พัดมาชวนให้ง่วงเหงาหาวนอนเสียเหลือเกิน  ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มแล้วด้วย   เมฆขาวก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นเมฆฝนลอยต่ำ   บรรยากาศในท้องสนามหลวงสลัวลงเหมือนเป็นตอนพลบค่ำ   ทว่านักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ยังคงพูดจ้อไม่หยุดปาก   ตามประสาผู้มีความถนัดในการพูดคนเดียวมาตั้งแต่เกิด เขาได้แต่สงสัยว่า   หากให้นักการเมืองไปสนทนากับคนอื่นจะรู้เรื่องไหม   หรือว่าบางทีอาจไม่มีคนอยากร่วมคุยด้วย   ร้ายยิ่งไปกว่านั้น   ทุกคนในวงสนทนาอาจจะถูกสั่งห้ามพูดเสียด้วยซ้ำ   ดูเอาเถอะ   ขนาดหลบมาไกลถึงเพียงนี้ เขาก็ยังคงเห็นน้ำลายของนักการเมืองแตกกระจายเป็นฟองฝอยอยู่ทางด้านหลังไมโครโฟน   คิดแล้วชายจรจัดก็อยากหัวเราะให้ตาเหลือกตาปลิ้นอยู่ตรงนั้น

แต่แล้วภาพที่เห็นตรงชายขอบท้องสนามหลวงด้านโรงละครแห่งชาติก็ทำให้เขาขำไม่ออก   เมื่อมีกลุ่มคนจำนวนไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งพันคน   กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณที่นักการเมืองปราศรัยอยู่   ในมือของแต่ละคนถือแผ่นป้ายชูอยู่เหนือศีรษะ   ส่วนจะเขียนว่าอะไรนั้น   ชายจรจัดยังมองเห็นไม่ชัด

บัดนี้เขาคร้านที่จะนอนต่อเสียแล้ว   จึงรีบลุกเดินเข้าไปสังเกตการณ์ตามนิสัย   ทว่ากลับถูกตำรวจทั้งหลายตั้งกำแพงขวางเอาไว้   จุดประสงค์ก็เพื่อปิดกั้นกลุ่มผู้มาใหม่ไม่ให้เข้ามาสร้างความปั่นป่วนนั่นเอง

คนพวกนั้นต่างตะโกนด่าทอนักการเมือง   พร้อมกับทวงถามถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน บางคนอุ้มภาพถ่ายมีพวงมาลัยคล้องอยู่  บางคนแบกโลงศพด้วยแววตาปวดร้าว   ชายจรจัดได้ยินแว่ว ๆ ว่า   ญาติพี่น้องของกลุ่มผู้ประท้วงถูกสังหารขณะออกไปทำมาหากิน   โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่อาจคุ้มครองให้ความปลอดภัยได้   บางคนร้องเรียนมากเข้ากลับถูกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมาควบคุมตัว   ก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ชายจรจัดรู้สึกว่าคำกล่าวของผู้ประท้วงน่าจะเกินจริงอยู่สักหน่อย   อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น   นี่มันท้องสนามหลวงนะเว้ย   ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน   แต่กำลังพัฒนาให้เจริญขึ้นอย่างยิ่งใหญ่   ใครจะมาละเมิดกฎหมายได้ตามใจชอบ   ทว่าเมื่อนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอในวันนี้   หลังจากตื่นนอนตอนเที่ยง  เขาพลันนึกสงสัยว่า   หรือท้องสนามหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว   และคำพูดของผู้ประท้วงก็คือความเป็นจริงของท้องสนามหลวงในปัจจุบัน

กลุ่มผู้ประท้วงยังคงส่งเสียงเรียกร้องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย   พวกเขาขอให้นักการเมืองหยุดสนใจเรื่องการทุจริตอันสลับซับซ้อนของตนไว้สักระยะหนึ่งก่อน   แล้วหันมาเอาใจใส่กับปัญหาของผู้คนชายขอบท้องสนามหลวงบ้าง

ชายจรจัดหันไปมองนักการเมือง   ดูซิว่ามันจะตอบโต้อย่างไร   แต่แล้วเขาก็ต้องตะลึงในความสามารถของนักการเมือง   ที่ยังคงเงยหน้ามองดูท้องฟ้า   ยามพูดถึงผลงานของตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้าน   และให้คำมั่นสัญญาว่า   จะทำให้ทุกครอบครัวก้าวไปสู่ความมั่งคั่งในโลกทุนนิยมให้จงได้

กลุ่มผู้ประท้วงพากันเบียดกระแทกกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจ   เสียงโล่กระทบกันดังกึงกังเกรียวกราว   และได้ยินเสียงด่าทอดังลั่นไปทั่วท้องสนามหลวง

นาทีต่อมา   ก้อนหินจำนวนมากก็ลอยละลิ่วเข้าใส่กำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจจนหัวร้างข้างแตกไปตาม ๆ กัน   ด้วยความโกรธ   ตำรวจหลายคนจึงเงื้อกระบองหวดใส่ผู้ประท้วงเป็นการเอาคืน   ฝ่ายประชาชนเองก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาจึงระดมก้อนหินขว้างโต้ตอบอย่างเดือดดาล

เวลานี้ท้องสนามหลวงเกิดจลาจลเสียแล้ว   ชายจรจัดรีบมองหาทางหนีทีไล่   ใจหนึ่งนึกอยากผสมโรงช่วยประชาชนไล่กระทืบคนของนักการเมือง   ทว่ายามนี้มองไปทิศทางไหนก็ล้วนแต่ชุลมุน   จะวิ่งไปทิศใดก็ติดฝูงชน   มือกระบองของนักการเมืองเริ่มตั้งขบวนอีกครั้ง   ก่อนดาหน้าไล่ทุบประชาชนจนแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ประท้วง   หรือฝ่ายไหนเป็นกลุ่มจัดตั้งมาชูป้ายให้นักการเมือง   หลายคนล้มลุกคลุกคลานหนีตายโกลาหล   หลายคนกลายสภาพเป็นหมาจนตรอก เมื่อตั้งหลักได้ก็กรูกันเข้ารุมประชาทัณฑ์ตำรวจโดยไม่กริ่งเกรงอีกต่อไป

ภาพที่เกิดขึ้นดูสับสนอลหม่านสิ้นดีในสายตาของชายจรจัด   แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน   ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยพบเห็นเรื่องแบบนี้   เอ๊ะ  หรือว่าจะไม่คุ้มกันแน่วะ   เขาถามตัวเอง   ขณะก้มศีรษะหลบกระบองของตำรวจนายหนึ่งไปได้อย่างหวุดหวิด   ก่อนจะโกยอ้าวสุดชีวิต

แต่ยังไปไม่ถึงไหนก็มีนักข่าวสาวกับช่างภาพหนุ่มวิ่งตรงรี่เข้ามาขอสัมภาษณ์ชายจรจัด   

“คิดอย่างไรกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้คะ”   

เขาหัวเราะเหมือนคนบ้า   ก่อนจะตะโกนบอกทั้งสองคนให้รีบหนีเอาตัวรอด   แต่ไม่มีสื่อมวลชนรายไหนยอมถอยทัพขณะที่เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ยังไม่จบบริบูรณ์   พวกเขายังคงบันทึกภาพความบ้าคลั่งไว้เป็นหลักฐานอย่างไม่ยั้งมือ

ตอนนี้ฝนตกลงมาแล้ว   หลังจากตั้งเค้าอยู่นาน   ให้ตายเถอะ ชายจรจัดมองดูฝ่ามือตัวเองที่แบออกรับน้ำฝน   มันเป็นฝนสีเลือดอย่างน่าพิศวง   และกำลังแดงฉานไปทั่วท้องสนามหลวง   ท่ามกลางผู้คนสองฝ่ายที่ยังต่อสู้กันไม่เลิกรา  ประชาชนไม่ยอมถอยอีกต่อไปแล้ว   ต่างสามัคคีช่วยกันกลุ้มรุมหักแข้งหักขาพวกตำรวจ   จากนั้นทำท่าจะเคลื่อนขบวนเข้าล้อมกรอบนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่

ถึงตรงนี้ชายจรจัดจึงได้เห็นว่านักการเมืองบนรถบรรทุกหยุดพูดแล้ว   ทันใดนั้นเองก็มีอิฐก้อนหนึ่งลอยโค้งไปตกลงตรงใบหน้าของนักการเมืองพอดี   ส่งผลให้ผู้ยิ่งใหญ่ทรุดตัวลงกุมใบหน้าครางหงิง ๆ ด้วยความเจ็บปวด

เขาอยากกระโดดขึ้นไปบนรถเพื่อเหยียบผู้ยิ่งใหญ่ซ้ำสักที   จากนั้นจะทวงถามความยุติธรรมให้แก่ผู้บาดเจ็บล้มตายทั้งหลาย   แต่ต้องผงะด้วยความประหลาดใจ   เมื่อเห็นนักการเมืองทะลึ่งตัวขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว   ก่อนจะคว้าไมโครโฟนมาจ่อปากพลางส่งเสียงคำราม

“ฆ่าพวกมันให้หมด   อย่าให้ใครเอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นวรรณกรรมร่วมสมัยอย่างเด็ดขาด”

สิ้นเสียงนักการเมือง   ตำรวจที่ยังไม่บาดเจ็บก็รีบเปลี่ยนอาวุธในมือจากกระบองเป็นปืนสั้น   ทว่ายังไม่เร็วเท่ากับหน่วยแม่นปืนที่รายล้อมสนามหลวงอยู่บนหลังคาตึก  ต่างบรรณาการและบำรุงบำเรอประชาชนกลางท้องสนามหลวงด้วยลูกตะกั่วร้อน ๆ   ส่งผลให้ร่างที่วิ่งขวักไขว่ล้มลงเป็นใบไม้ร่วง   ตำรวจส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาไล่ยิงนักข่าวและช่างภาพโดยไม่สนใจว่าค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่   หัวสีหรือขาวดำ   แนวคุณภาพหรือประชานิยม   ท่ามกลางเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือจากฝูงชนที่พยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอลหม่าน

ชายจรจัดทิ้งถุงขยะไปนานแล้วเพื่อความคล่องตัว ยามนี้เขากำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดสุดชีวิต   ด้วยรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ท้องสนามหลวงที่เขาคุ้นเคยเสียแล้ว   แต่ยิ่งวิ่งยิ่งสับสนและหาทางออกไม่ได้   ไปทางไหนก็เจอแต่เพชฌฆาตดักรออยู่เต็มไปหมด

รถขุดคันเดิมวิ่งกลับเข้ามาในท้องสนามหลวงอีกครั้งหนึ่ง   มันเร่งขุดหลุมกว้างและลึกกว่าเดิม   ชายจรจัดรีบวิ่งไปทางตรงกันข้าม   แต่แล้วก็สะดุดเข้ากับกล้องถ่ายวิดีโอที่แตกหักเสียหายอยู่บนสนามหญ้า   

เขาล้มลงไปประจันหน้ากับช่างภาพโทรทัศน์ช่องหนึ่งซึ่งนอนหงายดวงตาเบิกโพลง   มีเลือดทะลักออกมาจากรูลึกกลางหน้าผาก   ชายจรจัดขยับจะลุกขึ้นวิ่งต่อ   แต่ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด   เนื่องจากมีคนใช้เท้าเหยียบแผ่นหลังเอาไว้   เขารีบเอี้ยวตัวหันหน้ากลับไปมอง   แล้วก็ต้องตกใจสุดชีวิต   เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นหาใช่ตำรวจไม่  

“ช่วยด้วย   ประชาชนไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว”   เขาพยายามยกมือขึ้นอย่างยากเย็นเพื่อพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์   ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมายาวนาน

วินาทีนั้นเอง   ไรเฟิลจู่โจมในมือของชายคนดังกล่าวได้รัวกระสุนออกมาชุดหนึ่งพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม   

ภาพสุดท้ายที่ชายจรจัดมองเห็นด้วยดวงตาที่เบิกค้างก็คือ   ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก   สีเลือดของมันเจิ่งนองไปทั่วท้องสนามหลวงอันกว้างใหญ่

.

หมายเหตุ

เรื่องสั้นเรื่องนี้รวมเล่มอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “โรคระบาดและเรื่องสั้นอื่น ๆ” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ ปี 2560

ใส่ความเห็น