หลังจากวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านแสงจันทร์ราวกับว่านี่คือการเดินทางอันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ด้วยความพยายามของคนขับรถแท็กซี่ผู้มีน้ำใจ เขาก็พบบ้านหลังนั้นจนได้ มันเป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นขนาดกะทัดรัดหลังหนึ่ง เลขที่บ้านตรงกับข้อมูลที่ค้นหามาจากอินเตอร์เน็ต เขายิ้มโล่งอก มีความหวังมากขึ้น เมื่อเห็นแสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างอยู่ภายในตัวบ้าน รีบจ่ายเงินค่าโดยสาร ก่อนจะประคองห่อกระดาษสีน้ำตาลค่อนข้างใหญ่แต่แบนก้าวลงจากรถ
ฝนซาเม็ดแล้ว บัดนี้เหลือเพียงละอองฝอยเล็ก ๆ เป็นประกายสะท้อนแสงจากโคมไฟตรงหัวเสาประตูรั้ว รถแท็กซี่แล่นจากไปตอนไหนเขาแทบไม่รู้สึกตัว ได้แต่ยืนงงเหมือนคนเซ่อ เท้าทั้งสองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจคิด เขารำพึงว่าจะกลัวอะไรกันเล่า กลัวการปฏิเสธอย่างนั้นหรือ บางทีเขาคงกลัวว่านี่อาจไม่ใช่บ้านของเธอ ผู้ซึ่งจะเป็นสะพานพาเขาข้ามไปสู่จุดหมายแห่งความปรารถนาอันเร้นลับ ดูเหมือนเขาจะไม่แน่ใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ความหวาดกลัวเริ่มจู่โจมเข้าเล่นงานจนแทบตั้งตัวไม่ติด เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วกัดฟันก้าวเข้าไปชิดประตูรั้วซึ่งเป็นเพียงลูกกรงเหล็กสูงเสมอศีรษะ เขายกมือขึ้นกดกริ่งไฟฟ้าด้วยอาการลังเล มีเสียงแว่วออกมาจากภายในตัวบ้าน นี่คือการเฝ้าคอยด้วยใจระทึกจนเป็นความทรมาน เขาคิด ไม่ผิดกับนักโทษอดทนรอคอยการประหารอันน่าสะพรึงกลัว เวลาหดสั้นลงเหมือนแท่งเทียนที่ลุกไหม้ ตะแลงแกงอยู่ตรงหน้าห่างออกไปแค่เหลือบตาก็เห็น เขารู้สึกใจสั่นผิดปกติ
จังหวะนั้นเองที่เธอปรากฏตัวขึ้นตรงรอยแหวกของผ้าม่านสีเขียวเนื้อหนาหลังบานประตูกระจก ใบหน้าอวบอูมแสดงความตระหนกแกมประหลาดใจออกมา จากนั้นก็ยืนนิ่งจังงังอยู่นาน นานเสียจนกระทั่งเขาเกือบคิดว่าเธอจะยืนอยู่เช่นนั้นตลอดไป แต่ในที่สุดบานประตูกระจกก็เลื่อนเปิดออกเล็กน้อยพอให้เจ้าของบ้านเดินออกมาได้ เขาเห็นเธอชะงักอีกครั้งและยังคงมองมาทางเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเช่นเดิม
“พี่โอม…” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างแผ่วเบาจนฟังคล้ายเสียงครางของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในแสงสลัว
“สวัสดีจ๋า ขอบคุณนะ…ที่ยังจำพี่ได้”
ภายในบ้าน ท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเพียงเสียงแมลงกลางคืนแว่วมาจากพงหญ้าที่อยู่ห่างไกลบริเวณริมทางรถไฟ เธอกับเขานั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกโดยหันหน้าเข้าหากัน มีเพียงโต๊ะกลางเตี้ย ๆ คั่นกลาง เขามองไปรอบห้อง และมาจบลงที่ใบหน้าของเธออย่างสำรวจตรวจตรา ยามนั้นอีกฝ่ายหนึ่งกลับเฝ้ามองมือทั้งสองข้างของตัวเองราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน
บ้านของเธอตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงเครื่องเรือนและข้าวของไม่กี่ชิ้น ทำให้ดูโปร่งสบายตาผิดกับบ้านของคนไทยทั่วไปซึ่งมักจะรกไปด้วยข้าวของสารพัด บนผนังบ้านมีภาพถ่ายแขวนไว้หลายสิบรูปอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่เป็นภาพของเธอถ่ายคู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขาเอง ท่าทางที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้โดยไม่คิดจะเอ่ยถาม
เขาเหม่อมองสีเขียวอ่อนของผนังบ้านและกระเบื้องปูพื้น อันเป็นบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่ภายในบ้านหลังนี้ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกสงบขึ้นมาได้บ้าง จนสังเกตเห็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่มุมห้องด้านหนึ่งกำลังเปิดใช้งานอยู่ โทรทัศน์ก็เปิดทิ้งเอาไว้เช่นกัน ตอนนี้มันกำลังรายงานข่าวภาคค่ำ เขาคิดว่าที่นี่คงไม่มีใครอื่นอีกแล้ว หรือถ้ามีก็คงจะอยู่กันชั้นบนโน่น แต่ทำไมบ้านถึงได้เงียบเชียบเสียจนเขารู้สึกว่า เธอกับเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“ธุระอะไรคะ ที่ทำให้คุณโอม…ศิลปินผู้มุ่งมั่น สามารถบากบั่นเดินทางมาถึงที่นี่ได้ หลังจาก…”
ถ้อยคำของเธอแฝงน้ำเสียงประชดประชัน นี่คือลักษณะประการหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนกับเค้าหน้าของเธอนั่นแหละ ใบหน้าสามเหลี่ยมรูปหัวใจดูอวบอูมขึ้นมาบ้าง รูปร่างก็ไม่บอบบางเหมือนแต่ก่อน แลดูมีเนื้อมีหนังสมกับวัยของเธอ แต่เรือนผมดำขลับยังคงยาวเหมือนเช่นในอดีต เพียงมุ่นเป็นมวยไว้อย่างเรียบง่ายเท่านั้น
“พี่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จ๋าไม่คาดคิด แต่พี่ก็ต้องมาที่นี่เพื่อ…เอาละ ก่อนที่เราจะคุยกันถึงเรื่องอื่น พี่อยากจะ…อยากจะขอโทษจ๋าด้วยตัวเอง แม้ว่า…มันอาจสายเกินไป” เขาก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบและขาดเป็นห้วง ๆ “ยกโทษให้พี่ด้วย”
มีความว่างเปล่าเกิดขึ้นในบรรยากาศอันเงียบงันชั่วขณะหนึ่ง ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้ยินเธอเอ่ยขึ้นว่า “พี่โอมไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้หรอกค่ะ เหตุการณ์นั้นมัน…มันนานเสียจนป่วยการที่จะต้องมีใครมาเอ่ยคำขอโทษ นานเหลือเกิน นานจนจ๋าแทบจะคิดว่าเราไม่เคยรู้จักกัน หรือตายจากกันไปนานแล้วด้วยซ้ำ”
เขาเงยหน้าขึ้น จึงเห็นว่าเธอกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ มือขาวซีดของเธอประสานกันอยู่บนตัก เขาได้แต่มองและไม่อาจพูดอะไรออกมา
เขาทำผิดต่อเธอไว้มากน้อยแค่ไหนกันนะ เขาถามตัวเองครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายชีวิตของเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยความฝันใช่ไหม เธอไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แววตาใส ๆ และรอยยิ้มซื่อบริสุทธิ์ก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน ชีวิตของเธอในความรู้สึกของเขายามนี้เหลือเพียงความชืดชาให้สัมผัส แม้พยายามคิดในแง่ดีว่านี่อาจเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกไปเอง เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นเธอน่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกทั้งควรมีความสุขตามสมควร แต่คิดอีกแง่หนึ่ง นั่นอาจเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ ใช่แล้ว แม้ตัวเขาก็รู้ดีว่าการลืมอดีตอันขมขื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็น คนบางคนอาจลืมเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลยชั่วชีวิต จนต้องใช้วิธีซ่อนเอาไว้ลึก ๆ อยู่ในหัวใจ ครั้นเผลอไผลปล่อยให้สิ่งที่เก็บงำเอาไว้ปรากฏออกมาในความฝันวันป่วยไข้ วันนั้นเราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง และย่อมเป็นครั้งที่เจ็บปวดมากที่สุดอยู่เสมอ เขารู้สึกผิด เป็นความรู้สึกผิดซ้ำซาก เศร้าโศกและน่าเบื่อหน่าย แม้จะได้เอ่ยปากขอโทษต่อหน้าเธอแล้วก็ตาม ทว่าเพียงแค่คำพูดไม่อาจเยียวยาความรู้สึกของผู้สูญเสียได้ มันง่ายดายเกินไป
ภาพเด็กสาวสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยาอยู่ในอ้อมแขนของเขาถือได้ว่าเป็นความทรงจำอันน่ากลัว ใบหน้าของเธอซีดเผือดขณะถูกประคองออกมาจากคลีนิกแห่งหนึ่งย่านดินแดง อย่างไรก็ตาม ภาพเธอยามรู้สึกตัวดีขึ้นหลังจากเดินทางมาถึงห้องพักของเขาแล้วน่ากลัวยิ่งกว่า วันนั้นเธอนอนคว่ำหน้าร่ำไห้อยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นกระซิก ๆ เล็ดรอดออกมา แต่เขารู้ดีว่าหมอนใบที่เธอซ่อนหน้าอยู่นั้นชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา เธอเป็นคนรักเด็ก ใครได้คบหาสนิทสนมย่อมรู้เรื่องนี้ดี ไม่ใช่รักอย่างตุ๊กตา แต่เป็นความรักของคนที่เปี่ยมด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เธอเคยหวังที่จะเห็นชีวิตน้อย ๆ ในร่างของเธอได้ออกมาดูโลก ซึ่งเธอเชื่อว่ายังพอมีความงดงามหลงเหลืออยู่บ้าง เธอปรารถนาจะปล่อยให้ลูกของเธอถือกำเนิดและเติบโตไปตามวัย เธอเคยพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มอันฉาบไว้ด้วยความมุ่งหวัง แต่เขานี่แหละเป็นผู้ทำลายความฝันอันบริสุทธิ์ของเธอโดยที่เธอไม่อาจต้านทานได้ เธอทำอะไรไม่ได้เลยในวันนั้น แม้แต่จะตรงกลับไปบ้านลุงที่เธออาศัยอยู่ก็ไม่อาจทำได้ เธอทรุดโทรมทั้งร่างกายและหัวใจเกินไป อีกทั้งไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงความอัปยศของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเองก็ช่วยเหลือได้เพียงแค่ให้เธอมีที่พักค้างคืนเท่านั้น
“พี่โอมกลับจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวานนี้เอง” เขาตอบเสียงเบาด้วยรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง แต่ก็พยายามเล่าต่อไปว่าเขามาทำธุระให้อาจารย์ที่เพิ่งเสียชีวิต เมื่อเสร็จธุระก็คิดว่าควรหาทางพบเพื่อนเก่าบ้าง นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ติดต่อใคร เหมือนตายจากกันจริง ๆ อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ เขาฝืนหัวเราะ ถามเธอว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม เธอเหยียดยิ้มออกมา นั่นช่วยทำให้ความรู้สึกของเขาดีขึ้น แม้จะไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเธอยิ้มด้วยความสุข หรือเพียงต้องการเยาะหยันต่อคำถามของเขาเท่านั้น
“สิ่งเดียวที่พี่โอมให้จ๋า แล้วจ๋าเก็บไว้เป็นอย่างดีก็คือความมุ่งมั่น พี่โอมซื่อตรงต่อความใฝ่ฝันของตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่ก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย จ๋าก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรมาทำลายความฝันของเราได้นอกจากตัวเราเอง จริงไหมคะ”
“หมายความว่า…จริงหรือนี่ จ๋ายังเขียนหนังสืออยู่ใช่ไหมใช่จริง ๆ ด้วย เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากทีเดียว”
“สิบแปดปีกับนวนิยายแค่หกเล่ม รวมเรื่องสั้นอีกหนึ่งเล่ม มันคือหนังสือเจ็ดเล่มที่ไม่มีใครจดจำ ไม่ใช่เรื่องน่าพูดถึงหรอกค่ะ ยังห่างไกลจากความสำเร็จเหลือเกิน แต่นวนิยายเรื่องใหม่ที่จ๋ากำลังเขียนอยู่อาจจะทำให้โลกตะลึงก็ได้นะ”
เขานั่งนิ่งเงียบ นึกทบทวนถึงชีวิตการทำงานของตัวเอง ก่อนจะพูดออกไปโดยไม่มองหน้าเธอ เขาว่าเขาเองก็ไม่ดีไปกว่าเธอสักเท่าไร ที่นิวยอร์กโน่นอาจารย์ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่ง แต่ที่เหลือเขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง
“วิถีของงานศิลปะเป็นเช่นนี้ในทุกยุคทุกสมัย ไม่มีใครสามารถหายใจแทนเราได้ เราต้องแสวงหาแนวทางและความสำเร็จเอาเอง ซึ่งพี่ยังไปไม่ถึงจุดที่ใฝ่ฝันเอาไว้ แต่ถึงยังไงก็ดีกว่าตอนอยู่เมืองไทย”
หลายปีมานี้งานของเขาได้รับความสนใจไม่น้อยและขายได้เรื่อย ๆ มิหนำซ้ำยังได้แสดงงานแบบ“วันแมนโชว์”ไปแล้วสี่ครั้ง ไม่นับที่เคยแสดงร่วมกับศิลปินอื่น ๆ อีกหลายครั้ง ในความคิดของเขาแล้วนี่ก็ยังถือว่าไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร จริงอยู่ที่เขามักบอกใครต่อใครว่าไม่ได้ทำงานศิลปะเพื่อชื่อเสียง แต่เอาเข้าจริงถ้าไม่มีชื่อเสียงให้สูดกลิ่นอันหอมหวาน ไม่มีชื่อเสียงเพื่อแสดงว่าได้รับการยอมรับ เขาหรือศิลปินหลายคนบนโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรให้หวังและเป็นพลังขับเคลื่อนอีกแล้ว
การพูดคุยถึงอาชีพการงานของกันและกันฟังเผิน ๆ คล้ายไต่ถามความเป็นไปในชีวิตของคนสองคน แต่มันก็ทำให้เขาคิดอย่างเศร้าสร้อยว่าเป็นเรื่องคุ้มค่าแล้วหรือ ที่ยอมทำลายความสุขของผู้หญิงคนหนึ่ง (หรือสองคนกันแน่นะ) เพื่อแลกกับการเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเขาไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งกับเธอเลยใช่ไหม ถ้าเพียงแต่เขาต้องการเธอจริง การตัดสินใจครั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ชีวิตทุกวันนี้จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า เขาตั้งคำถาม แล้วสงสัยว่าถ้าเปลี่ยนจากเธอคนนี้เป็นเธออีกคนหนึ่ง การตัดสินใจของเขาจะลงเอยอย่างไร ทารกผู้น่าสงสารจะถูกกำจัดเช่นเดิม หรือว่า…
ในวันนี้ หากแม้นชีวิตน้อย ๆ ในครรถ์ของเธอยังอยู่รอดปลอดภัยก็คงเติบโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งด้วยฤทธิ์ของยาพิษซึ่งเขาซุกซ่อนเอาไว้ในความทรงจำ และเป็นเพราะเขาไม่อาจซ่อนเร้นมันไว้ได้ตลอดไป มันจึงแสดงตัวตนต่อเขาเสมอตลอดเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมา มันปรากฏตัวขึ้นและบังคับให้เขา…ดื่มยาพิษจากอดีตอย่างช้าๆ เพื่อรับความทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกเจ็บปวดภายในหัวใจจนแทบจะทานทนไม่ไหว ต้องพยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองด้วยการหันเหความสนใจมาที่ห่อกระดาษสีน้ำตาล เขายื่นของฝากนี้ให้แก่เธอ
“ผลงานภาพพิมพ์ไม้ชุดล่าสุดของพี่เอง มันมีอยู่ในโลกนี้เพียงสี่ภาพเท่านั้น” เขาคะยั้นคะยอให้เธอรับไว้
และเมื่อห่อกระดาษถูกแกะออก เธอก็เผยรอยยิ้มพิมพ์เดียวกับในอดีตให้เห็น แม้ดวงตาจะดูเศร้า ๆ อยู่บ้างก็ตาม
“งดงามมากค่ะ” เธอจ้องมองภาพขาวดำในกรอบโลหะ แข็งแรง “เป็นภาพพิมพ์ไม้ที่ยอดเยี่ยม พี่โอมให้จ๋าจริงหรือคะ” น้ำเสียงตอนท้ายของเธอฟังดูคล้ายซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้
เขาพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแทนคำตอบ เธอลุกขึ้นเดินไปปลดภาพถ่ายบนผนังออกมาวางกับพื้น เป็นภาพครึ่งตัวของเธอเองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และแขวนไว้อย่างโดดเดี่ยวแยกจากกลุ่มภาพถ่ายเล็ก ๆ ทั้งหมด เธอจัดการแขวนภาพพิมพ์ไม้เข้าแทนที่
ภาพพิมพ์ไม้ดังกล่าวพิมพ์ด้วยหมึกดำ แสดงเรื่องราวในร้านอาหารริมถนนสายหนึ่งยามค่ำคืน โคมไฟเหนือโต๊ะส่องแสงลงมาต้องร่างชายหญิงสี่คน ซึ่งกำลังนั่งกินอาหารอยู่ในบรรยากาศอันมัวซัวและเปล่าเปลี่ยว ราวกับว่าโลกของพวกเขาไม่มีมนุษย์อื่นใดอีกแล้ว นอกจากแม่ค้าผู้กำลังนั่งง่วงเหงาอยู่ข้างเตาและกระทะเอียงกะเท่เร่ หมาตาเศร้าตัวหนึ่งนอนหมอบนิ่งอยู่ใต้โต๊ะ ไม่สนใจเศษอาหารที่ชายในภาพคนหนึ่งหยิบยื่นให้อย่างเอ็นดู เขาชอบภาพนี้มากตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นแค่ภาพร่าง จากนั้นก็รีบลงมือแกะแม่พิมพ์ไม้ทันทีที่รู้ตัวว่าจะต้องเดินทางกลับประเทศไทย ตามปกติแล้วงานภาพพิมพ์ไม้ของเขาจะพิมพ์ออกมาประมาณสิบห้าถึงยี่สิบห้าภาพ แต่สำหรับครั้งนี้เขาต้องการเพียงแค่สี่ภาพเท่านั้น ด้วยไม่คิดจะขายผลงานชุดนี้ให้แก่ใคร เพราะมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับมิตรภาพในวัยหนุ่มสาว แม้มิตรภาพนั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโหดร้ายในความทรงจำของทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ตาม
“พี่พลต้องถูกใจแน่”
คำพูดของเธอทำให้ความสงสัยที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วแจ่มชัดขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงที่มาที่ไปของความสัมพันธ์นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเลย
“พี่เตรียมไว้ให้พลด้วยนะ แต่อยู่ที่โรงแรม ไม่คิดว่ามันจะ…อืมม์ พี่อยากเจอมันเหมือนกัน จ๋าพอรู้มั้ยว่าจะติดต่อได้ยังไง”
เธอเดินกลับมานั่งที่เดิม สบตากับเขาแวบหนึ่ง แล้วก้มมองดูมือซีดขาวทั้งสองข้างที่ประสานกันอยู่บนตัก
“ตอนนี้เขาออกไปทำงานค่ะ กว่าจะกลับก็คงตีสาม” เธอกล่าวเสียงอู้อี้ฟังไม่ถนัดนัก
ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ข้อสงสัยหมดไป แต่แล้วเขาก็เกิดความสงสัยใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกไม่ผิดเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น เป็นไปได้อย่างไร เมื่อไหร่ และด้วยเหตุผลใด เขาเคยคิดว่าทั้งสองไม่ได้รู้สึกต่อกันฉันชู้สาว เธออีกคนหนึ่งต่างหากเล่าที่มันต้องการ เอาเถอะ เขาบอกตัวเอง เขาไม่อยากค้นหาคำตอบในเวลานี้ อีกทั้งไม่คิดจะถามให้วุ่นวาย เขาเพียงสรุปว่าเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมาย่อมทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วอย่างที่เป็นอยู่ ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ช่วยทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาสงบลง
“พลสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีค่ะ ถ้าพี่โอมอยากเจอก็ต้องไปหาที่เดอะวอร์”
“เดอะวอร์” เขาทวนคำเสียงสูง
เธอทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเดินไปที่โต๊ะวางเครื่องคอมพิวเตอร์ และเปิดลิ้นชักค้นหาอะไรบางอย่าง
“ที่อยู่ของร้านค่ะ” เธอยื่นนามบัตรให้ “เป็นร้านแบบร็อคผับ พี่พลทำงานอยู่ที่นั่น แล้วก็ทุ่มเทเวลาให้ยังกะเป็นเจ้าของ”
“ผ่านมานานขนาดนี้ มันก็ยังหนีไม่พ้นงานกลางคืน มันคงอยากเป็นเจ้าของบาร์อยู่ซีนะ…” เขาพึมพำออกมาราวกับพูดกับตัวเอง
จากคำบอกเล่าของเธอทำให้รู้ว่าชีวิตและเป้าหมายของมันยังไปไม่ถึงไหน สมัยก่อนโน้นเขามักจะได้ยินมันคุยให้ฟังถึงความตั้งใจที่จะมีกิจการส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นบาร์หรือไนท์คลับ อะไรก็ได้ที่เป็นของมันอย่างแท้จริง เวลาคุยถึงเรื่องบาร์ในจินตนาการมันจะทำตาฝัน ๆ แล้วบอกว่าจะนั่งอยู่ตรงส่วนไหนของร้าน จะดูแลลูกน้องอย่างไร แต่ที่ชอบพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือ “ข้าจะเลี้ยงเหล้าเอ็งจำเอาไว้ไอ้โอม ข้าจะเดินไปเปิดเหล้าขวดไหนมากินก็ได้เพราะข้าเป็นเจ้าของร้านว่ะ ไม่ต้องกลัวใครมาด่าด้วย” เขายิ้มให้กับเรื่องราวที่โลดแล่นอยู่ในห้วงความคิด มันนำมุขนี้มาจากนวนิยายเรื่องหนึ่งของจอห์น สไตน์เบ็ค ซึ่งเขาเคยอ่านและเล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว
“พี่โอมจะไม่ถามหรือคะว่าร้านนั้นเป็นของใคร จ๋าคิดว่าบางทีถ้าเจ้าของไม่ใช่บัว พี่พลอาจไม่ไปทำก็ได้”
ชื่อที่เธอกล่าวถึงทำให้หัวใจของเขากระตุก สติเริ่มเลอะเลือน มือเย็นลงจนกระทั่งรู้สึกได้เมื่อยกแขนขึ้นกอดอก
“ลองไปหาที่ร้านดูนะคะ พวกเขาอยู่กันที่นั่นเสมอ…ถ้าไม่มีใครโกหก”
การได้พบใครคนหนึ่งมักเป็นจุดเริ่มต้นนำไปหาคนอื่นที่เหลือ เขาคิด หากคนเหล่านั้นถูกร้อยรัดเอาไว้ด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งอดีตที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและอดีตที่ขัดแย้งกันทางจิตใจ สำหรับเขาแล้ว ความขัดแย้งทำให้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป นี่คือสิ่งที่โลกได้เฆี่ยนตีสั่งสอนเขาตลอดมาด้วยแส้แห่งความเป็นจริง มันทำให้เขาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อมันจู่โจมเข้ามาหาโดยไม่ยอมให้เขาตั้งตัว อีกนานเท่าไรหนอถึงจะจบสิ้น เขาสงสัย
“พวกนั้นคงดีใจที่ได้พบพี่โอมอีก”
จากการลอบชำเลืองดู เขาเห็นว่าเธอกำลังมองมาทางเขาเช่นกัน ราวกับต้องการได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่าง ทว่าด้วยความพยายาม เขาก็สามารถทนนิ่งเฉยได้ นั่นอาจเป็นเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ ใจหนึ่งดูเหมือนต้องการพบเธอคนนั้นเหลือเกิน ทว่าอีกใจหนึ่งกลับปรารถนาที่จะลืมเธอไปตลอดกาล โชคร้าย…เขาไม่อาจทำได้อย่างที่คิด อดีตไม่ต่างจากบาดแผลใต้ผิวหนังซึ่งเขาคิดว่ามันหายไปแล้ว แต่วันหนึ่งมันก็ปะทุอักเสบเป็นหนองขึ้นมาให้เจ็บปวดอีก เขาถอนหายใจและจมดิ่งอยู่ในห้วงคิด
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่ากำลังลากลับ เขาจะอยู่ต่อไปอีกทำไมกันเล่า ที่ีนี่ไม่มีเรื่องราวใด ๆ ให้ทำอีกแล้ว
“เผื่อมีธุระจะติดต่อกับพี่” เขายื่นนามบัตรของโรงแรมให้
“แล้วคืนนี้พี่โอมจะไปหาพี่พลกับบัวหรือเปล่าคะ” เธอตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา เขาส่ายหน้า รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้รับความสำเร็จในเรื่องหนึ่งอย่างง่ายดายกว่าที่คาดคิดเอาไว้
“ไม่แน่ คืนนี้พี่อาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้ คงไม่มีอะไรต้องรีบ หลังจากเวลาผ่านไปนานถึงสิบแปดปี”
พ้นจากบ้านซึ่งอบอวลด้วยความอึดอัด เขาเดินใจลอยจนเกือบจะถูกรถแท็กซี่คันหนึ่งเฉี่ยวเข้าให้ คนขับรถเปิดประตูลงมาทำท่าจะเอาเรื่อง เขาโบกมือห้าม ยามนี้ไม่นึกอยากต่อยตีกับใคร เขาขอร้องให้คนขับพาไปส่งที่โรงแรม ขณะนั่งมาในรถแท็กซี่เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอเสียเหลือเกิน เป็นเพราะอดีตของเธอที่เขาจากมา หรือเพราะชื่อของเธอคนนั้น ผู้ซึ่งเขาเพิ่งจะได้ยินอีกครั้งหนึ่ง โอ สิบแปดปีช่างยาวนานเหลือเกิน…
*
เมื่อถึงห้องพัก เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และถึงแม้จะต้องการเดินทางไปเดอะวอร์ตามแรงปรารถนา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่า เวลานี้ควรอยู่ตามลำพังในความเงียบของห้องพักมากกว่าจะออกไปทำสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม เขายังคงรู้สึกทรมานกับการอยู่ตามลำพัง ทั้ง ๆ ที่เขาสนิทสนมกับมันมาชั่วชีวิต จนต้องลุกไปคว้าเบียร์กระป๋องจากมินิบาร์มาดื่มคลายอารมณ์ แน่นอน เขารู้จากประสบการณ์นับครั้งไม่ถ้วน ว่าเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหลังจากผ่านความเมามายไปแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็พอจะทำให้เขาหลับสนิทได้อีกครั้ง
เขานั่งจิบเบียร์อยู่ที่ริมระเบียงห้องพัก พร้อมกับทอดสายตามองทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครยามค่ำคืน ซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟเป็นจุดสว่างละลานตา จุดสว่างนับไม่ถ้วนนี้แทรกอยู่ในความมืดของกลุ่มอาคารบ้านเรือนและตึกสูง งดงามต่างไปจากทะเลดาวบนท้องฟ้าคืนแรมในประเทศอื่นตามความรู้สึกของเขา
ระหว่างปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับภาพที่เห็น พลันเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น เขาเดินเนือย ๆ เข้าไปรับสายอย่างเกียจคร้าน
“สวัสดีครับ”
ใครกันนะที่โทรศัพท์มามืดค่ำขนาดนี้ เขาคิด
“สวัสดีค่ะ คุณโอมใช่ไหมคะ นี่อัญเองค่ะ”
เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้จำเธอไม่ได้ แม้ผู้ชายทุกคนที่ได้พบเธอก็คงคิดเช่นเดียวกัน
“อัญญา…”
*
เขาตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย รู้สึกไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไรนัก อาจเป็นด้วยเมื่อคืนดื่มเบียร์มากจนเกินไป เขาลุกจากเตียงและเดินไปเปิดผ้าม่านสีเทาด้านหลังห้องพักเพื่อรับแสงสว่างจากโลกภายนอก แสงสว่างทำให้เขาต้องหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตามองลงไปยังภาพชีวิตเบื้องล่าง เวลานี้ถนนหลานหลวงกำลังคับคั่งด้วยยวดยานนานาชนิด เขามองอย่างเลื่อนลอย ความคิดและลมหายใจราวกับจมอยู่ในห้วงความฝัน สักพักหนึ่งก็เบือนหน้าหนี แล้วเดินโผเผเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมสีขาวกลับมานั่งลงที่ปลายเตียง เขาจ้องดูเงาตัวเองในกระจกบนฝาตู้เสื้อผ้า พลางคิดว่าน่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานัดหมายกับเธอ เขานึกถึงอาหารมื้อแรกของวัน เพราะมันล่วงเลยมาจนบ่ายสามโมงแล้ว เหมือนว่าจะหิวแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้อยากกินอะไรสักเท่าไหร่ ท้องไส้เต็มไปด้วยความพะอืดพะอม สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบกางเกงว่ายน้ำออกมาจากตู้ มันได้รับการออกแบบตัดเย็บเป็นอย่างดี เนื้อผ้าเป็นผ้ายืดชนิดพิเศษ มีลักษณะคล้ายหนังปลาสีดำและสามารถกันน้ำได้ ปลายขากางเกงยาวเกือบถึงหัวเข่า นี่เป็นแบบที่เขาชอบใช้มานานแล้ว เขาสวมกางเกงว่ายน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ลืมอาการเมาค้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยชอบกล จนต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วกระชับเสื้อคลุมให้แน่นหนาอีกครั้ง ที่ประตูห้องพัก เขาไม่ลืมดึงกุญแจออกจากช่องเสียบบนผนัง ก่อนจะก้าวออกไปอย่างกระปรี้กระเปร่าทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอยู่จริง
สระว่ายน้ำของโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากประตูลิฟท์และล็อบบี้ มากนัก เขาผลักประตูกระจกเดินตรงไปยังสระสีฟ้า กวาดสายตามองไปทั่วแต่ไม่พบแขกของโรงแรมรายอื่น บรรยากาศจึงดูค่อนข้างเงียบเหงาอยู่สักหน่อย เขาได้ยินเสียงใบไม้กิ่งไม้จากบริเวณสวนหย่อมไหวซู่ซ่าราวเสียงกระซิบของใครบางคนที่อยู่ห่างไกล ทำให้รู้สึกใจคอว่างโหวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่มีพนักงานชายคนหนึ่งในชุดกีฬาสีขาวคอยต้อนรับอยู่ พนักงานผู้นี้มีผิวคล้ำสวยคงเพราะว่ายน้ำกลางแจ้งบ่อยครั้ง เขาส่งยิ้มเนือย ๆ ให้เมื่อได้รับคำทักทายเป็นภาษาอังกฤษ พลางสงสัยว่าระยะเวลาสิบกว่าปีที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไป ได้ทำให้เขามีลักษณะเหมือนคนต่างชาติมากอย่างนั้นหรือ พลันความรู้สึกขบขันก็แล่นขึ้นมาอย่างซังกะตาย เขาส่ายหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อสระผมและอาบน้ำซ้ำอีกครั้ง
หลังจากลงไปแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำอันเย็นฉ่ำ เขาก็รู้สึกราวกับได้หวนคืนสู่โลกอันเงียบสงบที่เขาคุ้นเคยมานาน เขารู้สึกดีขึ้นมากจนหลงลืมความหม่นหมองทั้งหลายทั้งปวง เพราะเหตุนี้ใช่ไหมเขาจึงหาโอกาสว่ายน้ำอยู่เสมอ จริง ๆ แล้วเขาชื่นชอบการว่ายน้ำมานานตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก และภาคภูมิใจที่หัดว่ายน้ำได้ด้วยตัวเองจนชำนาญในคลองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้บ้าน ทุกครั้งที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ เขามักจะสัมผัสได้ถึงความอิสระมหัศจรรย์ คล้ายล่องลอยสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อว่ายด้วยท่าตีกรรเชียงเพื่อจะได้แลเห็นท้องฟ้ากว้างไกล แม้ว่าท้องฟ้าวันนี้ยังคงเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีเทาอันแสนเศร้าก็ตาม เขาเฝ้ามองและว่ายกลับไปกลับมาอย่างเชื่องช้า ระหว่างนั้นก็อดคิดถึงเธอที่โทรศัพท์มาหาเมื่อตอนกลางคืนไม่ได้
มีคำต่อว่าต่อขานอย่างไม่จริงจังนัก เธอว่าได้พยายามติดต่อเขาหลายครั้ง แต่โอเปอเรเตอร์ของโรงแรมแจ้งว่าในห้องพักไม่มีคนรับสาย คำพูดของเธอทำให้เขาอยากหาซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ใช้สักเครื่องหนึ่งระหว่างพักอยู่เมืองไทย มันคงมีประโยชน์กว่าที่นิวยอร์ก ที่นั่นเครื่องมือสื่อสารพวกนี้ไม่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของเขาเลย คริสตมาสปีหนึ่งอาจารย์ซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เขาเป็นของขวัญ แต่เขาเผลอทำหายในคืนที่เมาหนักและไม่คิดจะซื้อเครื่องใหม่มาทดแทน มันเป็นส่วนเกินในวิถีชีวิตของเขาผู้ซึ่งทุก ๆ วันมักจะจมอยู่ในห้องนอนหรือไม่ก็สตูดิโอ อย่างไรก็ตาม บางทีเย็นนี้เขาอาจจะแวะหาซื้อก็ได้ เนื่องจากต้องออกไปกินอาหารค่ำกับเธออยู่แล้ว เขาวางแผน
ในเวลาต่อมา เขาสงสัยว่าเธอคิดอย่างไรกันนะ ถึงได้ชวนเขาไปกินอาหารเป็นการส่วนตัว เขาสมควรเชื่อดีไหมในคำชี้แจงของเธอ เธอบอกว่าต้องการเลี้ยงขอบคุณเขาที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพของอาจารย์ แน่นอน เธอสารภาพว่ารู้สึกซาบซึ้งที่เขานำอัฐิกับภาพเขียนของอาจารย์มามอบให้ เธออยากขอบคุณเขาสักร้อยครั้งพันครั้ง ที่แย่ก็คือเธอไม่ยอมพูดถึงเรื่องอพาร์ทเมนท์ในนิวยอร์กและพินัยกรรมเลย เธอผู้มีใบหน้างดงามและรูปร่างบอบบางแลดูแช่มช้อย ไม่ได้สอบถามถึงจำนวนเงินในธนาคารที่พ่อของเธอยกให้ เธออาจเป็นคนประเภทที่ไม่ใส่ใจเรื่องเงินทองก็เป็นได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากให้เธอติดต่อกับทนายความของอาจารย์ให้เสร็จเรื่องเสียที มันควรเป็นเช่นนั้นใช่ไหม เธอน่าจะรีบทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้องเพื่อที่เรื่องนี้จะได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่ากลับไปนิวยอร์กคราวนี้เขาจะต้องรีบหาที่อยู่ที่ทำงานใหม่ นี่คืออนาคตซึ่งมองเห็นได้แจ่มชัดเหลือเกิน เขาควรคิดอ่านหาทางขยับขยายโดยเร็วที่สุด
อะไรบางอย่าง อาจจะเป็นสภาพของดินฟ้าอากาศ ทำให้เขาคิดถึงวันที่ได้พบเธอที่บ้านใหม่อันสวยงามทันสมัยบนถนนเจริญรัถ ไม่ใช่บ้านหลังเดิมซึ่งเขาเคยไปมาหาสู่หลายครั้งในอดีต น่าขำเหลือเกินที่เธอจำเขาไม่ได้ ไม่มีใครจำเขาได้เลย เวลาผ่านไปนานจริง ๆ ครั้งสุดท้ายที่พบกันตอนนั้นเธอคงอายุได้เพียงเจ็ดแปดขวบ เป็นเด็กหญิงหน้ากลม ๆ ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวราวกับน้ำนม เธอมีลักษณะซุกซนตามประสาเด็ก อีกทั้งชอบวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน ถ้าเธอหารองเท้าของอาจารย์พบก็จะนำมาสวมใส่ พร้อมกับเอามือไขว้หลังเดินกลับไปกลับมาด้วยท่าทางใช้ความคิดอันเป็นท่าประจำตัวของอาจารย์
โธ่เอ๋ย อาจารย์…ชายผู้ชอบใช้เวลาว่างพร่ำบ่นคร่ำครวญถึงลูกสาวหลังจากดื่มเบอร์เบิ้นจนเมามาย อาจารย์คิดถึงลูกสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันตลอดระยะเวลาสิบแปดปีหลังการหย่าร้างเพื่อเดินทางไปสู่ดินแดนอื่น ด้วยหวังจะก้าวไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิต ถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีก การไปพบเธอพร้อมด้วยอัฐิของอาจารย์นับเป็นภารกิจสุดท้าย เขานำทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามอบให้เธอเรียบร้อยแล้ว พ่อกับลูกได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง เขาแน่ใจว่าได้ทำหน้าที่ของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเธอจะต้องดำเนินการด้วยตัวเองเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เรื่องราวระหว่างเธอกับเขาอาจไม่จบลงง่าย ๆ นี่เป็นเพียงความรู้สึกคล้ายลางสังหรณ์ เธอกล่าวทางโทรศัพท์ว่าอยากให้เขาเล่าเรื่องของพ่อให้เธอฟัง ย้ำหลายครั้งว่ามีเรื่องอยากรู้อยากถามมากมายเกี่ยวกับพ่อ เธออิจฉาเสมอเมื่อรู้ว่าเขาเพียงคนเดียวที่ได้รับใช้ใกล้ชิดพ่อของเธอมาโดยตลอด
ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นนะ เขารำพึง มีแต่เขาที่ไม่ต้องการพบเธอ อยากจะหลีกหนีไปให้ไกล เรื่องไม่ง่ายตรงที่เธอสุภาพและน่ารักเกินกว่าใครจะทำหยาบคายเช่นนั้นได้ เขาพยายามคิดอยู่เสมอว่าเธอคือลูกสาวของผู้มีบุญคุณ ใช่ มันเป็นเรื่องไม่สมควร เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างตีกรรเชียงอย่างเชื่องช้า ทว่าก็น่าหวั่นใจเหลือเกิน เขาคิด ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องรับรู้ถึงความมีอยู่ของเธอ รับรู้ถึงความงามของเธอ เธอเติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นดอกไม้ที่เพียบพร้อมของมหานครแห่งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างชวนให้เขาผู้ได้พบเห็นเธอปั่นป่วนใจด้วยความสุข ที่สำคัญเธอยังสาวและมีอนาคตอีกยาวไกล ถึงตรงนี้เขาก็อยากหัวเราะ เพิ่งตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ควรเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอไม่มีวันสนใจผู้ชายวัยสี่สิบเอ็ดอย่างเขา ไม่มีทางจริง ๆ เขาเหยียดยิ้มอย่างเยาะ ๆ ให้แก่ความฟุ้งซ่านและฟุ้งฝันของตัวเอง ต่อให้เขาชื่นชมเธออย่างเต็มเปี่ยม หรือแม้กระทั่งหลงรักเธอ ความสัมพันธ์ที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ไม่มีทางเป็นจริงไปได้ สาวสวยวัยยี่สิบห้ากับชายไร้อนาคตวัยสี่สิบเอ็ดผู้กำลังโรยรา อีกทั้งจะอยู่เมืองไทยไม่นาน ช่างเป็นเรื่องขบขันและน่าละอายอย่างแท้จริง
เขาพลิกตัวกลางสระแล้วดำดิ่งลึกลงไปในห้วงน้ำใสกระจ่าง โดยพยายามกลั้นลมหายใจเอาไว้ให้นานที่สุด เขาบังเกิดความปรารถนาจะอยู่ในสภาพนี้กับตัวตนที่ยากจะเข้าใจ ใต้น้ำลึกเต็มไปด้วยความเงียบและตัวตนของเขา แต่แล้วภาพของเธอก็ปรากฏขึ้น เธอกำลังยิ้มอย่างอ่อนหวาน ขณะยกมือสยายผมหยักศกที่ยาวถึงกลางหลัง ดวงตาของเธองามซึ้ง ขนตางอนยาวเป็นแพ คิ้วเรียวเกือบเป็นเส้นตรงแต่โค้งลงตรงปลายเล็กน้อย จมูกนั้นโด่งเป็นสัน เหนือสิ่งอื่นใดคือริมฝีปากแดงชาดยามเผยอยิ้ม ซึ่งชวนให้เขารู้สึกปั่นป่วนและวาบหวามไปพร้อม ๆ กัน มันทำให้เขาเผลอหายใจจนสำลักน้ำ ต้องรีบทะลึ่งตัวขึ้นสู่เบื้องบน เขาหอบหายใจทางปากรุนแรง แล้วถามตัวเองว่าทำไม…ทำไมในเสี้ยวอารมณ์หนึ่ง ภาพของเธอถึงทำให้เขาคิดถึงเธออีกคนหนึ่งขึ้นมา เพราะเหตุใดเธอสองคนจึงคล้ายคลึงกันในความรู้สึกของเขาเหลือเกิน นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธการพบเธอก็เป็นได้
เขาหมดสนุกกับการว่ายน้ำเสียแล้ว จึงขึ้นจากสระน้ำและคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินผลักบานประตูกระจกออกไปที่ล็อบบี้ นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหลายสิบคนกำลังจับกลุ่มรอมัคคุเทศก์อยู่บริเวณนั้นพอดี เขารีบขึ้นลิฟท์กลับเข้าห้องพัก จัดการอาบน้ำสระผมอีกครั้งอย่างลวก ๆ แล้วสวมชุดใหม่เป็นเสื้อโปโลสีฟ้ากับกางเกงขายาวสีกากี เขาคิดจะสั่งรูมเซอร์วิสให้นำอาหารมาส่งที่ห้องพัก เพราะไม่อยากลงไปนั่งเสนอหน้าอยู่ในห้องอาหารท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่วินาทีต่อมาก็เปลี่ยนใจ เขาเดินไปเปิดตู้เย็นคว้าเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมาดื่มแก้กระหาย
ในความเงียบของห้องพักสะอาดตา ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศแทรกตัวอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขามองผ่านบานประตูกระจกทางระเบียงด้านหลังไปสู่ทัศนียภาพของมหานครยามเย็นแล้วปล่อยใจให้ล่องลอย เวลานี้ตึกรามบ้านเรือนที่เห็นสลับซับซ้อนไกลออกไปราวกับไม่มีความหมายใด ๆ แต่ท้องฟ้ากับหมู่เมฆสีดำทะมึนที่แสดงให้เห็นว่าฝนอาจตกลงมาในไม่ช้าก็ทำให้เขาซึมเซาลงเล็กน้อย ถ้าฝนตกเธอคงหมดสนุก เขาจึงไม่อยากให้เธอเปียกฝน นี่คงเป็นความจริงอีกข้อหนึ่งสินะ เขาเริ่มยอมรับถึงความจริงอันเป็นความปรารถนาในใจ หลังจากคิดทบทวนแง่มุมนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่…เขาถึงกับเรียกมันว่าเป็นความปรารถนาในใจเชียวหรือ เขาเองก็แค่อยากชวนเธอเดินเล่นหลังอาหารค่ำเพื่อเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆในกรุงเทพฯ หลังจากห่างเหินไปนาน เขารู้สึกคล้ายเป็นคนแปลกหน้าของนครใหญ่แห่งนี้ แม้ว่ามันจะเป็นบ้านเกิดของเขาก็ตาม เวลาที่คืบคลานไปข้างหน้าได้ทำให้กรุงเทพฯ เปลี่ยนโฉมไปมาก ทุกวันนี้มีถนนสายใหม่และอาคารสูงระฟ้าผุดขึ้นเต็มไปหมด ผู้คนบนท้องถนนก็ยิ่งแลดูสับสนยิ่งกว่าในอดีต ที่นี่วุ่นวายไม่ต่างจากนิวยอร์ก สถานที่ซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่มานานทว่าไม่อาจคุ้นเคยจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ น่าเศร้าตรงที่อีกไม่นานเขาจะต้องกลับไปอยู่ที่นั่น และคงจะตลอดไป
การกลับไปทำงานศิลปะอันเป็นที่รักนี้ อาจเป็นการเดินไปสู่ความเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าครั้งแรก ทุกซอกมุมของอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็นที่พักและสตูดิโอสำหรับทำงาน จะไม่มีร่างและเงาของอาจารย์ให้อุ่นใจอีก โชคดีที่ในพินัยกรรมฉบับนั้น อาจารย์อนุญาตให้เขาอยู่ต่อไปได้ แม้จะมอบให้เธอเป็นมรดกแล้ว แต่เขาคงไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปแน่นอน ความรู้สึกอยากอยู่และย้ายออกไปเหมือนจะมีกำลังขับเคี่ยวพอ ๆ กันอย่างน่าพิศวง ส่วนจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรนั้น เขาไม่อาจตอบได้ แล้วก็พาลให้สงสัยต่อไปอีกว่าเธอคิดจะทำอย่างไรกับสมบัติชิ้นนี้ เมื่อเธอมีอำนาจเต็มที่หลังจากดำเนินการทางกฎหมายเสร็จสิ้นลงแล้ว เขาลองมาคิด ๆ ดู บางครั้งเขาก็ไม่อยากย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่ มันไร้อดีตเกินไป ถ้าโชคดีเธออาจประกาศขาย เพราะไม่มีเหตุผลที่เธอจะย้ายไปอยู่ที่นั่น หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าจะลองขอซื้อจากเธอ แม้ว่าฐานะทางการเงินของเขาจะไม่ค่อยพร้อมนัก แต่เอาเถอะ เธออาจขายให้เขาในราคามิตรภาพก็ได้นะ หรือไม่ก็…เขาคิดอย่างขำขื่น เขาอาจตัดสินใจโยกย้ายกลับมาทำงานในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่จะกลับมาเพื่ออะไรกันเล่า เขาตั้งคำถามเอากับความว่างเปล่ารอบ ๆ ตัว ที่นี่ไม่มีใครเรียกร้องวิงวอนขอให้เขากลับมาสักคนเดียว เขาไม่มีญาติพี่น้อง พ่อตายไปนานแล้ว แม่น่าจะยังคงมีชีวิต ทว่าอยู่ที่ไหนเขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ เพื่อนฝูงล้วนพลัดพรากกระจัดกระจาย ที่สำคัญเมืองไทยไม่มีพื้นที่ให้ยืนเอาเสียเลยสำหรับคนทำงานศิลปะอย่างเขา ผู้คนในต่างแดนยังยอมรับผลงานของเขามากกว่า พวกนั้นซื้อผลงานภาพพิมพ์ของเขาด้วยรอยยิ้มและทะนุถนอมเป็นอย่างดี เขาแค่นยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสำหรับที่นี่ ใช่ ประเทศนี้นี่แหละ ถ้าผลงานของเขาร่วงหล่นอยู่บนทางเท้า มันก็คงเป็นได้เพียงแค่เศษขยะเท่านั้น
เขาเศร้าใจเมื่อคิดถึงงานและการต่อสู้ในชีวิต เบียร์กระป๋องที่สองทำให้เซื่องซึมมากขึ้น เขาด่าตัวเองที่ดื่มเบียร์เข้าไปทั้ง ๆ ใกล้เวลานัดพบเธอ สุดท้ายจึงวางกระป๋องเบียร์บนพรมสีน้ำเงิน แล้วล้มตัวลงนอน
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่แน่ใจ รู้สึกแต่เพียงว่าได้ยินเสียงเธอแว่วมาจากที่ห่างไกล…ไกลเหลือเกิน เสียงของเธอค่อย ๆ ดังขึ้นจนเขาสะดุ้งตื่น เขาลืมตาโพลงมองเพดานห้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงเธอ แต่เป็นเสียงกริ่งโทรศัพท์ซึ่งดังอยู่ในโลกของความจริงจึงเอื้อมมือไปรับสาย มีกระแสเสียงน่ารักดังลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ ฟังคล้ายเธอกำลังเอียงหน้ามากระซิบอยู่ตรงข้างหูของเขา อดไม่ได้ที่จะคิดถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ยามอยู่ใกล้เธอ
“อัญเพิ่งมาถึงค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้นะคะ”
เขารับปากว่าจะลงไปทันที พอวางหูโทรศัพท์เขาก็รีบลุกขึ้นยืนพลางมองภาพตัวเองในกระจกเงา เขาใช้มือเสยผมที่ยาวปรกไหล่ให้เข้ารูป ก่อนจะคว้าถุงเท้ารองเท้ามาสวม เสร็จแล้วก็ยิ้มประหลาด ๆ ให้กับเงาตัวเองในกระจกอีกครั้ง เขายิ้มให้กับความสุขสดชื่นของเย็นวันนี้ นี่คือยามเย็นที่จะมีเธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารไม่ใช่หรือ ซึ่งย่อมจะเป็นวันที่ไม่ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เขาพยักหน้ารับ แต่ลึกลงไปในใจกลับมองเห็นอาจารย์กำลังยืนขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องเขม็งตรงมา ราวกับท่านต้องการกำชับว่าจงให้เกียรติแก่เธอ อย่าทำให้เธอเสียใจเหมือนกับผู้หญิงหลายคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่รักและไม่ได้รัก
ความคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ทำให้เขาสงสัย เป็นความสงสัยที่เขาขบคิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อาจจะมากเท่ากับจำนวนครั้งของการหายใจเข้าออก ว่าเขาเคยรักผู้หญิงคนไหนบ้างหรือไม่ แม้แต่กับแม่ของเขาเอง แม่ผู้ซึ่งเวลานี้จะอยู่แห่งหนใดก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้
“แม่คงมีความสุขดีใช่ไหมครับ”
เขาคิดถึงแม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่คงเป็นแค่อารมณ์อ่อนไหวเท่านั้น แต่เขาจะต้องใส่ใจทำไมกันเล่า แม่เคยรักเขาเสียที่ไหนกัน ช่างเจ็บปวดเมื่อความจริงปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าให้ตระหนัก แม่คงจำเขาไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
“ช่างมันเถอะ…” เขาพยายามสงบอารมณ์ เตือนตัวเองให้ลงไปที่ล็อบบี้
“รีบหน่อย สาวสวยกำลังรอคนอย่างแกอยู่”
*
ถนนข้าวสารเปลี่ยนแปลงไปมากในความคิดของเขา สมัยก่อนมันเป็นเพียงแค่ซอยเล็ก ๆ ผู้คนและร้านค้ายังบางตา เขารู้ดีเพราะเคยย่ำแถบถิ่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จากห้องพักใกล้คลองโอ่งอ่าง เขาจะเดินทอดน่องไปตามทางเท้าผ่านบางลำภู ผ่านสถานีตำรวจชนะสงคราม หากอารมณ์ดีก็จะแวะทักทายพ่อค้าขายบุหรี่ แม่ค้าขายเสื้อผ้า หรือเด็กวัยรุ่นเหลือขอบางคนที่คุ้นหน้ากัน จากนั้นเขาก็จะลัดเลาะผ่านตรอกแคบ ๆ ออกสู่ถนนอันกว้างใหญ่ ใช่แล้ว โซนาต้าคลับมีชีวิตอยู่ที่นั่น…มันตั้งอยู่ตรงนั้น…ริมถนนราชดำเนินกลาง สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอันยากแก่การลบเลือนไปจากหัวใจ
แล้ววันนี้เอง เขาก็ได้กลับมาเยือนถิ่นเดิมอีกครั้ง เขากำลังย่ำรอยเท้าในอดีตของตัวเอง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว แม้แต่เธอที่เคยเดินเป็นเพื่อนเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นเธอคนนี้ก็ยังมีลักษณะเด่นสะดุดตาผู้คน โดยเฉพาะกับผู้ชายหลากเชื้อชาติที่เดินผ่านไปมา เธอสวมเสื้อยืดคอวีแขนกุดสีฟ้าอ่อน กางเกงบลูยีนเอวต่ำรัดรูป และรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับเสื้อ ดูเรียบง่ายเหลือเกิน แต่ก็ชวนให้ประทับใจในความงามไม่รู้ลืม ชายหลายต่อหลายคนต้องถอนหายใจยามเธอเดินผ่าน เขามองลึกลงไปในดวงตาของคนพวกนั้น แววชื่นชมเธอช่างชัดเจนพอ ๆ กันกับริษยาในตัวเขา ขณะที่เธอเต็มไปด้วยความร่าเริงสดใส มองโลกในแง่ดีราวเด็กน้อยที่กำลังเที่ยวเล่นซุกซนอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เอ่ยชวนเธอมาเดินเล่น หลังรับประทานอาหารในร้านริมน้ำใกล้สะพานซังฮี้เรียบร้อยแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงแค่อยากจะบอกเธอว่าเขาเคยเป็นของที่นี่มาก่อน เมื่อเธอไม่ปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังแสดงอาการกระตือรือร้นออกมาเป็นพิเศษ เขาก็ไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ เธอช่างแสนดีและเชื่อฟังเขาเสมอ ก่อนหน้านั้นเธอยอมจอดรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำไว้ที่โรงแรมรอยัลปริ๊นเซสตามคำแนะนำของเขา โดยเลือกเดินทางไปยังร้านอาหารด้วยรถแท็กซี่ และเมื่อเขาชวนเธอมาเที่ยวถนนข้าวสาร เธอก็นึกสนุกขอนั่งรถประจำทางแม้ว่ามันจะเก่าโทรม ตัวถังนั้นทาสีครีมคาดน้ำเงิน แต่ดูน่ารักเหลือเกินสำหรับคนที่ห่างเหินมานาน เธอกับเขาเคียงคู่กันอยู่บนเบาะหลังด้วยท่าทีสนิทสนมราวกับคบหากันมาหลายปี เขารู้สึกยินดีไม่ต่างจากชายยากไร้ในละครผู้มีโอกาสได้นั่งรถม้าหรูหราร่วมกับหญิงสาวสูงศักดิ์ มีถ้อยคำเกิดขึ้นมากมายในรถโดยสาร เป็นบทสนทนาที่กล่าวได้ว่าทำให้เขาประทับใจยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม นั่นไม่อาจเทียบได้เลยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนข้าวสารในเวลาต่อมา
“น่าแปลกใจจังค่ะ อัญไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้งเดียว” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากหมุนตัวมองไปรอบ ๆ ผมยาวของเธอแกว่งไกว คลี่กระจาย แล้วสยายออก เขาได้แต่ตะลึงมอง ยามนั้นแม้ว่าแสงแดดจะลาลับไปหมดแล้วทว่าท้องฟ้ายังคงสว่าง เห็นเมฆฝนลอยสูงขึ้นไป บรรดาร้านรวงบนถนนเริ่มทยอยกันเปิดไฟเพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยว ชายญี่ปุ่นสองคนที่นั่งดื่มกินอยู่ในร้านอาหารตรงหัวมุมถนนพากันจ้องเธอแทบไม่กระพริบตา จากนั้นก็ทำท่าผงกศีรษะคำนับหลายครั้ง เธอยิ้มขวยเขินแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วรีบชวนเขาเดินชมสินค้าริมทางซึ่งมีอยู่มากจนละลานตา ไม่นานนักก็มาหยุดแวะดูเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ร้านแผงลอยเจ้าหนึ่ง
“กระโปรงผ้าบาติกตัวนี้สวยดีนะคะ”
เธอหยิบกระโปรงยาวสีน้ำทะเลขึ้นมาดูอย่างชื่นชม แล้วนำมาทาบลงบนเอวเล็ก ๆ ของเธอ ชายกระโปรงพลิ้วไหวเมื่อต้องแรงลมซึ่งชื้นและเย็น อีกไม่นานฝนคงตก เขาคิด
“ถ้าอัญชอบ ผมซื้อให้นะครับ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการได้พบกันของเราในวันนี้”
เธอสบตาเขาแล้วยิ้มเปิดเผย ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวราวกับช่อดอกไม้ยามต้องลมฝน เกิดอาการปั่นป่วนวูบวาบแต่ก็มีความสุข สักประเดี๋ยวหนึ่งก็เป็นทุกข์เพราะกลัวว่าช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้จะจบลงอย่างรวดเร็วเกินไป ความสุขและความทุกข์สลับกันเวียนเข้ามาหาคล้ายต้องการหยอกล้อต่อหัวใจของเขา เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะสำหรับวันนี้ เขารำพึงอยู่ในใจตามด้วยความกังวล เขาเตือนตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ แต่คนเราสามารถเย็นชาต่อสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้อย่างนั้นหรือ เขาถามตัวเอง
“คุณโอมทำราวกับไม่ทราบว่าอัญเป็นเจ้าของโรงงานผ้าบาติก ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่โรงงานขนาดเล็กก็เถอะค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มด้วยริมฝีปากและดวงตาคู่งามชวนหลงใหล
เขาพยายามตัดใจจากภาพตรงหน้าด้วยการหันไปมองเสื้อคอกลมแขนยาวตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เสื้อหลากสีพวกนี้แขวนเรียงรายอยู่บนราวเหล็ก เขานึกชอบใจจึงคว้าเสื้อตัวหนึ่งมาเทียบขนาดกับไหล่ตัวเอง แต่คงเป็นด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของเขากระมัง เธอจึงแย่งเสื้อไปจากมือและจัดการทาบลงบนไหล่จากทางด้านหลัง นิ้วมือเรียวเล็กอันบอบบางของเธอแตะลงบนหัวไหล่ เขารู้สึกราวกับว่าเนื้อหนังตัวเองถูกสัมผัสโดยตรงจากมือน้อย ๆ นั้น ไออุ่นที่ชำแรกลงไปก่อให้เกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นในใจ ช่างเป็นอารมณ์ที่ยากแก่การอธิบาย
“ขนาดเอ็กซ์แอลกำลังพอดีค่ะ แขนยาวเลยข้อมือนิดหน่อย ไม่สั้นเต่อเกินไป ชอบหรือเปล่าคะ อัญจะซื้อให้เป็นที่ระลึกถึงการได้พบกันของเราในวันนี้”
เธอทำท่าขบขันที่ได้ล้อเลียนคำพูดของเขา เขาส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวออกไปว่า “สำหรับผมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าความทรงจำ จริง ๆ นะครับ แค่ได้จดจำไว้ว่าวันนี้…ใช่แล้ว…วันนี้ …จดจำว่าอัญให้เกียรติมาเดินเที่ยวด้วย นั่นแหละครับคือที่ระลึก ซึ่งผมจะไม่มีวันลืม”
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดเชย ๆ เขารู้ตัวดี แต่ก็ทำให้แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ แววตาของเธอสุกใสและเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย วินาทีต่อมาเธอก็หลบสายตาของเขา พร้อมกับทำท่าจะแขวนเสื้อตัวนั้นกลับเข้าที่เดิม แต่เขารีบคว้ามาถือไว้อีกครั้ง เสื้อตัวนี้สีดำสนิทเหมือนคืนข้างแรม เขารู้สึกชอบอย่างไรบอกไม่ถูก ราคาของมันแค่ร้อยห้าสิบบาทตามที่แม่ค้าบอก เขาเลยไม่ต่อราคา แน่นอน กระโปรงสีน้ำทะเลตัวนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลืม เขาสั่งให้แม่ค้าพับใส่ถุงพลาสติกแยกต่างหากก่อนจ่ายเงิน
“ขอบคุณสำหรับกระโปรงค่ะ ความจริงไม่จำเป็นเลย อัญบอกคุณโอมแล้วนี่คะ ว่าอัญทำผ้าบาติกขายอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ว่าแต่…เดี๋ยวเราไปหาที่นั่งดื่มอะไรกันดีกว่านะครับ คนชักเยอะ อัญคงทั้งร้อนทั้งเหนื่อยแล้ว”
เธอพยักหน้าตามใจ เขาจึงมองหาร้านที่มีบรรยากาศน่านั่งพักผ่อน นั่นไงละ ห่างออกไปราวยี่สิบก้าวมีร้านขายเครื่องดื่มอยู่ร้านหนึ่ง ตกแต่งพื้นและผนังด้วยไม้สีน้ำตาล โต๊ะแต่ละตัวค่อนข้างห่างกัน นอกจากนี้ภายในร้านยังเปิดแสงไฟสลัว บรรยากาศเหมาะแก่การนั่งสนทนา เวลานั้นร้านดังกล่าวมีลูกค้าไม่มากนักด้วยยังเป็นช่วงหัวค่ำ เขาชี้ให้เธอดู แต่เธอไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าเช่นเดิม เขาจึงพาเธอเดินเข้าไปเลือกที่นั่งในตำแหน่งซึ่งมองเห็นความเป็นไปบนถนนข้าวสารมากที่สุด
มีเสียงดนตรีแนวอาร์แอนด์บีล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าต้องการรับเครื่องดื่มอะไรบ้าง เขาสบตาเธอแทนคำถาม หลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือที่เขาชอบดูประกายในดวงตาของเธอยิ่งกว่าการได้พูดคุยเสียอีก อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเธอถึงได้ชวนให้ประทับใจมากนัก
“กาแฟเย็นค่ะ” เธอบอกเด็กสาว น้ำเสียงของเธอฟังดูใสกระจ่างแต่กลับเบาเหลือเกิน เขาอยากได้ยินเสีียงของเธออีกจนไม่รู้จะดื่มอะไรดี สุดท้ายก็สั่งเบียร์มาขวดหนึ่ง
มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่เคยทำให้เขาหายคิดถึงบ้านในบางเวลา เมื่อดื่มขวดแล้วขวดเล่าในวันเหงา ๆ ที่นิวยอร์ก ถึงแม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยมีบ้านในเมืองไทย เขาเคยบอกอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมทั้งอธิบายความคิดของตัวเองถึงสถานที่ซึ่งเหมาะจะเป็นบ้านอย่างแท้จริง เขาว่าสถานที่นั้นจะต้องเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น เหมือนความทรงจำบนเตียงนอนในวัยเด็กของเขา ยามได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความสดใส ใช่ ถูกต้อง เด็กน้อยควรตื่ีนขึ้นมาบนเตียงที่มีพ่อกับแม่นอนขนาบอยู่ข้างกาย การได้นอนอยู่ตรงกลางทำให้รู้สึกปลอดภัย แม้จะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกท่ามกลางความมืดก็ยังไม่หวั่นกลัวภูติผีใด ๆ วันนั้นอาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากทำเสียงเออออออกมา แต่ก็ยังเผลอทอดถอนหายใจให้เขาเห็น
“ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ แล้วมาด้วยก็คงดีนะคะ ไม่แน่…อัญอาจจะขอลองดื่มกับคุณพ่อดูบ้างก็ได้ สำหรับคนชอบดื่มแล้วมันให้ความรู้สึกอร่อยยังงั้นหรือคะ”
“มันไม่ได้อร่อยแบบที่เด็กรู้สึกเวลากินขนม…” เขารีบทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งท่าอธิบาย พลางสงสัยว่าทำไมเธอได้ถึงพูดถึงพ่อขึ้นมาอีก “คิดถึงอาจารย์หรือครับ” เขาอดถามไม่ได้
“ค่ะ” เธอพยักหน้าโดยไม่ยอมสบตา ดูเหมือนดวงตาของเธอจะจับจ้องอยู่ที่แจกันแก้วบนโต๊ะซึ่งปักกุหลาบสีชมพูราคาถูกเอาไว้สามสี่ดอก พวกมันใกล้เหี่ยวเฉาแล้ว กลีบช้ำ ๆ กลีบหนึ่งร่วงหล่นลงบนโต๊ะ
“ภาพคุณพ่อในใจของอัญเคยเป็นแค่เงาราง ๆ แต่ทันทีที่คุณโอมกลับมาเมืองไทย แล้วมาหาอัญที่บ้าน อัญก็รู้สึกราวกับว่าคุณพ่อได้ตามคุณโอมกลับมาด้วย จริง ๆ นะคะ คุณโอมพอจะเล่าเรื่องของคุณพ่อให้ฟังซักหน่อยได้ไหม อัญอยากฟัง” ถึงตรงนี้เธอก็ช้อนสายตาอันมีแววอ้อนวอนขึ้นมองเขา นั่นทำให้จินตนาการของเขาล่องลอยไปไกล เขาเกิดความปรารถนาที่จะให้เธอมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ในโลกอันลี้ลับ โลกซึ่งมีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น คิดแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกละอายแก่ใจไม่ได้
เครื่องดื่มถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ เขาชวนเธอยกขึ้นดื่มให้แก่ค่ำคืนนี้ อันที่จริงเขาอยากบอกว่าดื่มให้แก่มิตรภาพและความงดงามของเธอมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตามที่ใจคิด
“ผมจะเริ่มต้นตรงไหนดีนะ…” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ จากนั้นก็นิ่งเงียบอยู่นานเหมือนต้องการทบทวนรายละเอียดในความทรงจำ เพื่อบันดาลให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าของเธอ
“อาจารย์ทำงานหนักทุกวัน ที่นั่นไม่มีที่ยืนสำหรับคนเหลาะแหละ พวกเขาจะนับถือกันก็เฉพาะแต่คนที่ทุ่มเทชีวิตให้กับงานศิลปะด้วยหัวใจ แม้กระนั้นมันก็อาจไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ ศิลปินอย่างเรา ๆ ต้องพยายามถึงขนาดถวายวิญญาณกันเลยทีเดียว อาจารย์เก่งทั้งงานจิตรกรรมและประติมากรรม แต่อาจารย์เคยชี้ให้ดูงานวาดเส้นที่อาจารย์วาดภาพพอทเตรทผม แล้วบอกว่า…นี่คือลักษณะการวาดเส้นของประติมากร ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็ทำงานหลายประเภทไปพร้อมกัน แน่นอน มันออกมาดีเยี่ยมเสมอ ผมมักจะช่วยอาจารย์ตระเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ ล้างพู่กันหรือขึงแคนวาสให้บ้าง บางครั้งก็ช่วยขึ้นดินน้ำมันตามแบบร่างเล็ก ๆ ที่อาจารย์ปั้นไว้ หรือไม่ก็ทำแม่พิมพ์สำหรับหล่อปูน พูดไปแล้วน่าอายครับ ความจริงผมไม่ค่อยได้ช่วยผ่อนแรงให้อาจารย์สักเท่าไหร่ แม้ว่าช่วงแรกผมจะเดินทางไปทำงานที่นั่นในฐานะผู้ช่วยของอาจารย์ก็ตาม ผมรักอิสระและฝังใจกับการทำงานในเวลากลางคืนมากกว่า ขณะที่อาจารย์มักจะทำงานตอนกลางวัน บางช่วงเราไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยติดต่อกันหลายวัน แต่อาจารย์ใจดีมากและเข้าใจลูกศิษย์อย่างผมเสมอ”
เขาถอนหายใจยาวเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ จากนั้นถามเธอเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า รู้สึกอย่างไรกับภาพเขียนที่เขานำไปให้ “ยอดเยี่ยมมากค่ะ” เธอพยักหน้าช้า ๆ ท่าทางราวกับตื่นจากภวังค์ แล้วเธอก็กล่าวต่อไปว่า “เดี๋ยวนี้ทุกเช้าอัญจะต้องลุกขึ้นมานั่งมองภาพนั้นเสมอ มองครั้งละนาน ๆ ด้วยค่ะ ทีแรกอัญคิดจะแขวนภาพของคุณพ่อไว้ที่ห้องรับแขก แต่เปลี่ยนใจนำไปไว้ในห้องนอนแทน ไม่ใช่เพื่อเก็บไว้ดูคนเดียวหรอกนะคะ อัญรู้ว่าคุณแม่ไม่เคยหายโกรธคุณพ่อเลย ทางที่ดีเราสองคนแม่ลูกไม่ควรมีปัญหาต่อกัน”
คำพูดของเธอทำให้เขามองเห็นภาพเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งร้องไห้วิ่งตามพ่อผู้กำลังจากไปไกล ไกลมากเสียจนไม่อาจหวนกลับมาสวมกอดเธอได้อีก ในทำนองเดียวกันเขาก็เห็นภาพของอาจารย์นั่งหม่นเศร้าอยู่ในสตูดิโอหลังจากการงานแต่ละวันเสร็จสิ้นลงอาจารย์ทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อการทำงานยุติในตอนเย็นหรือค่ำ ชีวิตที่เหลืออยู่ของท่านก็พลันว่างเปล่า อาจารย์ต้องหลีกลี้หนีความรู้สึกดังกล่าวด้วยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างหนัก เพียงเพื่อเก็บเกี่ยวความเพลิดเพลินจอมปลอมมาเป็นรางวัลแก่ชีวิต หรือไม่ก็เพราะต้องการปิดปังความรู้สึกไว้ไม่ให้คนใกล้ชิดได้รับรู้
ในเวลาต่อมา เขามองเห็นภาพใบหน้าภรรยาของอาจารย์ ทั้งภาพในอดีตอันไกลโพ้นและภาพปัจจุบันซึ่งเขาพบเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน หล่อนร่วงโรยไปมาก ความงดงามของบุตรสาวเท่านั้นที่ทำให้ผู้เป็นแม่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้ เขายังสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่หล่อนมีต่อเขา นี่ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ หล่อนคงรู้สึกว่าเขาคือเครื่องเตือนใจให้นึกถึงอดีตสามี ศิลปินผู้ลุ่มหลงในอุดมการณ์และผลงานของตน หล่อนจึงหลบหน้าไป ปล่อยให้เธอต้อนรับเขาตามลำพัง
“อาจารย์ชอบนั่งดื่มเหล้าในตอนเย็นหลังทำงานเสร็จ” เขาดึงใจที่เลื่อนลอยกลับมาเพื่อเล่าเรื่องราวของอาจารย์ให้จบ “ดื่มอยู่คนเดียวครับ ไม่ต่างจากนกหลงฝูงที่บินไปตามลำพัง ช่วงเวลานั้นท่านมักไม่พูดจากับใคร ในสตูดิโอมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง จากตำแหน่งที่อาจารย์นั่งอยู่ หากเรามองออกไปก็จะได้เห็นถนนสายหนึ่ง ถนนสายที่ว่านี้ทอดยาวจนดูรางเลือนหายไปในอากาศขมุกขมัว ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันจะเป็นมุมมองที่ทำให้เหงาและเศร้าจับใจ จนอดคิดถึงบ้านหรือใครสักคนที่เรารักไม่ได้…” เขาหยุดพูดไปชั่วขณะเมื่อเล่าถึงตรงนี้ ริมฝีปากแทบจะเม้มเป็นเส้นตรง เขาถอนหายใจยาว จากนั้นพยายามเล่าต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมมักหลีกเลี่ยงการนั่งตรงนั้นเพราะยังไม่อยากฆ่าตัวตาย ได้แต่สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงทนดูอยู่ได้ทุกวี่วัน ที่แย่ก็คือผมไม่กล้าเตือนอาจารย์เรื่องสุขภาพซึ่งทรุดโทรมจากการดื่มเหล้า เพราะผมเองก็ดื่มเหมือนกัน ไม่มีหน้าจะไปเตือนท่านได้ แต่…ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมรู้สึกตัวเสมอว่า ความตายก่อนวัยอันควรของอาจารย์เป็นความผิดของผมด้วย ผู้ชายอายุแค่ห้าสิบเก้าปี น่าจะอยู่ดูโลกได้อีกนาน ถ้าเพียงแต่ผม…”
“คุณพ่อไม่มีใครดูแลเลยหรือคะ หมายถึงไม่ได้แต่งงานใหม่หรือคะ” เธอขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อาจารย์แต่งงานใหม่กับงานของท่านไปนานแล้ว งานเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ อัญน่าจะได้เห็นเวลาที่มีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์อาจารย์ที่สตูดิโอ ในห้วงเวลาเช่นนั้นอาจารย์จะชี้ชวนให้ทุกคนดูผลงานทั้งเก่าและใหม่อย่างมีความสุข ไม่บ่อยนักหรอกที่ใครจะได้เห็นท่านยิ้มเบิกบาน ผู้คนที่นั่นให้การยอมรับนับถืออาจารย์มากทีเดียว ผมถึงกับตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่างน้อยก็จะขอเดินทางไปให้ถึงจุดที่ท่านยืนอยู่ อาจารย์เป็นศิลปินชั้นยอด น่าเสียดายที่อายุสั้นเกินไป ผมไม่รู้เลยว่าเย็นวันนั้นอาจารย์จะเดินออกไปสวนสาธารณะในสภาพเมามาย แล้วออกไปทำไมทั้งที่หิมะเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว มีชายไร้บ้านคนหนึ่งเห็นอาจารย์หลับอยู่ที่นั่นทั้งคืน ผลสุดท้ายก็อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว อาจารย์ล้มป่วยลงด้วยโรคนิวมอเนีย ร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรงมาหลายปีแล้วด้วย แต่ก็ไม่ยอมรักษาตัวตามคำแนะนำของแพทย์ แม้จะเป็นทั้งความดันสูงและโรคหัวใจ น่าเสียดาย…”
“ค่ะ น่าเสียดาย” เธอทำตาแดง ๆ ใบหน้างดงามหมองลงด้วยความเศร้า “อัญอยากมีโอกาสดูแลคุณพ่ออย่างคุณโอมบ้างเหลือเกิน…”
แสงจากโคมไฟตรงผนังซึ่งส่องลงมาบนโต๊ะสะท้อนกับหยาดน้ำตาใส ๆ เธอพยายามฝืนยิ้มออกมา แม้กระนั้นก็ยังเป็นเพียงรอยยิ้มอันแสนเศร้าอยู่ดี เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปอีก ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหน หรือทำท่าทางอย่างไรให้เหมาะแก่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ได้แต่ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดไปเกือบครึ่ง ยามนั้นเบียร์ในแก้วไม่เย็นเสียแล้ว พลันฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก บรรดานักท่องเที่ยวพากันวิ่งเข้าหาที่กำบัง พ่อค้าแม่ค้าคลี่ผ้าใบและแผ่นพลาสติกคลุมสินค้าอย่างเร่งร้อน ถนนข้าวสารซึ่งก่อนหน้านี้พลุกพล่านได้กลายเป็นเส้นทางอันว่างเปล่า มีเพียงเสียงสายฝนกระทบกันสาดผ้าใบและเสียงดนตรีในร้านเท่านั้น ที่ยังคงขับกล่อมเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา เขามองสายน้ำซึ่งหลั่งไหลลงมาจากชายคาด้านหน้า พร้อมกับคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
“พรุ่งนี้คุณโอมว่างหรือเปล่าคะ”
“มีอะไรหรือครับ” เขาหันหน้ามาถาม
“อัญจะไปนครปฐมค่ะ อัญให้เพื่อนที่นั่นติดต่อทางวัดพระงามไว้แล้ว เรื่องทำบุญเลี้ยงพระกับสถานที่สำหรับบรรจุอัฐิของคุณพ่อน่ะค่ะ ทราบมาว่าคุณพ่อเคยมีพื้นเพอยู่ที่นั่น เลยคิดว่าจะเป็นการดีกว่าไหมหากนำอัฐิของคุณพ่อกลับไปบ้านเกิด ถ้าคุณโอมไม่ติดธุระอะไร เราสองคนไปด้วยกันนะคะ อัญไม่ได้ชวนคุณแม่ไปด้วยหรอก ถึงชวนท่านก็คง…”
“ครับ” เขารับปากง่ายดาย รู้สึกเต็มใจโดยไม่คิดจะขัดขืน คงไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าพอจะละทิ้งความสุขซึ่งกำลังเดินทางมาถึง เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความจำเป็นบางประการ หรือไม่ก็โง่งมจนไม่อาจแยกแยะว่าอะไรคือความทุกข์หรือความสุข
“อันที่จริงถ้าไม่ใช่เป็นเพราะคำสั่งของอาจารย์ ผมคงนำร่างอาจารย์กลับมาประกอบพิธีที่เมืองไทย แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูง ถึงยังไงเงินของอาจารย์ก็มีมากพออยู่แล้ว” ดวงตาอันเปี่ยมด้วยความเสียใจของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง “พูดถึงเรื่องเงิน แล้ว อัญคิดจะทำยังไงกับพินัยกรรมครับ ผมอยากให้เสร็จเรื่องโดยเร็ว วิญญาณของอาจารย์จะได้หมดกังวล ท่านคงอยากให้อัญได้ในสิ่งที่ท่านมีอยู่และตระเตรียมไว้แล้ว จะเรียกว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายก็ได้กระมังครับ”
เธอส่ายหน้าจนเส้นผมยาวหยักศกสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปมา มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้รวยรินอยู่ในอากาศชื้น ๆ เขาแอบดอมดมกลิ่นหอมนั้น พร้อมกับปรารถนาให้นี่คือความฝัน เป็นความฝันที่เขาไม่จำเป็นต้องตื่นอีกต่อไป
“อัญไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ เพราะจะทำให้อัญคิดถึงคุณพ่อมากขึ้น อัญจึงตัดสินใจมอบอำนาจให้ทนายความของคุณแม่ไปดำเนินการทั้งหมดแล้ว คุณโอมอย่าห่วงเลยค่ะ”
“ดีครับ อืมม์…มานึก ๆ ดูแล้วก็มีเรื่องหนึ่งซึ่งผมยังเสียดายอยู่ไม่หาย ก็เรื่องที่อาจารย์ยกภาพเขียนให้อัญแค่ภาพเดียว งานที่เหลือมอบให้หอศิลป์ท้องถิ่นจนหมด”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ภาพนั้นภาพเดียวอัญก็พอใจมากแล้ว อัญรู้สึกได้ว่าเป็นภาพที่คุณพ่อรักมาก เป็นยังงั้นใช่ไหมคะ”
เขาพยักหน้าพลางมองดูเธอ ครั้นเห็นเธอสบตาแน่วแน่ไม่ยอมหลบเลี่ยงเหมือนเคย จึงเป็นฝ่ายหลบสายตาของเธอเสียเอง ยามนั้นฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว ผู้คนทยอยกันออกไปเดินเล่นบนถนนข้าวสารตามเดิม
อยากให้ฝนตกลงมาอีกครั้งเหลือเกิน เขารำพึงอยู่ในใจ หากฝนตกลงมาจริง เขาก็อยากให้เป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด ทว่าความเพ้อฝันนี้ไม่อาจเป็นจริง ธรรมชาติไม่เคยตามใจมนุษย์ นอกจากจะให้รางวัลเป็นบางครั้งและลงโทษในบางคราว เขารินเบียร์ที่เหลือในขวดลงแก้วจนหมด ก่อนจะดื่มอีกครั้ง ทว่าเบียร์ไม่เย็นและชืดชา
เวลาผ่านไป บทเพลงก็เปลี่ยนตามไปด้วย จากอาร์แอนด์บีกลายเป็นเสียงเปียนโนหวานแช่มช้าจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลีเจนด์ อ็อฟ 1900 บทเพลงบรรเลงผ่านลำโพงออกมาอย่างแผ่วเบา ละเมียดละไมแต่ชวนให้รู้สึกเซื่องซึม เธอกับเขาเปลี่ยนมาคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร เป็นบทสนทนาที่ทำให้เขากลับมาสนุกได้เช่นเดิมจนรู้สึกว่าเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดด้วยความเสียดาย ยามนี้ผิวถนนดูเหมือนจะแห้งดีแล้ว ถนนข้าวสารคืนสู่สภาพเดิม เต็มไปด้วยแสงสี ผู้คนและความมีชีวิตชีวา
เขากวักมือเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าเครื่องดื่ม จากนั้นเอ่ยชวนเธอออกเดินเล่นไปตามท้องถนน ขาเรียวยาวในกางเกงยีนรัดรูปบนรองเท้าส้นสูงเหมาะแก่การเดินอวดความงามมากกว่า เขาคิดด้วยอารมณ์อยากโอ้อวดเธอต่อชาวโลก ผู้คนยังคงให้ความสนใจเมื่อเธอเดินผ่านไป ชั่วโมงถัดมาเขาก็ตัดสินใจชวนเธอนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส เธอจอดรถไว้ที่นั่น
ตรงลานจอดรถของโรงแรม เขากล่าวคำอำลาสั้น ๆ แน่นอน เขาไม่ลืมมอบถุงใส่กระโปรงผ้าบาติกตัวนั้นให้แก่เธอ
“คุณโอมคะ เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
จู่ ๆ เธอก็ลดกระจกลงมาถามด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “อัญหมายถึง….ก่อนหน้าที่คุณโอมจะกลับมาเมืองไทย แต่…ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้” เธอส่ายหน้าไปมาและหัวเราะเบา ๆ
“สักวันหนึ่งผมจะบอกอัญครับ” มีรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเมื่อพูดจบ ในแววตานั้นมีร่องรอยของความสนุกสนานเหมือนเด็กโตที่ได้แกล้งเด็กเล็กด้วยความเอ็นดู
เขารอจนกระทั่งเธอขับบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำพ้นประตูใหญ่ของโรงแรมแล้วจึงเดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ หยุดแวะขอกุญแจห้องจากพนักงานต้อนรับหลังเคาน์เตอร์ จากนั้นขึ้นลิฟท์กลับสู่ห้องพัก เขาทิ้งตัวลงบนอาร์มแชร์ข้างโทรทัศน์ อดคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงเหตุการณ์ในลานจอดรถไม่ได้ ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่ใช่ลูกสาวที่อาจารย์รักและเป็นห่วง เรื่องคงง่ายแก่การคิดฝันมากกว่านี้ ทันใดนั้นเขาก็ตำหนิตัวเองทันที
“ออกจะหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว ไอ้แก่เอ๋ย” เขาพึมพำออกมาเมื่อตระหนักว่าเธออายุอ่อนกว่าเขาถึงสิบหกปีทีเดียว “ฝันไปเถอะ แกมันดูแลใครไม่เป็นหรอก”
เขาพยายามสะบัดหน้าแรง ๆ เพื่อให้หายจากความฟุ้งฝัน ทว่าภาพของเธอราวกับประทับนิ่งอยู่ในดวงตาด้านในของเขา ในจิตวิญญาณของเขา แต่ใช่เธอจริง ๆ หรือ เขาพยายามทบทวน “บัว…” เขาครางออกมาด้วยความรวดร้าว
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่แน่ชัด ท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยวที่อบอวลอยู่ภายในห้องพัก รวมถึงความสับสนที่ก่อตัวขึ้นและไม่ยอมเสื่อมสลายไป ทำให้เขาต้องพรวดพราดยืนขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างของเขาสั่นเทิ้มและหายใจหนักหน่วง เขาลังเลกระสับกระส่าย ความคิดในหัววิ่งวนไปมาไม่รู้จบสิ้น สุดท้ายก็ผลุนผลันเดินออกจากห้องพักไป
*
คืนนี้บรรยากาศภายใต้แสงสลัวของเดอะวอร์ในซอยลาดพร้าว 101 ยังคงไม่แตกต่างจากทุกคืน เต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮาของนักเที่ยวหนุ่มสาววัยทำงาน ท่ามกลางเสียงดนตรีอันอัดแน่นอยู่ภายในห้องกว้างซึ่งควันบุหรี่อบอวลเป็นม่านหมอกสีเทา โดยรวมแล้วไม่ถือว่าเป็นสถานที่หรูหราอะไรเลย แค่อาคารพาณิชย์ขนาดสองคูหาที่ได้รับตกแต่งภายในสไตล์ล็อคเคบิน แต่เดอะวอร์ก็มีกลุ่มลูกค้าขาประจำคอยแวะเวียนมาเยือนไม่ขาด พวกนี้ทำงานหรือมีบ้านพักอยู่ย่านบางกะปิและคลองจั่น บางกลุ่มก็เป็นคนแถวลาดพร้าวนี่เอง ต่างมารวมตัวกันเพื่อเติมความคึกคักให้แก่ชีวิตด้วยวิสกี้และอาหารราคาพอเหมาะกับรายได้ แน่นอน สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือบทเพลงจากนักดนตรีฝีมือพอใช้ได้จำนวนสี่ห้าคนกลางเวที เดอะวอร์มีชีวิตชีวาทุกคืนตั้งแต่สองทุ่มอย่างเนิบนาบ แล้วไปเร่งเร้าหนักหน่วงจนแทบจะลืมตัวลืมใจเอาตอนห้าทุ่มครึ่ง กระทั่งผ่อนคลายและสิ้นสุดความสนุกชนิดสาสมใจเมื่อเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่
จังหวะที่เขาก้าวเข้าไปในเดอะวอร์นั้นเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งแล้ว นักดนตรีเพิ่งตระเตรียมเครื่องดนตรีเสร็จและกำลังเริ่มต้นบรรเลงเพลงแรก หลังจากปล่อยให้ลูกค้านั่งฟังเพลงจากแผ่นซีดีอยู่นาน มันเป็นเพลงไทยแช่มช้าซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่คาดว่าคงรู้จักกันแพร่หลาย เนื่องจากผู้คนพากันปรบมือเสียงดังเมื่อมันจบลงอย่างน่าประทับใจ
เขาได้ที่นั่งติดกับกระจกหน้าต่างบานใหญ่บริเวณด้านหน้า จากจุดนี้เขาสามารถทอดสายตาดูท้องถนนได้กว้างไกล แม้ว่าเวลาหันกลับมามองวงดนตรีจะเห็นแต่เพียงด้านหลังนักร้องนักดนตรีก็ตาม แต่เขาก็พึงพอใจที่ได้นั่งตรงนี้ อย่างน้อยก็สามารถเห็นความเป็นไปภายในร้านได้อย่างทั่วถึง
เด็กสาวคนหนึ่งเดินกระชดกระช้อยเข้ามาหา เธอมีเรือนร่างกะทัดรัดและผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน หน้าตาก็คมขำน่าเอ็นดู เธอแต่งกายง่าย ๆ ด้วยเสื้อกล้ามสีดำและกางเกงยีนรัดรูปสีเดียวกัน นาทีนั้นเธอสอบถามความต้องการของเขาด้วยรอยยิ้มเย้ายวนใจ เขาน่าจะสนุกไปกับเธอและบรรยากาศของที่นี่ ทว่าความเศร้าอันแปลกประหลาดกลับไหลรินอย่างช้า ๆ เข้าสู่ห้วงความคิดของเขา พร้อมกับตะเบ็งเสียงถามเขาว่า…แกมาทำอะไรอยู่ที่นี่ นั่นสินะ เขามาทำไมและเพื่ออะไร
“ตกลงพี่รับชีวาสขวดนึงนะคะ มิกเซอร์ก็มีโซดากับน้ำแข็งแล้วรับน้ำโพลาริสด้วยมั้ยคะ”
เขาสั่นหน้า พร้อมกับพยายามมองหาใครบางคน
“อาหารล่ะ พี่คงเพิ่งมาครั้งแรก ลองสั่งยำสมุนไพรทอดกรอบของเดอะวอร์ดูไหมคะ หนูรับรองว่าพี่ต้องสั่งเพิ่มแน่ ถ้ากินแล้วไม่อร่อย พี่จะลงโทษหนูยังไงก็ได้”
คำพูดของเธอทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ เธอคงคิดว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้คงกำลังอยากลงโทษเธออยู่กระมัง
“เอามาลองดูสักจาน” เขาไม่ใช่คนเรื่องมากในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว “หากับแกล้มอร่อย ๆ มาอีกซักสองสามอย่างด้วยนะ อะไรก็ได้ เอามาเถอะ”
เธอส่งยิ้มหวานให้อีกครั้ง ก่อนจะผละไปที่เคาน์เตอร์บาร์ เขามองตามเอวคอดสะโพกผายของเธอไปอย่างไม่ตั้งใจนัก จึงสังเกตเห็นว่าใกล้ ๆ กันกับเคาน์เตอร์บาร์มีโต๊ะไม้สีน้ำตาลไหม้ตัวหนึ่งตั้งชิดผนัง บนโต๊ะจัดวางภาพวาดเทพเจ้าตามคติความเชื่อของจีน สิ่งที่สะดุดตาเป็นตะเกียงแก้วโบราณคู่หนึ่ง มันวางขนาบอยู่ข้างภาพวาดเทพเจ้าองค์นั้น เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นภายในหลอดแก้วทำให้ความทรงจำของเขาสว่างวาบและสดใหม่อีกครั้งหนึ่ง กลิ่นหอมของอดีตโชยมาอย่างช้า ๆ ทว่าชัดเจนเหลือเกิน วันนั้นเธอชวนเขาเข้าไปในร้านขายของโบราณเพื่อซื้อตะเกียงแก้วคู่นี้ ภาพของวันเก่า ๆ ชัดเจนราวกับเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานนัก ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถดูแลรักษาข้าวของพวกนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี
ขณะจมดิ่งกลับสู่อดีต เขาก็ต้องเผยอยิ้มตอบให้สาวเสิร์ฟที่มักจะเหลียวหลังกลับมามอง และส่งยิ้มให้เขาอยู่เป็นระยะ ๆ ระหว่างที่เธอยืนรอเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ เขาสัมผัสได้ถึงความสนใจที่เธอมีให้ แต่เขาเองไม่มีแก่ใจจะสานต่อ ความสนุกเยี่ยงนี้ยากจะให้ความอบอุ่นแก่หัวใจแม้เพียงน้อยนิด เขารู้ดี แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อเสพสุขกับสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เป็นของขวัญหลังทำงานตามคำสั่งหรอกหรือ ช่างมันเถอะ คืนนี้เขายังไม่คิดจะหาเพื่อนนอนแปลกหน้า เขาคิดว่าตัวเองควบคุมเรื่องนี้ได้ มันไม่ใช่ปัญหาใหญโตนัก จะว่าไปแล้วสิบแปดปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้จริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย แม้ที่นิวยอร์กจะมีหญิงสาวมากมาย อาชีพศิลปินและบุคลิกของเขามักจะดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามได้ดีเสมอ แต่เขาค่อนข้างเฉยชา ไม่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อตอบสนองความปรารถนา นอกจากบางคืนที่มึนเมาไปกับเหล้ารสดีในงานปาร์ตี้ของเพื่อนศิลปินด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นมันก็อาจจบลงด้วยการตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วพบว่ามีสาวต่างชาตินอนอยู่ข้างกาย จริงอยู่ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักด้วยเขามักจะรู้สึกไม่ประทับใจกับรสชาติของมันสักเท่าไหร่ มีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากได้ขาดหายไปในความสัมพันธ์นั้น ซึ่งออกจะเป็นเรื่องชวนให้ผิดหวังอยู่ไม่น้อย
บทเพลงจากวงดนตรีเบื้องหน้าร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ความสนุกประโลมโลกฟุ้งกระจายไปดุจเดียวกับควันบุหรี่ เสียงพูดคุยก็เอ็ดตะโรอื้ออึงสับสน เขาดื่มวิสกี้หมดไปแล้วสามแก้ว เด็กสาวคนเดิมหมั่นเดินมาผสมเหล้าให้อย่างเอาใจใส่ เมื่อเธอเห็นว่าแก้วของเขาพร่องลงต่ำกว่าครึ่ง แต่อาหารบนโต๊ะถูกปล่อยทิ้งให้เย็นชืด ไม่ใช่ว่ารสชาติไม่อร่อย อาหารไทยยังคงถูกปากเขาเสมอ หากความจริงเป็นเพราะคืนนี้เขาต้องการดื่มเหล้าอย่างเดียวมากกว่า นี่เขากำลังสร้างความกล้าจากเหล้าที่ดื่มอยู่ใช่ไหม เขาอดถามตัวเองไม่ได้ เขาต้องการความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจได้พบในเดอะวอร์ เขามาที่นี่เพื่อพบเธอเพราะคิดถึงเธอหรืออย่างไรกัน แล้วทำไมไม่สามารถซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ได้ดังเดิมเหมือนก่อน เขาควรจะซ่อนมันไว้ให้ลึกเร้นที่สุด แล้วหวนคืนสู่โลกของเขาเพื่ออยู่ตามลำพังเหมือนที่ผ่านมา หลายครั้งทีเดียวที่เขาคิดว่าควรรีบกลับไปอเมริกา งานและชีวิตของเขาอยู่ที่นั่น แต่…เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอัดอั้นตันใจจนเกลี้ยง แล้วยังต้องการอีก
จังหวะนั้นเองที่มือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาคว้าแก้วเหล้าของเขาไปถือไว้ ไม่ใช่มือเล็ก ๆ ของเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้ง แต่เป็นมือผู้ชายผิวดำคล้ำ แสนจะเทอะทะ อีกทั้งหยาบกร้าน
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ต้องตะลึงแกมดีใจ มันนั่นเอง ไม่ผิดตัวแน่นอน ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังจำมันได้ดีเสมอ มันเองก็ทำท่าราวกับเห็นผี เขาคิดด้วยความขบขัน สิบแปดปีมานี้เหมือนตายจากกันจริง ๆ
“ไอ้โอม เฮ้ย นี่เอ็งจริง ๆ ใช่มั้ย ให้ดิ้นตายซีวะ ข้ายังไม่เมาพอจะตาฝาดนี่หว่า ใช่เอ็งจริง ๆ นั่นแหละ ไอ้ระยำเอ๊ย ไว้ผมซะยาว ยังหล่อลากดินไม่เปลี่ยนนะเว้ย ฮา ฮา แหม ข้าอยากเตะเอ็งจริง ๆ ว่ะ เอ็งมันมัวไปมุดหัวอยู่แต่เมืองนอก ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงมั่ง ข่าวคราวอะไรก็ไม่รู้จักส่งมา เอ็งนี่มันใจดำชะมัด…”
ระหว่างคำพูดอันยืดยาว เขาสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของมัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก ร่างกายยังคงล่ำสันแข็งแรงดี แม้จะดูบวมฉุไปบ้าง มีริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าและหางตาเพิ่มขึ้นเยอะ แต่ว่าไปแล้วในชุดสากลสีดำมันก็ดูภูมิฐานพอสมควร
“ชงเหล้าเสียทีสิ แก้วในมือนายนั่นแหละ ถืออยู่ตั้งนานแล้ว” เขาตะเบ็งเสียงแข่งกับดนตรี
มันหัวเราะลั่น สีหน้าสีตาเหมือนยังไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง ก่อนจะหันไปทางไซด์บาร์ข้างโต๊ะแล้วยกขวดเหล้ารินลงในแก้ว กำลังจะเทโซดาเด็กสาวคนเดิมก็รีบเข้ามาแย่งแก้วไปผสมเองด้วยความว่องไว เขารีบทำท่าบุ้ยใบ้ให้รินเหล้าเพิ่มอีกแก้วหนึ่งสำหรับมัน ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งจ้องเขาอยู่
“มาชนกันหน่อย” เขาชวน ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “ดื่มให้แก่อะไรดีล่ะ”
“มิตรภาพไงเพื่อน ใช่มั้ย เราควรดื่มให้แก่มิตรภาพ”
เขายิ้มพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก
“ได้เลยเพื่อน เอ้า ชนแก้ว”
เสียงแก้วเหล้ากระทบกันดังกังวาล แม้เสียงดนตรีจะกระหึ่มอยู่รอบทิศ
“ดื่มให้แก่มิตรภาพของเรา”
มันกับเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน แล้วดื่มจนหมดในคราวเดียว เหมือนกับที่เคยทำในอดีต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขายังดื่มเหล้าไม่ชำนาญเช่นทุกวันนี้
เด็กสาวรับแก้วไปผสมใหม่ เธอน่ารักและบริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี เขาคิดว่าควรให้รางวัลแก่เธอบ้าง แต่จะเป็นอะไรดีนี่สิ สิ่งที่เธอต้องการอย่างนั้นหรือ
“เฮ้ย ไอ้โอม เอ็งกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เออ ความจริงข้าควรจะถามว่า เอ็งกลับมาได้กี่วันแล้ววะ ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ ไม่รอให้แก่หง่อมเสียก่อนล่ะ รู้มั้ยตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอยู่ดี เหลือเชื่อจริง ๆ ว่ะ ในที่สุดเอ็งก็กลับมา…กลับมาในขณะที่ทุกคนยังจำเอ็งได้ ไอ้เพื่อนยาก”
“เรากลับมาได้สองสามวันแล้ว พอดีเพิ่งเสร็จธุระ เลยมีเวลาแวะมาเยี่ยมนาย”
มันมองหน้าเขาแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงฉงน “ว่าแต่เอ็งรู้ได้ไงวะ ว่าข้าอยู่นี่”
“จ๋าเป็นคนบอกเอง เอ๊ะ แสดงว่านายยังไม่รู้…”
“จ๋างั้นเรอะ”
“ใช่ แต่นายคงไม่เข้าใจผิดหรอกนะ ว่ากันตามจริง สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็ค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น แย่หน่อยตรงที่เราสืบค้นที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของใครไม่ได้เลย นอกจากของจ๋าคนเดียว คงเพราะความที่จ๋าเป็นนักเขียนนั่นเอง เมื่อคืนก่อนก็เลยแวะไปที่บ้านของจ๋า อืมม์ ก็บ้านนายด้วยใช่ไหม เราเพิ่งรู้นะเรื่องนั้น แต่ยังไงก็ต้องขอแสดงความยินดีย้อนหลังอย่างจริงใจ ดีใจนะที่นายลงเอยกับผู้หญิงดี ๆ อย่างจ๋า”
“ไม่เป็นไรหรอก” มันเหยียดยิ้ม “กินเหล้ากันดีกว่า คืนนี้ขอเมาหน่อยเถอะวะ นาน ๆ เจอกันที เอ็งจำครั้งสุดท้ายที่พวกเราเมากันได้หรือเปล่า เมาซะปลิ้นเลย แล้วก็ชกกันไง ฮ่าฮ่า เวลาระยำนี่มันช่างผ่านไปไวดีแท้ ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ”
“นายเมาได้ด้วยเรอะ กำลังทำงานอยู่นี่” เขาถามยิ้ม ๆ
“บัวไม่ว่าหรอก อ้อ เอ็งคงรู้แล้วซีนะ ว่าผับนี่เป็นของบัว ถ้าเป็นของข้าก็ดีสิ อย่างที่ข้าเคยฝันไว้ไงละ เอ็งยังจำได้มั้ย เดี๋ยวนี้ก็ยังฝันอยู่นะ ข้าอยากมีร้านแบบนี้เป็นของตัวเอง แต่ไม่เคยทำได้สักที คงขึ้นกับวาสนาด้วยมั้ง ดูอย่างบัวสิ ไม่เห็นเคยมีความใฝ่ฝันอะไรกับใครเขาเลยกลับทำได้ ส่วนจ๋าก็ไปได้เรื่อย ๆ แล้วเอ็งล่ะเพื่อน เอ็งวิ่งไล่ตามความฝันของเอ็งทันหรือยัง สำหรับข้าแล้วความฝันคงเป็นได้แค่เงาเท่านั้น”
เขาแทบจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจไหววูบรุนแรงตั้งแต่ได้ยินชื่อของเธอ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เขาพยายามสอดส่ายสายตามองหาอยู่แทบตลอดเวลา เขาอยากถามถึงเรื่องราวของเธอเหลือเกิน ทว่าก็ไม่ได้พูดออกไป
“ไงวะ เป็นอะไร ไม่เห็นตอบ”
“ก็งั้น ๆ แหละ ยังอีกไกล” เขาพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ “นายเองก็อย่าเพิ่งเลิกฝัน คนเราถ้าไม่มีความหวัง มันก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว”
“ใช่ ข้าจำคำพูดของเอ็งได้เสมอ ข้าถึงไม่เคยหยุดฝันไง แม้มันจะเลือนรางเต็มทีก็เถอะ” มันกล่าวด้วยสำเนียงเศร้า ๆ
“พูดถึงเรื่องงาน เออ จริงสิ เราลืมเอาภาพพิมพ์ไม้มาให้นายด้วย เป็นของฝากน่ะ แต่ช่างเถอะ นายคงได้เห็นแล้ว”
“ภาพพิมพ์งั้นรึ แต่…เฮ้ย ระดับเราสองคนไม่ต้องมีของฝากหรอก แค่เอ็งโผล่หน้ามาข้าก็ดีใจแย่แล้วว่ะ”
เขายกแก้วเหล้าขึ้นจิบอีก ก่อนตัดสินใจดื่มจนหมดโดยไม่รอเพื่อน เด็กสาวทำท่าจะเอื้อมมือมาที่แก้วเหล้าว่างเปล่าของเขา แต่มันสั่งให้ไปดูแลโต๊ะอื่น เธอทำอิดออดจนมันต้องพูดย้ำอีกครั้ง
“โต๊ะนี้พี่จัดการเอง”
ขณะนั่งดูมันผสมเหล้า หัวใจเขาก็ล่องลอยย้อนกลับไปสู่สมัยทำงานอยู่ในโซนาต้าคลับอันหรูหรา ช่วงเวลานั้นเขาต้องผสมเครื่องดื่มราคาแพงให้ลูกค้าภายใต้แสงสลัวยิ่งกว่าที่นี่ ดนตรีก็แผ่วเบากว่า อากาศยะเยียบเย็นจนหนาว สองตาของเขาแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง สองมือทำงานด้วยความชำนิชำนาญ ลูกค้าคนไหนชอบเหล้าอ่อนแก่เพียงใดเขาจดจำได้แม่นยำ ราวกับจำสูตรคูณหรือบทอาขยานในวัยเด็กที่คุณครูสั่งให้ท่องจำ ทุกขณะของการทำงานดำเนินไปด้วยความนอบน้อมเอาอกเอาใจ พนักงานทุกคนรวมทั้งเขาจะคุกเข่าลงบนพรมหนานุ่มยามเข้าไปให้บริการ เนื่องจากโซฟาของโซนาต้าคลับและโต๊ะกลางค่อนข้างเตี้ย อีกทั้งทางเจ้าของโซนาต้าคลับก็หวังให้แขกทุกคนรู้สึกได้ถึงความเป็นราชาในหมู่หญิงงาม
ใช่แล้ว ทุกคนได้รับการปรนเปรออย่างสูงสุด ไม่มีใครที่เข้ามาในโซนาต้าคลับแล้วอยากสูบบุหรี่จะได้จุดสูบเอง เพราะเปลวไฟจากไฟแช็คจะล่องลอยมาถึงก่อนเสมอ ไม่จากมือของบริกรหนุ่มก็จากมือของสาวงามที่นั่งเป็นเพื่อนคุย แม้แต่นักร้องหญิงที่เคยเป็นถึงนางงามประจำจังหวัดต่าง ๆ ก็ต้องทำหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน หากใครละเลยอาจถูกลงโทษได้ และอันที่จริงนอกจากจะเป็นหน้าที่แล้ว ทุกคนล้วนมุ่งหวังว่า ก่อนที่ลูกค้าผู้ยิ่งใหญ่จะลุกจากไปคงมอบเงินให้เป็นรางวัลบ้าง นั่นรวมถึงเขาด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่ผลงานศิลปะของเขายังขายไม่ออก เขาต้องสละความเคารพตนและความหยิ่งทระนง ยอมก้มหน้าทำงานบริการเพื่อแลกเงินเลี้ยงชีพ คิดแล้วเขาก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อรู้สึกว่าชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าวช่างเต็มไปด้วยสีสัน อีกทั้งยังมีรสชาติอันยากจะลืมได้ลง ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นรสขมก็ตาม
“ใจลอยเชียวนะเอ็ง คิดอะไรอยู่วะ”
“ไม่มีอะไรหรอกเพื่อน” เขายักไหล่ หน้าเริ่มตึงเพราะฤทธิ์เหล้า “แค่นึกถึงสมัยก่อนตอนที่ยังเที่ยววิ่งชงเหล้าให้แขกกระเป๋าหนักโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ หวังจะฟันทิปเป็นพิเศษ เหมือนนายนั่นแหละ เช็ดรถแต่ละคันซะเงาวับ ไม่ใช่เพราะหวังว่าจะได้ทิปจากแขกงั้นหรือ”
มันหัวเราะลั่น ใบหน้าแดงจนเป็นสีม่วงตามประสาคนผิวคล้ำ เขาอยากรู้ว่าตั้งแต่เปิดร้านมามันดื่มไปมากน้อยแค่ไหนแล้วนะ จริงอยู่ว่าเสียงดนตรีคึกคักทำให้ดื่มเหล้าได้สนุกขึ้น แต่มีเพียงเขาเท่านั้นกระมังที่ดื่มเหล้าด้วยอารมณ์ประหลาด เป็นอารมณ์ที่แทบจะสะกดกั้นเอาไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว
“แม่งเอ๊ย แขกบางคนขับรถยุโรปซะเปล่า ดันให้มาได้หกสลึง ข้างี้แทบจะขว้างทิ้ง ทีนักร้องทิปทีเป็นร้อยเป็นพัน”
“นายมันคอยรับรถอยู่ข้างนอกนี่หว่า จะไปสู้พวกผู้หญิงที่แทบจะนั่งตักอยู่ข้างในได้ไง เราเองยังต้องคอยชงเหล้า เสิร์ฟชาร้อนเอย ผ้าร้อนผ้าเย็นเอย ทำแทบตายกว่าจะได้สักร้อยครึ่งร้อย”
“ซักวันเถอะวะ ข้าจะต้องมีค็อกเทลเลาจน์แบบโซนาต้าคลับให้ได้ จะเอาให้แม่งหรูหรากว่าด้วย”
มันทำงานให้เธอโดยไม่มีความสุขเลยอย่างนั้นหรือ มันน่าจะมีความสุขที่สุดด้วยซ้ำ เขาคิด แต่ไม่แน่นัก เวลาผ่านไป ใจคนก็เปลี่ยนไปด้วย มันอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอแล้วก็ได้ ถึงตรงนี้เขาก็ต้องบอกตัวเองว่า ในความเป็นจริงแล้วมันจะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่ธุระของเขา มันคงไม่ชกเขาเพราะเรื่องผู้หญิงอีกแล้วกระมัง เขาเคยงุนงงเมื่อครั้งถูกชกเปรี้ยงเข้ากกหูโดยไม่ทันตั้งตัว มารู้ภายหลังว่าที่แท้เป็นเพราะมันโกรธที่เห็นเขาทำให้เธอเสียใจ สองสามวันหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายไปแล้ว
นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม เขารำพึง เขาอยากถามถึงเรื่องราวของเธอเหลือเกิน แต่เมื่อทำไม่ได้ตามที่ใจคิดก็กล้ำกลืนเหล้าเข้าไปแทน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่กล้าพูดออกไปตามตรง หรือกลัวว่าจะได้ยินเรื่องราวที่แอบหวาดหวั่น เรื่องราวที่จะทำให้ผิดหวังอย่างร้ายแรง จะเป็นอย่างไรนะ ถ้ามันบอกว่าเธอก็เป็นเมียอีกคนหนึ่งของมันอย่างลับ ๆ หรืออาจเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เธอกำลังอยู่กินกับชายแก่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ลงทุนเปิดร้านนี้ให้ “คนเรานี่บางครั้งก็ทำได้แค่ฝัน วาสนามันมีแค่นั้น” มันเอ่ยขึ้นพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง “เอ็งว่าจริงไหม ฝันเท่าไหร่ก็ไม่เคยไปได้ถึงซักที ได้แต่มองมันจากระยะไกลแล้วก็เศร้า ยิ่งมีครอบครัวมีลูกเต้า พลังที่จะฝันก็ลดน้อยลง เออ ข้ายังไม่ได้ถามเลยว่าเอ็งมีลูกกี่คนแล้ววะ สงสัยไม่แคล้วคว้าแหม่มมาเป็นเมีย ลูกคงออกมาน่ารักดีพิลึก เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมชมชอบลูกครึ่งกันมาก”
รอยยิ้มอันฝืดฝืนคือคำตอบจากเขา
“อย่าบอกนะว่าเอ็งยังโสด เฮ้ย จริงรึ ไอ้เวร อยู่มาได้ยังไงเอาป่านนี้ ถ้าเป็นข้านะ ลงได้ไปอยู่ในดงสาว ๆ ผมทองทรงโตแบบนั้น ไม่เหลือแล้วว่ะ ไอ้ความโสดน่ะ”
“ผู้หญิงฝรั่งที่ผอมแบนก็เยอะ แล้วอย่าพูดดีไปเลย นายเองก็ยังไม่มีลูกเหมือนกันนี่หว่า เราคงเข้าใจไม่ผิด ที่บ้านนายกับจ๋าไม่เห็นมีรูปเด็กซักคน”
มันชะงักกึก แก้วเหล้าในมือที่กำลังยกขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศ สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไป กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ แววตาของมันราวกับคนมีความในใจ
“เดี๋ยวข้ามา เอ็งนั่งกินไปก่อน” มันพูดโดยไม่มองหน้า จากนั้นก็ลุกเดินหายไปทางหลังร้าน ท่าทางของมันทำให้เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องนั้น ยังไม่มีใครลืมอีกหรือนี่ แล้วเธอเล่า เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงขนาดนี้แล้วจะจดจำไปอีกทำไมกัน จดจำเพื่อเป็นทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนั้นหรือ เขาคิดด้วยความหม่นหมอง
เวลาผ่านไป เขานั่งเงียบอยู่เพียงลำพัง ทุกนาทีจมอยู่กับเครื่องดื่มด้วยจิตใจเลื่อนลอย เขาอิจฉานักเที่ยวที่พากันลุกขึ้นเต้นรำข้างโต๊ะของตน ไม่มีใครยอมอยู่อย่างเงียบเหงา ต่างก็เสพเอาเสียงแห่งความร่าเริงอัดเข้าไปในร่างจนแทบจะโป่งพอง ส่วนเขายังคงชำเลืองมองหาเธออยู่เป็นระยะ ๆ
หนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ นักร้องชายร่างเล็กไว้ผมยาวประกาศบนเวทีว่าหมดเวลาสำหรับการเล่นดนตรีแล้ว นั่นหมายถึงอีกไม่นานเดอะวอร์จะหลับไหลเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ลูกค้าหลายโต๊ะทยอยเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วลุกจากไป ขณะที่อีกหลายโต๊ะทำท่าเหมือนจะไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ เขาเพ่งมองขวดเหล้าด้วยดวงตาพร่าเลือน มันพร่องจนใกล้จะหมดขวดแล้ว เขาบอกเด็กสาวให้เก็บเงินค่าเหล้าและอาหาร เธอจึงเดินไปที่โต๊ะแคชเชียร์ สักพักหนึ่งก็กลับมาพร้อมด้วยใบแสดงรายการอาหารเครื่องดื่มที่สั่งและจำนวนเงินที่ต้องชำระบนถาดเงิน เขาควักธนบัตรออกมาวาง บอกเด็กสาวให้เก็บเงินทอนไว้ เธอยกมือไหว้อย่างอ่อนหวานน่ารักแล้วผสมเหล้าแก้วสุดท้ายให้แก่เขา
ระหว่างที่พนักงานในร้านรูดม่านบังตาตรงหน้าต่างกระจกลงมา เขากำลังดื่มเหล้าแก้วสุดท้ายให้หมด เขาอยากเดินทางกลับโรงแรมโดยไม่คิดจะรอพบมันเพื่อกล่าวคำอำลา ถึงอย่างไรเขาก็ต้องกลับมาที่นี่อีก อาจจะเป็นคืนพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นมันเดินโซเซตรงเข้ามาวางธนบัตรจำนวนสามพันบาทลงบนโต๊ะ
“มื้อนี้…ข้าเลี้ยง” เสียงของมันฟังดูเมาหนักยิ่งกว่าเก่า
“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็นหรอก เราต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายเลี้ยงนาย ถึงไม่ร่ำรวย แต่ก็น่าจะมีเงินเยอะกว่านาย” เขาทำเสียงให้ฟังดูว่าเป็นการพูดล้อเล่น
“เออ พ่อเศรษฐี ไว้คราวหน้าแล้วกัน เอ็งจะมาที่นี่อีกใช่ม้ั้ย มาเหอะ ข้ารู้ว่าเอ็งต้องกลับมาอีก รับรองเอ็งได้เลี้ยงข้าแน่ แต่ต้องไปต่อที่อื่นด้วยนะเพื่อน เอาแบบปูเสื่อเลย”
เขาพยักหน้า จนปัญญาจะกล่าวคำใดออกไป ได้แต่คว้าเงินบนโต๊ะยัดลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาตบไหล่มันก่อนเดินจากมา ครั้นผ่านหน้าเด็กสาว เขาก็ล้วงธนบัตรฉบับหนึ่งส่งให้ เธอพนมมือไหว้ด้วยนัยน์ตาหวานเยิ้ม พลางเอียงหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมปนเปกับกลิ่นควันบุหรี่
“ไปเที่ยวกันต่อไหมคะ หนูอยากไปเที่ยวกับพี่จังเลย มีที่เที่ยวสนุก ๆ เยอะแยะ รับรองพี่ไม่ผิดหวังแน่นอน” เธอกระซิบข้างหู
เขาส่ายหน้า ทอดถอนหายใจ แล้วเดินออกจากเดอะวอร์ไปอย่างเงียบ ๆ
*
ฝนกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมิดไม่ขาดสาย ท้องถนนในซอยว่างเปล่าปราศจากยวดยานใด ๆ แสงสีเหลืองเรืองเรื่อจากโคมไฟส่องทางเดินด้านหน้าเดอะวอร์ดูสลัวซึมเซา และแสงจากโคมไฟบนยอดเสาไกลออกไปก็ดูเหมือนไม่อาจทำลายความมืดของคืนนี้ได้เลย เธอยืนกอดอกนิ่งงันอยู่บริเวณด้านหลังประตูทางเข้าร้าน ซึ่งกรุกระจกใสไว้เป็นรูปตารางสี่เหลี่ยม สายตาเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย เธอเฝ้าสงสัยว่าฝนตกลงมาขณะที่เขากำลังเดินออกไป หรือว่าตกลงมาหลังจากที่เขาได้จากไปแล้วกันแน่
เดอะวอร์ยามนี้เหลือลูกค้านั่งอยู่เพียงแค่สองโต๊ะ ทั้งหมดเป็นลูกค้าขาประจำ พวกเขานั่งคุยกันอย่างเงียบ ๆ เพื่อรอเวลาให้ฝนหยุด บรรยากาศที่เคยสนุกสนานจางหายไปหมดแล้ว คงเหลือทิ้งไว้ก็แต่เพียงความเหงาหงอย
เธอผละจากประตูแล้วเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น เป็นตัวเดียวกับที่เขาเคยนั่งนั่นเอง โต๊ะได้รับการทำความสะอาดจน ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ให้สัมผัส แต่หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้จะเป็นเพียงความอบอุ่นเล็กน้อยที่วาบอยู่ในอกเท่านั้น ช่างเป็นความสวยงามแสนสั้นเหลือเกิน ไม่ต่างไปจากแสงของดอกไม้ไฟในคืนข้างแรมที่งดงามก่อนจางหาย เพียงมาทักทายในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วอำลาจากไปตลอดกาล
เวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง เธอก็ร้องสั่งลูกน้องซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดสถานที่ ให้นำขวดบรั่นดีบนหิ้งหลังเคาน์เตอร์บาร์มาวางบนโต๊ะพร้อมแก้วเปล่า เธอรีบปฏิเสธเมื่อลูกน้องคนนั้นทำท่าจะรินเหล้าให้อย่างเอาใจ เธอปรารถนาจะอยู่ตามลำพังเพื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางประการมากกว่า บรั่นดีสีเข้มถูกรินลงแก้วเล็กน้อย เธอเขย่าเบา ๆ พลางมองดูสีสันของมันด้วยความเคยชิน จากนั้นก็ดื่มจนหมดเพื่อดับอารมณ์ปั่นป่วนอันเป็นส่วนผสมของความสุขและความทุกข์
“หลบหน้าไอ้โอมมันทำไม แล้วก็มานั่งหน้าเศร้า…”
เสียงพูดเหมือนคนเมาดังขึ้นจากทางด้านหลัง เธอไม่ยอมหันไปมอง อีกฝ่ายจึงก้าวมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ที่บัวให้ผมบอกไอ้โอมว่าบัวไม่อยู่ ผมไม่ต้องพูดเลยซักคำ รู้ไหมเพราะอะไร เหตุผลก็คือมันไม่ได้ถามถึงบัวออกมาเลยสักแอะ”
คำกล่าวนี้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่ลืมหรอกว่าตอนนั้นเธอเดินลงมาจากชั้นบน และมองเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ เธอชะงัก ตกตะลึง ขณะเดียวกันก็แทบจะเพ้อคลั่งด้วยความดีใจล้นเหลือ ก่อนจะลนลานถอยกลับขึ้นไปข้างบนตามเดิม ด้วยอาการคล้ายเสียสติไม่ต่างจากคนบ้า อีกใจหนึ่งเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงราวกับกลัวในสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ และทั้ง ๆ ที่อยากจะโผเข้าหาเขาด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน เธอกลับไม่ได้ทำตามแรงปรารถนา โอ้ วันเวลาเอ๋ย แม้จะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังจำเขาได้ดีเสมอ ไม่ต่างจากสุนัขที่จดจำเจ้าของของมันได้ ในสายตาของเธอ เขาไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก เพียงแค่ดูบึกบึนขึ้น เนื้อหนังก็มากขึ้น ท่าทางร่าเริงแบบเด็กหนุ่มไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เขาแลดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดอ่านยิ่งกว่าเดิม เหมือนจะเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ท่าทางที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานก็เหลือเพียงบุคลิกของคนเศร้า เธอประหลาดใจว่าเขาเศร้าด้วยเรื่องอะไรกันนะ จะเศร้าไปกว่าความรู้สึกของเธอหรือไม่ เขาไม่ได้ถามถึงข่าวคราวของเธอเลยงั้นหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือว่าเรื่องราวในอดีตเป็นเพียงแค่ความประทับใจของเธอเพียงฝ่ายเดียว อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ เธอคิด เขาไม่เคยบอกความในใจแก่เธอแม้สักครั้งเดียว แต่ก่อนนั้นดวงตาสดใสอันเต็มไปด้วยความหวังของเขาก็เคยฟ้องไม่ใช่หรือ ว่าเขารู้สึกเช่นไร
ภาพของเขา ชายผู้เดินทางกลับมาจากอดีตสิบแปดปี กำลังหมุนวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเธอไม่ขาดสาย เป็นเช่นลมหายใจที่ถ่ายถอนเข้าออกตลอดเวลา เธอเริ่มว้าวุ่นใจขึ้นมาอีก อยากรู้เหลือเกินว่าเขามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไร และมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด ทำไมเขาถึงได้รู้จักเดอะวอร์ หรือว่านี่คือเรื่องบังเอิญเท่านั้นนั้น คงน่าเศร้าอย่างร้ายกาจ หากเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นแค่ความบังเอิญ แล้วตอนนี้เขาก็จากเธอไปอีกแล้ว เธอปรารถนาให้เขากลับมาอีก แต่เธอจะติดต่อเขาได้อย่างไร
“พี่โอมเพิ่งกลับมาเมืองไทยใช่ไหม”
เขาพยักหน้า ขณะเดียวกันก็จ้องเธอเขม็ง
“มันเพิ่งมาได้ไม่กี่วัน เห็นว่ามาทำธุระอะไรซักอย่างนี่แหละ บัวคงสงสัยซีนะ ว่าไอ้โอมมันมาที่นี่ได้ไง ก็มันแอบดอดไปหาจ๋าที่บ้านเมื่อวานนี้น่ะสิ คิดแล้วน่าโมโห เปล่า…ไม่ได้โมโหมันหรอก ผมโมโหจ๋าต่างหาก ไม่เห็นบอกอะไรสักคำ อย่ามองผมยังงั้น ผมไม่ได้คิดว่ามันกับจ๋าจะถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาหรอกนะ เรื่องนี้ใครก็รู้ บัวรู้ ผมรู้ ว่าเป็นเพราะอะไร”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแปลก ๆ เธอหวนคิดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง นี่คืออีกครั้งหนึ่งที่เธอคิดถึงความใฝ่ฝันในอดีต เธอปรารถนาจะได้รับโอกาสเช่นนั้นบ้าง ทว่านั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่ก้าวไปไม่ถึง ราวกับการไขว่คว้าเงาในน้ำมาครอบครอง เรื่องราวของเขากับเธอเป็นดั่งความฝันในคืนป่วยไข้ ทุกสิ่งทุกอย่างในฝันช่างดูสมจริงจนน่ากลัว ครั้นแล้วก็หายวับไปเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น
เธอเอื้อมมือหมายจะคว้าขวดบรั่นดีมารินอีก แต่เขาแย่งไปถือไว้เสียก่อนและรินให้เธอแต่เพียงเล็กน้อย จากนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดชื่นนุ่มนวลเหมือนสร่างเมาแล้วว่า “ให้ผมนั่งดื่มเป็นเพื่อนด้วยคนได้ไหม”
“ไม่รีบกลับบ้านล่ะ เดี๋ยวจ๋าจะเป็นห่วง”
“นั่งเล่นที่นี่ก่อนดีกว่า ผมขี้เกียจขับรถตอนฝนตก ฝนระยำอะไรก็ไม่รู้ตกหนักชะมัด”
“ตามใจ แต่ทีหลังอย่าด่าฝนฟ้าอีก มันไม่ดี”
เธอเห็นเขาลุกไปหยิบแก้วเปล่ามาใบหนึ่ง แล้วรินบรั่นดีให้ตัวเอง เขาคลึงแก้วไปมาเล็กน้อยก่อนจะดื่มเสียเกือบครึ่ง เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากรับรู้ด้วย จึงยกแก้วเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ และปล่อยตัวตนจมสู่ห้วงความคิด…
ถ้าเขาคนนั้นเป็นอย่างนี้ก็คงวิเศษที่สุด ตลอดระยะเวลาสิบแปดปี เขาแทบจะไม่เคยห่างหายไปจากชีวิตของเธอเลย แม้เขารู้ว่าเธอใช้ชีวิตอย่างน่าละอายเพียงใด เขามักแสวงหาจังหวะเข้ามาช่วยเหลือและคอยแก้ปัญหาให้เธอเสมอ ราวกับว่าเขาเฝ้ามองชีวิตของเธอไว้ตลอดเวลา เขาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มากทีเดียว แน่นอน เธอไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการแม้แต่น้อย เขาเหมาะที่จะเป็นเพื่อนมากกว่า มันไม่อาจเปลี่ยนแปลง นี่คงทำให้เขาเจ็บปวดบ้างที่เธอไม่เคยมีใจให้ ซึ่งแตกต่างไปจากความเจ็บปวดของเธอ เมื่อคิดถึงเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมาเพื่อทำให้เธอมีความหวังแม้สักครั้งเดียว
ภาพอดีตสมัยทำงานอยู่ในโซนาต้าคลับแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้งในห้วงความคิด เป็นภาพเดิม ๆ เหมือนทุกโมงยามที่เธอเผลอใจนึกถึง เธอมองเห็นแววตาอันขมขื่นของเขายามที่ลอบมองเธอนั่งคุยกับลูกค้า แววตาที่เคยอ่อนโยนนั้นแสดงถึงความรวดร้าวเมื่อเธอต้องออกไปข้างนอกกับชายแปลกหน้า เธอมักจะหลบสายตาที่มองมาด้วยความรู้สึกนี้เสมอ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเจ็บปวด เธอก็รู้สึกได้ถึงความน่าละอายและความต่ำต้อยของตัวเอง แต่ในเวลานั้นเธอมีทางเลือกด้วยหรือ ถ้าเพียงแต่เขาจะยอมเป็นทางให้เธอเลือกเดิน เหตุการณ์วันนี้ก็อาจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
หลายครั้งเธอได้แต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่เคยบอกให้เธอเลิกทำงาน แล้วตั้งใจเรียนให้จบ จากนั้นก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ นั่นอาจเป็นด้วยเขาไม่มีความกล้าพอ เขาเป็นเพียงศิลปินต่ำต้อยคนหนึ่งที่ไม่อาจแบกรับภาระของเธอไว้บนบ่าได้ ลำพังตัวเองก็ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอย่างหนัก ไม่มีใครสามารถรับแอกของอีกคนหนึ่งมาแบกแทน เขากับเธอก็เช่นเดียวกับทุกคนที่มีเส้นทางเดินของตัวเอง ต่างเดินไปตามถนนชีวิตจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด อาจไม่เหมือนกันตรงที่เธอไม่เคยล่วงรู้ถึงจุดหมายปลายทางบนถนนของเธอเลย ขณะที่สำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จในโลกศิลปะมาเป็นของตน หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ ทว่าใจหนึ่งก็ไม่อยากรับว่านี่คือความเป็นจริง บางทีเขาอาจรังเกียจผู้หญิงอย่างเธอก็เป็นได้ ต่อให้เขาเป็นมนุษย์ผู้มีอุดมคติสูงส่งและมีหัวใจอ่อนโยนแค่ไหนก็ตาม ใช่สินะ นักศึกษาขายตัวผู้มีประวัติสำส่อนฟอนเฟะ สมควรมีคุณค่าในสายตาของผู้ชายดี ๆ สักคนอย่างนั้นหรือ คิดแล้วเธอก็อยากยิ้มเยาะหยันให้แก่อดีต อดีตที่มีแต่เรื่องน่าเศร้าชวนให้อับอายและไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ดั่งใจปรารถนา
เธอเลิกม่านบังตาขึ้นสูงเพื่อมองผ่านบานกระจกหน้าต่างออกไปสู่โลกภายนอก ฝนซาเม็ดมากแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ใครก็ตามที่เดินอยู่ข้างนอกเปียกชื้นได้ พื้นถนนยางมะตอยเปียกน้ำแลเห็นเป็นเงาสะท้อนแสงไฟระยิบระยับยามต้องละอองฝน และหยดน้ำจากชายคาหน้าร้านก็ร่วงหล่นลงกระทบพื้นทางเท้าเป็นจังหวะ นั่นทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ครั้งหนึ่งเธอเคยมีโอกาสนั่งดูสายฝนที่ไหลรินลงมาจากชายคาร่วมกับเขา เป็นวันที่หัวใจของเด็กสาวคนหนึ่งได้รับทั้งความหนาวสั่นและความอบอุ่นไปพร้อม ๆ กัน มันเกิดขึ้นหลังจากที่เธอเข้าไปทำงานที่โซนาต้าคลับเป็นคืนแรก แล้วรู้ตัวว่าจะต้องออกไปค้างคืนกับลูกค้าคนหนึ่ง แม้ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้ว ครั้นถึงเวลาเข้าจริงเธอก็กระอักกระอ่วนรวนเร จนต้องย้อมใจด้วยเหล้าฝรั่งแก้วแล้วแก้วเล่า ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นยังดื่มไม่เป็นด้วยซ้ำ เธอหวังว่าความเมามายอาจจะช่วยต่อสู้กับอุปสรรคในโลกนี้ได้ทุกประการ เธอนั่งดื่มเหล้าของลูกค้าในสภาพหญิงขี้เมา ขณะที่ลูกค้าคนนั้นก็เอาแต่ยิ้มบ้างหัวเราะบ้างเหมือนสนุกไปกับการกระทำของเธอ สุดท้ายเธอครองสติไม่อยู่และอาเจียนออกมาหลายครั้ง ก่อนจะหลับพับไปบนโซฟา ทิ้งเรื่องราววุ่นวายไว้ให้คนอื่นจัดการ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ในห้องพักตอนรุ่งสาง เวลานั้นเธอจำได้ดีถึงสายลมเย็นชื้นที่พัดผ่านเข้ามาจากทางระเบียงด้านหลังห้องพัก เขากำลังนั่งหันหลังให้เธอพร้อมกับมองสายฝนด้วยท่วงท่าน่าประทับใจ
มีคนเล่าให้ฟังในภายหลังว่าคืนนั้นลูกค้าของเธอใจเย็นพอที่จะเลื่อนเวลาออกไปจนกว่าเธอจะพร้อม แม้ได้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็ตาม คงเป็นเพราะยังเสียดายความสวยความสาวอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเธอกระมัง ขณะที่ผู้จัดการเมื่อรู้ว่าเขาพักอยู่ตึกเดียวกันกับเธอก็สั่งให้พามาส่ง เขาจึงหอบหิ้วเธอกลับมาในสภาพทุลักทุเลด้วยรถแท็กซี่
ช่างน่าอายเมื่อย้อนคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง แต่เธอก็มีความสุข จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไรกันเล่า คืนนั้นไม่ใช่หรือที่เขาได้เช็ดหน้าตาและแขนขาให้เธออย่างไม่รังเกียจ มิหนำซ้ำยังเฝ้าดูแลโดยไม่กลับไปที่ห้องของเขา เป็นด้วยเหตุผลใดกันเล่า เขาจึงอยู่เป็นเพื่อนเธอจนรุ่งเช้า เพื่อรอให้เธอตื่นขึ้นมาเฝ้ามองสายน้ำไหลรินลงมาจากกันสาดร่วมกันกับเขาแค่นั้นหรือ มันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม แล้วเหตุผลมีเพียงเท่านี้เองจริง ๆ หรือ เธอถามตัวเองโดยไม่อาจรู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้
ในวันแห่งความทรงจำดังกล่าว เขาได้ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับยาแก้ปวดศีรษะ ยามนั้นฝนยังคงตกลงมาราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น เขาชี้ชวนให้เธอมองเห็นความงามของสายน้ำที่ไหลรินลงมาเป็นสายจากกันสาด เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสนิทสนมเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน นั่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันหรือเคยเห็นหน้ากัน เธอยิ้มเมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอเคยเห็นเขาที่อพาร์ทเมนท์มาแล้วหลายครั้ง ก่อนหน้าที่จะไปทำงานที่โซนาต้าคลับเสียอีก เพียงแต่ไม่เคยสนทนากัน หน้าตาและบุคลิกของเขาทำให้เธอจำได้ดี ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าไปทำงานและรู้ว่าเขาก็ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย จึงสร้างความอับอายให้แก่เธอจนอยากถอนตัว สิ่งใดกันเล่าที่ดลใจให้เธอปรารถนาจะเป็นนักศึกษาผู้สะอาดสะอ้านในสายตาของเขา แต่แล้วจู่ ๆ ก็กลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของชายแปลกหน้าที่มีเงินมากพอจะจ่ายค่าตัวของเธอ คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายทั่วไปหากจะต้องทำใจยอมรับ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมจึงทำให้เขาต้องจากเธอไป แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาหาเธอ เขากลับมาแล้วจริง ๆ เธอครุ่นคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีเขาอีกคนหนึ่งนั่งเป็นเพื่อนอยู่อย่างภักดี
เวลานี้เขากำลังนั่งตาปรือเซื่องซึม ทว่ายังคงจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ วูบหนึ่งของความรู้สึกที่แล่นขึ้นมาจากหัวใจโดยตรง เธอรู้สึกสงสารเขา พร้อมกับข้องใจว่าเธอเคยรู้สึกกับเขามากกว่าความเป็นเพื่อนหรือไม่ แต่ไม่ใช่เธอเองหรอกหรือที่เคยบอกเขาว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นมีค่ามากเหลือเกิน บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงแค่คำปลอบใจให้เขารู้สึกดีขึ้น เธอครุ่นคิดและเมามายไปกับความรู้สึกภายในใจ มันพลุ่งพล่านอยู่ในท่าทีอันสงบ ใจหนึ่งก็อยากจะยินดีที่เธอยังมีเขาเฝ้าดูแลไม่เปลี่ยนแปลง ผู้หญิงที่เรียกได้ว่าผ่านผู้ชายมามากจนน่าอดสูใจ เธอไม่อาจแก้ตัวด้วยเหตุผลโง่ ๆ ว่าทำลงไปเพื่อประชดผู้ให้กำเนิด หรือประชดชายผู้ซึ่งเธอเคยหลงคิดว่าสิ่งที่ให้เขาเป็นคนแรกคือความรัก โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอาจารย์ของเธอและมีครอบครัวอยู่แล้ว เอาเถอะ แม้ในที่สุดเธอจะสามารถพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นออกมาจากปลักโคลนอันโสมมนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกในใจยังคงแปดเปื้อน เธอไม่อาจลบล้างอดีตให้หายไปได้อย่างแท้จริง จากชีวิตที่ต้องตื่นขึ้นมาเห็นชายแปลกหน้าแทบทุกเช้า ครั้นเปลี่ยนจากชายแปลกหน้ามาเป็นสามีของชาวบ้านในฐานะเมียเก็บก็ไม่นับว่าสูงส่งขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง อาจจะเป็นหกเดือน หนึ่งปี หรือสองปี ทันทีที่ชายคนนั้นเบื่อหน่าย เธอก็จะกลายเป็นนางบำเรอของชายคนใหม่ที่อ้าแขนต้อนรับ ไม่ต่างจากสมบัติผลัดกันชม ดุจเดียวกับทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในโลกนี้ จริงสินะ ความสวยงามของเธอเปรียบเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งในสายตาของผู้ชาย พวกเขาต้องการครอบครองทรัพย์สินประเภทนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว และไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอกหรือ จึงทำให้เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตัวเองไม่น้อยหน้าใคร ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังงาม รถสปอร์ตหรูหรา รวมถึงกิจการที่เลี้ยงตัวได้อย่างเดอะวอร์ น่าเสียดายว่าสิ่งที่ขาดไป…หายไป…คือความสุขที่ใจปรารถนา ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น เธอถามกับตัวเอง เมื่อยอมรับว่าแทบจะไม่เคยรู้จักความสุขมาเกือบชั่วชีวิต โลกนี้ช่างเป็นดินแดนแห่งความทุกข์โดยแท้ เธอทอดถอนใจ สุดท้ายก็ดื่มบรั่นดีจนหมดแก้ว แล้วประคองร่างลุกขึ้นยืนโดยพยายามไม่ให้เสียการทรงตัว
“จะกลับบ้านหรือบัว ทำไมทิ้งกันอีกแล้ว” ศีรษะของเขาส่ายโงนเงนขณะพูด ฟังไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริง
เธอพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่เมื่อจะก้าวเดินออกไปก็หันมามองเขาอีกครั้ง เธอเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจถามไปว่า
“เอ้อ พลรู้ไหม พี่โอม…พี่โอมเขามีครอบครัวแล้วหรือยัง”
มีเสียงหัวเราะอย่างเยาะ ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา เธอรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมไม่ถามมันเอาเอง กลัวอะไรเรอะ เอาเหอะ ผมจะบอกให้เอาบุญ มันยังโสด…โสดไปทั้งตัว พอใจหรือยังล่ะ” พูดจบก็หัวเราะร่วนพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาวาววาม
จริงหรือที่เขายังไม่ยอมมีใครอีก เธอรู้สึกแช่มชื่นขึ้น ริมฝีปากเผยอยิ้มเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวความเศร้าใจก็เข้าครอบงำเธอ จะมีประโยชน์อะไรเล่า ไม่ว่าเขาจะมีภรรยา มีลูกน่ารัก หรือว่ายังใช้ชีวิตตามลำพัง เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องการ
เธอเปิดประตูก้าวออกไปนอกร้าน ฝนเริ่มตกปรอย ๆ ลงมาอีกแล้ว
“คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่งดงามยิ่งกว่าคืนไหน ๆ ถ้าเพียงแต่…” เธอพึมพำขณะหยุดมองดูสายฝน วินาทีต่อมาก็สาวเท้าตรงไปที่โลตัสสีดำสองประตูซึ่งจอดชิดขอบทางเท้าห่างจากเดอะวอร์เพียงไม่กี่เมตร ขณะกำลังจะเปิดประตู พลันเธอก็มองเห็นภาพสะท้อนบนกระจกรถที่มีหยดฝนเกาะอยู่พราวพราย และได้เห็นว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม พลางมองมาที่เธอด้วยสายตาอันคุ้นเคย ยามนั้นเธอคิดว่าเงาสะท้อนบนกระจกรถทำให้มองเห็นหยาดฝนร่วงหล่นลงมาได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งรู้สึกราวกับว่าในดวงตาของเขาก็มีสายฝนโปรยปรายอยู่เช่นเดียวกัน
“นั่นคงไม่ต่างไปจากดวงตาของฉัน” เธอพึมพำออกมา ก่อนจะเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งในรถ แล้วขับไปบนเส้นทางว่างเปล่าอันมืดครึ้มด้วยเงาสลัวของค่ำคืน
*
สระว่ายน้ำของโรงแรมเงียบเหงาเช่นทุกวัน โดยเฉพาะในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ ไม่มีใครเข้ามาใช้บริการนอกจากจากเขา แต่เขาก็ชอบที่ได้อยู่ตามลำพัง เขาตีกรรเชียงไปอย่างเชื่องช้า น้ำในสระเริ่มเย็นเมื่อความมืดโรยตัวลงมา หมู่เมฆลอยต่ำสะท้อนแสงจากตัวเมืองเป็นสีเทาอมส้มสว่างเรืองรอง มันลอยเอื่อย ๆ ไปตามสายลมค่ำซึ่งพัดโชยมาอ่อน ๆ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ การว่ายน้ำหลังจากนอนหลับมาทั้งวันทำให้สดชื่นขึ้นมาก อาการปวดศีรษะเนื่องจากดื่มเหล้าอย่างหนักเมื่อคืนเกือบจะหายไปหมดแล้ว หลังออกจากเดอะวอร์มาด้วยความผิดหวังและตรงกลับโรงแรมทันที ภายในห้องพักกับความว่างเปล่า สำหรับเขาแล้วไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้ทำอีกนอกจากดื่มวิสกี้รสเข้ม ดื่มจนเมามายเพื่อครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งหลับพับไปเมื่อรุ่งสาง ตอนที่เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์เป็นเวลาสายมากแล้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับเธอขึ้นมาได้
ไม่มีน้ำเสียงแสดงความผิดหวังตอนที่เธอรับรู้ว่าเขาไม่สามารถไปนครปฐมกับเธอได้ตามคำสัญญา เขารู้สึกผิดและละอายแก่ใจ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เขาทั้งมึนงง ทั้งอ่อนเพลียเกินกว่าจะลุกไปไหน คงมีเพียงการนอนหลับอันยาวนานเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนคลายให้หายจากพิษเหล้า
ตอนเย็นหลังตื่นนอนแล้ว เขาพยายามไม่หาคำตอบว่าทำไมถึงต้องดื่มเหล้ามากมายขนาดนั้น เขาไม่อยากล่วงรู้เข้าไปถึงภายในจิตใจ มันอาจเป็นด้วยไม่ต้องการยอมรับถึงความปรารถนาที่จะได้พบเธออีกสักครั้ง ทั้งที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจเมื่อมีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิด เขาพยายามให้เหตุผลแก่ตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความจริงแท้ แต่สุดท้ายก็ตระหนักว่าเขาต้องการพบเธอเหลือเกิน ใช่ เขาอยากพบเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด น่าจะมีสักครั้งที่คนสองคนจะได้มาพบกัน แต่พบเพื่ออะไรล่ะ เพื่อจะจากกันด้วยความเจ็บปวดเหมือนในอดีตอย่างนั้นใช่ไหม แล้วการยอมรับความเป็นจริงก็ทำให้เขาต้องตั้งคำถามต่อไปว่า คืนนี้สมควรไปที่เดอะวอร์อีกหรือไม่ ไปทั้ง ๆ ที่มีความหวังอยู่น้อยนิด อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่ามีเวลาเหลือเฟือสำหรับการนั่งรอคอยจนกว่าจะได้พบเธอ เธอจะทำสีหน้าอย่างไรนะหากได้เห็นเขา แล้วเธอจะจำเขาได้หรือไม่ ภาพพิมพ์ไม้ซึ่งเป็นที่ระลึกแห่งมิตรภาพยังคงวางอยู่ในห้องพัก เขาต้องการมอบให้เธอด้วยมือตัวเอง แม้เมื่อได้รับไปแล้วจะถูกทิ้งขว้างก็ตาม และอย่างทันทีทันใดเขาก็ต้องการรู้ขึ้นมาอีกว่า ภาพซึ่งเขาเคยบรรจงวาดไว้โดยมีเธอเป็นนางแบบนั้น ปัจจุบันมีสภาพอย่างไร มันได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หรือว่าถูกทอดทิ้งให้ผุพังไปตามกาลเวลาอย่างไร้เยื่อใย
ภาพเปลือยของเธอที่เขาเคยวาดไว้หลายต่อหลายภาพ ล้วนเสนอแต่ด้านที่งดงาม มีอยู่ภาพหนึ่งเธอได้ขอไว้เป็นที่ระลึก และด้วยคุณสมบัติของสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ ถ้าเธอดูแลมันบ้าง ในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบปี ผืนภาพย่อมดูสดใสราวกับเพิ่งระบายสีเสร็จใหม่ ๆ จริงสินะ ตราบใดที่ภาพนั้นยังอยู่ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงบางอย่าง เป็นความจริงที่จะทำให้เขาอุ่นใจ แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็นานเหลือเกิน นานจนยากจะเอามาเป็นสาระได้ เขาคิดอย่างเศร้าสร้อย รู้สึกเหนื่อยจนต้องขึ้นจากสระ เขาเอนตัวนั่งพักบนเก้าอี้สนามสีขาวสะอาด นาน ๆ ครั้งจึงจะยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มเล็กน้อย สักครู่หนึ่งก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินก้มหน้ากลับห้องพัก เป็นเวลาเดียวกันกับที่พนักงานรูมเซอร์วิสนำอาหารมาส่งตามที่เขาได้โทรศัพท์สั่งไว้ล่วงหน้า นี่คืออาหารมื้อค่ำกับการอยู่ตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง แค่ข้าวผัดธรรมดาและเครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ถือได้ว่าเพียงพอแล้วสำหรับเขา
ตักอาหารเข้าปากไปได้เพียงไม่กี่คำเขาก็รวบช้อนส้อม รีบลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขามองดูเสื้อตัวใหม่ที่ผ่านการซักรีดจากแผนกลอนดรี้ของโรงแรมด้วยความพึงพอใจ คิดจะสวมมันออกไปข้างนอกในคืนนี้
แน่ใจงั้นหรือ เขาถามตัวเอง ใช่ แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไปที่นั่นให้ได้ในคืนนี้ เขาจะทำสีหน้าอย่างไรดี จะทำใจให้สงบได้หรือเปล่า หากต้องพบกับความผิดหวังซ้ำสอง แล้วมันผู้มีท่าทางประหลาดชอบกลเล่า มันจะสบายใจไหมหากได้พบเขาอีก เขาพอเข้าใจได้เป็นเลา ๆ ถึงการหลบหน้าหายไปของมัน แต่หวังว่าคงไม่ใช่เพราะหึงหวง ยังจะมีใครมานั่งจดจำความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาได้อีกหรือ ในเมื่อมันกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว แต่น่าแปลกเหลือเกิน เขาเองที่เป็นฝ่ายจดจำได้ดีในเวลานี้
เขารู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อสำนึกได้ว่าหากยอมให้เด็กโชคร้ายคนนั้นเกิดขึ้นมาดูโลก ไม่ว่ามันจะเป็นโลกที่สวยงามหรือทนทุกข์ก็ตาม ป่านนี้ชีวิตน้อย ๆ ก็คงเติบโตกลายเป็นหนุ่มสาวเต็มตัว หน้าตาจะเหมือนพ่อหรือแม่นะ ทำไมเขาถึงได้ทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้นได้ลงคอ ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน ไม่ผิดหรอกถ้าเธอจะเกลียดผู้ชายอย่างเขาไปจนวันตาย แต่คืนนั้นที่บ้านของเธอ เธอช่างปั้นหน้าได้ดีเหลือเกิน อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่ใส่ใจกับอดีตอันเจ็บปวดนี้อีกแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเธอลืมเรื่องเลวร้ายแต่หนหลังจนหมดสิ้น เหมือนกับที่ใครต่อใครพากันลืมอดีต ทอดทิ้งมันไว้เบื้องหลัง เมื่อเห็นว่ามันไม่มีคุณค่าพอแก่การจดจำ
“นี่เรากำลังหาเหตุผลให้แก่ตัวเองอีกแล้วใช่ไหม ช่างน่าสมเพชสิ้นดี” เขาสรุปและหัวเราะอย่างเย้ยหยันให้กับบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของตน
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปลดเสื้อแขนยาวตัวใหม่จากไม้แขวนมาสวมคู่กับกางกางยีนสีน้ำเงินซีด จากนั้นนั่งลงที่ขอบเตียงเพื่อสวมถุงเท้ารองเท้า แต่นาทีต่อมาก็ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเกียจคร้าน สายตาเหม่อมองเพดานห้อง แวบหนึ่งเขาคิดถึงใบหน้าของเธอและน้ำเสียงหวานใส หวังว่าเธอคงไม่โกรธที่เขาไปเป็นเพื่อนเธอไม่ได้ เธอมีจิตใจอ่อนโยนเสียจนไม่น่าจะขุ่นเคืองใครหรือสิ่งใดได้เลย อย่างมากก็อาจรู้สึกผิดหวังบ้างเท่านั้น
แล้วอาจารย์เล่า ท่านจะรู้สึกเช่นไร หากแม้นได้รับรู้เรื่องนี้ ท่านจะพอใจหรือไม่พอใจ บางทีท่านอาจดีใจถ้าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ห่างจากเธอ ใช่ เขาไม่ควรใกล้ชิดเธอมากเกินไป สาวสวยเช่นนี้ เพียบพร้อมเช่นนี้ ทางที่ดีน่าจะอยู่ห่างจากผู้ชายอย่างเขาเอาไว้ให้มาก และเมื่อคิดไปอีกแง่หนึ่งซึ่งดูเป็นเหตุเป็นผลกว่า เขาก็ออกจะเอนเอียงไปทางเชื่อว่า ตัวเองคิดมากเกินไปด้วยความหลงตน คิดดูสิ เธอจะมาสนใจอะไรกับคนแบบเขา ก็แค่ผู้ชายอายุมากคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพาย ไม่มีสิ่งใดเชิดหน้าชูตาเธอได้ เท่าที่เธอแสดงออกมาก็ด้วยมารยาทที่ได้รับการอบรมสมเป็นกุลสตรี ความจริงบอกว่าเขามันแก่เกินไปสำหรับคนวัยขนาดเธอ
“แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ แปลกยังงั้นหรือ ถ้าเราจะ…” เขาพึมพำออกมา
ภาพของเธอในอิริยาบถต่าง ๆ ผุดพรายขึ้นในห้วงสำนึกราวกับตกอยู่ในความฝัน นี่คือสายธารแห่งความทรงจำอันงดงามซึ่งพัดพาเอาความอ่อนหวานมาสัมผัสความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เพื่ออะไรเล่า ถ้าไม่ใช่เพื่อจะผ่านหัวใจของเขาไปในที่สุดหรอกหรือ
ในห้วงอารมณ์ลึกล้ำ เขาแลเห็นริมฝีปากแดงของเธอกำลังพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้นใครได้รับฟังก็คงเป็นสุข ไม่ต่างจากการได้ชื่นชมบทเพลงอันไพเราะที่คอยขับกล่อมอยู่ในความทรงจำ เขาเริ่มเกิดความต้องการจะสนทนากับเธอ อีกทั้งใคร่รู้ว่าขณะนี้เธอเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วหรือยัง เขาควรโทรศัพท์ไปหาเธอดีไหม นั่นจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า บางทีเธออาจเหนื่อยล้าและต้องการพักผ่อน วันนี้กับการนำอัฐิของอาจารย์ไปหาสถานที่พักสงบชั่วนิรันดร์อาจทำให้เธออ่อนแอ เป็นไปได้ว่ายามนี้เธอกำลังโศกเศร้า ซึ่งเขาควรเข้าใจ และยอมละเลยต่อความต้องการที่เกิดขึ้น หากเป็นเขาเองก็คงอ่อนแอ เขาคงต้องการอยู่คนเดียว ปล่อยเธอไปเสียเถอะ อย่ายุ่งกับเธออีกเลย เพื่อเห็นแก่อาจารย์ เขาควรยอมรับว่าคนอย่างเขาไม่อาจมอบความสุขให้แก่เธอ มีแต่จะทำให้เสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ใช่ในยามเริ่มต้นก็อาจเป็นในช่วงบั้นปลาย เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขากล่าวอำลาผู้หญิงทุกคน เป้าหมายในชีวิตรวมถึงอุดมคติช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เขาจำเป็นต้องเลือก มันทำให้เขาไม่อาจทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ใคร เขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถอยู่เพื่อใครได้อีก แล้วเพราะอะไรกันเล่าที่ทำให้เขาต้องเลือก ในความเป็นมนุษย์ คนเราจะอยู่โดยไม่จำเป็นต้องเลือกเลยไม่ได้หรืออย่างไร เขาครุ่นคิดด้วยอารมณ์หม่นหมอง ซึ่งต่อมาได้ผันแปรเป็นความฟุ้งซ่าน ทำให้เขาต้องเดินออกจากห้องพัก จุดหมายอยู่ที่ล็อบบี้ ที่นั่น เขาตัดสินใจเลือกนั่งบนเก้าอี้สตูลหน้าเคาน์เตอร์บาร์ เวลานั้นบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนหนึ่งกำลังผสมค็อกเทลอย่างประณีต หลังจากแสดงลีลาโยนขวดเหล้าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เดินผ่านไปมา
เขาขอเบียร์ขวดเล็กมาดื่มเงียบ ๆ บาร์เทนเดอร์พยายามหาเรื่องตลกมาชวนคุย เขาแสร้งทำเป็นขบขันเพื่อเอาใจผู้เล่า สักพักหนึ่งชายผู้นั้นก็ยอมแพ้ แล้วหันไปจัดขวดเหล้าหลากยี่ห้อบนชั้นวางด้านหลังแทน คงไม่มีนักเล่าเรื่องตลกคนใดสามารถทำให้หัวใจอมทุกข์ของเขาหัวเราะอย่างเป็นสุขได้ ยิ่งอยู่เมืองไทยนานวันมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งปวดร้าวใจมากเป็นทวีคูณ ความสุขที่ผ่านเข้ามาหายวับไปอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แล้วความคิดคำนึงถึงการได้กลับไปทำงานที่นิวยอร์กก็เข้ามาแทนที่ หลายวันมานี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงภาพใบหน้าของเธอลอยล่องอยู่เสมอทว่าเขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าใบหน้าที่เห็นอยู่เลือนรางนั้นเป็นใบหน้าของใครกันแน่ เธอคนนั้นหรือเธออีกคนหนึ่ง ถ้าทั้งสองรวมเป็นคนเดียวกันได้ก็คงจะดีสินะ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อรับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
เบียร์หมดขวดแล้ว เขาใช้ปากกาลงชื่อในกระดาษที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้ และเมื่อจะเดินจากไปบาร์เทนเดอร์ก็ถามขึ้นเป็นทำนองว่าคืนนี้เขาวางแผนจะออกไปเที่ยวที่ไหน
“ไม่รู้สิ ผมยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ไม่รู้จริง ๆ” เสียงที่หลุดจากลำคอของเขาสั่นเครือราวกับคนป่วยไข้
นาทีต่อเขาก็เดินออกไปข้างนอก มันเป็นการก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเหมือนนักเดินทางผู้อ่อนล้าซึ่งท่องผ่านภูมิประเทศทุรกันดารมานาน นี่ไม่ใช่ผลพวงจากการว่ายน้ำแต่อย่างใด ช่างเถอะ เขาคิด จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดคงไม่สำคัญ เขาเองก็ไม่อยากเข้าใจหรือใส่ใจอะไรอีกแล้ว หัวใจของเขาเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ทว่าคนไร้บ้านย่อมไม่มีที่ให้พักพิงถาวร
ยามนี้บนทางเท้าริมถนนหลานหลวงเกือบจะเรียกได้ว่าว่างเปล่า ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น แตไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มีเพียงหนุ่มสาวสามสี่คนกำลังยืนคุยกันอย่างไม่รู้ทุกข์รู้โศกตรงป้ายหยุดรถโดยสารหน้าร้านขายของเบ็ดเตล็ด เขาเดินผ่านไปโดยมีสะพานผ่านฟ้าซึ่งเห็นลิบตาเป็นเป้าหมายแรก มันช่างดูห่างไกลและรางเลือนราวกับจะก้าวไปไม่ถึง อย่างไรก็ตาม นี่คงเป็นแค่ความรู้สึก เพราะสุดท้ายเขาก็สามารถเดินมาจนถึงสะพานดังกล่าวในเวลาไม่นานนัก เขาข้ามถนนโล่ง ๆ ผ่านด้านหน้าของลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ บางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามซุกซ่อนไว้ภายในใจได้ชักนำให้เขาเดินมาจนถึงถนนแห่งความทรงจำ ไม่มีอะไรให้ทำในคืนนี้อีกแล้ว นอกจากกลับมาที่นี่เท่านั้น
เดินมาจนถึงม้านั่งยาวตัวหนึ่ง เขาทรุดกายนั่งลง สายตาจ้องมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมาบนถนนราชดำเนินกลางอันกว้างใหญ่ พลางสงสัยว่าคนในรถพวกนั้นกำลังเดินทางไปที่ไหนกันหนอ อาจเป็นบ้านแสนสุขอันอบอุ่น บ้านอย่างนั้นหรือ เขาไม่เคยมีบ้านที่นับได้ว่าเป็นบ้านจริง ๆ เลยสักหลัง นั่นทำให้เขาอิจฉาทุกคนที่มีบ้าน แต่แล้วพลันคิดได้ว่ายังมีมนุษย์อีกมากมายนักที่ไม่เคยมีบ้านอันแสนสุข ทั้งหมดล้วนเป็นผู้คนที่เขารู้จักคุ้นเคย ชะตากรรมอะไรกันแน่นะ ถึงได้กำหนดให้ทุกคนมีสภาพเช่นนี้ ต่างเติบโตขึ้นมาอย่างเจ็บปวดในที่พักอาศัยซึ่ง่ไร้เสียงหัวเราะ แล้วยามนี้้เขาก็ได้มาพบคนเหล่านี้อีก เขารู้สึกทรมานขมขื่นยิ่งกว่าการถูกลงทัณฑ์ใด ๆ ได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว ทุกคนน่าจะมีความสุขในวาระที่ได้มาใกล้ชิดกัน เวลาสิบแปดปีอาจจะไม่นานเกินไปสำหรับการรื้อฟื้นมิตรภาพเก่าแก่ขึ้นมาทบทวน และมีความสุขร่วมกันเหมือนเดิม เสียงหัวเราะเบิกบานจะเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ เขาปรารถนาจะรู้เหลือเกิน ต่อหน้าซากของโซนาต้าคลับนี้ ร่างเงาของอดีตซึ่งนอนคุดคู้อยู่ ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนนอันเก่าแก่ คืนนี้มันปราศจากแสงสีเย้ายวนใจและซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่รับรู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งกำลังนั่งมองดูอยู่ บางที…ใช่แล้ว บางทีถ้าเขาเสี่ยงเดินเข้าไปข้างในนั้น ในซากปรักหักพังนั่น เขาอาจไม่พบอดีตใด ๆ ให้รู้สึกเลยก็เป็นได้ เขารับรู้ถึงความปรารถนาให้โซนาต้าคลับกลายเป็นความว่างเปล่า ปล่อยให้มันหายไปจากความทรงจำ ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนประหลาด ทั้งน่ากลัวและเศร้าสร้อย เมื่อไม่คิดถึงมัน มันก็อาจหายไป แล้วทีนี้เขาก็จะมีความสุข ทว่าเอาเข้าจริงเขาก็สำนึกได้ว่าหากมนุษย์คนใดปราศจากอดีตให้ระลึกถึง อนาคตของมนุษย์ผู้นั้นย่อมจะมีแต่ความมืดมัวและเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว ไม่ต่างจากซากชีวิตที่ถูกฝังกลบในป่าช้าของศพไร้ญาติ จะไม่มีใครมาเยี่ยมคารวะวางดอกไม้ หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่ชวนให้รู้สึกว้าเหว่มากเกินกว่าจะทนทานไหวเลยทีเดียว
ถนนราชดำเนินกลางในสายตาของเขาหลังจากห่างเหินไปนานแสนนาน ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงมากนัก กลุ่มอาคารทรงโมเดิร์นคลาสสิกสองฟากฝั่งถนนเคยดำรงอยู่อย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น แม้ทุกวันนี้หลายคูหาของอาคารเก่าแก่จะได้รับการตกแต่งด้านหน้าเพิ่มเติมจนดูแปลกตาไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็พอจะกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของมันยังไม่เปลี่ยนไป
บนท้องฟ้า เมฆดำอุ้มฝนเริ่มตั้งเค้าทะมึนคล้ายอสูรที่เตรียมจะโจมตีมนุษย์ตัวน้อย ลมพัดแรงจนทำให้ต้นไม้สองข้างทางที่เขาไม่รู้จักชื่อสลัดใบหลุดร่วง ใบไม้มากมายปลิวเคว้งคว้างไปในอากาศอันมัวซัว สายลมพัดผ่านร่างของเขาไประลอกแล้วระลอกเล่า กลิ่นอายของความหอมหวานในอดีตฟุ้งตลบ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาได้พลัดพรากจากแถบถิ่นนี้ไปโดยไม่คิดจะหวนคืน แต่แล้วก็มีโอกาสกลับมาเพื่อจะพบว่ามันยังมีตัวตนอยู่ ภาพในอดีตทำให้เขาต้องเผยอยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปอย่างเศร้า ๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองยิ้มให้แก่สิ่งใด อดีตหรือปัจจุบัน ความสุขหรือความทุกข์ ความจริงหรือความฝัน เขาไม่แน่ใจในอะไรเลย ครั้นแล้วก็อยากหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อตระหนักว่ามันอาจไม่มีเหตุผล ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวของความรู้สึกเท่านั้น
ยามนี้เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองมีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันอยู่ในหัวใจ ความทรงจำเก่าก่อนไหลรินมาทักทายเหมือนสหายผู้เคยสนิทสนมกัน มันค่อย ๆ เชี่ยวกรากขึ้นราวกับสายน้ำจากยอดดอยที่หลากลงสู่แม่น้ำและท้องทะเล เขาได้แต่ไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ล่องลอยผ่านมา แม้บางสิ่งจะเป็นความขมขื่นอันยากจะลืมได้ลงก็ตาม เขาเผลอตัวถอนหายใจหนักหน่วง อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลายสิ่งหลายอย่างจึงเปลี่ยนแปลงมากเหลือเกินเมื่อเวลาเดินรุดหน้าไป ในทางตรงกันข้าม บางสิ่งบางอย่างกลับได้รับการเก็บงำรักษาไว้เป็นอย่างดี
เขายังคงดิ่งจมอยู่ในห้วงความคิดคำนึง ราวกับว่าตัวเองอยู่ในโลกนี้ตามลำพัง
*
อาคารปิดตายซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโซนาต้าคลับตั้งอยู่ตรงนั้น นี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเลิกกิจการไปนานแล้ว มันนานเสียจนเขาหลงเชื่อว่าหากได้มาเผชิญหน้ากับร่องรอยในอดีตอีกครั้ง เขาก็คงจะไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่เอาเข้าจริงหัวใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย การได้กลับมานั่งมองซากของโซนาต้าคลับอย่างใกล้ชิด ทำให้ความรู้สึกภายในจิตใจของเขาปั่นป่วนรวนเรอย่างหนักจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ภาพของลูกค้าฐานะดีที่เดินเข้าออกตรงประตูโซนาต้า คลับยามค่ำคืนปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขา ขณะก้าวเข้าไปคนพวกนี้จะพากันเดินตัวตั้งตรงด้วยท่าทางภูมิฐาน ครั้นได้เวลาคืนสู่โลกภายนอกอันปราศจากกลิ่นเหล้าและควันบุหรี่ บรรดานักเที่ยวราตรีกระเป๋าหนักก็จะเดินแบกหน้าอันแดงก่ำโซซัดโซเซออกมาอย่างหมดท่า หลายคนส่งเสียงเอะอะโวยวายตามประสาพวกขี้เมา แม้ข้างกายพวกเขาจะมีหญิงสาวในชุดราตรีประคับประคองอย่างเอาใจใส่ ส่วนพนักงานรับรถซึ่งเป็นผู้ชายที่โดยมากเป็นคนหนุ่มก็รอเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อม ในใจพวกเขาเฝ้าหวังว่าคงได้รับเศษเงินสำหรับจ่ายเป็นค่าอาหารมื้อดึกและค่ารถกลับบ้าน
ทั้งหมดนี้ช่างแจ่มชัดเหลือเกิน เขาไม่สามารถลืมอดีตได้เลยหรืออย่างไร มันยังติดตามหลอกหลอนไปถึงในความฝัน แม้กระทั่งในดินแดนอันห่างไกลอีกฟากหนึ่งของโลก ภาพทั้งหมดล้วนฝังแน่นอยู่ในใจของเขาตลอดมา ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นเขาอยากรู้นัก แต่สมองของเขาว่างเปล่าปราศจากคำตอบใด ๆ เขาทำได้เพียงเฝ้ามองบริเวณด้านหน้าของอาคารที่เต็มไปด้วยอดีตหลังนั้น เขามองผ่านกาลเวลากลับไปสู่ตำนานของโซนาต้าคลับ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นซอยเล็ก ๆ ถัดไปทางซ้ายมือ ซอยที่ว่านี้อยู่ติดกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เขาจำได้ดีว่าตัวเองเคยใช้เป็นทางลัดสำหรับเดินผ่านไปถนนข้าวสารเสมอ และตรงปากซอยนี่เอง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วจะมีร้านขายอาหารตามสั่งบริการแก่ผู้หิวโหยในยามค่ำและต่อเนื่องไปจนเกือบใกล้รุ่ง เขามองเห็นภาพหนุ่มสาวคุ้นหน้าหลายคนกำลังนั่งกินอาหารระหว่างเวลาตีสองถึงตีสามของทุกคืน หลังจากลูกค้าของโซนาต้าคลับได้พากันจากไปหมดแล้ว แสงจากหลอดไฟทังสะเตนสีเหลืองอันเศร้าซึมที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะอาหารสาดส่องใส่ร่างของพวกเขา หนุ่มสาวผู้ซึ่งในชีวิตพยายามแสวงหาทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ ในสังคม แม้ว่าในบางคืนอาจจะมีเพียงแค่เสียงร้องไห้ก็ตาม ถึงอย่างไรนั่นก็คือชีวิตที่แท้จริง
เขาเศร้าใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เวลาสิบแปดปีแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย โดยเฉพาะเมื่อต้องมานั่งเผชิญหน้าอยู่กับอดีตอย่างใกล้ชิด
“หรือว่านี่คือเรื่องราวของชีวิตที่มนุษย์อย่างเราควรยอมรับ ไม่ว่ามันจะงดงามแก่หัวใจ หรือก่อให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสเพียงไหน เราก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้” เขาพึมพำออกมา บนท้องฟ้ากระแสลมยังคงพัดแรง เขานั่งไม่ไหวติงราวกับรูปสลักหินอยู่เป็นเวลานาน เอาแต่จับจ้องอาคารฝั่งโน้นด้วยดวงตาเศร้าสร้อย พลันก็สงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง เขาคิดดีแล้วหรือที่จะทำตามแรงปรารถนาต่อไป แต่ทำเพื่ออะไรและด้วยเหตุผลใดกันล่ะ หรือว่าเมื่อลงมือกระทำจนสำเร็จแล้ว มันจะทำให้คนอย่างเขามีความสุขอย่างแท้จริงขึ้นมาบ้าง จริงอยู่ว่าเขาคาดเดาไม่ได้ รู้เพียงแค่ขณะนี้ตัวเองมีความต้องการที่จะได้พบใครสักคนหนึ่ง ส่วนเหตุผลว่าพบเพื่ออะไรนั้น เขาหมดหวังกับการค้นหาคำตอบนี้มานานแล้ว แม้จะเชื่อว่ามนุษย์อาจหาเหตุผลให้แก่การกระทำของตัวเองได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเสริฐหรือสามานย์สักเพียงไหนก็ตาม เพื่อการนี้มนุษย์เราย่อมตระเตรียมเหตุผลไว้พรักพร้อมตลอดเวลา แต่…ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่างเที่ยงแท้ เขาก็อยากได้เหตุผลสักข้อหนึ่งไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้างเหมือนกัน
หลายวันก่อนในห้องพักของโรงแรม หลังจากลงทะเบียนเข้าพักตอนเที่ยงวัน เมื่อได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยดีแล้ว ขณะยืนมองทัศนียภาพของเกาะรัตนโกสินทร์จากระเบียงด้านหลังห้องพัก เขาครุ่นคิดยาวนานด้วยความอยากรู้ว่า หากอาจารย์ผู้มีพระคุณยังมีชีวิตอยู่ เขาจะตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทยหรือไม่ การคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนหลังจากห่างหายไปนานเป็นเพราะคำสั่งเสียของอาจารย์แต่เพียงประการเดียวอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านั้นหลายต่อหลายครั้งที่เขาเคยคิดจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกเสียกลางคันทุกครั้งไป เขามักเตือนตัวเองว่าจะกลับไปทำไมล่ะ มีใครต้องการพบเขาอย่างนั้นหรือ หากแม้นเขาต้องการกลับไปเพื่อจะพบกับความว่างเปล่าอันน่ากลัว หรือความรู้สึกโดดเดี่ยวอันแสนโหดร้าย ก็จงรีบกลับเมืองไทยเสียในทันที เป็นเพราะเหตุใดเขาจึงคิดไปได้ถึงขนาดนั้น เขาทบทวนความทรงจำอย่างไม่เข้าใจ บางทีนั่นอาจเป็นการเสแสร้งไม่ยอมเข้าใจ และหลังจากได้จัดการธุระให้อาจารย์จนเรียบร้อยดีแล้ว เขาค่อยโล่งใจคลายกังวล ความจริงมันไม่ใช่ภารกิจที่ลำบากยากเย็นแต่ประการใดเลย เพียงแค่นำกล่องไม้สนเล็ก ๆ ภายในบรรจุอัฐิของอาจารย์ไปมอบแก่เธอที่บ้านหลังใหม่อันเป็นสถานที่ซึ่งตัวเขาเองหรือแม้แต่อาจารย์ก็ไม่เคยไปมาก่อน นอกจากนั้นยังมีภาพเขียนสีน้ำมันขนาดค่อนข้างเล็กที่อาจารย์บรรจงวาดไว้เป็นภาพสุดท้ายเพื่อมอบให้เธอเป็นที่ระลึก
ภาพเขียนนั้นงดงามเหลือเกิน เขาหลับตาเห็นทะเลสาบสีน้ำเงินในบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝัน อาจารย์ใช้มุมมองจากชะง่อนผาบนภูเขา ท่านเคยบอกว่าเขียนขึ้นจากความทรงจำ เขารับรู้ในเวลาต่อมาว่าแท้ที่จริงนั่นเป็นฉากทะเลสาบแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเมืองไทย ในความงดงามอย่างไม่ต้องสงสัยนั้น เธอคงได้เห็นและรับรู้ คิดถึงตรงนี้แล้วภายในหัวใจของเขาก็ไหววูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับสงสัยว่าเธอจะเคยรู้ตัวบ้างไหม ว่าดวงตาของเธอก็งดงามไม่แพ้กัน หรืออาจจะยิ่งกว่า เขาพยายามลืมดวงตาคู่นั้นด้วยความละอายแก่ใจ พยายามบังคับตัวเองให้นึกถึงแต่ภาพเขียนของอาจารย์อีกครั้ง จากคำบอกเล่าทำให้เขารู้ว่าภูมิประเทศในภาพเขียนดังกล่าวคือสถานที่ซึ่งอาจารย์เคยพาลูกสาวตัวน้อยไปว่ายน้ำเล่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องอำลาจากกันเพียงไม่กี่วัน โดยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าจะมีโอกาสพบกันอีกหรือไม่ นี่คือความจริงอันแสนเศร้าของมนุษย์สองคน คนหนึ่งล่วงลับไปแล้ว ขณะที่อีกคนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่
เขารู้สึกร่วมรับรู้ไปกับความเศร้าของคนทั้งสอง ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เขามักจะสัมผัสได้ถึงความเศร้าอยู่เสมอ ราวกับตัวเองได้เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของเธอและอาจารย์ อาจเป็นด้วยเข้าใจดีว่าการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักนั้น หากรู้แน่ชัดว่าจะไม่ได้พบกันอีก ย่อมสร้างความรวดร้าวเกินกว่าความสุขใด ๆ จะเยียวยารักษาได้
“ฝนใกล้จะตกแล้วซีนะ”
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆฝนหนาหนักเตี้ยต่ำยิ่งกว่าเดิม เขามองดูด้วยความกังวลเล็กน้อย ขณะใช้สองมือเสยเส้นผมยาวเคลียบ่าซึ่งปลิวปิดหน้าปิดตาเพราะกระแสลมอันเย็นชื้น เขาตัดใจจากภาพอดีตของโซนาต้าคลับ รีบลุกขึ้นยืน แล้วโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ทันทีที่มันแล่นเข้ามาจอดเทียบทางเท้า เขาเปิดประตูด้านหลังแล้วมุดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ไปลาดพร้าว”
เขากดปุ่มข้างประตูลดกระจกหน้าต่างลงครึ่งหนึ่ง กลิ่นอายยามค่ำคืนของเมืองหลวงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับกระแสลมแรง เขาระลึกถึงกลิ่นหอมอันคุ้นเคยนี้ มันอบอวลอยู่ในความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างเธอกับเขานั่นเอง
*
เธอขับโลตัสสีดำคันงามไปตามท้องถนน รู้สึกหงุดหงิดใจกับสภาพการจราจรในช่วงหัวค่ำอย่างนี้ ภาพของยวดยานน้อยใหญ่ซึ่งพยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้าทำให้เธอเบื่อหน่าย มีเสียงแตรดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ๆ สองข้างถนนเต็มไปด้วยผู้คนสาวเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบทว่าเธอไม่รู้จักใครเลย นี่คือโลกของคนแปลกหน้าโดยแท้ และไม่อาจหันหน้าไปปรึกษาพูดคุยได้ เป็นโลกที่ทำให้เธออยากพบหล่อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน นั่นทำให้เธอตัดสินใจเลี้ยวรถกลับเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง จากนั้นสักครู่หนึ่งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบคว้าโทรศัพท์เคลื่อนที่มากดปุ่มปิดการทำงาน เธอไม่ต้องการให้เขาโทรศัพท์มารบกวนในเวลาเช่นนี้
แสงจากหลอดไฟนานาชนิด ทั้งจากด้านหน้าอาคารริมถนนและจากยานยนต์ประเภทต่าง ๆ เหมือนจะเตือนให้เธอระลึกว่าชีวิตประจำวันได้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่คืนนี้แตกต่างออกไป มันไม่เหมือนคืนก่อน ๆ ก็ตรงที่เธอไม่ได้มุ่งหน้าไปเดอะวอร์ จุดหมายปลายทางคือบ้านของหล่อนซึ่งอยู่ไกลถึงพุทธมณฑล เธอกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยหัวใจรุ่มร้อน หัวใจที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความสงสัยใคร่รู้ และมีแต่หล่อนเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้
เธอทบทวนความจำถึงเส้นทางที่จะพาไปที่นั่น สองสามปีมานี้เธอไม่เคยแวะเวียนไปหาหล่อนเลย ไม่ได้แม้แต่จะโทรศัพท์หากัน มันเกิดอะไรในมิตรภาพขึ้นอย่างนั้นหรือ เธอไม่แน่ใจนัก หากแต่ก็ยังได้รับรู้ถึงความเป็นไปของหล่อนอยู่เสมอ แม้จะรู้เท่าที่ออกจากปากของเขาก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องถูกต้อง เมื่อตกลงใจจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนหล่อนถึงบ้าน แม้จะไม่มีการนัดหมายไว้ก่อน เพื่อนนั้นถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเพื่อนอยู่เสมอ เธอคิดว่าหล่อนคงตระหนักถึงความจริงข้อนี้ และไม่ปฏิเสธการพบกัน
“ใช่ไหมจ๋า เธอน่าจะดีใจที่ได้พบฉัน”
คืนนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่รู้จักเธอ ไม่บ่อยนักหรอกที่เธอจะขับรถออกนอกเส้นทางไปไหน นานมาแล้วที่กิจวัตรประจำวันดำเนินไปอย่างเรียบง่าย อย่างน้อยก็หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้อุปถัมถ์คนสุดท้ายจบสิ้นลงเมื่อราวห้าปีก่อน เธอกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก ถ้าเป็นลูกค้าที่เข้ามากินดื่มในเดอะวอร์ หากเลี่ยงไม่ได้ เธอก็จะต้อนรับและพูดคุยด้วยตามมารยาทเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หน้าที่ดูแลร้านและลูกค้าตกอยู่กับเขาโดยตรง
ในแต่ละคืนเธอมักจะนั่งอยู่ตามลำพังบนชั้นลอยของเดอะวอร์ซึ่งไม่ค่อยมีลูกค้าขึ้นไปใช้บริการมากนัก ชีวิตที่เหลืออยู่ดำเนินไปอย่างเงียบเหงา แต่เธอชินชากับความรู้สึกว่างเปล่านี้เสียแล้ว เธอชื่นชอบการนั่งอยู่คนเดียวภายใต้แสงสลัว จนกว่าเดอะวอร์จะสงบลง ร้านรวงได้รับการทำความสะอาด รายรับรายจ่ายแจกแจงถูกต้อง นั่นจึงได้เวลากลับบ้าน สถานที่อันโดดเดี่ยวที่สุดแห่งหนึ่งในชีวิตของเธอ
บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ในย่านที่เรียกกันว่า“ทาวน์อินทาวน์” ห่างจากถนนลาดพร้าวเข้าไปไม่มากนัก ทันทีที่ถึงบ้านเธอจะรีบอาบน้ำแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดนอน อาจดื่มบรั่นดีอีกเล็กน้อยก่อนจะหันไปอ่านหนังสือเล่มโปรดอย่างเอาจริงเอาจัง เธอจะเข้านอนก็ต่อเมื่อฟ้าสาง มาตื่นอีกทีก็ตอนบ่ายเพื่อรับประทานอาหารมื้อแรกของวันซึ่งทำอย่างง่าย ๆ ตามปกติก็ไม่พ้นกาแฟดำกับขนมปังปิ้งสักแผ่นสองแผ่น หรือไม่ก็อาจเป็นข้าวต้มปลาที่เธอทำขึ้นเองในครัว เธอไม่คิดจะหาคนรับใช้มารองมือรองเท้าอีกแล้ว เธอไม่ชอบสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนพวกนั้น จึงตัดสินใจทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้กระทั่งการซักรีดเสื้อผ้าโดยไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ จากนั้นเวลาช่วงเย็นก็จะหมดไปกับการอ่านหนังสือต่อเนื่องจากตอนกลางคืน และเมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรงเธอก็จะขับรถไปเดอะวอร์
นี่คือความซ้ำซากในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้เธอจะยังคงเป็นที่หมายปองของบรรดาหนุ่มน้อยใหญ่มากมาย แต่เธอไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครอีก ราวกับว่าเธอกำลังรอใครคนหนึ่ง แม้จะเป็นการรอคอยอันเปล่าเปลี่ยวชวนให้สิ้นหวังก็ตาม
“ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาฉัน”
เธอไม่อายเลยที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง แน่นอน เขากลับมาหาเธออย่างไม่ต้องสงสัย เธออดยิ้มออกมาไม่ได้ ในความร้อนรนอยากไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด เธอก็ยังสามารถค้นหาและเก็บเกี่ยวความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ มาชื่นชมได้ ขอเพียงมีเขาเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น
ในที่สุดความทรงจำเก่า ๆ ก็พาเธอเดินทางมาถึงหมู่บ้านแสงจันทร์อีกครั้งหนึ่ง เธอหยุดรถบริเวณหน้าบ้านหล่อนด้วยอาการลังเลเล็กน้อย เวลานี้เพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น แสงจากโคมไฟในบ้านและที่หัวเสาประตูรั้วส่องสว่างเป็นสีเหลืองแลดูอบอุ่น เธอลงจากรถพลางถือวิสาสะลองขยับประตูรั้ว แต่พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้จากด้านใน เธอยิ้มชอบใจในความระมัดระวังตัวของหล่อน ตามประสาผู้หญิงที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง เธอกดกริ่งไฟฟ้าสองครั้งหล่อนก็เปิดประตูบ้านเดินออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ไม่มีร่องรอยแสดงความประหลาดใจบนใบหน้าให้เห็นแม้แต่น้อย จนเธอต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง
“นึกยังไงจ้ะบัว ถึงได้มาหาจ๋าเอาค่ำมืดแบบนี้”
“คงเพราะคิดถึงเธอมั้งจ๋า” เธอพูดยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงร่าเริง พยายามทำให้ทุกอิริยาบถเป็นธรรมชาติ โดยปกปิดเล่ห์เหลี่ยมบางประการเอาไว้ให้ลึกที่สุด
เมื่อประตูรั้วเปิดออก เธอเดินตรงเข้าไปภายในบ้านและนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง สายตาสำรวจไปรอบ ๆ แล้วพบว่าไม่ค่อยจะมีสิ่งใดเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางไปมากนัก หากเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ จอมอนิเตอร์บนโต๊ะทำงานของหล่อนและเครื่องรับโทรทัศน์เปิดอยู่ หล่อนคงกำลังทำงานและเธอมาขัดจังหวะ
“ฉันมาเบียดบังเวลาเขียนหนังสือของเธอหรือเปล่า”
พูดจบเธอก็หัวเราะเบา ๆ พลางยกขาขึ้นไขว้ทับขาอีกข้าง แล้วเอนหลังลงไปบนพนักพิงตามสบาย ขณะนั้นหล่อนได้แต่ยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วมาให้ เธอรับมาจิบช้า ๆ ราวกับต้องการประวิงเวลา
“เธอช่างมีชีวิตที่เรียบง่ายดีเหลือเกิน ฉันอิจฉาเธอจริง ๆ นะจ๋า ถ้าโลกนี้คือโรงละครอย่างที่นักปราชญ์ท่านว่า ฉันก็อยากขอแลกบทบาทกับเธอ” กล่าวจบเธอก็วางแก้วลงบนโต๊ะกระจกสีชาทรงเตี้ยเบื้องหน้า
“ไม่จริงหรอกจ้ะ บัวคงไม่ได้คิดอย่างนั้นแน่ บัวน่าจะรู้ว่าถ้าเราต้องสวมบทชีวิตเป็นใคร ชีวิตในบทนั้นก็ยังทำให้เราเป็นทุกข์ได้เสมอ ไม่มีบทไหนที่จะเป็นสุขอย่างแท้จริง”
หล่อนทอดตาลงต่ำ ขณะที่เธอพูดอะไรไม่ออก แม้อยากถามหล่อนว่านี่คือความจริงที่หล่อนค้นพบเองใช่ไหม โลกได้สอนหล่อนด้วยบทเรียนอันจริงแท้แน่หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง ความทุกข์ก็คงสุมอยู่ทั่วทุกซอกมุมภายในหัวใจของทุกคน แล้วเธอจะอยู่เพื่อรับรสขมประหนึ่งยาพิษของมันต่อไปอีกทำไม อย่างไรก็ตามสุดท้ายเธอก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้ แต่เพื่ออะไร นี่สิ เพื่อความใฝ่ฝันอันไร้สาระอย่างนั้นใช่ไหม หรือเพื่อเฝ้ารอรับสิ่งดี ๆ ที่จะตกอยู่แก่ผู้สามารถรอคอยด้วยใจอดทน
สำหรับเธอแล้ว ชื่อเสียงเป็นส่วนเกินในการดำรงชีวิต คนเราต้องการเงินเพื่อซื้ออาหาร เสื้อผ้า บ้าน และข้าวของเครื่องใช้ตามรสนิยม ที่เหลือนอกจากนั้นก็เป็นเพียงส่วนเกิน เธอจึงเลือกที่จะสะสมเงินทอง เรื่องนี้ใครก็รู้และทำกัน แต่ดูเอาเถอะ หล่อนกับเขาไม่สนใจเงินทองเอาเสียเลย ชื่อเสียงประการเดียวที่ดูจะเป็นยอดปรารถนา แล้วจะต้องการชื่อเสียงไปเพื่ออะไรกันเล่า เพื่อให้คนรุ่นหลังยอมรับถึงการมีตัวตนอยู่ใช่ไหม เธออยากหัวเราะเยาะให้กับคนที่แสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงอันไม่คงทน แต่เธอก็ไม่อยากหมิ่นแคลนเขา เธอไม่ควรทำเช่นนั้น แม้ความยึดติดเรื่องชื่อเสียงและความสำเร็จจะทำให้เขาต้องจากเธอไปนานเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะลองคิดในแง่มุมไหน ชื่อเสียงในความคิดของเธอยังคงเป็นเพียงแค่ความจอมปลอมอันไม่ยั่งยืน เธอบอกกับตัวเองเสมอว่าในบรรดาเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง เธอสนใจอย่างหลังมากที่สุดเพื่อเป็นหลักประกันในชีวิต แล้วเธอก็สามารถไขว่คว้าหามันมาได้โดยไม่ต้องเฝ้าใฝ่ฝัน หรือวิ่งตามหาด้วยความยากลำบากอย่างที่หลายคนเป็นกัน แต่วันนี้เงินทองที่เธอมีอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรอีกแล้ว
“ฉันอิจฉาเธอจริง ๆ นะจ๋า”
คำพูดที่เธอกล่าวแก่หล่อนนี้ ใครได้ฟังก็คงคิดว่าเธอพูดเล่นเพราะเธอร่ำรวยกว่า แถมยังคงดูสะสวยกว่า มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่าตัวเองอิจฉาเพื่อนคนนี้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย เธอจำได้ดีถึงความปรารถนาที่จะมีโอกาสเหมือนอย่างหล่อนบ้าง โอกาสซึ่งใช้เงินหาซื้อไม่ได้ หากเธอมีวันนั้นเช่นเดียวที่หล่อนเคยมี เธอสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นที่หล่อนได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างแน่นอน
ชีวิตเอ๋ย ทำไมถึงไม่ให้โอกาสฉันได้รู้จักความสมหวังบ้าง เธอรำพึงอยู่ในใจ ยามนี้ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำเหมือนทุกครั้งที่นึกถึง เธอรู้สึกสะทกสะท้อนใจ สงสารและอิจฉาอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน
“เป็นอะไรไปจ้ะบัว เงียบไปเลย แล้วมาถึงนี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”
ใบหน้าของหล่อนดูอวบอิ่ม ดวงตากลมโตมีประกายใสซื่อที่หลงเหลือมาจากวัยสาว เรือนผมซึ่งมุ่นเป็นมวยไว้ด้านหลังทำให้หล่อนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง ผิดไปจากภาพของเด็กสาวครั้งเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในห้องครัวของโซนาต้าคลับ แม้กระนั้นกิริยาท่าทางก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หล่อนกำลังวางมือทั้งสองลงบนหัวเข่าที่เบียดชิดกัน นี่คือท่านั่งอันคุ้นตายิ่ง เธอจ้องมองมืออวบอูมขาวซีดคู่นั้นจึงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทาสีเล็บ ผิดกับเธอที่ชื่นชอบการไว้เล็บยาว และแต่งแต้มด้วยสีสันต่าง ๆ ตามแต่อารมณ์จะพาไป “พูดตามตรงก็ได้ ฉันมานี่ก็เพื่อถามเธอถึงเรื่องของพี่โอมเขา…เขามาหาเธอใช่ไหม แล้วมาธุระเรื่องอะไร” เธอพยายามถามด้วยน้ำเสียงปกติ แม้จะรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องยากเย็นราวกับกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า
หล่อนยิ้มแล้วย้อนถามว่า “แปลกหรือจ๊ะ ที่ผู้ชายคนนี้จะมาหาจ๋าเป็นคนแรก”
เธอสะดุ้งอยู่ในใจ พลางคิดว่านั่นไงล่ะ เธอได้แต่พยายามสงบจิตใจ แม้มันจะยากเย็นยิ่งขึ้นทุกทีก็ตาม
“พลเขาเคืองนะเรื่องนี้ ที่เธอไม่ยอมบอก ปล่อยให้เขารู้จากพี่โอมเอง”
“งั้นหรือจ๊ะ เอ๊ะ พี่พลไม่เห็นพูดอะไรนี่ ตอนหัวค่ำก่อนไปทำงานก็เห็นเฉย ๆ จ๋าเพิ่งนะรู้ว่าเขาไม่พอใจ แต่ช่างเถอะจ้ะ พี่โอมแค่มาที่นี่เพื่อแวะเอารูปมาให้ แล้วก็ถามถึงข่าวคราวต่าง ๆ”
“รูปอะไรหรือจ๋า ขอฉันดูหน่อยได้มั้ย”
“บัวอยากดูหรือจ๊ะ แต่…อย่าเพิ่งดูได้ไหม มันไม่ค่อยสะดวกนักหรอก จ๋าเอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแล้ว พูดตามจริงก็ไม่จำเป็นด้วย เพราะคงเหมือนกับที่พี่โอมจะให้บัวนั่นแหละ เป็นภาพพิมพ์ผลงานของพี่โอมเอง เขาเตรียมมาให้พวกเราทุกคน จ๋าคิดว่าบัวได้รับแล้วเสียอีก นี่แสดงว่าพี่โอมยังไม่ได้ไปที่เดอะวอร์งั้นซีนะ อ้าว แล้วทำไมบัวถึงพูดเหมือนกับว่าพี่โอมกับพี่พลได้คุยกัน”
หล่อนคงไม่ได้โกหกหน้าซื่อ หล่อนไม่รู้เรื่องที่เขาแวะไปที่ร้านของเธอจริง ๆ น่าแปลกที่สุด เธอคิด หล่อนน่าจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ช่างเถอะ เธอไม่อยากสนใจกับปัญหาของคนอื่น เวลานี้เธอต้องการเห็นภาพพิมพ์ดังกล่าวมากกว่า ทว่าไม่อยากรบเร้าหล่อนจนผิดสังเกต เธอถนัดเหลือเกินกับการรอคอย และจะคอยจนกว่าจะได้เห็นภาพนั้น เมื่อเขามอบให้เธอด้วยมือของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจของเธออยู่ เพราะเหตุใดเขาถึงได้มาหาหล่อนเป็นคนแรก เขารู้จักบ้านหลังนี้ได้อย่างไร หรือว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนแอบติดต่อกันเรื่อยมา แต่จะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ มีเรื่องใดอีกที่เธอยังไม่รู้บ้าง ทำไมหล่อนถึงได้มีความสำคัญกับเขามากมายถึงเพียงนั้น เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ เรื่องราวระหว่างหล่อนกับเขาจบลงไปนานแล้ว นับจากเหตุการณ์ที่ทำให้หล่อนต้องระทมทุกข์แสนสาหัส เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เธอสงสารหล่อนตามประสาลูกผู้หญิง แต่ก็อดอิจฉาไม่ได้ด้วยความเป็นผู้หญิงอีกเช่นกัน
สมัยก่อนเธอเคยสงสัยว่าเขาเป็นผู้ชายแท้หรือเปล่า เพราะช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องพัก ระหว่างนั่งเป็นแบบให้เขาวาดรูปสีน้ำมันอยู่นั้น เขาช่างดูสงบนิ่งเหลือเกิน แม้จะมองเห็นร่างของเธอเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า ร่างที่ผู้ชายนับไม่ถ้วนเคยเอ่ยปากชื่นชมในความงาม แต่ในห้วงเวลานั้้น ที่ความสาวความสวยของเธออบอวลอยู่ในห้อง และเป็นประกายอยู่ในดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยสุนทรียภาพของเขา ไม่มีอาการหื่นกระหายดังเช่นชายอื่นที่มีโอกาสได้พบเห็นเธอ ได้สัมผัสเธอ เขาสงบนิ่งเสมอ แล้วมอบสมาธิแน่วแน่ให้แก่งานศิลปะบนผืนผ้าใบ เขาไม่ได้มองเธอด้วยจิตพิศวาส เลยแม้น้อย เธอรู้สึกเช่นนั้นหลังจากได้เห็นแววตาของเขาหลายต่อหลายครั้ง ดูเหมือนว่าภายในใจของเขาจะมีแต่ความงามที่ก่อเกิดจากร่างของเธอ ภาพเปลือยทุกภาพที่เขียนเสร็จแล้วล้วนงดงามยิ่งนัก บริสุทธิ์อย่างล้นเหลือราวกับภาพผู้หญิงคนแรกของโลกในห้วงเวลาที่ยังไม่ได้กินผลรู้ดีรู้ชั่วเข้าไป โชคดีเหลือเกินที่เธอได้สิทธิ์ครอบครองภาพหนึ่งด้วยการร้องขอ
ในแต่ละวันเธอเฝ้ามองดูภาพวาดของตัวเอง ใช่แล้ว เธอเฝ้ามองภาพนั้นเสมอ บนผนังห้องนั่งเล่นตรงข้ามกับโซฟาตัวโปรด เมื่อเธอทอดตาชมภาพดังกล่าวก็รู้สึกได้ถึงความสงบเย็น ไม่เร่าร้อนอย่างที่เคยปรารถนาจะให้เกิดขึ้น นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธออิจฉาผู้หญิงตรงหน้า หล่อนผู้ซึ่งไม่อาจพูดได้ว่ามีความงามเท่าเทียมกับเธอ ทว่าก็สามารถเล็ดลอดผ่านเข้าไปในม่านบาง ๆ ที่เขาชอบสร้างขึ้นยามต้องอยู่กับเธอตามลำพัง เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างหล่อนกับเขาสร้างความร้าวรานใจให้กับเธอตลอดมา แต่สุดท้ายความสงสารก็มีชัยชนะเหนือความอิจฉา เธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงต้องตัดสินใจทำเรื่องร้าย ๆ ด้วย หล่อนควรเก็บรักษาชีวิตบริสุทธิ์นั่นเอาไว้ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความรัก ความรักอย่างนั้นหรือ เธอไม่คิดว่าเขาเคยรักหล่อน แต่เอาเถอะ อย่างน้อยหล่อนก็เคยรักผู้ชายคนนี้ มันทำให้หล่อนได้รับโอกาส แต่สุดท้ายก็ยอมผลักไสมันออกไป ชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตหนึ่งต้องดับสลายไปตั้งแต่ยังไม่มีใครได้เห็นหน้า ได้กอดจูบและได้เอ่ยคำว่า“ลูก”ออกไป ราวกับเป็นเพียงเลือดเนื้อแปลกปลอมซึ่งต้องถูกขว้างทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
“พี่โอมเป็นอย่างไรบ้าง เขาสบายดีใช่ไหม บอกเธอตามตรงนะจ๋า พี่โอมไปที่เดอะวอร์มาแล้ว แต่เรายังไม่ได้คุยกัน”
“ไม่ได้คุยกันหรือจ๊ะ เกิดอะไรขึ้น นี่แสดงว่าบัวหลบหน้าพี่โอมใช่ไหม ใช่จริง ๆ ด้วย ทำไมล่ะจ๊ะ บัวไม่รู้หรือว่าที่เขามาหาจ๋าก่อนเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะสามารถหาที่อยู่ของจ๋าได้ง่ายกว่าเท่านั้นเอง”
คำพูดของหล่อนเหมือนจะล่วงรู้ถึงความคิดของเธอ
“อย่างนั้นเองหรอกหรือ” เธออดยิ้มไม่ได้ “แล้วยังไงต่อล่ะ จ๋ายังไม่ได้เล่าเลย ว่าพี่โอมเป็นยังไงบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยเถอะ ฉันอยากรู้”
“พี่โอมสบายดีจ้ะ งานการก็ก้าวหน้ากว่าแต่ก่อน มีตัวตนมีที่ทางในโลกของเขามากขึ้น ส่วนเรื่องครอบครัว ตอนนี้คงยังโสดเหมือนเดิม ก็อย่างที่บัวเคยรู้นั่นแหละ พี่โอมไม่เคยคิดอยากมีครอบครัวจริงจัง เขาเกือบจะรักใครไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่…อย่าทำหน้าอย่างงั้นสิจ๊ะ จ๋ามองออกนะหลังจากที่เคยตาบอดมาก่อน พี่โอมเขาอยากพบบัวมากที่สุด บัวน่าจะเป็นผุ้หญิงคนเดียวที่พี่โอมคิดถึงเสมอ แม้จะไม่บอกออกมาเป็นคำพูดก็ตาม พอใจแล้วใช่ไหมจ๊ะที่ได้ยินอย่างนี้ จ๋าไม่ได้หลอกให้บัวดีใจเล่น ๆ นะ แค่พูดออกไปตามที่รู้สึก…”
แววตาของหล่อนคล้ายมีแววสมเพชเธอ แต่เธออาจจะคิดมากไปเอง ไม่เป็นไร หล่อนจะรู้สึกอย่างไรก็ช่างเถิด ดีเท่าไหร่แล้วที่คำพูดของหล่อนทำให้เธอชื่นใจจนบอกไม่ถูก เขายังคิดถึงผู้หญิงอย่างเธออยู่หรือ จริงสิ หาไม่แล้วเขาจะไปที่เดอะวอร์ทำไมกันล่ะ ท่าทางของเขาตอนที่เดินจากไปเมื่อคืนก่อนช่างดูเศร้าเหลือเกิน เธอรู้สึกผิดที่ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ด้วยการหลบลี้หนีหน้าเขา ยามนี้เธอต้องการแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เธออยากมีโอกาสได้พบเขาเพื่อพูดคุยกันถึงวันเก่า ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม โดยข้ามตอนที่มีแต่ความปวดร้าวไป เสมือนหนึ่งว่าทุกคนลืมเรื่องเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้ว
“ขอบใจจ๋ามากที่ช่วยเล่าให้ฟัง แล้วยังให้กำลังใจอีกด้วย แต่ฉันคิดว่าเธอคงเข้าใจผิดเรื่องนั้นมากกว่า พี่โอมไม่มีทางคิดถึงฉันหรอก ฉันรู้ตัวดีว่าไม่เคยมีค่าพอในสายตาของเขา”
“อย่าพูดแบบนั้นซีจ๊ะ จ๋าแน่ใจว่าสิ่งดี ๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับบัว สิ่งที่วิเศษและงดงามที่สุดจะเป็นของบัว จ๋ามั่นใจ ไว้เจอพี่โอมเมื่อไหร่ บัวก็ถามให้รู้เรื่องกันไปเลย ถ้าเขาปากตรงกับใจเรื่องก็คงง่ายขึ้น ถึงที่สุดแล้วบัวก็น่าจะย้ายไปอยู่อเมริกากับพี่โอมเสียเลย ไม่ต้องจากกันอีก อย่างนี้ดีไหม”
เธออดยิ้มไม่ได้ คำพูดของหล่อนทำให้หัวใจพองโต เธออยากให้เรื่องนี้เป็นความจริงเหลือเกิน บางทีการรอคอยด้วยใจอดทนก็อาจตอบแทนมนุษย์เราด้วยรางวัลอันยิ่งใหญ่ เธอเองไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านั้นอีกแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป คนเราก็อาจเรียนรู้ข้อผิดพลาดจากชีวิตในอดีต เป็นไปได้ว่าเขาจะอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเสียที เธอคิดด้วยความมั่นใจมากขึ้น หากได้พบกันและได้รื้อฟื้นความสนิทสนมให้กลับคืนมาอีกครั้ง ความฝันของเธอก็อาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ และหากเธอไม่ใช่คนที่หลอกลวงตัวเองมากจนเกินไป เธอคงไม่ต่างจากหล่อนที่เคยล่วงรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้เช่นกัน ทว่าในอดีต การล่วงรู้ที่ว่านี้ทำให้เธอต้องเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ เธอเป็นเพียงปุถุชนที่ย่อมชอกช้ำแสนสาหัสเมื่อพลัดพรากจากคนที่ตนรัก แต่ลืมอดีตเสียเถอะ เธอพยายามเตือนตัวเอง ขณะนี้เขาได้หวนกลับมาแล้ว และจะชดเชยให้แก่เธออย่างล้นเหลือ เธอมั่นใจว่าจะไม่มีใครมาช่วงชิงเขาไปจากเธอได้อีก แต่แล้วความมั่นใจซึ่งก่อตัวขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริงอาจไม่เคยมีใครทำได้ การที่เขาครองตัวอยู่เป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้แสดงให้เห็นอยู่แล้ว แต่เอาเถอะ หยุดคิดถึงในสิ่งที่จะทำลายความหวังดีกว่า ขอเพียงมีความหวัง ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปได้
อีกครั้งที่เธอรับรู้รสชาติของความเศร้า มันกำลังรวยรินเหมือนลมหายใจที่เธอทอดถอนออกมา เธอขมขื่นใจเมื่อตระหนักว่าเธอชอบหาเหตุผลมาหลอกลวงตัวเองตามประสามนุษย์คนหนึ่ง เพื่อสร้างความหวังหรือความชอบธรรมให้แก่สิ่งที่ตนปรารถนา แต่ทันใดนั้นเองเธอก็ยิ้มออกมา เมื่อระลึกขึ้นได้ว่านี่คือคำพูดที่เขาเคยกล่าวให้เธอฟังเมื่อนานมาแล้ว
เธอพยายามจดจ่อคิดแต่เรื่องราวปัจจุบัน ทว่าก็ยังเป็นกังวลถึงสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ในความเคร่งเครียด เธออยากล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบเพื่อผ่อนคลายความกดดัน แต่ก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ไม่เป็นไร ไม่สูบก็ได้ เธอคิดในแง่ดี เขาเคยขอให้เธอเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนที่สนิทสนมกัน เธอไม่เคยทำได้ บางทีน่าจะอาศัยโอกาสนี้หยุดสูบเสียที มันไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้เธอสามารถอยู่ตามลำพังได้นานขึ้น นอกเหนือไปจากนี้ก็มีแต่โทษ เขาอาจดีใจถ้ารู้ว่าเธอสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จโดยมีเขาเป็นแรงบันดาลใจ
“มัวแต่พูดเรื่องพี่โอม ฉันยังไม่ได้ถามเรื่องจ๋าบ้างเลย เธอสบายดีใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ จ๋าก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับการเขียนหนังสือ เพราะมันเป็นความฝันและความหวังประการเดียวของจ๋าที่ยังคงเหลืออยู่ จ๋าไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว…”
น้ำเสียงสั่นไหวของหล่อนทำให้คำพูดทั้งหมดเป็นการโกหกที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย เธอบอกตัวเอง หล่อนกับเธอคงรู้จักกันมากเกินไป มากเสียจนไม่สามารถใช้ลิ้นแห่งความลวงเจรจาต่อกันได้
“จ๋าไม่คิดจะมีเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นในบ้านบ้างหรือ บ้านจะได้เป็นบ้านมากขึ้นไงล่ะ เสียงของเด็กทำให้โลกมืด ๆ ใบนี้สว่างขึ้นได้นะ ฉันยังอยากมีซักคน น่าเสียดาย…”
“ไม่หรอก จ๋าไม่คิดจะมีอีก ไม่…ไม่เคยคิดมานานแล้ว”
เธอรู้สึกเสียใจว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นเธอเคยได้ยินเขาบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากมีลูกสักคน แต่หล่อนไม่ตามใจ อ้างว่าไม่ต้องการมีภาระและไม่ชอบเด็ก ใครจะรู้ล่ะ หล่อนอาจยังเก็บซ่อนปมเกี่ยวกับเด็กคนนั้นไว้ไม่ยอมลืม แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานแสนนานแล้วก็ตาม เธอเองยังไม่เคยลืม ใช่จริง ๆ ด้วย เธอเริ่มเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ผู้หญิงบางคนไม่ยอมลืมรักแรก แม้ว่าชายที่ตนรักจะโหดร้ายสักเพียงไหนก็ตาม เธออยากถามหล่อนออกไปตามตรงแต่เปลี่ยนใจกะทันหันเสียก่อน คงเพราะไม่อยากเห็นหล่อนเสียใจมากไปกว่านี้ อย่างน้อยหล่อนกับเธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอครุ่นคิดพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารระคนเศร้าใจ
“จ๋าไปเขียนหนังสือต่อเถอะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าฉันหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะบัว ว่าแต่คืนนี้ไม่ไปที่ร้านหรือจ๊ะ”
เธอยักไหล่อย่างไม่แยแส พลางตอบว่า “พลก็ดูอยู่แล้วนี่ ฉันอยากนั่งเล่นที่นี่มากกว่า…นั่งดูเธอทำงานไงละ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอยากนั่งมองเธอจริง ๆ นะ”
หล่อนยิ้มเล็กน้อย ความเศร้าดูจางหายไปบ้าง
“จะดูให้มันได้อะไรจ๊ะ เอาเถอะ ตามสบายแล้วกัน อยากดื่มอะไรมั้ย ในตู้เย็นมีเบียร์กระป๋อง แล้วก็บรั่นดีของโปรดเธอ พี่พลชอบแช่เหล้าในตู้เย็นอยู่เรื่อย ไม่รู้เป็นโรคอะไร”
“วิเศษจริง ฉันกำลังอยากดื่มอยู่พอดี”
ตู้เย็นตั้งอยู่ตรงมุมห้องด้านใน เธอเดินไปเปิดดู มีเรมีมาแตงขวดสีเขียวราวครึ่งลิตรแช่เย็นไว้จริง ๆ เขาชอบแช่ขวดเหล้าไว้ในตู้เย็นเสมอตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เธอคิดด้วยความขบขัน ก่อนจะคว้าขวดเหล้าเย็นเฉียบพร้อมด้วยแก้วบรั่นดีมาวางบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา แล้วนั่งลงในตำแหน่งเดิม เธอรินเหล้าลงในแก้วและยกขึ้นจิบด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย สายตาจับอยู่ที่ร่างท้วมของหล่อนขณะพิมพ์งาน รู้สึกดีใจที่ตัวเองสามารถดูแลรักษาเรือนร่างไว้ได้ดีพอสมควร แม้จะไม่บอบบางอ้อนแอ้นอย่างเด็กสาวเหมือนก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับหมดเสน่ห์แห่งความงาม นี่คือสิ่งที่เธอภาคภูมิใจมาโดยตลอด
เธอเริ่มคิดทบทวนถึงใบหน้าของเขา แม้จะได้เห็นแค่เพียงแวบหนึ่งจากทางด้านข้าง เธอรับรู้ว่าความคมสันของเขาลดน้อยลงไปเช่นกัน ทว่ายังดูดีเสมอในสายตาของผู้หญิง รูปร่างออกจะกำยำกว่าเดิมเล็กน้อย กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เคร่งขรึมยิ่งขึ้น แม้กระนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ชายคนเดิมที่มีแต่ความเศร้าห่อหุ้มอยู่รอบกายราวกับเครื่องหมายประจำตัว เหมือนสวมเสื้อคลุมแห่งความทุกข์เอาไว้ตลอดเวลา เขาทุกข์ด้วยเรื่องอะไรกันนะ เธอปรารถนาจะล่วงรู้เหลือเกิน ทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสถามไถ่ ถ้าเพียงแต่คืนนั้นได้นั่งคุยกัน ไม่หลบลี้หนีหน้าด้วยหวาดกลัวในความจริงซึ่งปรากฏให้เห็นโดยไม่ทันเตรียมตัว ความสงสัยก็อาจหายไปหมดแล้ว พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความสุขที่โลกนี้ตอบแทนให้แก่เธอ
“จ๋า…” จู่ ๆ เธอก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พลางมองด้านหลังของหล่อนด้วยความสงสัย “รู้ไหมว่าฉันจะติดต่อพี่โอมได้ยังไง ตอนนี้เขาพักอยู่ที่ไหน เขาบอกเธอหรือเปล่า”
มือทั้งสองข้างของหล่อนชะงักอยู่บนคีย์บอร์ดชั่วขณะ ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมาถือไว้
“ขอโทษจ้ะบัว จ๋าลืมไปเลย นี่เป็นนามบัตรโรงแรมที่พี่โอมให้จ๋าไว้ มารับไปสิ จ๋าไม่มีธุระอะไรต้องติดต่อ บัวซีจ๊ะที่สมควรเก็บมันไว้”
เธอเดินไปรับนามบัตรนั้นมาเพ่งมอง โดยพยายามซ่อนความปลาบปลื้มดีใจเอาไว้ นี่คือนามบัตรที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านมือของเขามาแล้ว เธอรู้สึกราวกับมีสายใยบาง ๆ แผ่ซอกซอนไปตามนิ้วมือที่กำลังสัมผัสกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ก่อให้เกิดความปรารถนาที่จะโทรศัพท์หาเขาอย่างรุนแรง แต่น้ำจิบเดียวสำหรับคนที่รอนแรมอดอยากในทะเลทรายมานานย่อมไม่เพียงพอฉันใด สำหรับเธอการพูดคุยทางโทรศัพท์ย่อมไม่จุใจฉันนั้น เธอคิดขึ้นมาได้ว่าวิธีที่ดีที่สุดคือเดินทางไปหาเขาด้วยตัวเอง เธอแทบจะทนรอคอยต่อไปไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ
“จ๋า ฉันควรไปหาพี่โอมคืนนี้ดีไหม”
“ทำตามที่ใจของบัวต้องการเถอะจ้ะ”
เธอพยักหน้ารับ ดึงหล่อนเข้ามากอด กล่าวขอบคุณ แล้วเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยหัวใจไหวสั่น แทบจะไม่แตกต่างจากครั้งเป็นเด็กสาว ในวันที่หลบพ่อออกจากบ้านไปหาเพื่อนชายคนแรก เพียงแต่ครั้งนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ และชวนให้ปลาบปลื้มใจมากกว่าหลายร้อยพันเท่า อีกไม่นานนักหรอก เธอจะได้พบเขาผู้เดินทางกลับมา คราวนี้เธอจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปเช่นคืนก่อน เธอมองนามบัตรในมือด้วยดวงตางดงามซึ่งบัดนี้ไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าอีกแล้ว
*
พนักงานส่วนหน้าของโรงแรมเป็นชายสองคนกำลังยืนตรวจเอกสารอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์หินอ่อน ทั้งคู่ฉีกยิ้มกว้างและกล่าวคำทักทายอย่างสุภาพอ่อนน้อมเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปหา คนที่ตัวสูงกว่ารีบส่งกุญแจห้องพักให้ด้วยความกระตือรือร้น พร้อมกับแจ้งว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมานั่งรอพบเขาอยู่นานแล้ว
“ผู้หญิงงั้นหรือ” เขาถามด้วยความประหลาดใจ พลางสงสัยว่าใครกันนะที่มาหาเอามืดค่ำขนาดนี้ นาฬิกาบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์บอกเวลาใกล้ห้าทุ่มแล้ว
“ครับผม ตอนนี้กำลังนั่งรอคุณโอมอยู่ที่ห้องปริ๊นเซส คาเฟ่ครับ”
“ขอบคุณมาก” เขากล่าวออกไปอย่างเลื่อนลอย ขณะหย่อนกุญแจห้องพักลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาผู้ที่กำลังรอเขาอยู่
ระหว่างนั้นเขายังคงตกอยู่ในสภาพของคนที่ไร้เรี่ยวแรงทั้งกำลังกายและจิตใจ หลังจากแวะไปที่เดอะวอร์เมื่อตอนหัวค่ำ ทว่าเหตุการณ์ไม่เป็นตามที่คิด เขาไม่ได้พบเธออย่างที่ตั้งใจไว้ ครั้นสอบถามเอากับมัน มันก็ไม่มีคำตอบให้เขาพอใจ แม้ว่ามันจะพยายามติดต่อหาเธอทางโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้วก็ตาม ผลลัพธ์คือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จับต้องได้ราวกับไม่มีสิ่งใดเป็นจริง ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอไปไหน และทำไมถึงไม่ยอมเปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่
นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้เขางุนงงอยู่ไม่หาย เมื่อรู้ความจริงจากมันว่า คืนก่อนที่เขาไปเดอะวอร์นั้น เธอรับรู้การมาเยือนของเขาด้วยสายตาของเธอเอง เพียงแต่ต้องการหลบหน้า ส่วนจะด้วยเหตุผลกลใดมันไม่ยอมขยายความ ปล่อยให้เขามีสภาพเหมือนคนตาบอดผู้ถูกนำตัวไปปล่อยทิ้งไว้นอกบ้านอันเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย เขาไม่รู้จะเดินไปทิศทางไหน อีกทั้งไม่อาจค้นหาสิ่งยึดเกาะให้อุ่นใจ หรือว่าเธอไม่ต้องการพบเขาอีกแล้ว ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจในความคลุมเครือนี้
บางทีความตั้งใจของเขาคงเป็นได้แค่ความฟูมฟายในมิตรภาพที่เลือนหายไปนานถึงสิบแปดปี บัดนี้ไม่มีใครใส่ใจในมิตรภาพเก่า ๆ อีกแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่หรือ มิตรภาพน่าจะพอมีค่าอยู่บ้างในความทรงจำของทุกคน โดยเฉพาะกับเธอ เขาคิดพลางถอนหายใจ
เสียงส้นรองเท้าของเขากระทบพื้นหินแกรนิตดังก้องอยู่ในความเงียบสงัด ยามนี้หากเหลียวมองไปทางไหนก็จะพบได้แต่เพียงความว่างเปล่า วังเวงและโดดเดี่ยว ผู้มาพักคนอื่น ๆ คงเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง หรือไม่ก็กำลังเพลิดเพลินกับการท่องราตรี ณ ที่ใดที่หนึ่งในมหานครแห่งนี้
เขาเดินอย่างอ่อนแรงเข้าไปในห้องอาหาร แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นผู้หญิงในชุดรัดรูปสีขาวนั่งหันหลังให้อยู่ที่โต๊ะอาหารด้านในเกือบสุดทางเดิน เรือนผมของเธอมีลักษณะดำเป็นเงาและยาวถึงกลางหลัง ควันบุหรี่ฟุ้งขาวรอบ ๆ ตัวเธอราวกับสายหมอกในดินแดนลึกลับ
อย่างระมัดระวัง เขาค่อย ๆ เดินเข้าไป ถึงกระนั้นเสียงรองเท้าก็ยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว และเมื่อเธอหันมามอง ภาพที่เห็นก็ทำให้เขาต้องหยุดชะงักด้วยไม่อยากเชื่อสายตา หัวใจของเขากระตุกเยือก ใบหน้าเห่อชา ดวงตาที่ฝ้าฟางขึ้นมากะทันหันนั้นร้อนผ่าว แต่ก็ยังเห็นว่าเธอส่งยิ้มให้ แน่นอน นั่นย่อมเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยลืม
ในที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาพบกันอีก เขารำพึงกับตัวเอง คืนนี้ช่างไม่ต่างไปจากความฝัน เขาพึมพำเรียกชื่อเธอหลายต่อหลายครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเธอก็ยังได้ยิน และตอบรับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
เขาไม่ต่างจากคนละเมอ ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาและนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ เพื่อที่จะจ้องดูเธอให้เต็มตามากที่สุด เขาไม่แน่ใจนักว่าเธอมาที่นี่ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เอาเถิด ไม่เป็นไรหรอก นี่คือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองไม่ใช่หรือ จะมัวมานึกถึงเรื่องอื่นอยู่ทำไม เขามองใบหน้าของเธอนิ่งนาน สมองเอาแต่ครุ่นคิดและพูดอะไรไม่ออก
“พี่โอมคงสบายดีนะคะ” เธอเอ่ยถามแล้วหลบสายตาของเขา ดูเหมือนเธอกำลังก้มมองแก้วบรั่นดีบนโต๊ะอาหารและรอคอยคำตอบ เขาอยากเอ่ยปากขอร้องให้เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ทว่านาทีนั้นเขาได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับเกรงว่าจะสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขากลัวการตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเธอหายไปใช่ไหม แต่นี่คงไม่ใช่ความฝัน ช่างดีเหลือเกิน คุ้มค่าที่สุด เขากลับมาแล้ว และได้พบเธออีกครั้ง ในความรู้สึกตื้นตันใจอย่างลึกซึ้ง เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปีติ เขากำลังจ้องมองเธอให้สมกับที่จากกันไปนานจนลืมตอบคำถาม หรือแม้แต่จะพูดอะไรออกมาสักคำหนึ่ง
“บัวขอโทษค่ะ ที่มาหาพี่โอมโดยไม่ได้นัดไว้ก่อน พี่โอมอาจจะต้องการพักผ่อน…”
ดวงตาของเธอดูแวววามหวานซึ้งจากหยาดน้ำที่หล่อเลี้ยงและไหวระริกอยู่ภายใน ดวงตาคู่นี้ไม่ใช่หรือที่เขาจดจำได้ดีเสมอ แม้จะดูร่วงโรยไปบ้างตามกาลเวลา เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งประกอบขึ้นเป็นตัวเธอนั่นเอง เธอผ่านพ้นวัยสาวไปแล้ว แก้มใสอันมีเลือดฝาดสีชมพูกลายเป็นอดีต แต่กาลเวลาไม่ได้โหดร้ายต่อเธอมากนัก เธอยังคงดูงดงามจับใจแก่ผู้พบเห็น เขาชื่นชมอย่างสัตย์ซื่อต่อภาพตรงหน้าโดยไม่ได้ยกย่องเกินจริงเลย เหนือสิ่งอื่นใด เขารู้สึกทึ่งที่เห็นความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของเธอ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันเป็นสัจธรรมของโลก สิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเดิมไว้กลับเป็นเรือนผมดำยาวสลวยและมีน้ำหนักของเธอ เส้นผมทุกเส้นยังแลดูมีชีวิตชีวาเหมือนสมัยก่อน เขาอยากจะกล่าวชมเธอออกไป แต่ภายใต้
บรรยากาศของความเงียบสงัดกับการพบกันโดยไม่คาดฝัน ก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรพูดคำใดออกไปถึงจะเหมาะสมที่สุด
บริกรคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามความต้องการ เขาเอ่ยปากขอแก้วเพิ่ม ตอนนี้เธอเพิ่งจะดื่มบรั่นดีในขวดบนโต๊ะไปราวหนึ่งในสี่ ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีร่องรอยของความมึนเมาให้เห็น
“พี่ขอดื่มด้วยคนนะ” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่บริกรรินเหล้าให้และผละไปจัดเตรียมซุ้มบุฟเฟต์สำหรับลูกค้าในตอนเช้า ปล่อยให้เธอกับเขาได้อยู่กันตามลำพัง
พี่ขอดื่มด้วยคนนะ…ช่างเป็นคำพูดที่ดูเป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน เขาอดที่จะรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ ช่างเหมือนคำพูดของคนที่คบหากันมานานและได้พบปะกันเป็นประจำทุกค่ำคืน คงไม่มีประโยคใดจะเป็นธรรมชาติยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเขาบอกว่าดีใจเหลือเกินที่ได้พบเธอ นั่นจะทำให้ผู้ฟังสงสัยไหมว่าเขาพูดจากใจจริง หรือแสร้งทำเป็นปากหวานไปตามมารยาทเท่านั้น
“บัวมาหาพี่ได้ยังไง อืมม์…ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเล่าเรื่องของบัวให้พี่ฟังบ้างได้ไหม พี่อยากรู้ว่าที่ผ่านมาบัวมีความสุขดีหรือเปล่า”
การได้เริ่มต้นพูดประโยคแรกออกไปทำให้ประโยคต่อมาง่ายขึ้นมากสำหรับเขา ความรู้สึกดี ๆ ในอดีตได้ย้อนกลับมาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ เขาบอกตัวเอง
“พี่โอมยังไม่ตอบคำถามของบัวเลย” เธอแย้งด้วยอาการยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับจ้องมองเขาไม่วางตา ตอนนี้เธอไม่หลบสายตาของเขาอีกแล้ว
“พี่สบายดี แล้วบัวล่ะ หวังว่าคงสบายดีเช่นกัน”
“บัวหรือคะ บัวก็เป็นอย่างที่เคยเป็น ไม่รู้จะเรียกว่าสุขหรือทุกข์ดี” เธอพูดพลางใช้มือคลึงแก้วบรั่นดีไปมาราวกับกำลังคิดคำนึงถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่ในใจ แล้วเธอก็กล่าวต่อไปอีกว่า “พี่โอมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง บัวดีใจมากนะที่ได้พบพี่โอมอีก”
เขาชะงักเล็กน้อย เผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่ตั้งใจ ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของเขาไม่ใช่หรือที่เป็นสาเหตุให้ทุกชีวิตต้องเดินไปตามเส้นทางของตน ทั้งด้วยความเต็มใจและไม่เต็มใจ เพียงเพราะว่าเขาไม่เคยมีอนาคตให้แก่ใคร เธอไม่เคยกล้าขอร้องให้เขาหยุดคิด หยุดเดินทางหรือหยุดความใฝ่ฝันไว้ เขาจึงต้องท่องไปในโลกนี้อย่างเดียวดาย แต่ละวันกับความรู้สึกอันโดดเดี่ยว เมื่อเขาหวนคิดถึงอดีต (แน่นอนว่าในความคิดของเขาต้องมีเธออยู่ในเรื่องราวเหล่านั้นด้วยเสมอ) ก็ได้รับความหวานชื่นเพียงเล็กน้อย ที่เหลือล้วนเป็นความทรมานอันซ้ำซาก ไม่ผิดกับการถูกลงทัณฑ์โดยไม่รู้วันสิ้นสุด
“พี่สบายดี อาจมีเหนื่อยบ้าง แต่คนเราต้องยอมแลกชีวิตทั้งชีวิตเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ความลำบากจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“พี่โอมก็ทำอย่างนั้นตลอดมาอยู่แล้วนี่คะ”
น้ำเสียงของเธอคล้ายจะมีร่องรอยของการประชด เขาไม่แน่ใจนัก และไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไปอีก นอกจากดื่มบรั่นดีในแก้วจนหมดแล้วรินใหม่ เป็นเวลาเดียวกับที่เธอก็ดื่มจนพร่องไปมาก เขาจึงรินใส่แก้วของเธอด้วย
“ขอบัวสูบบุหรี่หน่อยนะคะ” เธอบรรจงดึงบุหรี่ออกมาจากกล่องเงินเล็ก ๆ และจุดด้วยไลท์เตอร์สีดำขลิบทองหรูหรา
“นี่บัวสูบมากี่ปีแล้ว”
“ทำไมหรือคะ น่าจะยี่สิบปีได้แล้วมั้งคะ พี่โอมทำราวกับไม่เคยเห็นบัวสูบบุหรี่”
“บัวน่าจะเลิกได้แล้ว มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ถ้ามีใครขอให้เลิก บัวอาจจะเลิกทันทีเลยก็ได้”
“พี่เคยขอแล้วนี่ บัวจำไม่ได้หรือ แต่อันที่จริงบัวควรจะรักตัวเองให้มาก…”
ในห้วงเวลานี้ ด้วยความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาเกือบจะทนไม่ได้ เกือบพลั้งเผลอพูดในเรื่องที่ตัวเองเคยขลาดกลัวออกไป แต่เวลาผ่านมานานเหลือเกิน น่าจะเสียเวลาเปล่าที่จะพูดตามที่ใจรู้สึก เขาเพียงแค่กลับมาเมืองไทยและต้องการพบเธออีกสักครั้งหนึ่งเท่านั้น คงไม่มีเหตุผลใดมากไปกว่านี้ เอาละ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จงดูเสียให้เต็มตา บัดนี้เธอกับเขาได้กลับมาอยู่ร่วมกันในโลกที่มีแต่เงาสลัว โลกซึ่งเธอกับเขานั่งอยู่ด้วยกันตามลำพัง เธอกำลังก้มมองแก้วบรั่นดี ในขณะที่เขาทอดสายตามองผ่านบานกระจกหน้าต่างออกไปยังหมู่ไม้ในสวนอันงดงามของโรงแรม ใบไม้ทั้งหลายกำลังพลิ้วไหวอยู่
ท่ามกลางแสงไฟสว่างเหลืองเรื่อดุจแสงจันทร์ เขามอง ออกไปข้างนอกเพราะไม่กล้ามองเธอนานเกินไป การได้เห็นเธอนั่งอยู่ตรงหน้าทำให้เขาระลึกถึงเรื่องราวในวันเก่าก่อนได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น อดีตราวกับอุบัติขึ้นอีกครั้งอย่างสดใหม่ นั่นทำให้เขารู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา เวลาซึ่งไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว เขาคิดถึงกลิ่นกายหอมรัญจวนใจระหว่างการจัดท่านั่งให้เธอเป็นแบบเขียนรูป กลิ่นหอมนั้นยังคงล่องลอยอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับดวงตาอันหยาดเยิ้มซึ่งมองมาทางเขา ขณะยืนถือจานสีอยู่ด้านหลังขาหยั่งและผืนผ้าใบ ผิวของเธอแม้ไม่ขาวผ่องแต่ก็นวลเนียนเต่งตึงชวนให้สัมผัส น่าประหลาดใจเหลือเกินที่เขาสามารถหักห้ามใจได้ทุกครั้ง แต่จะโล่งอกก็ต่อเมื่อการเขียนรูปในวันนั้นสิ้นสุดลงและเห็นเธอลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แน่นอน เขายังคงไม่เคยลืมช่วงเวลาที่มีเธอคอยเดินเคียงข้าง ในแต่ละคืนที่พาเธอเที่ยวย่ำเดินไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ย่านบางลำภูและถนนราชดำเนิน สมัยก่อนเขามักจะลอบชำเลืองดูเธออย่างชื่นชมเสมอ พร้อมกับอัศจรรย์ใจในความเป็นธรรมชาติของสาวน้อยข้างกาย เขาต้องยอมรับว่าตัวเองชื่นชมหลายสิ่งหลายอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเธอ ไม่ว่าจะเป็นวงหน้ารูปไข่ ปลายคางของเธอแหลมเล็กน้อย จมูกเล็กและโด่งเป็นสัน คิ้วยาวแต่เรียวโค้งลงเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มก็เย้ายวนด้วยสีแดงตามธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างค่อนข้างสูงของเธอยังดูอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม แขนขาเรียวยาวเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่างล้นเหลือ การได้อยู่ใกล้ชิดเธอจึงเป็นความสุขของเขา แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ครั้งหนึ่งเธอเคยถามว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ หากเธอจะขอย้ายมาอยู่ด้วย ใช่ ความหมายของเธอคืออยู่ร่วมห้องเดียวกัน เหตุผลจากปากของเธอก็คือเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เขาก็ปฏิเสธไปด้วยรู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง อพาร์ทเมนท์ที่เธอกับเขาเช่าอยู่ราคาไม่ได้สูงจนเกินไปนัก ความจริงแล้วคนที่มีรายได้สูงอย่างเธอน่าจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นซึ่งสะดวกสบายมากกว่าด้วยซ้ำ ครั้งนั้นเขาอยากบอกเธอว่า เขาไม่ได้รังเกียจเลยหากเธอจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อมาตรองดูแล้วก็เห็นว่าไม่สมควร เธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากเกินกว่าความเป็นเพื่อน ไม่เคยมีแม้สักครั้งเดียวที่ความสัมพันธ์จะถลำลึกและพัฒนาจนลึกซึ้ง เขาสามารถหักห้ามใจตัวเองได้เสมอ เพียงแต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมได้ตลอดไป หากแม้นได้ใช้ชีวิตร่วมห้องเดียวกันอย่างที่เธอเสนอ ถึงวันนี้เขาสงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือไม่ ชีวิตของเธอกับเขาจะเป็นเช่นไรหนอ ถ้าได้ทำตามความปรารถนาโดยไม่ปล่อยให้ค่านิยมใด ๆ มากำหนดแนวทางการดำเนินชีวิต ค่านิยมซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก มันเป็นเพียงภาพมายาที่มนุษย์สร้างขึ้น หาใช่ความจริงแต่ครั้งเริ่มต้นไม่
บรั่นดีพร่องไปค่อนขวดแล้ว เขารู้สึกมึนเมาและง่วงงุน เธอก็คงเช่นเดียวกัน น่าแปลกที่เธอไม่ช่างพูดเหมือนสมัยก่อน เวลาทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“บัวมาที่นี่ได้ยังไง”
“ถามทำไมหรือคะ พี่โอมอย่าห่วงเลย เหล้าแค่นี้เอง บัวขับรถกลับเองได้สบาย อย่างมากก็โดนตำรวจจับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาสั่นหน้าจนผมยาวประบ่าสะบัดไปมา “คืนนี้อย่าขับรถอีกเลย มันอันตราย ถ้ายังไงก็พักค้างคืนเสียที่นี่ก็แล้วกัน”
นัยน์ตาเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากก็เผยอขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มเย้ายวนใจ เขารู้สึกวาบหวามจนต้องหยิบแก้วบรั่นดีขึ้นมาจิบ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่อาจหลุดลอดออกไปทางแววตา
“พี่โอมชวนบัวค้างจริง ๆ หรือคะนี่ บัวไม่อยากจะเชื่อเลย ได้ค่ะ บัวจะไม่แกล้งปฏิเสธหรอก กลัวว่าพี่โอมจะเปลี่ยนใจ” เธอหัวเราะน้อย ๆ สีหน้าท่าทางร่าเริงราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา
“คืนนี้เรามาเมาฉลองความหลังกันทั้งคืนเลยดีไหมคะ”
“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปบนห้องพักกันเลยดีกว่า พี่ไม่ค่อยชอบนั่งคุยในสถานที่แบบนี้เท่าไหร่นัก” เขาพูดออกไปด้วยความปรารถนาจะกลับไปอยู่ในโลกของตัวเองมากกว่า ไม่ต้องคอยรู้สึกว่ามีใครจับตาเฝ้าดูอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ขัดข้องจึงกวักมือเรียกบริกรคนเดิมมาสั่งเปิดบรั่นดีอีกขวดหนึ่ง เขากำชับให้รีบเอาขึ้นไปส่งบนห้องพัก พร้อมด้วยน้ำแข็งกับอาหารง่าย ๆ อีกสองสามอย่าง เผื่อไว้ในกรณีที่เธออาจรู้สึกหิว
ระหว่างเดินออกจากห้องอาหารเพื่อไปขึ้นลิฟท์ เธอเกาะกุมต้นแขนของเขาเอาไว้ตลอดเวลา ยามนี้เธอแทบจะทรงกายไม่ไหวอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เธอกำลังยิ้มอย่างคนเมาผู้มีความสุข ราวกับแน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เธอจับต้องอยู่ในเวลานี้จะไม่หายไปไหน
เมื่อเดินใกล้จะถึงประตูลิฟท์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดสูทสีกรมท่าซึ่งเดินเตร่อยู่แถวนั้นก็ส่งยิ้มทักทายมาให้แล้วกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ เขาฝืนยิ้มตอบและกล่าวขอบคุณเสียงเบา
ช่วงเวลาแสนสั้นภายในลิฟท์ เขาปล่อยให้เธอซึ่งยืนตัวอ่อนอยู่ด้านหลัง เบียดร่างอุ่นเข้ามาจนแนบชิด เธอซบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา แขนทั้งสองข้างโอบกอดเอวไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปจากชีวิตของเธออีก
ในห้วงเวลานั้น ความคิดของเขากลับมีภาพของเธออีกคนหนึ่งปรากฏขึ้น จากเลือนรางแล้วแจ่มชัดในที่สุด เขาอดประหลาดใจไม่ได้ รู้สึกถึงความไร้เหตุผลซึ่งดำรงอยู่ภายในตัวตนอันซับซ้อนของเขาเอง
“ช่างยากแก่การเข้าใจเหลือเกิน”
*
ฟ้าสางแล้ว เขากำลังนั่งมองกลุ่มอาคารสูงไกลออกไปด้วยจิตใจเลื่อนลอย สีฟ้าเรื่อ ๆ เรือง ๆ จากทิศตะวันออกได้ขับไล่ความมืดมนของโลกให้จากไปในอีกวาระหนึ่ง เขารู้สึกง่วงงุนเต็มที ทว่ายังไม่ต้องการเข้านอน หลายครั้งที่เขาหันกลับไปมองร่างงามบนเตียงหนานุ่มและพยายามข่มความรู้สึกบางประการเอาไว้ให้ลึกที่สุด แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเธอมิใช่หรือที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้าเขา เขาควรทำอย่างไรกับเธอดีหนอ สองสามชั่วโมงก่อนเธอยังเมามายอย่างมีความสุข เขาคงเข้าใจไม่ผิด เธอจ้องมองเขา เธอยิ้ม เธอหัวเราะ เรื่องเล่าตลก ๆ เกี่ยวกับความเปิ่นเชยของเขาในนิวยอร์กทำให้เธออารมณ์ดี แต่นั่นแหละนะ บางครั้งเธอก็หลุบสายตาลงต่ำเมื่อได้ยินเขาเล่าถึงวิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ท่ามกลางความแปลกแยกจากผู้คนที่โน่น ชีวิตเดียวดายเสียจนไม่อาจระบายความทุกข์ให้ใครฟังได้ นอกจากถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะด้วยชีวิต เธอจะเข้าใจหรือเปล่า เขาอยากปลุกเธอขึ้นมาถามไถ่ให้แน่ใจ แต่ช่างเถอะ คงไม่จำเป็น เธอน่าจะเข้าใจดี ใช่ เธอต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เพราะชีวิตของเธอที่ผ่านมาก็คงไม่แตกต่างไปจากเขา
ก่อนหลับเธอได้เล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้เขาฟังด้วยดวงตาปรือฉ่ำเป็นการแลกเปลี่ยน เสียงของเธอยานคางอย่างคนเมา มือก็อ่อนแรงจนแทบจะประคองแก้วบรั่นดีเอาไว้ไม่อยู่ เขารับรู้และอยากบอกเธอว่าเขาเข้าใจ เธอต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้ใครสักคนได้รับรู้ เขาเชื่อว่าเธอแทบจะไม่ได้ปิดปังเรื่องราวใด ๆ ไว้เป็นความลับของชีวิตเลย เขานิ่งฟังด้วยอาการสงบ แต่ในใจปวดร้าวเหมือนกับที่เคยเป็นมาโดยตลอด นับตั้งแต่ได้รู้จักเธอ ใกล้ชิดเธอและจากเธอไป
กระแสเสียงแห่งบทสนทนาระหว่างเธอกับเขาในห้องพักแสนสะอาดล่องลอยปะปนไปกับความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ เครื่องปรับอากาศนี้ทำให้ร่างกายเย็นสบาย ขณะที่น้ำเสียงของเธอก็ทำให้หัวใจผู้ฟังอย่างเขาเหน็บหนาวเหลือเกิน ความคิดของเขาเริ่มคลายความปั่นป่วนเมื่อเธอฟุบลงหลับไหลเมื่อตอนใกล้จะรุ่งสาง เขาประคองร่างเธอไปยังเตียงนอน จากนั้นอธิษฐานในใจขอให้เธอหลับฝันดี เธอยังคงสวมเสื้อผ้าชุดขาวเหมือนเดิม
ห้วงเวลาที่ผละจากเธอมานั่งลงบนเก้าอี้เพื่อดื่มบรั่นดีต่อ เขาหวนคิดถึงผิวเนื้อนวลเนียนของเธอในวัยสาวขึ้นมาอีกครั้ง แผ่นหลังไร้ร่องรอยราคีใด ๆ ช่างเป็นภาพฝังใจติดตาจนไม่อาจลืมเลือน เรียวขาของเธอนั้นเล่าก็งามหมดจดไม่ต่างกัน ทรวงอกสวยสล้างเป็นอีกภาพหนึ่งที่เขาคงลืมไม่ลง เวลาผ่านไปนานแสนนานแล้ว เขาเองได้หลงลืมเรื่องราวต่าง ๆ ไปมากมายเหลือเกิน แต่ความประทับใจที่เกิดขึ้นจากตัวตนของเธอในอดีตเป็นเรื่องตรงกันข้าม ราวกับว่าแท้จริงแล้วเขาเองไม่ต้องการลืมหรือลบออกไปจากใจเสียมากกว่า เขามองเห็นและรู้สึก เสน่ห์ในเรือนกายของเธอจับใจเขาอย่างล้นเหลือ เขาปรารถนาคุกเข่าลงแล้วโอบกอดเธอไว้ให้นานที่สุด ก่อนที่เวลาในโลกนี้จะหมดลง แต่เขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง ในวันซึ่งได้กลายเป็นสมบัติของอดีตไปแล้ว เปล่าเลย…เขาคิด นอกจากปล่อยให้ความสมมุติ ความลวง ความจอมปลอม ต่าง ๆ นานาเหล่านี้ล่อลวงและนำทางชีวิต วันแล้ววันเล่าที่ดวงตาของเขาได้เห็นความงามซึ่งผู้ชายทุกคนต้องการ ตัวเขาเล่า ไม่ต้องการครอบครองความงามนั้นหรอกหรือ ทำไมถึงได้ปล่อยให้เวลาผ่านไป เธอไม่งดงามเพียงพอต่อการสวมกอดเลยใช่ไหม ยามนั้นเขาได้กลายเป็นชายตาบอดที่หลงยึดมั่นกับความเชื่อที่ปลูกฝังกันมานาน แม้ว่ามันจะไร้ตัวตน แต่ก็ร้อยรัดเขาไว้แน่นหนาจนไม่อาจปลดออกได้ ราวกับเป็นโซ่ตรวนของนายทาสที่พันธนาการทาสทุกคนไว้ไม่ให้หลบหนี
“เวลาเอ๋ย…เจ้าผ่านไปแล้ว และจะไม่หวนคืนมาอีก” จิตใจที่เยือกเย็นของเขาค่อย ๆ เร่าร้อนขึ้น เขามองเส้นโค้งอันอ่อนหวานบนเรือนร่างของเธอด้วยความรู้สึกวาบหวามใจ เกิดความปรารถนาที่จะสอดประสานเป็นหนึ่งกับความงามซึ่งสายตากำลังชื่นชมอยู่ นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาบอกตัวเอง พลางคิดถึงครั้งแรกที่ขอร้องให้เธอเปลือยร่างเป็นนางแบบให้เขาวาดภาพสีน้ำมัน แน่นอน เธอไม่ปฏิเสธ เธอไม่เคยปฏิเสธความต้องการของเขาเลย เขาจึงได้ยลความงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างเหนือกว่าฝีมือของยอดประติมากรทั้งปวง จิตใจของเขาเคยปั่นป่วนมากกว่าคืนนี้หลายร้อยพันเท่านัก ตอนนั้นเขามิใช่หรือคือชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ขณะที่เธอไม่ต่างไปจากดอกไม้ซึ่งกำลังผลิบาน
“จูบบัวซีคะ…” คำขอร้องของเธอคล้ายแว่วมากับสายลมเช้าอีกครั้งหนึ่ง เขาเองถึงกับเผลอไผลลืมตัวเงี่ยหูฟัง เมื่อรู้สึกตัวก็ถอนหายใจยาว แล้วกระดกเหล้าก้นแก้วดื่มจนหมด ก่อนจะนั่งหลังงุ้มคอตกหมดเรี่ยวแรง ปลายศอกทั้งสองข้างยันอยู่บนท่อนขา ภาพอดีตยังคงไหลย้อนกลับมาดุจสายน้ำแห่งความทรงจำ เขาจำได้ถึงการโอบกอดจากทางด้านข้างของเธอ เธอสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาด กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ล่องลอยอยู่รอบกาย เวลานั้นเขากำลังชื่นชมกับเค้าโครงภาพร่างของเธออยู่ นั่นเป็นภาพที่สองแล้วที่เธอเป็นนางแบบ เขาเพิ่งจะร่างเสร็จด้วยปลายพู่กัน และบอกให้เธอไปสวมเสื้อคลุมเพื่อหยุดพักสักครู่ หลังจากนั่งชันเข่าเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง
“จูบบัวซีคะ พี่โอม” เธอเอ่ยคำชวนเชิญที่ยากแก่การสะกดห้ามใจออกมาอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่เขาทำลงไปก็คือเบี่ยงกายให้หลุดพ้นจากวงแขนและอ้อมกอดของเธอ เขาหลบเลี่ยงจากริมฝีปากอิ่มเต็มนั้น ริมฝีปากซึ่งเผยออยู่เพียงระยะห่างระหว่างลมหายใจของชายหญิงคู่หนึ่ง
“บัว…อย่าทำอย่างนี้เลย รู้ไหมว่านางแบบก็คือครูของนักศึกษาศิลปะ” นี่เป็นเหตุผลที่เขายกขึ้นมาอ้าง และแสร้งทำเป็นพูดตลกว่า “อาจารย์เคยด่าเพื่อน ๆ ของพี่เสมอ ถ้าพวกมันเอาผลไม้สำหรับเป็นแบบวาดรูปมากินเล่น อาจารย์ว่าไงรู้มั้ย…นี่ใจคอพวกเอ็งจะกินครูได้ลงคอเชียวรึ…ฮ่า ฮ่า”
นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะเลี่ยงหนีจากสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุด เป็นเรื่องยากหากจะต้องอธิบายให้เธอเข้าใจ สำหรับเขาแล้ว มนุษย์มักชอบหาเหตุผลให้กับการกระทำหรือความคิดของตนเสมอ เขาเองคือมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้วิธีนี้เรื่อยมา มันสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของเขา เขารู้ดีว่าได้ทำให้เธอผิดหวัง เขาเองก็เศร้าใจไม่ต่างกันนัก ฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์เมื่อถูกปฏิเสธ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์เพราะการฝืนใจปฏิเสธ นี่คือเรื่องตลกอันรวดร้าวของชีวิตที่ยากแก่การเข้าใจ
ในเวลาต่อมา เขาพยายามเปลี่ยนกระแสความคิดหมกมุ่นใคร่ครวญถึงเรื่องงาน เขาคิดถึงการวาดภาพด้วยเทคนิคสีน้ำมัน นานแล้วที่เขาไม่ได้จับพู่กันสร้างงานจิตรกรรมเลย หลังจากหลงใหลไปกับศิลปะภาพพิมพ์และทุ่มเทให้กับมันเรื่อยมา หากเขาขอร้องให้เธอเป็นนางแบบเปลือยอีกครั้ง เธอจะปฏิเสธหรือยอมตกลง แล้วเขาจะรู้สึกเช่นไร เมื่อได้เห็นเรือนร่างของเธออีกครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านไปถึงสิบแปดปี เขารู้สึกดีใจเมื่อระลึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่สามารถตัดใจขายภาพของเธอออกไป แม้จะเคยมีคนมาขอซื้อด้วยความชื่นชอบก็ตาม มันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าภาพ แต่แขวนไว้ในสตูดิโอของเขาที่นิวยอร์กเพียงสี่ภาพ ผลงานทุกชิ้นมีขนาดเท่าคนจริง แสดงให้เห็นถึงความงามในวัยสาวของเธอด้วยท่วงท่าต่าง ๆ ทั้งท่านั่งชันเข่า ท่านอนตะแคงและท่ายืน สิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกภาพราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันก็คือ ดวงตาและรอยยิ้มอันแสนเศร้าของเธอนั่นเอง
แสงแดดอ่อน ๆ เริ่มส่องผ่านม่านขาวโปร่งเข้ามาภายในห้องพัก เขาลุกไปรูดม่านหนาทึบกั้นแสงแดดเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง มันเปรียบได้ดั่งกำแพงที่ช่วยกั้นเธอกับเขาไว้ให้พ้นจากโลกภายนอกอันเชี่ยวกรากด้วยกระแสความเชื่อที่รกรุงรัง ตอนนี้ภายในห้องจึงสลัวลงมาก มีเพียงโคมไฟหัวเตียงทั้งสองข้างส่องแสงนวลดุจแสงจันทร์ อาการง่วงซึมของเขาหนักหน่วงขึ้นทุกที
เขาถอดรองเท้าแตะที่ปลายเตียง แล้วคลานขึ้นไปอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าเธอจะตื่นจากการหลับอันแสนสุข เขานอนตะแคงขวาเพื่อเฝ้าดูเธอที่อยู่ใกล้เสียเหลือเกิน เธอกำลังหลับสนิทและหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ กลิ่นหอมจากผิวกายของเธอลอยเด่นออกมาข่มกลิ่นบรั่นดี เขารู้สึกพึงใจอย่างบอกไม่ถูก อยากเอื้อมมือไปโอบกอดร่างนั้นไว้เพื่อที่จะสัมผัสถึงความมีอยู่ของเธอให้แน่ใจ แต่น่าเสียดายเพราะเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ผล็อยหลับไปแทบจะในทันที
นานแค่ไหนกันหนอที่เขาเที่ยวเดินอยู่ในภวังค์อันล้ำลึก เป็นจิตใต้สำนึกที่ยากแก่การสำรวจตรวจตรา เขาก้าวอย่างเชื่องช้าจนมาถึงทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่สุดขอบโลก ได้เห็นเธอกำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนแผ่นหนังสีขาวบริสุทธิ์ เขาคุกเข่าลงเพื่อแนบร่างที่ร้อนดั่งไฟเข้าหาเธอ เพียงเพื่อจะพบว่าร่างของเธอนั้นหนาวเย็นดุจน้ำแข็งทว่างดงามยิ่งนัก เส้นผมยาวสลวยของเธอแผ่สยายออกไปดั่งรัศมีอันดำสนิทของรัตติกาล เขาใช้ฝ่ามือลูบไล้เรือนผมนั้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะบรรจงสัมผัสไปที่เรียวแขนและทรวงอกอันนุ่มละมุนละไม มือของเขาแตะต้องส่วนโค้งเว้าของเอวคอดและสะโพกที่ผายงาม ครั้นเลื่อนฝ่ามือลงต่ำจนถึงช่วงขาอันนวลเนียน เขาก็รู้สึกราวกับได้ชื่นชมก้อนหยกอันลื่นเนียนและเยือกเย็น บัดนั้นเขาได้รับการปลดปล่อยทางอารมณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาฝังจมูกลงตรงซอกคอหอมกรุ่น เธอเกี่ยวกระหวัดรัดร่างเขาไว้ด้วยสองแขน หัวใจของเขารู้สึกหวามหวานเกินกว่าจะหักห้ามความปรารถนาที่ไม่เคยสมหวังได้อีกต่อไป มันบงการให้เขาเลื่อนจมูกลงมาที่แก้มเต่งตึง แล้วสิ้นสุดการค้นหาที่ริมฝีปากน้อย ๆ ของเธอ นานเท่านานที่เขาดื่มด่ำไปกับรสสัมผัสอันหอมหวานละมุน เขาหลับตาลงเพื่อโลดแล่นไปกับกระแสของความสุข ความร้อนดั่งไฟของเขาได้ถ่ายเทให้แก่เธอ ขณะเดียวกันความเย็นประหนึ่งน้ำแข็งของเธอก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายและหัวใจของเขา กระทั่งก่อให้เกิดความสมดุลแก่กันและกันในที่สุด หลังจากนั้นเขายังคงซาบซึ้งไปกับความสุขอันยาวนาน จึงอดเสียดายแกมเศร้าใจไม่ได้เมื่อต้องถอนริมฝีปากออกมา แล้วเขาก็ต้องตะลึงลานเมื่อพบว่าเธอผู้มีร่างเปลือยเปล่างดงามยิ่งกว่าผู้ใดหาใช่เธอคนนั้นไม่ แต่กลายเป็นเธออีกคนหนึ่ง
เขาสะดุ้งตื่นด้วยความประหลาดใจ เขาทอดทิ้งความสุขไว้ในโลกของความฝันด้วยความละอาย อีกทั้งรู้สึกผิดต่ออาจารย์
เขาละอายแก่ใจเกินกว่าจะสามารถทบทวนถึงภาพที่เกิดขึ้น แม้ในใจส่วนลึกปรารถนาที่จะได้รับความสุขเยี่ยงนั้นตลอดไปก็ตาม
อาการมึนศีรษะเนื่องจากดื่มเหล้าเมื่อคืน ทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง ทว่าด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง เขาสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่ารอบกาย รีบใช้มือไขว่คว้าเปะปะไปตามที่นอน แต่ยังคงพบความว่างเปล่าเช่นเดิม เขาลืมตามองไปยังตำแหน่งที่เธอเคยนอนอยู่ จึงพบว่าชีวิตได้กลับคืนสู่ความโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง เขาผุดลุกขึ้นจากที่นอน รีบกระโจนไปยังห้องน้ำเพื่อจะพบกับความผิดหวัง ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ กลิ่นหอมที่เคยบ่งบอกถึงการมีอยู่ของเธอก็พลอยหายไปด้วย ลำคอของเขาตีบตันแห้งผาก ใจคอโหวงเหวง ต้องโผเผกลับมาที่มินาบาร์หวังดื่มน้ำเย็นแก้กระหาย บนหลังตู้เย็นนั่นเอง เขาพบกระดาษแผ่นหนึ่งวางทับด้วยปากกา “ขอบคุณค่ะสำหรับที่พักพิง บัวขอนำภาพพิมพ์ทั้งสองภาพกลับไปด้วยนะคะ”
เขาวางกระดาษไว้ที่เดิม แล้วดื่มน้ำเย็นเสียหลายแก้ว จากนั้นเดินโซเซมาล้มตัวลงบนที่นอนตามเดิม เขาเหลือบตาดูนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง ใกล้จะบ่ายสามโมงแล้ว เขาถอนหายใจพลางพลิกร่างไปกอดหมอนนั้นไว้ มันเป็นใบเดียวกับที่เธอใช้หนุนนอนหลายชั่วโมงนั่นเอง เขาหลับตาลง ปล่อยใจจินตนาการ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอันจับใจไม่สร่างซา
เขากำลังทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการว่ายน้ำ ด้วยหวังว่าความเหน็ดเหนื่อยอาจทำให้เขาอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องราวใด ๆ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เขายังคงอดคิดไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากตื่นขึ้นมาตอนเย็น มีโทรศัพท์ทางไกลจากนิวยอร์กถึงเขา
*
ฟิลลิปผู้เป็นทั้งเพื่อนและเจ้าของแกลลอรี่ได้แจ้งมาว่า ผลงานภาพพิมพ์ไม้ชุด“ราตรี”ของเขาได้จำหน่ายออกไปหมดแล้ว มีนักลงทุนทางศิลปะจากญี่ปุ่นซื้องานที่เหลืออยู่เก้าชุดโดยไม่ขอต่อรองราคา เขายิ้มเล็กน้อย จำได้ว่า“ราตรี”มีอยู่ด้วยกันยี่สิบชุด แต่ละชุดประกอบด้วยภาพพิมพ์ไม้ห้าภาพที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกัน ใช่แล้ว ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นภาพในมุมเปล่าเปลี่ยวยามค่ำคืนของมหานครแห่งหนึ่ง ความทรงจำดังกล่าวงดงามอยู่ในจิตใจของเขาเสมอ แม้ในความงดงามจะมีเพียงความโศกเศร้าก็ตาม และจะว่าไปแล้ว ขณะที่งานของเขากำลังไปได้ดีพอสมควร เขาน่าจะเต็มไปด้วยความเบิกบานและว่ายน้ำอย่างมีความสุข แต่เอาเข้าจริง เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย ราวกับว่าหัวใจของเขาโหยหาบางสิ่งบางอย่างซึ่งยากแก่การจับจองเป็นเจ้าของ เขาพยายามหลบหนีจากความรู้สึกไม่พึงใจที่ว่านี้ด้วยการออกแรงว่ายน้ำให้เร็วขึ้นและหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม เขาว่ายกลับไปกลับมาจากขอบสระด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง สุดท้ายก็หมดเรี่ยวแรงต้องเกาะขอบสระหอบหายใจจนตัวโยน เขาเริ่มคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมา คิดถึงเธอผู้หลับสนิทอยู่บนเตียงนอนแสนสะอาด แล้วคิดถึงเธอในความฝันอันน่าพิศวง
เขาตัดสินใจขึ้นจากน้ำ คว้าเสื้อคลุมที่เก้าอี้มาสวม ก่อนจะตรงเข้าไปหาพนักงานดูแลสระ ซึ่งกำลังพับผ้าเช็ดตัวอยู่ทางด้านหลังเคาน์เตอร์หินแกรนิตสีเทาดำ เย็นย่ำแล้ว ชายผู้นี้คงกำลังเตรียมตัวกลับบ้านพักผ่อนหลังจากทำงานมาทั้งวัน เขาขอใช้โทรศัพท์บนเคาน์เตอร์ พนักงานคนดังกล่าวจึงยกหูโทรศัพท์ติดต่อไปยังโอเปอร์เรเตอร์ สักครู่หนึ่งก็หันมาสอบถามหมายเลขโทรศัพท์ปลายทาง เขารีบบอกออกไปอย่างคล่องปาก รู้สึกแปลกใจที่สามารถจดจำได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยโทรศัพท์หาเธอมาก่อน นอกจากอ่านทบทวนจากนามบัตรเพียงไม่กี่ครั้ง มันไม่ควรฝังแน่นอยู่ในความทรงจำได้นานขนาดนี้ เขาสงสัย ขณะเดียวกันก็อดพึงใจด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้
ระหว่างรอต่อสายโทรศัพท์ เขาพยายามตรวจสอบการ กระทำของตัวเอง ทั้งหมดนี้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ มันเป็นความต้องการของเขาอย่างแท้จริงจนไม่อาจปฏิเสธ หรือว่าทั้งหมดนี้คือการเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์ และได้ยินเสียงหวานใสของเธอทักทายมาอย่างสุภาพ ยามนั้นหัวใจของเขาถึงกับไหวสั่น อดขำตัวเองไม่ได้ที่รู้สึกราวกับเด็กหนุ่มผู้ตื่นเต้นไปกับการโทรศัพท์หาสาวคนรักจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ “สวัสดีครับ ผม…โอม”
“สวัสดีค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ อัญว่าจะโทร.ไปหาอยู่เหมือนกัน แต่เกรงจะเป็นการรบกวน….”
“ไม่รบกวนอะไรหรอกครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมควรจะดีใจมากกว่า จริง ๆ นะครับ ว่าแต่ค่ำนี้ว่างหรือเปล่า ผมอยากชวนอัญมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนอีกสักครั้งหนึ่ง” คำพูดตอนท้ายฟังดูเศร้า ๆ
“อีกสักครั้งหนึ่งหรือคะ…”
น้ำเสียงของเธอฟังดูเบาหวิวราวกับใจหาย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างว่ายน้ำเลือนรางไปทันที เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในหัวใจของตัวเอง และปรารถนาจะมอบความรู้สึกดังกล่าวให้แก่ใครสักคน
“ผม…ไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ หรอก ว่าแต่ตกลงหรือเปล่าครับ”
“อัญว่างค่ะ นี่เพิ่งหกโมงเย็น อัญจะขับรถไปรับคุณโอมที่โรงแรมราวหนึ่งทุ่มนะคะ”
“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากให้อัญต้องเสียเวลาย้อนไปย้อนมา เอาเป็นว่าเราไปเจอกันที่ราชนาวีสโมสรดีกว่า อัญขับรถไปจอดที่นั่น แล้วค่อยมาคิดกันว่าจะไปดินเนอร์ที่ไหนดี”
“ค่ะ หนึ่งทุ่มตรงเจอกันนะคะ”
เขาวางหูโทรศัพท์ลงด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับแบ่งปันรอยยิ้มนั้นให้แก่พนักงานดูแลสระด้วย ยังพอมีเวลาเหลืออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง เขาคิดด้วยความสบายใจ แล้วรีบเดินออกจากบริเวณสระว่ายน้ำกลับขึ้นห้องพักไปแต่งตัวลวก ๆ โดยสวมเสื้อแขนยาวเนื้อหยาบสีดำซึ่งซื้อมาจากถนนข้าวสารกับกางเกงยีนสีดำสนิท จากนั้นนั่งรถแท็กซี่มายืนรอเธออยู่ตรงบริเวณลานจอดรถของราชนาวีสโมสร ระหว่างการรอคอย เขาฆ่าเวลาด้วยการชื่นชมทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี บางขณะก็หันกลับไปทอดสายตาดูความยิ่งใหญ่ของพระบรมมหาราชวังอันงามวิจิตรระยิบระยับอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสว
ไม่นานนักเธอก็ขับบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำเข้ามาจอดใกล้กับจุดที่เขายืนรออยู่ เธอก้าวลงจากรถด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาตะลึงมองเธอโดยอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟบริเวณลานจอดรถ ผมยาวหยักศกของเธอพลิ้วไหวไปตามกระแสลมแรงจากแม่น้ำ คืนนี้เธอสวมชุดราตรีสั้นสีดำเข้ารูป อวดหัวไหล่และหัวเข่าขาวกลมกลึง มันช่วยขับผิวของเธอให้ดูขาวยิ่งขึ้น ความขาวนั้นดูน่าพิศมัยยิ่งกว่าไข่มุกสีขาวที่ประดับอยู่บนลำคอและติ่งหูของเธอ ถึงตรงนี้เขาก็อดคิดถึงก้อนหยกขาวในฝันขึ้นมาอีกไม่ได้ เขาตื่นเต้นที่ได้พบเธออีก ชั่ววูบหนึ่งเขาก็รู้สึกผิด หลังจากได้ฉวยโอกาสสัมผัสเธอในความฝันเธอสะอาดเกินกว่าที่เขาจะคิดทำอะไรตามใจชอบได้ แต่ทำไมเขาถึงมีความสุขไปกับฝันนั้นเล่า เขาไม่ปรารถนาจะฝันอีกสักครั้งหนึ่งหรอกหรือ
“มารออัญนานรึยังคะ”
เขาส่ายหน้า พยายามฝืนยิ้มออกมา
“หิวหรือยังครับ ถ้าอัญยังไม่หิว ผมว่าเราน่าจะเดินเล่นกันก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน”
“แล้วแต่คุณโอมค่ะ”
“อัญต้องกินเยอะ ๆ นะครับมื้อนี้”
“ไม่ทราบจะทานได้มากแค่ไหน” เธอหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเป็นประกาย “กระเพาะของอัญคงเล็กนิดเดียวค่ะ”
“มิน่าอัญถึงได้แลดูบอบบาง แต่ก็ไม่ถึงกับผอมจนเกินไป สักวันหนึ่งผมน่าจะลองขอให้อัญเป็นแบบวาดรูปดูบ้าง”
“จริงหรือคะ” เธอเบิกตากว้าง “เมื่อไหร่ดีล่ะคะ แต่มีข้อแม้ว่า ภาพนั้นอัญต้องขอซื้อเก็บไว้เองนะคะ”
“ไม่ขายครับ แต่ผมจะเขียนไว้สองรูป” พูดพลางผายมือชวนเธอออกเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน “ผมไม่ได้เขียนพอทเตรทผู้หญิงด้วยสีน้ำมันมานานแล้ว แต่ถ้าได้อัญเป็นนางแบบ ก่อนกลับอเมริกา ผมน่าจะเขียนได้อีก”
“คุณโอมจะกลับเมื่อไหร่หรือคะ”
เสียงของเธอเบาหวิว เขามองเข้าไปในดวงตากลมโตสีดำเข้มคู่นั้น และทันได้เห็นความรู้สึกมากมายวับไหวอยู่ภายในก่อนที่มันจะเลือนหายไป จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ยังไม่ใช่คืนนี้หรือวันสองวันนี้หรอกครับ อัญรู้ไหม ใจหนึ่งผมก็อยากกลับไปทำงานของผม ผมรู้สึกร้อนรนอยากทำงานเหลือเกิน แต่อีกใจหนึ่งผมก็ต้องการอยู่เมืองไทยให้นานที่สุด ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานมาก มีบางเรื่องที่ผมเตรียมตัวมาทำ และมีบางเรื่องที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้พบ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังดีใจที่ได้พบสิ่งนั้น”
เธอสบตากับเขาด้วยแววตาแสดงความสงสัยใคร่รู้ เธอคงลืมว่าขณะนั้นกำลังเดินข้ามถนนหน้าพระลาน จากฝั่งพระบรมมหาราชวังไปยังมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงมองไม่เห็นรถยนต์คันหนึ่งซึ่งแล่นตรงเข้ามาค่อนข้างเร็ว เขารีบคว้าต้นแขนเธอดึงถอยหลังหลบ ร่างบอบบางจึงซวนเซปะทะกับแผ่นอกของเขา เธอยิ้มเก้อ ๆ ส่วนเขารู้สึกว่านี่คือความสุขที่เกิดขึ้นในเสี้ยวเวลาแสนสั้น เมื่อเทียบกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง แม้ว่ามันออกจะเป็นเหตุการณ์ดาษดื่นอยู่สักหน่อย ไม่ต่างไปจากฉากในภาพยนตร์โรแมนติกที่ฉายกันซ้ำซาก แต่เมื่อมาประสบกับตัวเองก็กลายเป็นเรื่องพิเศษขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้มลงเก็บกระเป๋าถือสีดำขลิบเงินที่ตกอยู่บบพื้นถนนส่งให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ อัญก็เป็นยังงี้เสมอ ไม่ค่อยระวังตัว…”
คำพูดของเธอฟังราวกับล่องลอยมาจากสถานที่ไกลแสนไกล เขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั้นหรือได้ยินแต่ไม่ชัดเจนทุกถ้อยคำ ต้นแขนของเธอช่างนุ่มนวลและบอบบางเหลือเกิน อีกทั้งเส้นผมที่สัมผัสปลายจมูกเมื่อครู่นี้ก็ยังกรุ่นกลิ่นหอมไม่ต่างจากในความฝันที่เขาได้พบเธอ เขาไม่รู้สึกถึงความแปลกแยก ไม่รู้สึกรังเกียจรอยสัมผัสที่เกิดขึ้น แต่เปี่ยมไปด้วยความสุขดุจเดียวกับเด็กหนุ่มและรักครั้งแรกในวัยเยาว์อันแสนบริสุทธิ์
“ไปเดินเล่นรอบสนามหลวงกันดีมั้ยคะ”
“ดีครับ ตามปกติแล้วผมมักจะชอบเดินคนเดียว นาน ๆ ครั้งหรอกครับถึงจะได้เดินกับอาจารย์สักหน ไม่ค่อยมีโอกาสเดินคู่กับผู้หญิงสักเท่าไหร่”
“แสดงว่ามีบ้างนาน ๆ ครั้งซีคะ”
เขาได้แต่หัวเราะ หวนนึกถึงการเดินไปทำงานแทบทุกคืนกับเธออีกคนหนึ่ง แต่รายละเอียดหลายอย่างก็เลือนรางไปมากแล้ว ผิดกับภาพแห่งความเป็นจริงขณะนี้ที่แจ่มชัดและจับต้องได้
เธอพาเขาเดินผ่านงานประติมากรรมสำริดรูปผู้หญิงนั่งย่อกายอยู่กลางน้ำพุ ลักษณะเหมือนนางในวรรณคดี นานมาแล้วที่หญิงผู้นี้เฝ้ารอ เธอไม่เคยจากไปไหน เธอเป็นของที่นี่ แม้ว่าสนามหลวงจะเกิดเรื่องราวมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่เธอไม่เปลี่ยนแปลงเลย ราวกับต้องการจะฝืนความจริงของโลกนี้เอาไว้ให้นานที่สุด
ในเวลาต่อมาเธอกับเขาพากันข้ามถนนไปยังทางเดินรอบสนามหลวงซึ่งปูพื้นด้วยก้อนอิฐอย่างเป็นระเบียบ แสงสีเหลืองเจิดจ้าจากโคมไฟบนยอดเสาสูงสาดส่องไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ เขามองภาพละลานตาตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ บอกตัวเองว่าความทรงจำบางแง่มุมไม่อาจลบเลือนได้เลยชั่วชีวิต
เขาชวนเธอเดินไปทางด้านหน้าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยิ้มเล็กน้อยเมื่อจำได้ว่าสมัยก่อนโน้นเคยเดินผ่านประตูนี้บ่อยครั้ง เพื่อทะลุออกประตูด้านหลังไปยังถนนพระอาทิตย์ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สถาบันเกอเธ่ ซึ่งเขาเคยได้ยินข่าวว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว
ต่อมาเธอกับเขาก็เดินผ่านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระแม่ธรณีบีบมวยผม ศาลฎีกาและศาลหลักเมือง เขากลับมาที่นี่แล้วและรู้สึกคล้ายกำลังระลึกชาติได้อยู่ แต่ถ้านี่คือการระลึกชาติจริง เขาก็อยากรู้ว่าเมื่อชาติก่อนเธอเคยคบหากับเขาในฐานะอะไร เหมือนหรือแตกต่างจากในชาตินี้หรือไม่ ช่างมันเถอะ เขาบอกตัวเอง เวลานี้ท่ามกลางสายลมค่ำอันสดชื่น เขากำลังมีความสุขอยู่ไม่ใช่หรือ เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานมากแล้ว หรือว่านี่จะเป็นผลพวงจากความฝันที่ชัดเจนราวกับความจริง เขายังคงประหลาดใจไปกับความฝันดังกล่าวไม่สร่างซา แล้วอย่างทันทีทันใดก็รู้สึกละอายเมื่อแลเห็นเธอส่งยิ้มอันงามบริสุทธิ์ให้
เดินจนครบรอบสนามหลวง เขาไม่เหนื่อยเลย แต่เธอคงต่างออกไปเพราะสวมรองเท้าส้นสูง เขาจึงพาเธอเดินย่ำเข้าไปในสนามหญ้า ผ่านผู้คนซึ่งนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่บนเสื่อพลาสติก เขาเลือกจุดที่นั่งห่างไกลจากคนเหล่านั้น มีหญ้าขึ้นอยู่หนาแน่นสามารถนั่งเล่นได้โดยไม่ทำให้ชุดที่สวมใส่เปรอะเปื้อน ถึงกระนั้นเขาก็ถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่า “พอจะนั่งได้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนเราสมัยนี้รังเกียจผืนดินจนเกินไป แต่อัญไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย”
ชายชราคนหนึ่งหอบเสื่อพลาสติกเดินเข้ามาถามว่าต้องการเช่าเสื่อนั่งเล่นหรือไม่ เขาตอบรับ ชายชราจึงปูเสื่อลงบนสนามหญ้า จากนั้นแบมือขอค่าเช่าเป็นเงินยี่สิบบาท บอกว่าจะนั่งนานแค่ไหนก้ได้
“ค่อยยังชั่ว ยังไงเสียผมก็ไม่อยากให้ชุดสวย ๆ ของอัญเลอะฝุ่นเลอะดิน ว่าไปแล้วผมก็ออกจะไร้สติอยู่สักหน่อย ที่พาสุภาพสตรีในชุดหรูหรามานั่งเล่นแบบนี้”
ธอยิ้มหวานก่อนจะย่อกายลงนั่งพับเพียบบนเสื่อ แล้วถอดรองเท้าส้นสูงออกวางไว้ด้านนอก กระเป๋าถือวางข้างกาย เขาถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิใกล้เธอ ใกล้เสียจนได้กลิ่นน้ำหอมที่รวยรินอยู่ในอากาศรอบตัว เขาพยายามซ่อนเร้นสายตาที่อาจแสดงความรู้สึกด้วยการแหงนหน้ามองท้องฟ้า บนนั้นไม่มีดาวสักดวง แลเห็นเพียงหมู่เมฆฝนมืดมัว เขาดีใจที่ทั้งวันฝนไม่ตกลงมา หาไม่แล้วสนามหลวงคงเปียกแฉะเกินกว่าจะนั่งเล่นได้ เขาอยากมานั่งเล่นที่นี่นานแล้วเพราะสนามหลวงทำให้เขาคิดถึงวัยเด็ก ครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุได้ราวสี่หรือห้าขวบ แม่เคยพาเขามาเช่าจักรยานคันเล็ก ๆ ขี่เล่นที่นี่ สมัยนั้นท้องสนามหลวงยังมีตลาดนัดทุกวันเสาร์และอาทิตย์
“ไปนครปฐมมีอะไรขลุกขลักบ้างหรือเปล่าครับ ผมนี่แย่จัง รับปากว่าจะไปเป็นเพื่อน แต่ก็ผิดสัญญาเอาดื้อ ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่นั่นเรียบร้อยดี อัญให้ทางวัดเก็บอัฐิของคุณพ่อไว้ในเจดีย์องค์หนึ่ง ถ้ามีโอกาสอัญจะชวนคุณโอมไปด้วยกันอีกนะคะ”
“ครับ ถ้ามีโอกาส…”
รอยยิ้มในดวงตาของเธอทำให้เขาลืมความกังวลถึงเรื่องราวในวันข้างหน้า ค่ำคืนนี้คือปัจจุบันอย่างแท้จริง เขายิ้มเปิดเผยตรงไปตรงมา จนเธอหลบสายตาด้วยการก้มมองสนามหญ้า
“ดูพระบรมมหาราชวังสิครับ ผมว่างดงามราวฉากสวรรค์แบบที่คนไทยเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กเลยนะครับ”
เธอเงยหน้าหันไปมอง ทำให้เขาเห็นใบหน้าด้านข้างอย่างชัดเจน เส้นโค้งจากหน้าผากกลมกลึงสอดรับกับสันจมูกค่อนข้างโด่ง ปลายจมูกเชิดเล็กน้อย รวมถึงเส้นสายอันอ่อนหวานของริมฝีปาก ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่จะบันทึกภาพเหล่านี้ไว้ในงานศิลปะของตัวเอง เขาต้องหาเวลาวาดรูปเธอให้ได้ แต่หากไม่มีโอกาส เขาก็จะเก็บความทรงจำนี้ไว้ถ่ายทอดลงบนแม่พิมพ์ไม้ หลังจากกลับไปนิวยอร์กแล้ว
“คุณโอมชอบมองผู้หญิงทุกคนแบบนี้หรือเปล่าคะ”
คำพูดของเธอทำให้เขายิ้มเก้อ ๆ ออกมา และต้องรีบพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วยครับ ต้องยอมรับว่าอัญทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจอยากสร้างงานศิลปะขึ้นมาอย่างกระทันหัน ผมคงมีความสุขมาก ถ้าสักวันหนึ่งได้ทำตามที่ใจคิด”
“ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ คุณโอมคงแกล้งพูดให้อัญหลงตัวเองกระมัง” เธอทำท่าขบขัน นั่นยิ่งทำให้เธอสวยน่ารักยิ่งขึ้น
“แต่ทั้งหมดที่พูดกับอัญ ผมเชื่อว่าคือความจริงครับ กลับไปอเมริกาครั้งนี้ผมคงมีงานใหม่ ๆ ออกมามากมาย และคงมีงานภาพพิมพ์ไม้สักชุดหนึ่งที่ผมจะอุทิศให้แก่ผู้เป็นแรงบันดาลใจ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เธอประสานสายตากับเขาโดยไม่ยอมหลบเลี่ยง แต่เขาเองคงไม่สามารถเข้าใจความหมายในแววตาของเธอ หากไม่ยอมเข้าข้างตัวเอง
“คุณโอมเคยรู้สึกเบื่อนิวยอร์ก เบื่อห้องทำงานที่นั่น จนอยากย้ายกลับมาเมืองไทยไหมคะ”
“อย่า…อย่าห่วงเลยครับ” ใบหน้าของเขาแทบจะซีดขาวในทันที คำพูดก็ฟังดูอึกอัก “กลับไปคราวนี้แหละ ผมจะรีบหาสตูดิโอใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะครับ ถ้าอัญอยากให้ผมย้ายออกไป หรือคิดจะขาย”
“ขอโทษค่ะ อัญไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แค่อยากรู้ว่าคุณโอมเคยคิดจะกลับมาทำงานที่เมืองไทยบ้างหรือเปล่า เดี๋ยวนี้หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้นมากสำหรับศิลปิน อัญไม่มีทางขายบ้านและที่ทำงานของคุณพ่อหรอกค่ะ ต่อให้ต้องเสียภาษีมากมายก็เถอะ อัญอยากเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนกับครั้งที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่มากกว่า”
คำพูดของเธอสะเทือนใจเขาอย่างลึกซึ้ง ยามเธอพูดถึงอาจารย์ เธอมักจะมีอารมณ์อ่อนไหวด้วยความเศร้า เขาสามารถรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด ราวกับว่ากระแสความรู้สึกของเธอถ่ายทอดเข้าสู่หัวใจของเขาโดยตรง
“อัญไม่ควรร้องขอจากคุณโอมมากเกินไป แค่คุณโอมอยู่ที่นั่น แล้วช่วยดูแลทุกอย่างให้เหมือนเดิม แค่นี้อัญก็พอใจแล้วละค่ะ สักวันหนึ่งหากมีเวลาว่าง อัญจะได้เดินทางไปที่นั่นและรู้สึกว่าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่”
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้เอง เขาคิด มักชอบเก็บเรื่องต่าง ๆ ไว้ให้ยาวนานที่สุด โดยเฉพาะเรื่องที่ตนผูกพัน จนบางครั้งถึงกับปรารถนาให้เรื่องราวเหล่านั้นยืนยาวชั่วนิรันดร์ ทั้ง ๆ ที่ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ในกระแสของความเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับเขาที่ไม่เคยลืมใครบางคน เฝ้าเก็บรักษาไว้ภายในใจตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม นอกจากจะทำให้เป็นทุกข์ทรมานครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าบางขณะก็เหมือนจะมีความสุขอยู่ในความทุกข์นั้น
เขายอมรับว่าความต้องการของเธอสอดคล้องกับความต้องการของเขาอยู่พอดี พูดตามตรง เขาไม่อยากย้ายไปอยู่ที่ไหน เขาพึงพอใจจะกินอยู่หลับนอนและทำงานภายใต้บรรยากาศเดิม ๆ มากกว่า แล้วเขาก็สงสัยต่อไปอีกว่ามันมีความคิดฉ้อฉลอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ ความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นยามได้ใกล้ชิดกับเธอ มีสิ่งใดซ่อนเร้นอย่างน่าเคลือบแคลงไว้บ้างหรือเปล่า เขาคงเจ็บปวดมาก หากพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนั้น
“ถ้าอัญไม่ว่าอะไร ผมก็อยากจะขอเช่าและจ่ายค่าเช่าตามแต่อัญจะบอกมา ส่วนเรื่องดูแลให้ที่นั่นคงสภาพเดิม ผมรับปากว่าจะทำอย่างดีที่สุด ผมเองก็รักอาจารย์ไม่น้อยไปกว่าอัญหรอกครับ”
“เพียงแค่คุณโอมรับปากจะดูแลให้ แค่นี้อัญก็พอใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงค่าเช่าหรอกค่ะ”
นี่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป วันใดที่เขากลับไปทำงาน บรรยากาศและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ จะอยู่ในที่เดิมของมัน แล้วเมื่อเธอเดินทางไปเยี่ยม เธอกับเขาก็จะได้พบกันอีก เขาสัมผัสได้ถึงความหวังอันแจ่มชัดนี้ ใจล่องลอยคิดล่วงหน้าถึงวันที่เธอขอร้องให้เขาพาตระเวนเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ครั้นตระหนักว่ายังอีกยาวนานนักกว่าจะถึงวันนั้น ขณะนี้ต่างหากเล่าที่เป็นของแท้ เธอกำลังนั่งอยู่ใกล้เพียงแค่มือเอื้อมถึง นี่แหละคือความเป็นจริง เธอทำให้เขาลืมความทุกข์บางประการอย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หัวใจของเขาเบิกบานเหมือนผีเสื้อสีเหลืองยามกระพือปีกบินเล่นท่ามกลางสวนดอกไม้ ความทุกข์ถูกแยกออกไปจากความสุขอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้คละเคล้ากันเหมือนกับที่ผ่านมา นาฬิกาทองคำขาวเรือนเล็กบนข้อมือของเธอบอกเวลาใกล้จะสองทุ่มแล้ว เขาชำเลืองดู เริ่มคิดถึงอาหารมื้อค่ำสำหรับชายหญิงคู่หนึ่ง อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่พาเธอมาเดินเตร็ดเตร่อย่างคนยากไร้ ในเมืองหลวงแห่งนี้ย่อมมีสถานที่เหมาะสมกับเธออยู่มากมายนัก
“ลุกเถอะครับ เราน่าจะไปต่อกันได้แล้ว”
“ไปไหนหรือคะ”
“ไปเที่ยวเยาวราชกันดีไหมครับ หาอะไรอร่อย ๆ กินกันที่นั่น นั่งรถตุ๊กตุ๊กนะครับ ผมไม่ได้นั่งมานานมากแล้ว แต่…แต่ถ้าอัญไม่ชอบ จะไปกินกันในห้องอาหารของโรงแรมก็ได้”
รอยยิ้มและแววตาสนุกซุกซนที่ฉายออกมาจากดวงตากลมโตของเธอคือคำตอบ
“บอกก่อนนะครับ เราจะไปกินอาหารร้านข้างทางแต่ว่าอร่อย สมัยก่อนผมมักไปกินกับเพื่อนในวันหยุดงานเสมอ”
ถึงตรงนี้เขาก็อดคิดถึงเธอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ภาพของเธอเมื่อคืนนี้ตกค้างอยู่ในใจของเขา ยากแก่การสลัดออกไป แม้กระทั่งในโมงยามอันอ่อนหวานงดงามเช่นนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่เขามีเธออีกคนหนึ่งอยู่ข้างกาย ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดในหัวใจของเขาถูกหลงลืมไปชั่วขณะหนึ่ง
*
คืนนี้เดอะวอร์ยังคงกึกก้องด้วยเสียงดนตรีเหมือนเช่นเคย บรรยากาศของความสนุกสนานในหมู่นักดื่มเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จริงอยู่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความซ้ำซากจำเจ แต่มันก็เป็นสูตรสำเร็จของชีวิตหลังเลิกงาน พวกเขาขาดมันไม่ได้ราวกับว่าหากไม่ได้มาเสพรสชาติของความคุ้นเคยนี้แล้ว พวกเขาก็อาจไร้เรี่ยวแรงต่อสู้กับความเปลี่ยวเหงาในวันพรุ่งนี้ สำหรับเธอคงไม่แตกต่างกันนัก แต่ละวันคืนผ่านไปอย่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม มันได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เวลานี้เธอมีความสุขอย่างล้นเหลือ เป็นความสุขที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมารู้เห็น เธอกำลังรู้สึกได้ถึงชีวิตที่ปราศจากความว่างเปล่า หัวใจซึ่งเคยบอบช้ำและแห้งแล้งกลับฟื้นคืนไม่ต่างจากต้นไม้ที่เห็นยืนต้นตายมานาน แล้วจู่ ๆ ก็ผลิใบอ่อนออกมาให้ชื่นชม เต็มไปด้วยสีสันแห่งชีวิต ท่วมท้นไปด้วยความหวังของวันพรุ่งนี้ หัวใจของเธอไม่ต่างจากป่าเหนือในฤดูหนาวซึ่งได้รับการแต่งแต้มสีสดใสจากดอกไม้นานาพันธุ์ หรือว่าฤดูฝนอันแสนเศร้ามัวซัวใกล้จะจากไปแล้ว และจะถูกแทนที่ด้วยฤดูหนาวแสนงดงาม เธออยากให้ชีวิตเป็นเช่นนี้ตลอดไปเหลือเกิน
เธอกำลังนั่งอยู่บนชั้นลอยในมุมส่วนตัว บรั่นดีหมดไปแล้วแก้วหนึ่ง เธอใช้เวลาเกือบทั้งหมดเฝ้ามองภาพพิมพ์ไม้ฝีมือของเขา มันอยู่ในกรอบโลหะและแขวนอยู่บนผนังปูนฝั่งตรงข้าม มีหลอดไฟสปอตไลท์ดวงเล็กส่องสว่างเฉพาะตำแหน่ง ดูโดดเด่นเป็นดาราอยู่ท่ามกลางโลกสลัวราง เรื่องราวภายในภาพทำให้เธอจมอยู่กับความหลัง นั่นเป็นห้วงเวลาที่เธอได้พบและอยู่ใกล้ชิดกับเขา ศิลปินภาพพิมพ์ผู้สร้างผลงานได้จับใจ มันอบอวลด้วยความรู้สึก มีพลังสั่นสะเทือนหัวใจมากเสียจนดูราวกับว่าเรี่องราวในภาพเป็นความจริง มันมีชีวิตขึ้นอีกครั้งอย่างจริงจังเลยทีเดียว เอาเถอะ แม้ความจริงจะทำให้เธอเคยรู้สึกเศร้าใจ แต่บัดนี้เธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ในภวังค์ของความตื้นตันซาบซึ้ง เธอบังเกิดแรงปรารถนาให้ความรู้สึกนี้ยืนยาวที่สุด ซึ่งย่อมเป็นไปได้เสมอ ตราบใดที่เธอยังสามารถพบหน้าเขา เขากลับมาแล้ว กลับมาหาเธอ แน่นอนที่สุด นี่หาใช่เป็นเพียงภาพฝันไม่ เธอได้ยินเสียงพูดของเขา ได้เห็นรอยยิ้มประทับใจ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่กาลเวลาหยิบยื่นให้แก่เขา เหมือนที่ได้หยิบยื่นให้แก่เธอเช่นกัน วันนี้เธอกับเขาไม่ใช่หนุ่มสาวอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นวันและคืนในชีวิตที่หลงเหลืออยู่ก็วิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
น่าประหลาด เธอคิด โลกอันแสนสุขเกิดขึ้นได้อย่างไรหนอ ผู้ที่หายหน้าไปราวกับตายจากกัน บัดนี้กลับมาปรากฏร่างให้เธอเห็นและโอบกอดอีกครั้ง เธอจำได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขาที่เธอสัมผัสด้วยสองแขนในลิฟท์โรงแรม แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ชวนให้ประทับใจไม่รู้ลืม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมาสวมกอดเธอ ไม่มีแม้อาการสนองตอบ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ผลักไส นับเป็นการเริ่มต้นที่ดียิ่ง เปี่ยมความหวังอย่างยิ่ง สักวันหนึ่งเขาอาจกอดเธอ จูบเธอ และสัมผัสเธอด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ เธอรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะหวัง เขามาครั้งนี้เพื่อมาหาเธอไม่ใช่หรือ เธอรู้ดีโดยไม่จำเป็นต้องฟังจากปากใคร ดวงตาคู่นั้นฟ้องว่าเขาดีใจที่ได้พบเธอ เขาถึงกับตื้นตันใจด้วยซ้ำ สักวันหนึ่งเขาจะชวนเธอย้ายตามไปอยู่ต่างประเทศ ใช่แล้ว เรื่องต้องเป็นเช่นนั้น เธอยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง แต่แล้วอย่างฉับพลัน เจ้าความหวาดหวั่นก็เข้ามาแทนที่ มันกระโจนเข้าหาเธออย่างรวดเร็วเกินไป ไร้ความเมตตาเกินไป เธอรู้สึกเจ็บปวดจนหัวใจเศร้าซึม จริงสินะ เธอยอมรับ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ทั้งหมดนี้เธอทึกทักเอาเองทั้งสิ้น และคงด้วยความรู้สึกเช่นนี้กระมัง จึงทำให้เธอต้องตัดใจจากเขามาเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น การได้เห็นเขาหลับสนิทอยู่เคียงข้างซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลอดทั้งคืนไม่ใช่ภาพฝัน เธอกลายเป็นคนที่สำลักความสุขอย่างบอกไม่ถูก จนไม่อยากให้ความสุขหายไปเมื่อความจริงปรากฏตัวขึ้นดุจเดียวกับที่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เธอนึกขำอย่างขมขื่นต่อความคิดนี้ นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดกับชายใดมาก่อน เธอตัดใจขับรถกลับบ้านโดยมีภาพพิมพ์ไม้ที่เขามอบให้กลับมาด้วย และคืนนี้เธอก็สั่งให้เด็กในร้านคนหนึ่งนำไปแขวนไว้ตรงตำแหน่งที่สามารถเห็นได้ชัดที่สุด
เธอละสายตาจากภาพพิมพ์ไม้ ก้มมองดูแก้วบรั่นดีอันว่างเปล่า คิดจะร้องเรียกลูกน้องสักคนแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ บุหรี่ในซองบนโต๊ะถูกคว้ามาหมายจะจุดสูบ ครั้นระลึกได้ถึงแววตาของเขายามมองมาขณะเธอระบายควันบุหรี่ เธอก็โยนมันกลับไปไว้บนโต๊ะตามเดิม การสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็วจริงหรือเปล่านะ เธอครุ่นคิดถึงคำเตือนบนซอง ใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงของเขาทำให้เธอหวั่นใจ จนไม่อยากดูเงาตัวเองในกระจกบานซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วงโรย ความชราของมนุษย์ช่างน่ากลัวเหลือเกินในความคิดของผู้หญิงทุกคน เธอรำพึงอยู่ในใจ แล้วเกิดความคิดที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้จงได้ หลังจากหัดสูบมาตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กสาว คงไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ แม้แต่การเริ่มต้นชีวิตในขณะที่อายุได้สามสิบแปดปีก็ตาม เธอให้ความหวังแก่ตัวเอง แม้ว่ามันอาจเป็นแค่การสร้างความรู้สึกลวงให้สามารถมีลมหายใจต่อไปได้โดยไม่ทรมานเกินไป มันอาจเป็นการเดินทางให้ถึงจุดหมายอันห่างไกลด้วยเรือชำรุดซึ่งอีกไม่นานก็จะจมลงสู่ใต้ท้องน้ำ เธอต้องคว้าความหวังนั้นไว้ ต่อให้มันไม่เคยมีอยู่อย่างแท้จริงเลยก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปให้ได้สักคืนหนึ่งเท่านั้น
แล้วเขาเล่า เวลานี้กำลังอยู่ที่ไหน เขาน่าจะพักผ่อนอยู่ในโรงแรม ความต้องการโทรศัพท์หาแล่นลิ่ว ๆ ขึ้นมาจับใจ น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความคิดถึง คืนนี้เธอปรารถนาจะได้พบและอิงแอบอยู่ใกล้เขาเหมือนเดิม เพื่อพูดจากันโดยปราศจากความมึนเมา เธอกับเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่มีต่อกันโดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง หากความรู้สึกงดงามบางช่วงบางตอนของชีวิตจะถูกหลงลืมไปเพราะฤทธิ์เหล้า
ความคิดคำนึงของเธอมีอันต้องสะดุดหยุดลง เมื่อใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาและวางขวดบรั่นดีลงบนโต๊ะ เขานั่นเอง ในมือของเขามีแก้วบรั่นดีติดมาด้วยใบหนึ่ง เธอใช้สายตาเกรี้ยวกราดมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะเห็นเขาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
“เพิ่งสี่ทุ่มเอง แต่ข้างล่างลูกค้าเข้าเกือบเต็ม”
น้ำเสียงและท่าทางของเขาดูรื่นรมย์จนขัดหูขัดตา เธอจึงนั่งนิ่งโดยไม่ยอมโต้ตอบ สายตาเปลี่ยนไปจับอยู่ที่ภาพพิมพ์ไม้บนผนังห้องตามเดิม
“เมื่อคืนคนก็เยอะเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดีนะบัว เราจะได้ปรับปรุงชั้นบนนี่ มันคงรับลูกค้าได้อีกหลายสิบคนทีเดียว” เขาเอ่ยขึ้นมาอีก พร้อมกับรินบรั่นดีให้เธออย่างเอาใจ จากนั้นถือวิสาสะคว้าซองบุหรี่บนโต๊ะไปเคาะเอาบุหรี่มวนหนึ่งออกมา เธอเหลือบมองด้วยหางตา เห็นเขาใช้ริมฝีปากคาบก้นบุหรี่ไว้แล้วจุดไฟ เธอจึงรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีก ควันบุหรี่และกลิ่นของมันกระตุ้นให้เธออยากสูบจนบอกไม่ถูก สุดท้ายต้องยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบช้า ๆ พยายามไม่คิดถึงสิ่งเย้ายวนซึ่งกำลังทดสอบเธอ
“บัวหายไปไหนมาเมื่อคืน…” เขาถามด้วยเสียงค่อนข้างเบา ออกจะนุ่มนวลผิดปกติด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับเวลาที่เขาพูดกับคนอื่น
นี่เป็นคำถามที่เขาอยากรู้อย่างแท้จริงสินะ เธอรู้สึกรำคาญมากขึ้น ต้องการอยู่เงียบ ๆ คนเดียวโดยไม่มีใครมาวุ่นวาย เขาน่าจะรู้และเลิกติดตามตอแยให้วุ่นวายเสียที คิดแล้วเธอก็อยากตวาดไล่แต่ไม่กล้าพอ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ใช่ เธอรู้และยอมรับ เขาเป็นห่วงอาทรเธอมาโดยตลอด
“แหม คุณผู้หญิง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห “ถามแค่นี้ทำไมต้องชักสีหน้าด้วยล่ะ ผมก็แค่เป็นห่วง ตามปกติบัวไม่ค่อยไปไหนมาไหนนี่ ถึงไปธุระก็โทร.บอกผมก่อนเสมอ”
ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เธออดใจไม่ได้จึงคว้าบุหรี่มาจุดสูบตามความเคยชิน แต่สูบเพียงสองสามครั้งก็ขยี้ทิ้ง แล้วเฝ้ามองควันละเอียดลอยอบอวลอยู่ในแสงไฟสลัว นาทีต่อมาเธอเริ่มรู้สึกดีขึ้น ความคับข้องใจลดลง ก่อนจะสำนึกได้ถึงความพ่ายแพ้แม้ในเรื่องเล็กน้อย แล้วเรื่องใหญ่ในชีวิตเล่า เธอจะไม่พ่ายแพ้มันไปตลอดหรอกหรือ ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจที่ไม่น่าหงุดหงิดใส่เขา คนเรานี่ก็แปลก มักไม่ค่อยอดทนกับคนที่เราไม่ใส่ใจ ผิดกับผู้ที่เราให้ความสำคัญ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เราก็อดทนได้เสมอ “ขอบใจนะ ที่พลเป็นห่วง”
เขายิ้มตาหยีราวกับเด็กได้ของเล่นที่ถูกยึดไว้กลับคืน เธอเองก็คงจะยิ้มเช่นนั้นหากอยู่กับเขาอีกคนหนึ่ง
“ฉันไปพบพี่โอมมา ดูภาพนั่นสิ พี่โอมฝากให้เธอด้วยนะ พล ฉันวางไว้บนโต๊ะในห้องเก็บเหล้าแน่ะ ถ้าเธอไม่เอากลับบ้านก็น่าจะนำไปแขวนไว้ข้างล่าง ยังพอมีที่ว่างอยู่สำหรับ…”
“คิดไว้ไม่มีผิด แล้วก็เลยถือโอกาสนอนค้างกับมันใช่มั้ย” เขาพูดสอดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง
ได้ยินอย่างนั้นอารมณ์ที่กำลังสงบก็ลุกโพลงขึ้นเหมือนกองไฟต้องแรงลม หากเป็นคนอื่นเธออาจลุกขึ้นยืนแล้วตบเข้าที่ปากให้หายแค้น
“ทีหลังอย่าพูดกับฉันด้วยน้ำด้วยเสียงยังงั้น” เธอเอ็ดตะโรใส่ “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เขามีสีหน้าสลดลงโดยที่เธอไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลย ออกจะสะใจเสียด้วยซ้ำ
“ผมเข้าใจ พอไอ้โอมมา บัวก็ไม่เห็นหัวผม”
“พูดอย่างนั้นได้ยังไง ฉันไม่เคยให้ความหวังเธอ จริง ๆ แล้วไม่เคยแม้แต่จะให้ความหวังใคร นี่ถ้าจ๋ารู้เข้าจะไม่เสียใจรึ ฉันไม่อยากให้จ๋าเข้าใจอะไรผิด ๆ พวกเราทั้งหมดเป็นเพื่อนกันมานาน และจะต้องเป็นต่อไป…จำเอาไว้ด้วย”
เขาแค่นหัวเราะออกมา ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าดำคล้ำซึ่งกำลังบิดเบี้ยวเหยเกจ้องมองเธอเขม็ง
“ไอ้โอมนี่มัน…ทำไมพวกผู้หญิงถึงได้รู้สึกดีกับมันนัก ไม่ว่ามันจะทำร้ายจิตใจใครขนาดไหน ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ให้ตายเถอะ” พูดจบเขาก็ลุกเดินหนีไป
เธอกลับมาอยู่ในโลกของตัวเองอีกครั้งด้วยการนั่งจ่อมจมอยู่ในภวังค์เหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าไม่สามารถเรียกอารมณ์อันเต็มด้วยความสุขในความหวังกลับมาได้ แม้จะจุดบุหรี่สูบมวนแล้วมวนเล่าก็ตาม มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่มีใครอยากเห็นเธอมีความสุขบ้างหรืออย่างไร เธอคิดด้วยความรวดร้าว แล้วขยี้ก้นบุหรี่ลงในจาน ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นดื่ม หวังให้เมามายจนเลอะเลือนเช่นเคย
บรรยากาศช่างน่าเบื่อเหลือเกิน เธอหันรีหันขวางด้วยความหงุดหงิด ถ้าเขามาที่นี่เธอคงรู้สึกดีขึ้น แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงยังไม่มาเสียที หรือว่าคืนนี้จะไม่เป็นอย่างที่เธอปรารถนา
“เขาไม่ได้คิดถึงเราเลยหรือ” เธอพึมพำออกมา
เธอน่าจะโทรศัพท์ไปที่โรงแรม นั่นสินะ น่าจะลองดู เธอบอกตัวเอง หรือไม่ก็ขับรถไปหาเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย ดีกว่ามานั่งสิ้นหวังอยู่ในความมืดอย่างที่เป็นอยู่ ไม่เห็นแปลกตรงไหนกับการโลดแล่นออกไปหาใครสักคนที่เราคิดถึง เธอต้องการพบเขาเหลือเกิน ปรารถนาจะได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง อยากให้คืนนี้และทุกคืนเป็นเหมือนคืนที่ผ่านมา ทว่าเธอก็ไม่กล้าพอที่จะโทรศัพท์ไปหาเขา มันยังคงเป็นเพียงแค่ความคิด เธอเกรงจะเป็นการรบกวนเขาเกินไป หรือในใจลึก ๆ เธอกลัวว่าจะต้องพบกับคำปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เขาอาจไม่ต้องการเจอหน้าหรือสนทนากับเธออีก คืนนี้เริ่มต้นไม่ค่อยดีเสียแล้ว ไม่ใช่คืนที่ดีเลย เธอรู้สึกขาดความมั่นใจ
อารมณ์แห่งความสุขเมื่อตอนหัวค่ำจางหายไปหมดแล้วเสียงดนตรีฟังดูอึกทึกน่ารำคาญ นักเที่ยวที่กำลังพูดคุยเอ็ดตะโรก็ดูน่ารังเกียจ เธออยากกลับไปอยู่ในห้องนอนเงียบ ๆ สถานที่ซึ่งเธอสามารถนอนฝันถึงเขาได้โดยไม่มีใครรบกวน แต่ถ้าเขามาหาเธอที่นี่ล่ะ เธอเป็นกังวล ใช่จริง ๆ ด้วย เขาต้องมาแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ต้องการพบเธอ
เธอตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่โรงแรมด้วยความหวั่นใจ ราวกับเด็กน้อยผู้ขลาดกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นยามค่ำคืน ถึงกระนั้นก็มีร่องรอยของความหวังซ่อนเร้นอยู่ในรอยยิ้มอันซีดเซียว
“สวัสดีค่ะ…”
เธอขอให้โอเปอเรเตอร์ต่อสายไปยังห้องพักของเขา เธอรออยู่นาน โอเปอเรเตอร์จึงแจ้งกลับมาว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง
“ขอบคุณค่ะ” เธอกดปุ่มตัดสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยรอยยิ้มสดใส เขากำลังเดินทางมาที่นี่ใช่ไหม เธอรู้สึกลิงโลด หัวใจที่ขัดเคืองมีความสุขมากขึ้นตามลำดับ ความคิดจะกลับบ้านเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เธอจะนั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ จากนั้นจะชวนเขาออกไปขับรถเล่น…ขับไปให้ไกลที่สุด ยิ่งไกลจากชีวิตจริงได้มากเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เธออยากขับรถไปตามถนนหลวงให้ถึงชายทะเลที่ใดที่หนึ่ง และที่ริมทะเลกลางคืนอันลึกลับแต่งดงามนั้น เธอจะหนุนนอนซบไหล่เขาจนกว่าจะรุ่งเช้า
ซองบุหรี่ถูกขว้างทิ้งลงถังขยะ เธอมองขวดบรั่นดีบนโต๊ะอย่างไม่แยแส พร้อมกับตั้งใจว่าจะไม่ดื่มอีก จนกว่าเขาจะเดินทางมาถึง
*
การสร้างสรรค์งานศิลปะคือความพึงพอใจสูงสุดของเขา ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่ายี่สิบห้าปีบนเส้นทางสายนี้ เขาทำงานทุกวันแทบจะไม่เคยขาด ไม่ว่าในขณะที่ยังเป็นนักศึกษา เป็นบริกรในโซนาต้าคลับ หรือเป็นศิลปินอิสระ เพิ่งจะมีว่างเว้นบ้างก็ช่วงที่กลับมาเมืองไทยนี่เอง หลายวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้ครุ่นคิดถึงเรื่องงานเลย แต่หลังจากแยกกับเธอที่ลานจอดรถของราชนาวีสโมสรแล้ว เมื่อกลับถึงห้องพัก เขาก็ยังคงคิดถึงการได้อยู่ใกล้ชิดเธอบนผืนหญ้าของสนามหลวง คิดถึงการเดินเล่นไปตามทางเท้าริมถนนเยาวราช คอยชี้ชวนให้เธอมองดูภาพชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันของผู้คนที่นั่น
เวลานี้เขารู้สึกได้ถึงความต้องการจะเขียนรูป มันเต้นเริงร่าอยู่ในใจและไม่อาจสงบลงได้โดยง่าย จนต้องหยิบสมุดบันทึกออกมาร่างภาพด้วยปากกาอย่างมีสมาธิ เขาเปลี่ยนจินตนาการเป็นภาพร่างเล็ก ๆ หลายภาพ ทดลองเขียนไปต่าง ๆ นานา โดยตั้งใจว่าจะเลือกภาพร่างที่ถูกใจที่สุดนำไปขยายเป็นแม่พิมพ์ไม้ เพื่อพิมพ์ลงบนกระดาษอีกทีหนึ่ง เมื่อผลงานชุดนี้สำเร็จออกมาก็น่าจะเป็นภาพพิมพ์ไม้ที่ชวนให้ประทับใจ เพราะทั้งหมดล้วนเป็นภาพสัญลักษณ์แทนตัวเธอ เธอผู้มีความพิเศษในทุกอิริยาบถ แต่ไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจมากไปกว่ารอยยิ้มของเธอ ทั้งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า บนริมฝีปากและในดวงตาคู่นั้น ความประทับใจเหล่านี้เกิดขึ้นในค่ำคืนที่เธอได้อยู่กับเขาตามลำพัง แม้ว่าในความเป็นจริงจะมีผู้คนเดินผ่านไปมากมายจนดูน่าสับสน แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกคล้ายได้อยู่กับเธอเพียงสองต่อสองในโลกครั้งบรรพกาล เธอกับเขาเป็นมนุษย์ชายหญิงคู่แรก นั่นคือความรู้สึกของเขาทั้งก่อนหน้าและขณะกำลังร่างภาพ
หลังจากนั้นความรู้สึกในใจก็เปลี่ยนไปเมื่องานเสร็จสิ้น เขาเก็บสมุดบันทึกลงในกระเป๋าเดินทางด้วยจิตใจเคว้งคว้าง บัดนี้มันกำลังมีสภาพเป็นดั่งรถยนต์ที่วิ่งออกนอกเส้นทางด้วยความเร็วสูง แล้วอย่างทันทีทันใดก็เสียหลักพุ่งเข้าสู่ป่าละเมาะเบื้องหน้า โดยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าหนทางจะไปสิ้นสุดลง ณ จุดใด เขารู้สึกสับสนเหลือเกิน อีกทั้งต้องการถามหาความจริงจากใจของตัวเอง ความจริงซึ่งไม่ใช่แค่จากมุมมองของเขา หากแต่เป็นความจริงของโลกนี้ด้วย ว่าทำไมเขาถึงมีความสุขยามได้พบเธอและยังคงเรียกร้องต้องการจะได้พบกับความสุขนั้นอีก เขาพยายามถามใจตัวเองเพื่อขอคำตอบอย่างสัตย์ซื่อ ทั้งหมดนี้มีเงื่อนงำที่เขาพยายามซ่อนเร้นไว้ใช่หรือไม่ เขาเฝ้าคอยรับคำตอบซึ่งจริงใจที่สุด ทว่ามันอาจจะเปิดเผยออกมาได้ก็แต่ในความฝันเท่านั้น
ระหว่างอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟายาว เขาจินตนาการแล้วตั้งคำถามใหม่ เขาอยากรู้ว่าหากวันนี้อาจารย์ยังคงมีชีวิตอยู่ ท่านจะว่าอย่างไรกับการกระทำของเขา ศิลปินภาพพิมพ์ผู้ยังก้าวไปไม่ถึงไหนกับสาวสวยผู้มีหลักทรัพย์น่าหลงใหล ยามนั้นราวกับอาจารย์ได้กลายเป็นร่างดำทะมึนแห่งความจริงและมายืนค้ำร่างของเขาเอาไว้ พร้อมกับจ้องมองเพื่อล้วงลึกเข้าไปค้นหาบางสิ่งบางอย่างในหัวใจของศิษย์รัก
เขาพยายามสลัดความคิดอันน่ากลัวนี้ทิ้งไป แล้วย้อนคิดถึงเรื่องราวเมื่อตอนหัวค่ำ เขาจำได้ว่าเธอถามเขาเรื่องหนึ่ง เป็นคำถามที่เธอเคยถามเมื่อหลายคืนก่อน แต่เขายังไม่ได้ให้คำตอบ นอกจากทิ้งรอยยิ้มไว้เป็นปริศนา
“คุณโอมยังไม่ได้บอกอัญเลยค่ะ ว่าเราสองคนเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า”
ใจของเขาสว่างขึ้นด้วยภาพเลือน ๆ ราง ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยผู้ซึ่งกำลังร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม เมื่อรู้ว่าพ่อของตนกำลังจากไปไกลแสนไกล เธอยังเด็กนัก ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องแยกจากกัน หรือเพราะเหตุใดจึงต้องทิ้งเธอไป เขาเคยรับรู้ถึงเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่แล้วความรักก็เหือดแห้งเหมือนบ่อหินที่ตาน้ำตายแล้ว ไม่มีความสุขไหลรินออกมาให้หัวใจชื่นชูอีก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเพียงแค่ทัศนคติไม่ตรงกัน อาจารย์ต้องการไปแสวงหาความสำเร็จในต่างประเทศ ขณะที่มารดาของเธอไม่เคยคิดที่จะจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไหน แต่ต้องการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติของตนมากกว่า
“ใช่ครับ เราสองคนเคยพบกันมาก่อน มันนานมาแล้ว สมัยที่อัญยังอยู่บ้านเก่า ตอนนั้นอัญคงอายุได้สักเจ็ดแปดขวบ แก้มยุ้ย ผิวสีชมพู ตัวเล็ก ๆ แต่งตัวออกไปทางเด็กผู้ชายมากกว่าที่จะเป็นเด็กผู้หญิง…”
ในห้วงเวลานั้น ผู้ที่ดวงตาไม่มืดบอดย่อมทำนายได้ว่า เมื่อเติบโตขึ้นเธอจะกลายเป็นหญิงสาวสะสวยคนหนึ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสิบกว่าปีต่อมา เขาจะต้องประทับใจกับความจริงข้อนี้ด้วยตัวเอง
“นั่นไงคะ อัญคิดไว้แล้ว” นัยน์ตาของเธอเปล่งประกาย และนั่นก็ทำให้ค่ำคืนที่มืดสลัวสว่างไสวขึ้น “ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับคุณโอมมาก เพราะคุณโอมเป็นเหมือนสะพานเชื่อมความรู้สึกระหว่างอัญกับคุณพ่อนี่เอง คุณโอมได้เห็นและบันทึกภาพของคุณพ่อไว้ทุก ๆ วัน โชคดีเหลือเกินค่ะ ที่เราสองคนได้พบกันอีก แม้ว่านั่นจะทำให้อัญคิดถึงคุณพ่อมากขึ้นก็ตาม”
เรื่องราวเมื่อตอนหัวค่ำส่งผลให้เขาถอนหายใจยาว หัวใจท่วมท้นไปด้วยความทุกข์และความสุข มันคละเคล้าไปกับความสำนึกผิดต่อใครหลายคน เป็นกระแสอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านอยู่ภายใน ยากแก่การบังคับให้หยุดคิด วินาทีต่อมาเขาก็ยิ้ม แล้วถามตัวเองว่าดีไหมนะ ถ้าเขาจะสละความหวังตลอดจนความใฝ่ฝันเพื่อใครสักคนหนึ่งซึ่งเดินผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่มีทาง เขาแน่ใจ เขาไม่มีวันทำเช่นนั้น ไม่เคยมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าศิลปะและงานของเขา บางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นแค่ความประทับใจชั่วแล่น เหมือนดอกไม้ไฟบนท้องฟ้ายามค่ำคืนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ช้าหรอกมันก็จะจางหายไป นี่คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะบอกลาบ้านเกิดเพื่อกลับไปทำงานในดินแดนอันห่างไกล สถานที่ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง เขาไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ มันเป็นผลมาจากการเลือกของเขา จะทำได้ก็เพียงกล้ำกลืนรสชาติของมันลงไปเท่านั้น
ตัดสินใจเรื่องการเดินทางกลับอย่างปุบปับแล้ว เขาก็คิดถึงเธออีกคนหนึ่งขึ้นมา เขาปรารถนาจะได้พบเธออีกสักครั้ง พบเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าได้พบเธอสมใจ โดยไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ เขาไม่ต้องการละโมบ ไม่ต้องการกอบโกยสิ่งดี ๆ จากชีวิตและโลกนี้มากเกินไป เขาได้รับพรสวรรค์จากธรรมชาติมามากเกินพอแล้ว ที่ผ่านมาก็พยายามใช้มันนำทางไปสู่ชัยชนะ นี่คือสิ่งสำคัญสูงสุด สำหรับเขาแล้วอุดมการณ์และความหวังในศิลปะจะนำทางเขาไปชั่วชีวิต ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกเดินทางกลับไปอเมริกาเสียที ลืมทุกอย่างที่นี่ให้หมดสิ้น เขาควรก้มหน้าทำงานตามลำพังต่อไปจนแก่ชรา แล้วตายจากโลกนี้ไปในฐานะศิลปินคนหนึ่ง
“รีบจากไปเสียตอนนี้เพื่อเห็นแก่เธอ” เขาพยายามสั่งตัวเอง พร่ำบอกว่าในไม่ช้าทุกคนก็จะลืมเขา มนุษย์มักจะลืมได้เสมอ หากไม่ลืมในวันนี้ก็ต้องลืมในวันหน้า ไม่ลืมตอนมีชีวิตอยู่ก็ต้องลืมเมื่อหมดลมหายใจแล้ว
นาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลาตีห้า อีกไม่นานเขาจะหลับไหล เขาพยายามจะไม่ฝันถึงใครอีก แล้วทันทีที่ตื่นขึ้น เขาก็จะตรงดิ่งไปหาเธอเพื่อกล่าวคำอำลาอย่างอ่อนโยน พร้อมกับบอกเธอว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ถนนของเราแยกกันไปคนละทางนับแต่วันนี้ เขาจะไม่หวนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความอาลัย มนุษย์ที่มีความใฝ่ฝันและต้องการไปให้ถึงเป้าหมาย โดยตัดใจทอดทิ้งบ่วงชีวิตไว้ทางเบื้องหลังแล้ว ไม่สมควรเสียใจกับทุกเรื่องที่ได้กระทำลงไปเพื่อความใฝ่ฝันอันสูงส่งนั้น เขาต้องทำให้ได้ อย่าเป็นกังวลไปเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น เขาพยายามปลอบใจตัวเอง
ความอ่อนล้าสั่งเขาให้หลับตาลง ร่างอันสั่นสะท้านนอนคุดคู้อยู่บนโซฟา ไม่กล้าแม้แต่จะกลับไปนอนบนเตียงนุ่ม ถึงแม้ว่าจะได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยของอดีตให้สัมผัสได้อยู่ ในความง่วงงุนเขาเห็นอาจารย์ ท่านยืนจ้องมองมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาด้วยอาการสงบ เหมือนรอยยิ้มทุกเมื่อเชื่อวันที่เขาเคยได้รับยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อาจารย์ไม่ตั้งคำถามกับเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“ขอบคุณครับ อาจารย์”
ขอบฟ้าเริ่มเรืองรอง แสงเงินแสงทองเปล่งประกายแห่งความหวังลอดผ่านม่านเมฆออกมา หยาดฝนยามเช้าพร่างพรมใส่กระจกใสบานใหญ่ตรงระเบียงจนก่อให้เกิดเสียงดังเปาะแปะ เขาหลับไปโดยไม่เห็นภาพใด ๆ อีก แม้ภายในใจยังคงคิดถึงเธอ เพียงแต่เขาไม่มีเวลาทันได้ใคร่ครวญว่า แท้จริงแล้วเธอผู้นั้นคือใคร
*
เขาแจ้งกับทางโรงแรมว่าจะขอคืนห้องพักในวันมะรืนนี้ หลังจากได้ยืนยันการเดินทางแก่เจ้าหน้าที่ของสายการบินเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้เขาดำเนินการอย่างกระตือรือร้น ทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนสาย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างจะผิดปกติกว่าทุกวัน
ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวพอดิบพอดี ชีวิตกำลังเข้าที่เข้าทางของมัน เขาคิด แล้วตอนนี้เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะออกไปเดินเล่นรอบ ๆ โรงแรม แต่ความรู้สึกง่วงซึมที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ จึงล้มตัวลงนอนและหลับไปตลอดช่วงบ่าย อันเป็นเวลาพักผ่อนที่แท้จริงของเขา การพักผ่อนอันแสนวิเศษทำให้เขาสดชื่นเหมือนเป็นคนใหม่ กลายเป็นมนุษย์ผู้เกิดอีกครั้ง ช่างเต็มไปด้วยพลังเข้มแข็งอะไรเช่นนี้ เขาพอใจกับความคิดดังกล่าวมากถึงขนาดตั้งใจจดจำเอาไว้ให้นานที่สุด เขาจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขาเกือบจะเศร้าขึ้นมาอีก จนต้องพยายามสะบัดใบหน้าไปมา ในที่สุดก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนและเดินโผเผเข้าห้องน้ำ
ระหว่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาจ้องมองดวงตาของชายในกระจกเงาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่า เขาน่าจะเลื่อนการโทรศัพท์หาเธอเป็นวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้แทน นี่อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้วันนี้กลายเป็นวันอันหดหู่ วันซึ่งมีแต่จะยาวนานจนกระทั่งยากต่อการดำเนินชีวิตให้ผ่านไปได้โดยง่าย พรุ่งนี้เถอะ ถ้าเป็นวันพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า เขาอ้อนวอนกับตัวเอง ขอเวลาตั้งตัวสักนิดได้ไหม จากนั้นมันคงเป็นเรื่องสะดวกใจสำหรับการพูดสั้น ๆ ออกไป…ลาก่อน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง…ตามสูตรสำเร็จของการกล่าวลา และอย่าได้เผลอใจแสดงความรู้สึกออกไปทางแววตา รอให้เครื่องบินทะยานขึ้นฟ้า เธอกับเขาก็จะจากกันไกล อาจชั่วชีวิตด้วยซ้ำ เขารู้สึกเศร้าใจไปความคิดนี้ แต่นาทีต่อมาก็สำนึกได้ว่านี่เป็นวิถีทางที่เขาได้เลือกแล้ว มนุษย์ไม่มีทางเดินให้เลือกมากนัก ไม่ไปทางซ้ายก็ต้องไปทางขวา การเดินดุ่ม ๆ อยู่บนทางสายกลางไม่ใช่เรื่องทำได้โดยง่าย โลกของเขาเป็นเช่นนี้เสมอ
หกโมงเย็นแล้วสินะ เขาได้ยินเสียงเพลงชาติแว่วจากที่ห่างไกลเหมือนล่องลอยมาตามกระแสลมฝนชื้น ๆ ยังมีเวลามากพอสำหรับการอยู่ตามลำพัง เขารำพึง แล้วโทรศัพท์สั่งเบียร์จากพนักงานรูมเซอร์วิส เนื่องจากในตู้เย็นหมดเกลี้ยงแล้ว มันเป็นเครื่องดื่มซึ่งใช้ฆ่าเวลาได้ดีพอ ๆ กับที่ฆ่าตัวเองไปพร้อมกัน เขาดื่มและมึนเมาเช่นเคย ได้แต่ปล่อยใจท่องไปในโลกอันเปล่าเปลี่ยว จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามทุ่ม เบียร์หมด เขารู้สึกมึนศีรษะ เวลาเดินเข้าห้องน้ำก็เดินไม่ค่อยจะตรงทางเสียแล้ว ใจหนึ่งอยากล้มตัวลงนอนเพื่อหยุดคิดทุกเรื่อง ถ้ายังไม่หลับก็คงต้องสั่งเบียร์มาเพิ่ม ทว่าอีกใจหนึ่งกลับต้องการพบเธอ แต่จะพบด้วยเหตุผลใดนั้นเขาไม่กล้าคิด แรงจูงใจประการหลังนี้ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นมาสวมรองเท้าและเดินโซเซออกจากห้องพักไปอย่างง่ายดาย
ขณะลงลิฟท์มาที่ล็อบบี้ เขาก็อยากรู้ขึ้นมาว่าทำไมถึงได้ดื่มมากมายเสียขนาดนี้ เขากระทำโดยมีวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝงหรือไม่ เขาดื่มให้แก่ความสุขหรือดื่มเพื่อความทุกข์ มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการสร้างความกล้า แม้อาจจะเป็นความกล้าแบบบ้าบิ่นก็ตามที เขาอยากเรียกร้องให้มันคืนสู่หัวใจดวงนี้เหมือนในอดีต…อดีตอย่างนั้นหรือ เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก เขารู้สึกว่าความจริงนี้ช่างเป็นเรื่องน่ากลัวเหลือเกิน ความจริงทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านหวั่นไหว
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เขาก้าวเดินออกไปและฝากกุญแจห้องไว้ที่เคาน์เตอร์ ที่หน้าโรงแรมเขาพยายามเรียกรถแท็กซี่ ช่วงหัวค่ำอย่างนี้คงจะหารถรับจ้างได้ไม่ยากนัก เขาบอกกับตัวเอง น่าแปลกที่ไม่มีรถแท็กซี่แล่นผ่านมาแม้สักคันหนึ่ง เขาจึงเปลี่ยนใจโบกมือเรียกคนขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งนั่งคอยลูกค้าอยู่ที่หัวมุมถนนพะเนียง
“ไปซอยลาดพร้าว 101”
ภาพของเดอะวอร์ในบรรยากาศสนุกสนานทำให้เขาเกิดความตั้งใจที่จะดื่มกินให้ถึงที่สุด มันควรจะเป็นงานเลี้ยงอำลาอันยิ่งใหญ่และยาวนานตลอดคืน เขาจะควักเงินซื้อเครื่องดื่มเลี้ยงทุกคนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เขาไม่ต้องการเห็นหรือสัมผัสความเศร้าสร้อยอีกต่อไป ทุกคนน่าจะมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า พร้อมกันนั้นก็มีเสียงหัวเราะออกมาไม่ขาดระยะ พอกันทีกับรอยยิ้มอันหม่นหมองที่เป็นยิ่งกว่าเงาตามตัว หรือว่าแท้จริงแล้วมันก็คือเจ้าชีวิตของทุกคน เขาคิดด้วยความสับสนระหว่างนั่งอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
กว่าจะเดินทางถึงเดอะวอร์ เขาก็สร่างเมาไปไม่น้อย คนขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างทำเวลาได้ดีทีเดียว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก และทันทีที่เดินผ่านประตูเดอะวอร์เข้าสู่ด้านใน เขาก็คิดได้ว่าแท้จริงแล้วโลกของเเธอใช่จะเงียบเหงาอย่างที่เขาเป็นกังวลก็หาไม่ เธออยู่ของเธอแบบนี้มาทั้งชีวิตมิใช่หรือ คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเป็นใย
สาวเสิร์ฟคนเดียวกันกับที่เคยชวนเขาไปเที่ยวโปรยยิ้มให้เมื่อเห็นเขาเดินเข้าประตูมาตามลำพัง ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับขณะกล่าวทักทายเขาอย่างสนิทสนม จนดูเหมือนจะมากเกินพอดีอยู่สักหน่อย เขายิ้มเนือย ๆ ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ กวาดสองตาไปทั่วทุกโต๊ะ ไม่มีใครที่เขารู้จักเลย สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ภาพเทพเจ้าบนโต๊ะไม้ตั้งชิดผนัง ด้านหน้าของภาพมีตะเกียงแก้วโบราณคู่หนึ่งถูกจุดไว้ แต่แสงริบหรี่ของมันไม่อาจนำทางเขาไปสู่จุดหมายได้เลย
“นั่งโต๊ะเดิมมั้ยคะพี่ หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งข้างหลังก็ได้ มันค่อนข้างมืดและเป็นส่วนตัวดีค่ะ” เด็กสาวยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มเชิญชวนเหมือนคืนก่อน
“คุณบัวอยู่หรือเปล่าครับ”
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนบอกว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนชั้นลอย พร้อมกับชี้ไปยังบันไดไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นทางขึ้นทางเดียว เขายิ้มให้เด็กสาวเป็นการปลอบใจ จากนั้นก้าวอย่างเชื่องช้าเข้าสู่โลกส่วนตัวของเธอ
บนชั้นลอยมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้มอยู่ราวสิบกว่าตัวเขานับคร่าว ๆ จากการมองผ่านแสงสลัวของหลอดไฟบนเพดาน นี่คือโลกแห่งความร้างว่างเปล่าผู้คน ไม่มีหน้าต่างแม้สักบานหนึ่งให้เห็นโลกภายนอก บรรยากาศอบอวลด้วยควันบุหรี่ซึ่งลอยมาจากชั้นล่าง กลิ่นอายของความเดียวดายแทรกซึ้งอยู่ในความทึบทึมนั้นช่างดูเปล่าเปลี่ยวอย่างน่าประหลาด เขาคิด แม้ว่าเสียงดนตรีจากชั้นล่างจะแผ่ความร่าเริงขึ้นมาถึงข้างบนนี้อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวดังกล่าว เธอกำลังนั่งหันหลังให้เขาเหมือนที่ห้องอาหารในโรงแรมเมื่อคืนก่อน เขารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยขณะทอดสายตามองดูเธอใช้ปลายศอกข้างหนึ่งเท้าลงบนโต๊ะและเอียงศีรษะซบลงบนฝ่ามือ เรือนผมยาวเป็นเงาสยายเต็มแผ่นหลัง ดูเหมือนเธอกำลังนั่งพิจารณาภาพพิมพ์ไม้ซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้อง แสงจากโคมไฟดวงหนึ่งส่องลงตรงผลงานของเขา มันมีชีวิตอยู่ในโลกอันสลัวรางราวกับความฝัน นี่ออกจะเป็นภาพเศร้า ๆ อยู่สักหน่อยสำหรับใครก็ตามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์อยู่แล้ว
เธอไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเขากำลังยืนมองเธออยู่ ร่างของเธอนิ่งสงบไม่ผิดจากครั้งนั่งเป็นนางแบบให้เขาเขียนภาพสีน้ำมัน ภาพเขียนซึ่งไม่อาจตัดสินได้ว่างดงามเท่าตัวจริงของเธอหรือไม่
“บัว…” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นทอดยาว จนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงดนตรี
เธอสะดุ้งเล็กน้อย ขยับตัวเหมือนไม่แน่ใจ แล้วก็หันกลับมามอง เขาเห็นเธอยิ้มทั้งใบหน้า ดวงตาฉายแสง ความชื่นชมยินดีพวยพุ่งออกมาราวกับน้ำพุแห่งชีวิตเหนือผืนดินอันแห้งผาก เขายิ้มตอบด้วยหัวใจอันอ่อนโยน พร้อมกับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอ ในความทรงจำเก่าแก่ เขาถามสมองอันเลอะเลือนว่าเคยนั่งเคียงข้างเธอสักครั้งหรือไม่ แน่นอน เรื่องราวเหล่านี้ย่อมเคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งแรกเมื่ออยู่ด้วยกันในห้องพักของเธอ ต่างเฝ้าดูสายฝนที่ไหลพรั่งพรูลงมาจากชายคากันสาดและทำตัวโรแมนติกเหมือนคนในวัยหนุ่มสาวทั่วไป แม้กระนั้นก็ยังนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ที่สำคัญมันเกิดขึ้นมานานมาก จนกระทั่งบัดนี้ได้กลายเป็นภาพความทรงจำอันมัวซัวไปเสียแล้ว
“ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ แบบนี้ล่ะ” เขาถามด้วยความอาทรโดยไม่เสแสร้ง เวลาซึ่งเหลือน้อยลงทุกทีทำให้เขาไม่อยากปิดบังความรู้สึก จะปกปิดไปเพื่อประโยชน์อันใดกันเล่า เวลานั้นมีค่าเหลือเกิน แต่ละนาทีกำลังเดินทางผ่านฉากชีวิตนี้ไป เขาเห็นเธอทอดสายตาลงต่ำ ปอยผมบางส่วนตกมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มและบนอกเสื้อ
“บัวกำลังคิดอะไรเล่นอยู่น่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบและเบา
“พี่เห็นบัวจ้องดูภาพนั้นอยู่นาน”
เธอช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเขา เผยอยิ้มบาง ๆ อย่างซีดเซียวราวกับคนป่วยผู้พยายามฝืนยิ้มให้แขกที่มาเยี่ยมไข้
“ดูภาพของพี่โอมแล้วก็ทำให้บัวคิดถึงวันคืนเก่า ๆ มันนานมาแล้ว แต่คล้ายกับเพิ่งผ่านไป ความจริงพวกเราทั้งสี่คนน่าจะได้กลับมาร่วมโต๊ะพร้อมหน้ากันอีกนะคะ ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าหมาในภาพจะเป็นยังไงบ้างนะ มันคงตายไปแล้วละ ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว หมาอายุไม่ยืนเหมือนพวกเรา นั่นอาจว่านับเป็นข้อดี”
พนักงานชายคนหนึ่งดูยังเด็ก อายุคงประมาณสักยี่สิบปี เดินเข้ามาถามว่าต้องการรับเครื่องดื่มอะไร เขามองแก้วบรั่นดีของเธอที่ว่างเปล่าแต่ไม่เห็นขวด จึงสั่งให้เปิดขวดใหม่โดยไม่ลืมหันไปย้ำกับเธอว่าขวดนี้เขาขอเลี้ยงเอง
“มีอย่างที่ไหนกันคะ” เธอทำตาโต สีหน้าสีตาดูแช่มชื่นและเป็นสุข “มีแต่เจ้าของร้านต้องเลี้ยงแขก”
เขาหัวเราะ รีบแย้งว่า “พี่ไม่ใช่แขกนี่” เกือบจะพูดต่อไปอีกว่า เขาเพียงต้องการเลี้ยงเธอเป็นการอำลาเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่แน่ชัดนักทำให้เขายั้งปากเอาไว้ทัน อาจเป็นด้วยดวงตาของเธอที่ทอประกายแห่งความสุขอยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้มันลบเลือนไปก่อนเวลาอันควร คืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นไม่ใช่หรือ
“คิดว่าพี่โอมจะมาหาบัวตั้งแต่เมื่อวาน”
น้ำเสียงเธอมีแววตัดพ้อเจืออยู่จาง ๆ ทำให้เขาคิดถึงคืนที่ผ่านมากับเธออีกคนหนึ่ง ภายในใจรู้สึกผิด แม้ได้พยายามบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้น เขามีอิสระ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากทำได้เสมอ
“คืนนี้พี่ก็มาแล้วไง ลองแตะตัวดูได้เลย พี่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าของบัวจริง ๆ นะ” ก็แค่คืนนี้…เขาคิด นี่จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว
การสนทนาหยุดไปชั่วขณะ เมื่อพนักงานชายคนเดิมนำขวดบรั่นดีมาวางบนโต๊ะ พร้อมด้วยแก้วเปล่า น้ำแร่และถังน้ำแข็ง
“ดื่มให้แก่ความสุขในค่ำคืนนี้ค่ะ พี่โอม”
แก้วบรั่นดีกระทบกันจนเกิดเสียงกังวานใส เขาดื่มเหล้าในแก้วจนหมด และทันได้เห็นเธอใช้สายตาดุจ้องพนักงานชายซึ่งยังยืนรีรออยู่ เด็กหนุ่มรีบลนลานเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยถูกเธอมองด้วยสายตาแบบนั้นบ้างหรือไม่ บรั่นดีถูกรินอีก คราวนี้เขาจิบอย่างช้า ๆ เพราะไม่ต้องการเมาเร็วเกินไป ส่วนเธอยกดื่มจนเกลี้ยงแก้ว
“จะรีบเปิดขวดใหม่หรือบัว อย่าห่วงเลย บอกแล้วไงว่าพี่เป็นเจ้ามือ รับรองว่าไม่หนีกลับแน่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะขณะรินให้เธอใหม่
“บัวแค่กำลังมีความสุข”
ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่รู้สึกเช่นนี้ เขาบอกตัวเอง ผู้คนจำนวนไม่น้อยดื่มเหล้าขณะกำลังมีความสุข หรือไม่ก็เพื่อเฉลิมฉลองความยินดีเนื่องในโอกาสต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีมนุษย์อีกมากมายเช่นกันที่กรอกความมึนเมาให้แก่ร่างกาย ในเวลาที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ พวกเขาอยากฟุบหลับและผ่านความเจ็บปวดไปได้อีกครั้ง เหล้าสารพัดยี่ห้อสนองความต้องการนั้น แม้จะเป็นการเยียวยาที่ไม่ยั่งยืนก็ตาม
เวลายังคงเคลื่อนที่มุ่งไปข้างหน้า แต่ละนาทีแต่ละโมงยามผันผ่าน เสียงดนตรีเพิ่งจะเงียบลง เช่นเดียวกันกับเสียงพูดคุยของบรรดานักดื่มข้างล่างก็จางหายไปด้วย บรั่นดีในขวดพร่องจนเกือบหมด ส่วนเธอยังคงสนุกอยู่กับการพูดคุย ดวงตานั้นฉ่ำเชื่อมด้วยความมึนเมา ริมฝีปากที่กลายเป็นของคนช่างเจรจาเฝ้าแต่เล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังมากมาย โดยไม่ลืมพูดถึงชีวิตประจำวันที่หมุนเวียนเป็นวัฏจักร ซึ่งเธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบ เธอแก้ไขปัญหาด้วยการอ่านหนังสือ เป็นคำพูดที่ค่อนข้างเหลือเชื่อในความคิดของเขา ทว่าหลังนิ่งฟังอยู่นานก็ทำให้เขารู้ว่าเธอได้กลายเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่งไปเสียแล้ว ผิดเพี้ยนจากความทรงจำในอดีตที่เธอไม่เคยชื่นชอบการอ่านหนังสือเลย เธอเป็นเพียงเด็กสาวแสนเศร้าผู้พยายามเป็นคนรักสนุก เธอไม่ใช่หรือที่รู้สึกเบื่อหน่ายการเรียนหนังสือ เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธออดทนจนเรียนจบมหาวิทยาลัยหรือไม่
“ที่บ้านของบัว ถ้าพี่โอมได้เห็นต้องไม่เชื่อแน่ ๆ มันเต็มไปด้วยหนังสือยังกะห้องสมุดแน่ะ บัวภูมิใจกับหนังสือพวกนั้นมาก”
“การอ่านหนังสือเป็นเรื่องดี ทำให้เราอยู่คนเดียวได้ง่ายขึ้น” กล่าวออกไปแล้วเขาก็รู้สึกเสียใจ
“พี่โอมพูดได้ถูกต้อง มันช่วยให้เวลาของบัวผ่านไปได้ง่ายขึ้นจริง ๆ บางทีบัวก็นึกเสียดายเวลาในอดีตตอนที่ยังเป็นเด็ก สมัยอยู่มัธยมน่ะค่ะ น่าจะหัดอ่านเสียตั้งนานแล้ว โลกนี้มีหนังสือดี ๆ มากมายเหลือเกิน ชั่วชีวิตคนเราคงอ่านไม่หมดแน่ ๆ ”
“ดีจัง อีกหน่อยพี่คงต้องไปขอยืมอ่านบ้าง” นี่เป็นการพูดออกไปโดยกลไกอัตโนมัติของสมอง ไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
“จริงหรือคะ ตามปกติบัวหวงหนังสือพวกนี้นะ แต่ยกเว้นพี่โอมไว้สักคน ยิ่งกว่าหนังสือบัวก็ให้ได้”
เขามองเธอด้วยใจเศร้าซึ้ง ถ้อยคำจากปากของเธอทำให้เขาหวั่นไหว แน่ใจอย่างยิ่งว่าเธอพูดออกมาจากหัวใจของเธอโดยตรง เป็นความจริงที่ไม่มีสิ่งใดจะจริงยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว แต่มันเป็นความจริงที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“พี่โอมจำหนังสือเล่มนั้นได้หรือเปล่า เรื่องแม่ไงคะ ของแม็กซิม กอร์กี้ เพราะเป็นหนังสือของพี่โอม บัวก็เลยเก็บทะนุถนอมไว้อย่างดีและอ่านทุกบรรทัด เพราะอะไรหรือคะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีลายเซ็นของพี่โอมอยู่ตรงปกด้านในด้วย บัวหยิบขึ้นมาอ่านทุกครั้งที่คิดถึงพี่โอม น่าแปลกที่มันทำให้บัวกลายเป็นคนรักการอ่านขึ้นมาได้ แม้ตอนแรกจะรู้สึกว่าคงไม่มีทางอ่านจบ นวนิยายเล่มนี้หนาเกินไป แต่สุดท้ายบัวก็อ่านจนจบ อันที่จริงอ่านหลายเที่ยวด้วยซ้ำ และต้องหาหนังสือเล่มอื่นของนักเขียนคนนี้มาอ่านอีก จากนั้นก็เริ่มอ่านงานของนักเขียนที่บัวไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเชคอฟ ตูร์เจเนฟ เฮมมิงเวย์ เฮสเส คาฟคา กามูส์ ใครอีกละ อ๋อ ดอสโตเยฟสกี้ไงคะ ทุกคนทำให้บัวค่อย ๆ เข้าใจวรรณกรรมมากขึ้น เข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น…”
ทำไมเขาถึงจะจำ“แม่”ไม่ได้ แม้จะอ่านไปเพียงครึ่งเล่มเท่านั้น แม่ของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดซึ่งเป็นการให้ครั้งสุดท้าย เพราะในเวลาต่อมาเขาไม่เคยได้พบแม่อีก น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้หลุดมือตกลงไปในแอ่งน้ำสกปรก ซึ่งขังเฉอะแฉะอยู่บนทางเท้าหน้าร้านอาหารใกล้กับโซนาต้าคลับ ใช่ เขาจำได้ดี เหตุการณ์ในคืนนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวตอนที่มันฟาดกำปั้นเข้าใส่เขา เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ แน่นอน ทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเธอ หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในคลินิกทำแท้งเถื่อนมาได้เพียงไม่กี่วัน เขาเคยเสียดายหนังสือที่แม่มอบให้ แต่หนังสือที่เปียกน้ำมักมีสภาพเหมือนคนจมน้ำตาย มันจะบวมพอง เปื่อยยุ่ย และอาจขึ้นราจนดูไม่ได้เลย เขาจึงทิ้งมันไว้ตรงนั้น โชคดีเหลือเกินที่เธอเป็นผู้เก็บไว้ มิหนำซ้ำยังดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
“พี่ดีใจด้วยที่หนังสือเล่มนั้นทำให้บัวรักการอ่าน”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่…ช่างเถอะ หนังสือคือเพื่อนของบัวเรื่อยมา ไม่รวมบรั่นดีพวกนี้ที่บัวอยากจะเลิกดื่มเหลือเกิน แต่มันไม่ง่ายเลย จนกระทั่งพี่โอมกลับมา พี่โอมรู้ไหม บางทีบัวยังคิดอยากจะเขียนหนังสือแข่งกับจ๋าดูบ้าง แต่พอมาไตร่ตรองดูแล้วก็ไม่กล้า…บัวเคยแพ้จ๋ามาแล้วนี่นะ จึงไม่คิดอยากแข่งอะไรกับจ๋าอีก”
ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ เขาถามตัวเองเหมือนกับที่เคยถามมาโดยตลอด ทำไมอดีตหลายช่วงหลายตอนของชีวิตจึงได้รับการจดจำอย่างฝังใจ ไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหายไปได้โดยง่าย เขาอยากบอกเธอว่าเรื่องบางเรื่องเธอไม่ได้พ่ายแพ้เลย เขาไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนนั้นอย่างที่เธอเข้าใจ ความสัมพันธ์อันผิดพลาดเกิดขึ้นก็เพราะความเป็นหนุ่มของเขานั่นเอง ผสมผสานไปกับความว้าเหว่ชั่วครู่ชั่วยาม ท่ามกลางกำแพงอันมองไม่เห็นที่ผุดขึ้นมาขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไว้ หากเป็นไปได้เขาก็อยากกลับไปอดีตเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น แม้รู้ว่าเป็นเพียงความเพ้อฝันของมนุษย์ มนุษย์ผู้ซึ่งปรารถนาจะทำในสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้ ใช่แล้ว คนเรามักปรารถนาเช่นนี้ เพียงเพื่อจะบอกว่าเรายังคงมีจิตใจที่ดีงามอยู่บ้างเท่านั้น
อารมณ์ขุ่นข้องหมองเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้เขายกแก้วบรั่นดีขึ้นดื่มอึกใหญ่ เขาอยากบอกลาเธอเสียตรงนี้ บอกลาแล้วจากไปเสียที เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อทำให้ใครมีความสุขนอกจากตัวเอง เป้าหมายอันสูงส่งในชีวิตก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นไปแม้กระทั่งเพื่อศิลปะบริสุทธิ์อย่างที่เขาพยายามเชื่อ แท้จริงแล้วเขาอาจต้องการแค่ชื่อเสียง ต้องการเป็นดาวเด่นอยู่ท่ามกลางความมืด กลายเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ เขาต้องการสร้างงานศิลปะเพื่อให้มันเป็นตำนานเล่าขาน ให้มนุษย์รุ่นต่อไปได้เจริญรอยตาม และชื่อของเขากลายเป็นอมตะ
“คิดอะไรอยู่รึคะ”
เสียงของเธอดึงเขากลับมาอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง ทว่าความคิดยังคงโลดแล่นอยู่ภายใน เขาควรบอกลาเธอ บอกลาแล้วรีบจากไป เขาตะโกนเอ็ดอึงอยู่ในใจ รู้ดีว่าในไม่ช้าเธอก็จะลืมเขา เธอยังไม่แก่ แถมยังสวยงามอย่างน่าทึ่ง เธอสามารถพบคนที่จริงใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นใครสักคนหนึ่งที่จะทำให้หัวใจของเธอเป็นสุข
“ความจริงที่พี่มาคืนนี้ก็เพราะพี่อยากบอกบัวว่า…” กล่าวได้เพียงแค่นั้นริมฝีปากของเขาก็ชะงักค้าง คำพูดติดตันอยู่ในลำคอ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาเห็นเธอเอียงหน้าอมยิ้ม ยามนี้เธอคงเมามากพอ ๆ กับเขา
“ชนแก้วกันดีกว่า เรายังมีเวลาคุยกันอีกมากนัก ขอดื่มให้กับความสำเร็จและการกลับมาของพี่โอม…ชนแก้วค่ะ”
คำพูดของเธอทำให้เขาเจ็บปวด หัวใจหม่นมัวลงทุกนาที เขาเฝ้ามองเธอระหว่างชนแก้วกันครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะรู้สึกว่าบัดนี้ตัวเองได้เมามายล้ำหน้าเธอไปเสียแล้ว
*
“ช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้ไหมคะ”
เขานั่งจมอยู่บนโซฟาในห้องพัก คิดถึงคำพูดอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองของเธอทางโทรศัพท์เมื่อตอนเย็น เขาบอกลาเธอแล้ว พูดออกไปอย่างที่ควรจะเป็น ต่อมาเขาก็ระลึกถึงวันที่ได้เดินเที่ยวกับเธอที่ถนนข้าวสาร ทำให้เกิดความต้องการที่จะออกไปเดินเล่นรอบโรงแรม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ออกไปเสียที การดื่มเหล้าหนักเมื่อคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียราวกับจะเป็นไข้ สมองมึนงงสับสนไปหมด
อันที่จริงการบอกลาเป็นไปอย่างเรียบง่ายราวกับท่องจำมานาน กระทั่งเธอต้องขอร้องให้เขาพูดซ้ำ เธอทำให้เขาเชื่อว่าเธอไม่คาดฝันมาก่อน และเมื่อเธอยอมรับว่านั่นคือคำบอกลาของเขา เธอจึงเอ่ยปากชวนไปรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย ใช่แล้ว มื้อสุดท้ายกับความว่างโหวงในหัวอกของเขา เขาตามใจเธอโดยนัดหมายกันหนึ่งทุ่มตรง ใจหนึ่งยินดีที่จะได้พบกับเธออีก ทว่าใจหนึ่งก็ต้องการเวลาสำหรับตั้งสติ เพื่อคิดหาถ้อยคำสำหรับกล่าวลาเธออีกคนหนึ่ง
คืนที่ผ่านมาเขาได้เห็นเธอมีความสุขอย่างไม่เคยพบมาก่อน ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก คล้ายกับว่าทุกถ้อยคำที่ตระเตรียมไว้เพื่อการอำลาได้กลายเป็นก้อนหินติดตันอยู่ในลำคอ เขาพยายามประคับประคองความสุขของเธอเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด ราวกับเธอเป็นนักโทษที่อีกไม่กี่นาทีก็จะต้องถูกหิ้วปีกเดินออกไปมัดไว้กับหลักประหาร ความปรารถนาของเธอถ้าไม่ยากเกินไปเขาก็พร้อมจะมอบให้ นั่นทำให้เขาตัดสินใจขับรถพาเธอไปส่งบ้าน แม้จะไม่คุ้นกับเส้นทางหรือพวงมาลัยขวาในรถสปอร์ตสีดำคันนั้น เมื่อถึงบ้านแล้วเขาก็รีบขอตัวกลับโรงแรมทันที อ้างว่ามีธุระต้องทำในตอนเช้า เขาไม่ใจอ่อนต่อคำอ้อนวอนขอให้อยู่เป็นเพื่อนเธอต่ออีกสักครู่ ที่จริงมันเป็นการลาจากอันน่าสะเทือนใจ หัวใจของเขาแบกรับความทุกข์เอาไว้จนหนักอึ้ง แต่ความมึนเมาก็ทำให้เขาแทบจะสลบไสลในทันทีที่ล้มตัวลงบนเตียงนอนอันว่างเปล่า สถานที่แห่งความโดดเดี่ยวไม่แพ้บ้านของเธอ แต่เขาก็หลับสนิทและลืมความคิดสับสนไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ยามนี้ท้องฟ้ามืดมัวปราศจากดวงดาว อาจจะเป็นเวลาใกล้หนึ่งทุ่มหรือมากกว่านั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เขารู้ว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว ความดีใจกับความเศร้าใจบังเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ความรู้สึกทั้งหลายที่อยู่คนละฟากฝั่งปั่นป่วนอยู่ภายในใจ จนไม่อาจแยกออกว่าเขากำลังมีความสุขหรือความทุกข์กันแน่
เขารับโทรศัพท์ บอกเธอว่าจะรีบลงไป และขอให้เธอนั่งรออยู่ที่บริเวณล็อบบี้เลาจน์ ซึ่งมีบรรยากาศเหมาะแก่การสนทนากัน ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากนั่งคุยกับเธอตลอดทั้งคืนจนกว่าจะถึงเวลาเดินทาง อาจจะเป็นการร้องขอมากเกินไปอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นฟูมฟายอยู่กับอารมณ์ยุ่งยากซับซ้อนยามคิดถึงเธออีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัวต่อการพูดความจริงเสมอ
ที่ล็อบบี้เลาจน์เขาเห็นเธอนั่งเด่นอยู่แต่ไกล เธอส่งยิ้มให้ แม้จะดูไม่แจ่มใสผิดจากวันก่อน ๆ แต่ก็ทำให้เขาสามารถยิ้มตอบได้โดยง่าย แน่นอน มันเป็นยิ้มแรกของวันนี้
เขานั่งลงบนโซฟาเคียงข้างเธอ จากมุมนี้หากมองผ่านผนังกระจกบานใหญ่ออกไป แขกผู้มาพักก็จะเห็นสวนหย่อมของโรงแรมมีชีวิตชีวาอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ข้างนอกนั้นลมกำลังพัดแรง ฝนคงใกล้จะตก โชคดีที่เธอขับรถมาถึงเสียก่อน เขายิ้มอีกครั้ง แม้จะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำก็ตามที เขาหวังว่าเธอคงไม่ล่วงรู้ หลังจากได้พยายามเก็บงำความรู้สึกไว้จนสุดความสามารถแล้ว
คืนนี้เธอสวยน่ารักเหลือเกิน เธอสวมเสื้อยืดสายเดี่ยวรัดรูปสีขาวและนุ่งกระโปรงผ้าบาติกสีน้ำทะเล ตัวที่เขาเป็นคนซื้อให้นั่นเอง ชายกระโปรงบานและยาวเลยหัวเข่าลงมาราวครึ่งน่อง เขาชื่นชมนานเป็นพิเศษแม้จะเป็นการเสียมารยาท แต่จะเป็นไรไปเล่าในเมื่อการจากกันใกล้จะมาถึง เขาสงสัยเหลือเกินว่าทำไมเธอถึงได้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเธอคนนั้นเหลือเกิน ใบหน้าหรืออะไรกันหนอที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เขาไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ
เขาถามเธอว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรดี
“ลองสั่งให้อัญซีคะ อยากรู้ว่าคุณโอมจะสั่งอะไรมาให้ แล้วอัญจะชอบหรือเปล่า”
คำพูดของเธอทำให้เขายิ้มพลางหันไปทางพนักงานหญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุด หล่อนกำลังมองมาพอดี
“ขอจินโทนิคสองแก้วครับ”
พนักงานสาวรับคำสั่ง แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อแจ้งแก่บาร์เทนเดอร์ ชายผู้เคยพยายามเล่าเรื่องตลกให้เขาฟังเมื่อคืนก่อน ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ
“ยินโทนิคหรือคะ”
“ผมเคยผสมให้อาจารย์ดื่มหลายครั้ง ในวันที่พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะนั่งคุยกันโดยไม่ต้องทำงาน แต่ก็ไม่ควรเมามากนัก…อัญดื่มเป็นเพื่อนผมนะ”
แววตาของเธอดูเศร้า เธอพยักหน้าพร้อมกับพึมพำคำว่า “ค่ะ”เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแดงอันงดงาม จังหวะนั้นเองที่เสียงเพลงบริเวณล็อบบี้ดังขึ้นคล้ายเสียงกระซิบ เป็นบทเพลงเก่าที่มีชื่อว่า เยสเทอร์เดย์ วันซ์ มอร์
“ทำไมคุณโอมถึงจะรีบกลับอเมริกาล่ะคะ”
พนักงานสาวนำเครื่องดื่มมาวางที่โต๊ะเสียก่อน เขาจึงไม่ได้ตอบคำถาม เขาชวนเธอดื่ม นั่นคือการกระทำที่ง่ายที่สุดในเวลานี้ ในใจได้แต่ปรารถนาให้คืนนี้ยาวนานยิ่งกว่าคืนไหน ๆ เขาต้องการความทรงจำดี ๆ สำหรับระลึกถึงในวันคืนซึ่งจะผ่านไปอย่างว่างเปล่า บนถนนศิลปะแม้จะเปลี่ยวเหงา แต่เขาก็ต้องมุ่งไปให้ถึงจุดหมาย เขาได้เลือกแล้ว จึงไม่อาจกล่าวโทษใครหรือสิ่งใดได้เลย
เขาจับตาดูเธอจิบเครื่องดื่มในแก้ว เธอมีท่าทางเหมือนเด็กกำลังลิ้มลองขนมที่ไม่เคยรู้รสมาก่อน นี่คือภาพซึ่งชวนให้เกิดความเอ็นดู เขาอดนำไปเปรียบเทียบกับเธออีกคนหนึ่งไม่ได้ เธอทั้งสองช่างมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกัน น่าละอายเหลือเกิน เขาคิดอย่างไม่พอใจ เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองมักจะคิดถึงเธอยามอยู่ใกล้ชิดเธออีกคนหนึ่ง เขารู้สึกผิดราวกับกำลังก่อเรื่องผิดศีลธรรม อีกทั้งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีกที่ให้คุณค่าแก่เธอทั้งสองเท่ากับงานศิลปะ ซึ่งเขาเคยเชื่อมั่นเสมอว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้ คงถึงเวลาแล้วจริง ๆ เขาควรหลีกหนีไปให้ไกลจากความรู้สึกเย้ายวนใจเหล่านี้ มันไม่ใช่ความจริงอันเป็นเป้าหมายในชีวิตของเขา เธอเปรียบเสมือนบ่วง หากเผลอใจก็จะร้อยรัดชีวิตไว้จนหายใจไม่ออก ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือมุ่งหน้าไปทางไหนได้อีก หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ปลายทางถนนชีวิตย่อมไม่มีความสำเร็จเป็นเครื่องบรรณาการ และจะเหลือไว้ก็แต่ความพ่ายแพ้ กลายเป็นบุคคลผู้ถูกลืม เขาอยากบอกทุกคนว่าเขาไม่ต้องการเกิดมาเพื่อไร้ตัวตน แม้ในแต่ละวันชีวิตจะเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว แต่เขาก็เลือกแล้วด้วยความเต็มใจ
ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของความคิด ในความมีชีวิตชีวาพรั่งพร้อมด้วยความงามและความจริงใจอันใสซื่อของเธอผู้อยู่ตรงหน้า เขาสามารถรับรู้ทุกแง่มุมของเธอ กระทั่งปรารถนาให้เธอทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อจะได้ระลึกถึงพวกเธอไปพร้อม ๆ กัน แต่…ช่างเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้ เขาตำหนิตัวเอง เขาเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี อาจจะ…จริงสินะ อาจจะเป็นมาอย่างยาวนานโดยไม่เคยรู้สึกตัวเลย เขาพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป อันที่จริงเขาไม่ควรมอบความสนใจให้แก่สิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่ออุดมคติ เวลาบนโลกสำหรับเขาอาจเหลืออยู่ไม่มากนัก นี่คือเรื่องสำคัญ เขาไม่ควรแบ่งเวลาให้แก่ใครหรือสิ่งใด แม้ว่าจะทำให้เขามีความพอใจมากขึ้น สนุกกับชีวิตมากขึ้น แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ หรือไม่ก็อาจถึงขั้นเป็นกับดักของธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้ชายหญิงทุกคนมัวเมาลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น ศิลปะต่างหากเล่าที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มีไว้เพื่อพิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ ผู้ซึ่งสามารถสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ครั้งบรรพกาล นี่จึงนับเป็นงานสร้างสรรค์อย่างแท้จริง
“ใจลอยไปถึงไหนแล้วคะ คุณโอมยังไม่ตอบคำถามของอัญเลย”
เสียงอันมีกังวานไพเราะทำให้เขาสะดุ้งรู้สึกตัว ครั้นเห็นรอยยิ้มในดวงตาที่จ้องมองมา ความรู้สึกภายในใจก็สั่นไหวอีกครั้ง กลไกด้านนี้ของธรรมชาติรุนแรงจนยากจะต้านทาน วิธีที่ดีที่สุดคือหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกล
“ทำไมผมรีบกลับงั้นหรือ พูดตามตรง ผมอยากกลับไปทำงาน หลังจากคืนนั้นที่เราได้นั่งคุยกันที่ท้องสนามหลวง แล้วเดินเล่นไปตามถนนเยาวราช พอได้อยู่คนเดียวในห้องพัก ผมก็เกิดแรงบันดาลใจอยากสร้างงานภาพพิมพ์ไม้ขึ้นมาสักชุดหนึ่ง รู้ไหมว่าอัญเป็นแรงบันดาลใจนั้น ผมคงรู้สึกผิด หากไม่ได้สร้างงานชุดนี้ออกมา ต้องยอมรับว่าผมห่างเหินกับการทำงานมานานพอแล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ต้องรีบกลับไปนิวยอร์ก”
ดวงตาของเธอทอประกายเมื่อเขาพูดถึงเรื่องแรงบันดาลใจ แต่ประกายงดงามจับใจพลันเลือนหายเมื่อเขาพูดถึงการอำลา
“ค่ะ อัญเข้าใจ หวังว่าเรา…เราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
“แน่นอนครับ” เขาพยักหน้า “สักวันหนึ่งอัญคงอยากไปชมห้องทำงานของอาจารย์ ผมสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะดูแลให้เหมือนครั้งที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ห้องนอนของอาจารย์ก็เช่นกัน ผมจะดูแลอย่างดี อัญสามารถไปพักได้ทุกเมื่อ เดี๋ยวนี้เมืองไทยกับอเมริกาไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก”
“ค่ะ” เธอรับคำสั้น ๆ พลางก้มมองแก้วเหล้าว่างเปล่า วินาทีต่อมาก็เงยหน้าขึ้นอวดรอยยิ้ม เขาอยากจะเชื่อว่านี่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเสียเหลือเกิน อีกทั้งไม่เคยเห็นเธอยิ้มเช่นนี้มาก่อนนับตั้งแต่ได้พบกัน
“ช่วยสั่งให้อัญอีกสักแก้วได้ไหมคะ”
เขาเหลือบดูนาฬิกาบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ของแผนกต้อนรับ มันบอกเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เขายังไม่ได้กินอะไรหลังจากตื่นนอน เธอก็คงเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้สมองของเขาวาดแผนการหนึ่งขึ้นมา มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใดราวกับมีมือลึกลับยัดเยียดบทละครชีวิตตอนนี้ใส่ในมือของเขา นี่อาจโหดร้ายต่อจิตใจใครบางคนหรือหลายคน แต่มันก็เป็นเช่นยาขมที่ต้องทนกล้ำกลืนเพื่อให้หายป่วยไข้ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะดีขึ้นเอง
เขาสั่งเครื่องดื่มมาอีกสองแก้วแล้วมองดูเธอ ชื่นชมเธอ พูดคุยกับเธอ แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไป ตอนนี้แก้มของเธอเริ่มปรากฏสีชมพูระเรื่อ เธอยังสาว เป็นความสาวที่งามพร้อมสรรพ อาจารย์คงต้องการให้เธอได้พบกับผู้ชายสักคน ผู้ซึ่งพร้อมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อดูแลเธอ เขาเองไม่มีทางทำได้ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อใคร นอกจากเพื่อตัวเองเท่านั้น เขาอยากให้นี่เป็นเพียงความคิดฝัน อีกไม่นานเขาจะตื่นจากการหลับไหลอันแสนสุข เขาไม่อาจหลับฝันได้ตลอดไป เมื่อลืมตาตื่น ภาพของเธอก็จะจางหายไปไม่ต่างจากภาพชีวิตอื่น ๆ ที่เขาเคยพบเห็นมา
“นาน ๆ ได้ดื่มอะไรพวกนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ”
“งั้นเหรอครับ ผมดื่มบ่อยหลังเสร็จงาน เป็นนิสัยไม่ดีที่ต้องหาทางแก้ไข แต่ก็ยังทำไม่ได้เสียที”
“คุณแม่เตือนเสมอว่าเป็นลูกผู้หญิงไม่ควรดื่ม โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าหรือผู้ชาย แต่อัญรู้สึกดีนะคะเมื่อได้ดื่มกับคุณโอม ราวกับว่าอัญกำลังนั่งเล่นอยู่กับคุณพ่อ คุณพ่อไว้ใจคุณโอมมาก อัญเองก็รู้สึกเช่นนั้น”
ผู้ชายอย่างเขาไม่ใช่คนดิบดีถึงขนาดนั้นหรอก เขาอยากบอกเธอเหลือเกิน เธอจะเข้าใจหรือไม่ หากเขาลองพูดออกไปตามที่ใจคิด แต่ถ้าสามารถพูดตามที่ใจคิดได้ทุกเรื่อง เธอก็ต้องล่วงรู้ถึงความรู้สึกของเขาสินะ ไม่ดีแน่ เขาไม่ต้องการให้ใครมาล่วงรู้ความในใจ จะรู้ไปเพื่ออะไรกันล่ะ มันมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ หากรู้ความจริงแล้วต้องจากกัน ชีวิตคนเรานี่ก็แปลก เขาคิดอย่างเศร้าใจ ไม่เคยมีใครสามารถอยู่ร่วมชีวิตกันได้ตลอดไป ไม่วันใดวันหนึ่งก็จะต้องจากกันเสมอ เธอกับเขาก็เช่นกัน
เหล้าในแก้วของเขาพร่องอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอยังคงสนุกอยู่กับการละเลียดเครื่องดื่มในแก้วของตัวเอง
“ไปหาอะไรกินกันดีกว่าครับ” เขาเอ่ยขึ้น
“ที่ไหนหรือคะ”
“เดอะวอร์ครับ ผับของเพื่อนผมเอง เอากุญแจรถมาให้ผมเถอะ ถึงไม่คุ้นกับรถพวงมาลัยขวาแต่ก็พอขับได้ ไว้ใจผมนะ..คืนนี้เราจะไปสนุกด้วยกันให้เต็มที่”
ระหว่างขับบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำไปตามท้องถนนของกรุงเทพฯ ในช่วงหัวค่ำซึ่งยังคงมีสภาพจอแจ เขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่าตัวเองทำถูกต้องแล้วหรือ มันเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลรองรับเพียงพอใช่ไหม แล้วเธอผู้แสนดีซึ่งร่วมทางมากับเขาเล่า ในหัวใจอันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และอ่อนโลกนั้น เธอจะสนุกไปกับเกมที่เขาวางไว้ได้อย่างไร
*
ด้านข้างอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของเดอะวอร์มีซอยเล็ก ๆ ค่อนข้างมืดและสงัดเงียบ เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอด หลังจากดับเครื่องยนต์แล้วเขายังคงนั่งอยู่ภายในรถกับเธอ เขามองผ่านกระจกออกไป ดวงตาบังเกิดความลังเลฉายออกมา ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน เขาเริ่มไม่เชื่อมั่นว่านี่คือความถูกต้อง ทว่าอีกด้านหนึ่งของจิตใจก็เร่งเร้า อีกทั้งยืนยันว่าเขาทำถูกแล้ว ไม่มีอะไรจะดียิ่งไปกว่าแผนการที่ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างเร่งร้อนนี้ ไม่นานนักหรอก สถานการณ์อันยุ่งยากของทุกคนก็จะคลี่คลายลงและผ่านพ้นไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สายฝนจากท้องฟ้าอันมืดมิดก็เทลงมา ทำให้เกิดเสียงเกรียวกราวยามกระทบเข้ากับตัวรถ เขาจ้องมองเธอ เห็นเธอกำลังอมยิ้มน่ารักและไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เขาไม่ควรพาเธอมาที่นี่ เธอน่าจะอยู่ห่าง ๆ จากเรื่องนี้อย่างมีความสุขในโลกแสนสะอาดของเธอ
“ฝนตกหนักจังค่ะ”
“นั่นซีครับ เรากลับกันดีกว่า”
เธอหัวเราะเสียงใส แย้งว่า “แหม อุตส่าห์มาถึงแล้ว เพื่อนของคุณโอมคงดีใจที่เรามาอุดหนุน ฝนตกหนักอย่างนี้ลูกค้าน่าจะบางตามั้งคะ ลงจากรถแล้วรีบวิ่งกันดีกว่า ประตูทางเข้าอยู่ใกล้แค่นี้เอง”
หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามวิถีทางของมัน เขาพยักหน้าเหมือนยอมจำนน ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวออกไปพร้อมกับเธอ ห้วงเวลานั้นเขาเหลือบมองข้ามหลังคารถเพื่อสังเกตดูเธอแวบหนึ่ง และทันได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาซึ่งสะท้อนแสงจากโคมไฟของเดอะวอร์เข้าพอดี ช่างงดงามเหลือเกิน เขาคิด
เธอกับเขาออกวิ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกัน เมื่อถึงหน้าประตูทางเข้าในไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็หยุดวิ่ง หอบตัวโยนและหัวเราะอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็สะบัดผมยาวเป็นลอนไปมาเพื่อไล่น้ำฝนที่เกาะพราวอยู่ เขาได้แต่ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า อันที่จริงแล้วเขาน่าจะมีความสุข ดูเอาเถิด ดวงตาของเธอไม่งดงามพอหรอกหรือ เธอไม่มีค่าพอจะทำให้เขามีความสุขได้เลยใช่ไหม นั่นสินะ ดูเอาเถอะ เธอจ้องกลับมาจนเขาต้องรีบหลบสายตาหวานซึ้งคู่นั้น
จากการสังเกตการณ์ผ่านช่องกระจกประตูเข้าไปภายในร้าน ทำให้เห็นว่าคืนนี้ลูกค้าบางตาจริง ๆ ตามที่เธอคาดเดา ออกจะเป็นบรรยากาศซึ่งชวนให้รู้สึกเงียบเหงา จริงอยู่ที่มันเพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น แต่ฝนตกหนักอย่างนี้ใครจะออกจากบ้านมาเที่ยวกันล่ะ เขาเริ่มลังเลขึ้นมาอีก ความต้องการจะกลับไปขึ้นรถทำให้เขามีสภาพละล้าละลังอยู่ตรงหน้าประตู เขาเห็นเธอกำลังใช้มือปัดน้ำฝนตามเนื้อตัว จึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหยดน้ำบริเวณแก้มและหัวไหล่กลมกลึงของเธอ เธอพยายามห้าม แล้วจับมือของเขาเอาไว้ ซึ่งก็เป็นไปอย่างไม่จริงจังนัก แต่หนักไปทางเขินอายเสียมากกว่า ในที่สุดเธอก็ได้แต่ยืนนิ่ง ปล่อยให้เขาดูแลใกล้ชิดยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยพบกัน กลิ่นหอมหวานแห่งความอ่อนเยาว์ของเธอแทรกซึ้งเข้าไปในความรู้สึกของเขา เธอพยายามซ่อนรอยยิ้มเอียงอายไว้ในใบหน้า เขาออกจะแน่ใจว่าเธอกำลังมีความสุข แล้วเขาล่ะ กำลังมีความสุขเหมือนกันใช่ไหม มันควรจะเป็นเช่นนั้น เขาอยากยอมรับ ถ้าเพียงแต่จะไม่ใช่คืนนี้และที่นี่
“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” เขาเก็บผ้าเช็ดหน้า พลางเอื้อมมือไปเปิดประตูให้เธอ จากนั้นก้าวตามหลังเข้าไปราวกับเป็นเงาของกันและกัน
นักดนตรีกำลังขับกล่อมลูกค้าที่มีอยู่ราวสี่หรือห้าโต๊ะด้วยบทเพลงร็อคบัลลาดแช่มช้า มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักรันทดของกะลาสีนักเดินทางผู้หลอกลวงตัวเอง และเที่ยวบอกใครต่อใครว่ากำลังทำงานเก็บเงินเพื่อเดินทางกลับบ้าน แม้ในความเป็นจริงกะลาสีผู้นี้ไม่เคยมีบ้าน เขาเกิดมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้าย
“ตรงนั้นดีไหมครับ” เขาชี้ไปที่โต๊ะริมกระจกใสบานใหญ่ด้านหลังวงดนตรีซึ่งเขาเคยนั่ง เขารู้สึกยินดีหากคืนนี้จะได้ที่นั่งเดิม บนชั้นลอยแม้จะมีสภาพเป็นส่วนตัว อีกทั้งเสียงดนตรีก็เบากว่าข้างล่าง เป็นสถานที่เหมาะสำหรับคู่รักจะแอบไปนั่งสนทนาและดื่มกินกัน แต่ก็ออกจะโหดร้ายสำหรับใครบางคนเกินไป หากเขาจะพาเธอขึ้นไปบนนั้น
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงเบาเช่นเคย
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ด้านในโดยหันหลังให้กับบันไดทางขึ้นชั้นลอย เขาตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ว่างอีกตัวหนึ่งเคียงคู่เธอ และรับรู้ว่าเธออยู่ใกล้เหลือเกิน หัวไหล่ของเธอเสียดสีกับต้นแขนของเขาเกือบตลอดเวลา เขาเห็นเธอทอดสายตาออกไปยังถนนด้านนอกอันเต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนอง ยามนี้มันว่างเปล่าจากยวดยานใด ๆ เธอคงกำลังชื่นชมกับความงามของคืนฝนตกอันเงียบเหงา เปลือกตาและขนตางอนโค้งกระพริบในบางครั้ง แล้วอย่างทันทีทันใดริมฝีปากแดงนั้นก็เผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังจะเอ่ยถ้อยคำชื่นชมแก่ภาพที่เธอเห็น นี่ควรเป็นค่ำคืนแห่งความสุขโดยแท้ แต่เขาไม่ควรเสียดาย อีกทั้งไม่ควรประทับใจมากจนเกินไป นี่เป็นเพียงกับดักของธรรมชาติเท่านั้น เขาต้องก้าวข้ามหลุมพรางพวกนี้ไปให้ได้ หาไม่แล้วก็จะถูกทอดทิ้งไว้ทางเบื้องหลัง
เขารับรายการอาหารและเครื่องดื่มที่พนักงานของเดอะ วอร์นำมายื่นให้ เป็นเด็กสาวตาคมผิวคล้ำคนเดิมอีกแล้ว เขาส่งยิ้มแห้งแล้งให้เธอ ก่อนถามว่าที่นี่มีแชมเปญหรือไม่ เด็กสาวสั่นหน้าท่าทางขี้เล่นไม่หลงเหลืออยู่ เขาเสียดายที่ไม่มีแชมเปญหรือแม้แต่สปาร์คกิ้งไวน์สำหรับเปิดฉลองการเดินทางกลับนิวยอร์ก
“อัญอยากดื่มอะไรครับ”
เธออมยิ้ม สั่นหน้าเล็กน้อย ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก อาจเป็นไปได้ว่าเธอต้องการให้เขาเป็นผู้นำ หรือไม่ก็ดูแลเธอไปตลอดทั้งคืน
“ผมขอโทษ นี่ผมชวนอัญมากินมื้อค่ำนี่นา ดันมัวนึกถึงแต่เรื่องเหล้า…” พูดจบเขาก็หัวเราะ รีบเปิดรายการอาหารดูอีกครั้ง และแนะนำอาหารสองสามอย่างให้เธอเลือก เธอขอสปาเก็ตตี้ราดซอสเนื้อ เขาสั่งไส้กรอกกระเทียมทอด ขนมปังกระเทียมและผลไม้รวม ส่วนเครื่องดื่มเขาตัดสินใจสั่งเหล้ายินมาทั้งขวด โทนิค มะนาวฝานและน้ำแข็ง
ไม่นานนักเขาก็สามารถทำตัวเป็นธรรมชาติได้อย่างไม่เคอะเขิน เขาดื่มเหล้าและนั่งอย่างคนปกติ แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่เสมือนเป็นเกาะป้องกันอันตราย ภายในหัวใจของเขายามนี้ต่างหากที่อยู่ในสภาพตรงข้าม หากมันเป็นกระจกก็คงสะท้อนภาพแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายราวกับก้อนเมฆบนฟ้ายามมีพายุคลั่ง เพราะเหตุใดหนอ หัวใจของเขาถึงได้ไหวยะเยือกอยู่บ่อยครั้ง มันเย็นยะเยียบอย่างน่าประหลาด ยามที่รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง
“ดูท่าฝนจะตกนานนะคะ ถ้าฝนตกหนักทั้งคืน น้ำอาจท่วมกรุงเทพฯ”
“หากไม่มีน้ำทะเลหนุน เครื่องระบายน้ำทำงานได้ดี ก็คงไม่น่าห่วงมั้งครับ”
“พรุ่งนี้คุณโอมจะอยู่บนท้องฟ้าแล้ว”
เขายิ้มหม่นหมองให้กับคำพูดของเธอ
“ผมจำได้จากข่าวที่เคยอ่าน ดูเหมือนแถวคลองสานบ้านใหม่ของอัญมักจะมีน้ำท่วมบ่อย ๆ ความที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยามาก ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยังครับ”
“ดีขึ้นค่ะ ทางการมาสร้างพนังกั้นน้ำไว้ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ยังต้องห่วงอยู่ดี…”
คำพูดของเขาเรียกรอยยิ้มจากเธอ แต่ในรอยยิ้มขาดความแจ่มใสอย่างที่เขาเคยได้เห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าเธอก็กำลังเศร้าใจกับการจากไปของเขา นี่ออกจะเป็นการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป แต่เขาก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี เมื่อเขาจากไปไกลแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างทางนี้ย่อมจะหวนคืนสู่สภาพเดิม เหมือนกับว่าเขาไม่เคยเหยียบย่างกลับมาเมืองไทย ในไม่ช้าทุกคนก็จะลืมว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่ เขาจะหายไปจากชีวิตของทุกคนในไม่ช้านี้แล้ว อดทนเล่นละครชีวิตบทนี้ไปสักพักเถิด เขาบอกกับตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นบทที่ต้องแสร้งเล่นก็ตาม
เมื่อพนักงานเสิร์ฟทยอยยกอาหารที่สั่งไว้มาวางบนโต๊ะ เธอก็ชวนเขาลองชิมสปาเก็ตตี้ในจานด้วยส้อมของเธอ เขาไม่ปฏิเสธ และรับมากินอย่างว่าง่าย แต่ภายในใจบังเกิดความรู้สึกวาบหวามรวนเรหนักยิ่งกว่าเดิม นี่อาจทำให้เขาไม่ลืมเธอเลยก็เป็นได้ จากนั้นเขาก็ตักไส้กรอกกระเทียมที่หั่นไว้เป็นชิ้นขนาดพอคำให้เธอบ้าง เธอลองชิมดูแล้วชมว่าอาหารที่นี่อร่อยถูกปากเหลือเกิน เขาอยากร่วมรับรู้ความรู้สึกกับเธอจึงตักไส้กรอกมาเคี้ยวอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นเองความหวาดหวั่นก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขารับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลังและมาหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะ
“อ้าว โอมเพื่อนรัก เอ็งมาที่นี่อีกแล้ว”
เขาถอนใจโล่งอก ในมือของมันถือแก้ววิสกี้สีเข้ม ดูท่าว่าคืนนี้คงจะดื่มมามากแล้ว
“ฝนตกหนักชะมัด” มันเปรยขึ้นขณะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สายตาจับจ้องดูเธอแทบจะไม่กระพริบ
เด็กสาวคมขำร่างเล็กเข้ามาผสมเหล้าแก้วใหม่ให้เธออีกพลางเอ่ยถามมันว่าต้องการดื่มบ้างไหม มันชำเลืองดูขวดยินแล้วส่ายหน้า
“ไม่ละ ดื่มไอ้ที่มันคุ้นเคยสะใจกว่า”
เขาแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
“โอ เดอะวอร์ยินดีต้อนรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสวย ๆ อย่างคุณอัญญาครับ”
เธอยิ้มขวยเขิน กล่าวขอบคุณอ้อมแอ้มเสียงเบาแล้วรวบช้อนส้อม อาหารยังเหลืออยู่ราวครึ่งจาน
“ไม่อร่อยหรือครับ น่าขายหน้าจริง ๆ เดี๋ยวผมจะต้องไปเล่นงานเชฟซะหน่อย” มันทำหน้าตาขึงขัง
“ไม่ใช่ไม่อร่อยนะคะ แต่ผู้หญิงเราลงได้ถูกเยินยอขนาดนี้จะมีแก่ใจทานอะไรได้ลงหรือคะ”
เธอแกล้งทำเป็นพูดติดตลกซึ่งเป็นบทที่เขาคิดว่าเธอไม่ถนัดเอาเสียเลย เวลานั้นเสียงเพลงและเครื่องดนตรีทวีความดังขึ้นเรื่อย ๆ จังหวะก็เร่าร้อนราวกับต้องการขับไล่ความซึมเซาในเดอะวอร์ให้จางหายไป เขาต้องส่งเสียงดังมากขึ้นเพื่อที่ทุกคนจะได้ยินอย่างทั่วถึง
“พรุ่งนี้เราจะกลับอเมริกาแล้วนะ”
มันยิ้มด้วยมุมปากเหมือนไม่แปลกใจ แต่พอใจมากกว่า
“อ้าว งั้นเรอะ ทำไมรีบกลับซะล่ะเพื่อน ยังไม่ได้เมากันให้หายคิดถึงซักครั้ง”
“ห่วงงานน่ะ อยากกลับไปทำงาน นายก็น่าจะรู้ว่าเวลาของมนุษย์บนโลกนี้มีไม่มากนักหรอก เราควรเร่งมือทำงานให้มากที่สุด รีบเดินซะเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย นายเองก็ไม่ควรรอช้า”
“จริงซีนะ” มันว่าพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ได้ยินเสียงก้อนน้ำแข็งในแก้วกระทบกันดังกุกกัก “ซักวันหนึ่งข้าคงประสบความสำเร็จบ้างหรอก ว่าแต่เอ็งเถอะเจอบัวรึยังล่ะ เห็นนั่งเงียบอยู่ข้างบนนั่น จะไม่ไปบอกลาซะหน่อยหรือไง”
แววตาของมันแฝงเลศนัยบางอย่างเอาไว้ เขาแสร้งทำเป็นเฉย แล้วหันไปอธิบายแก่เธอว่าคนที่ถูกกล่าวถึงก็คือเจ้าของที่นี่
“เธอเป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งของผมเอง”
เขาอธิบายสั้น ๆ แค่นั้น เรื่องราวระหว่างเธอกับเขายากจะเล่าให้ใครฟังได้ ชีวิตของเธอควรถูกเก็บซ่อนงำเอาไว้ ไม่ควรมีใครล่วงรู้เพื่อจะเยาะหยันหรือดูถูกในภายหลัง เขาคิดด้วยความรวดร้าวใจ และเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่บนชั้นลอย รอเขาอยู่ใช่หรือเปล่า เธอควรเลิกรอคอยเขาได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคืนนี้หรือคืนไหน มันไม่มีประโยชน์แก่หัวใจของเธอหรอกนะ เธอน่าจะรู้ว่าเขาไม่เคยเป็นที่หวังของใครได้ นอกจากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเอง เอาละ ได้เวลาแล้ว เขาตัดสินใจให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงในคืนนี้
“พล ให้ใครไปตามบัวหน่อยได้มั้ย”
มันมองเขาสลับกับเธอด้วยแววตาประหลาดใจ จากนั้นร้องเรียกลูกน้องคนหนึ่ง
“ไปเชิญคุณบัวลงมา บอกว่าคุณโอมต้องการพบ”
ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดกำลังเดินทางมาถึง เขาพยายามควบคุมจิตใจด้วยการนั่งนิ่ง ระหว่างนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันมีท่าทางราวกับกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มันชวนเธอพูดคุยอย่างสนุกสนานคล้ายคุ้นเคยกันมานาน ขณะที่เขาได้แต่ทุรนทุรายอยู่ภายในหัวใจ
และแล้ววินาทีนั้นก็มาถึงจนได้ เมื่อเธอเดินมาหยุดลงข้างเขา เธอวางมือลงบนหัวไหล่ของเขาแล้วบีบเบา ๆ เขาได้แต่กลั้นใจและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง ใช่เธอจริง ๆ เธอกำลังยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน คืนนี้เธอสวมเสื้อยืดสายเดี่ยวสีขาวคล้ายกับที่เธออีกคนหนึ่งสวมอยู่ แต่นุ่งกางกางขายาวรัดรูปสีขาว แทนที่จะเป็นกระโปรงผ้าบาติกสีน้ำทะเล หาไม่แล้วเธอทั้งสองก็คงกลายเป็นคนเดียวกันในสายตาของเขา เธอดูโดดเด่นท่ามกลางแสงสลัวและยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง เป็นผู้หญิงที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเห็นรู้สึกประทับใจอยู่เสมอ เสน่ห์ทั่วทั้งใบหน้าและเรือนร่างแทบจะไม่ลบเลือนไปตามวัย
“บัวดีใจจัง พี่โอมมาที่นี่…” อย่างฉับพลันเธอก็อ้าปากค้าง ถ้อยคำราวกับถูกกลืนหายลงไปในลำคอ
“นั่งก่อนสิบัว” เสียงของเขาสั่นและแหบเครือ
เธอเดินเข้าไปนั่งข้างมันอย่างเงียบเชียบ รอยยิ้มเบิกบานก่อนหน้านี้หายไปไม่ต่างจากแสงลำสุดท้ายของวันนี้
“อัญครับ นี่คุณบัวที่ผมพูดถึง บัวจ๊ะ นี่คุณอัญญา ลูกสาวอาจารย์ของพี่เอง”
นับเป็นสถานการณ์ที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบาก เขาคิดพลางแหงนหน้ามองเพดานเดอะวอร์ มันต่ำเตี้ยกว่าทุกคืน ทำให้เขาอึดอัดกระอักกระอ่วนจนอยากลุกวิ่งหนีออกไปเสียให้พ้นอย่างคนขลาด ผู้ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แม้ได้กำหนดให้มันเป็นชะตากรรมของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณอัญญาค่ะ กำลังดื่มอะไรกันอยู่หรือคะ”
เธอกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงปกติซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย อย่างน้อยเธอก็น่าจะแสดงอะไรออกมาผ่านทางแววตาหรือสีหน้าบ้าง
“ผมดื่มวิสกี้โซดาตั้งแต่หัวค่ำ…หลายแก้วแล้ว บัวคงไม่ว่าอะไรนะ” มันชิงพูดขึ้นก่อน “ส่วนไอ้โอมกับคุณอัญดื่มยินโทนิค บัวจะเอาอะไรล่ะ เดี๋ยวผมจัดให้ พวกเราจะได้นั่งคุยกัน คิดดูเถอะ คืนนี้มันคล้ายกับเรื่องราวในภาพพิมพ์ของไอ้โอมที่ให้มาเลยนะ ผู้หญิงสองคนบนโต๊ะอาหารกับผู้ชายอีกสองคนในบรรยากาศกลางคืนที่แสนจะมัวซัว แต่คืนนี้คุณอัญเข้ามาอยู่ในภาพแทนเมียของผม ไอ้โอมมันรู้จักดี อาจจะดียิ่งกว่าผมซะอีก ฮา ฮา ไม่เชื่อลองถามมันดูก็ได้ ว่าไปแล้วตอนนี้จะขาดก็แต่หมาตัวนึงเท่านั้น ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะให้เด็กไปจับมาเข้าฉากนี้เอง”
“รักษามารยาทหน่อยพล อย่าเพิ่งรีบเมา เหล้าในร้านยังเหลืออีกเยอะ อ้อ ดีแล้ว เธอรีบไปเอาบรั่นดีที่โต๊ะบนชั้นลอยมาให้ด้วย อย่าลืมแก้วสี่ใบนะ สำหรับพี่โอมกับเธอ คุณอัญญาด้วย คืนนี้เราจะดื่มบรั่นดีกันเหมือนคืนก่อน ความจริงก็แทบทุกคืนนั่นแหละค่ะคุณอัญญา ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ชีวิตคนกลางคืนมักจะซ้ำซากน่าเบื่ออย่างนี้เสมอ”
มันไม่ได้ลุกไปตามที่เธอบอก แต่สั่งลูกน้องคนหนึ่งไปทำแทน และเมื่อบรั่นดีมาถึง เธอก็ชวนให้ทุกคนดื่มพร้อมกันโดยไม่มีใครแย้ง ไม่มีใครขัดขืนต่อความต้องการของเธอ เขาเห็นเธอเริ่มต้นดื่มด้วยแววตาครุ่นคิดคล้ายใจลอย เขาเองไม่อาจคาดเดาได้ว่าเธอกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่
“บัวรู้รึยัง พรุ่งนี้ไอ้โอมจะบินกลับอเมริกาแล้ว”
สายตาเบิกกว้างของเธอทำให้เขาอยากยกเลิกการเดินทางกลับเสียเดี๋ยวนี้ เธอหันมาจ้องหน้าเขานิ่งนาน แสงสะท้อนจากในดวงตาของเธอไหวระริก
“จริงหรือ…จริงหรือที่พี่โอมจะกลับไปที่โน่น” เธอถามเสียงสั่นเครือแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่จริงใช่ไหม พลแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง พี่โอมเพิ่งมาเมืองไทยได้ไม่กี่วันไม่ใช่หรือ แล้วจะรีบกลับไปทำไม”
“เป็นเรื่องจริง” เขาถอนหายใจยาว “พี่จะกลับนิวยอร์กแล้ว เครื่องออกตอนบ่ายสามโมง พี่ถึงได้มาที่นี่ไงละ มาเพื่อบอกลาทุกคน” เขากล่าวออกไปด้วยความยากเย็น
เธอนั่งนิ่งงัน ทุกคนในโต๊ะพากันเงียบตาม แม้เสียงเพลงจะดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดตอน แต่ราวกับว่าทุกคนกำลังนั่งอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เขารู้สึกเช่นนั้น
หลายนาทีต่อมาเธอก็ยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าสงสารเหลือเกิน เขารำพึงอยู่ในใจ เธอเพียงแค่ยิ้มแล้วก็เริ่มต้นดื่มบรั่นดีแก้วแล้วแก้วเล่า เขาอยากจะห้ามเธอด้วยความเป็นห่วง ทว่าอับจนปัญญาจะห้ามปราม เขาพูดไม่ออกคล้ายมีสภาพเป็นคนใบ้ ได้แต่บอกตัวเองว่าเขาไม่มีสิทธิ์ห่วงเธอ
ในความอึมครึมเหมือนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก พลันเธอก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นก็ดื่มไปยิ้มไปราวกับคนสติไม่ดี
“ตอนนี้คุณอัญญาทำอะไรอยู่คะ” จู่ ๆ เธอก็เอ่ยถามขึ้นมา “ยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า ดูยังอายุน้อยเหลือเกิน”
“อัญเพิ่งเรียนจบโทด้านบริหารมาค่ะ ตอนนี้กำลังลงทุนผลิตและส่งออกผ้าบาติกให้ทางญี่ปุ่น แต่ก็เป็นเพียงแค่ธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ”
“เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดี วัยขนาดนี้ยังไปได้อีกไกล…”
สถานการณ์ทำท่าว่าจะดีขึ้นกว่าที่คิด เขาปล่อยให้เธอทั้งสองพูดคุยกันตามสบาย โดยมีมันคอยสอดแทรกเป็นระยะ ๆ ส่วนตัวเองกลับจมอยู่กับบรั่นดีอย่างเงียบเชียบ มีบางครั้งเท่านั้นที่เขาจะแอบชำเลืองมองสีหน้าของเธอด้วยความสำนึกเสียใจแกมเศร้าใจ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร แต่เหตุการณ์และบทสนทนาบนโต๊ะก็ดำเนินไปเกือบเป็นปกติ แม้จะไม่รื่นเริงสนุกสนาน ทว่าผ่านไปด้วยดีทุกนาทีและชั่วโมง ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่านี่คือภาพลวงตาหรือเปล่า ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้คือความลวงเหมือนกับความเชื่อที่ฝังหัวเขามานานนั่นแหละ เขาบอกตัวเอง ภายในบทสนทนาดังกล่าวมีแต่ความแห้งแล้งว่างโหวง ทุกคนไม่มีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง อาจมียกเว้นบ้างก็แค่มันผู้ดูชื่นมื่นในอารมณ์มากกว่าใคร
เขาอยากยอมรับในความเป็นไปของคืนนี้ มันต้องเกิดขึ้นเพื่อสิ่งดี ๆ ในอนาคตของทุกคน เพราะเหตุนี้เขาจึงเริ่มต้นเอาอกเอาใจเธอแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการสั่งอาหารมาเพิ่มและตักแบ่งใส่จานเล็กให้ บางครั้งถึงกับป้อนใส่ปากเธอด้วยท่าทางหยอกล้อนอกจากนี้ยังผูกขาดการผสมยินกัับโทนิคให้แก่เธอ หลังจากที่เธอปฏิเสธบรั่นดี หลายครั้งเขาโปรยยิ้มอันมีเสน่ห์ให้เธอราวกับกำลังอยู่กันสองต่อสอง นี่คือสิ่งที่เขาต้องกระทำโดยไม่อาจเลี่ยงได้ แม้จะขมขื่นสักเพียงไหนก็ตาม เขาหวังให้เธออีกคนหนึ่งมองเห็นและรู้สึก โดยไม่ล่วงรู้ว่ามันเป็นแค่ละครบทหนึ่งเท่านั้น เขาหวังว่าตัวเองจะแสดงบทบาทได้แนบเนียนที่สุด
“จริงหรือคะ อาจารย์ของพี่โอมยกบ้านและห้องทำงานให้คุณอัญญา”
“ค่ะ อัญเลยขอร้องให้คุณโอมช่วยดูแลให้เหมือนกับตอนที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่อัญไปที่โน่นจะได้รู้สึกว่าคุณพ่อไม่ได้จากไปไหน”
“ดีจัง นี่หมายความว่าพี่โอมกับคุณอัญญาจะได้พบกันอีก อาจในเร็ว ๆ วันนี้ ช่างน่าอิจฉาจัง”
น้ำเสียงที่เธอพูดบางครั้งรัวเร็ว บางครั้งก็ยานคาง ดวงตาฉ่ำแสดงให้เห็นว่าเธออยู่ในอาการมึนเมา บรั่นดีค่อนขวดเธอกับมันช่วยกันดื่มจนต้องสั่งเปิดขวดใหม่ มีเพียงเธออีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะเมามายเช่นคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว คงเป็นเพราะเธอดื่มยินผสมโทนิคไปเพียงไม่กี่แก้ว
“พี่โอม พรุ่งนี้บัวจะไปส่งนะ ให้บัวไปส่งเถอะ น่านะ…นะคะ บัวจะขับรถไปรับที่โรงแรมเอง เช็คเอาท์กี่โมง สิบเอ็ดโมงยังงั้นหรือ บัวจะไป…บัวจะไปรับพี่โอมจริง ๆ”
ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกจากปากของเธอทำให้เขาต้องดื่มบรั่นดีที่เหลืออยู่ในแก้ว เธอรีบรินเพิ่มให้ด้วยมือที่สั่นไปมาจนเหล้าหกลงบนโต๊ะ เขามองด้วยความสะเทือนใจ อยากบอกกล่าวให้เธอครองสติไว้ เขาต้องการพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำไม่ได้จนแล้วจนรอด เพราะเวลานี้เขาต้องเล่นบทคนใจร้าย สุดท้ายเมื่อไม่อาจทนต่อความอึดอัดใจที่กำลังจะระเบิดออกมาได้ เขาจึงย้ำเรื่องการกลับนิวยอร์กและบอกลาเธออีกครั้ง
ยามนี้โลกภายนอกเดอะวอร์แตกต่างออกไปจากเมื่อครั้งเดินเข้ามา พายุฝนสงบลงมากแล้ว มองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปก็เห็นเพียงละอองฝนร่วงหล่นดูฟุ้งฝัน ก่อนที่จะกลายสภาพเป็นจุดเล็ก ๆ สีเงินทอประกายยามต้องแสงไฟริมทาง เขาคิดว่าพวกมันคล้ายฝุ่นดาวจากท้องฟ้าอันมืดมัวที่คลอบงำจิตใจของเขามาตลอด
“พี่จะไปแล้วนะบัว นายด้วยพล โชคดีทุกคน”
“จะไปกันแล้วเหรอ ตามใจ บัวไม่มีใคร บัวกินเหล้าคนเดียวก็ได้ พรุ่งนี้บัวจะไปรับนะพี่โอม คอยบัวด้วย พี่โอมคอยบัวได้หรือเปล่า…”
น้ำเสียงของเธอฟังดูอ้อแอ้ตามประสาคนเมา เหล้าเพียงประการเดียวอย่างนั้นหรือที่ทำให้เธอมีสภาพเช่นนี้ เขาสงสัย แน่นอน เขาเชื่อว่าไม่ใช่ แต่…เขาจะทำอย่างไรได้ นี่คือความจำเป็น มันบังคับให้เขาต้องทำร้ายจิตใจของเธอ เพื่อที่เธอจะได้รับการเยียวยาและหลุดพ้นไปจากคนอย่างเขา หวังว่าเธอจะลืมเมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ ครั้นแล้วเขาก็ถามตัวเองว่านี่คือสิ่งที่เธอสมควรได้รับอย่างนั้นหรือ เขารู้สึกย่ำแย่ อยากเปลี่ยนใจเสียตอนนี้ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเธอให้นานที่สุดเท่าที่จำทำได้ เขายังมีลมหายใจ เขายังไม่ตาย เวลาไม่เคยหมดลงสำหรับคนเป็นที่อยากเปลี่ยนใจ ทว่าการเปลี่ยนใจนั้นว่ายากแล้ว ก็ยังง่ายกว่าการเปลี่ยนความคิดและความเชื่อที่เขาได้สมมุติมาชั่วชีวิต
เขาชวนเธอลุกขึ้นยืน พลางล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
“ไม่ต้อง”
ศีรษะของเธอโอนเอนสะเงาะสะแงะขณะพูด ผมเผ้าไม่เป็นระเบียบ ดวงตาปรือคล้ายจะหลับแต่ยังคงยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มอันแสนเศร้า เขาเตือนตัวเองให้รีบจากไปเสียเดี๋ยวนี้
ธนบัตรจำนวนหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ เขามองดูมันที่อยู่ในอาการมึนเมาพอ ๆ กันกับเธอแล้วก็นึกโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว นอกจากกำชับมันว่า “ดูแลบัวด้วย เหล้านี่ก็พอแค่นี้เถอะ อ้อ แล้วยังไงก็อย่าปล่อยให้บัวขับรถกลับบ้านเองล่ะ หาเด็กในร้านสักคนที่ขับรถแข็ง…”
“เฮ้ย” มันตวาด “เอ็งไม่ต้องห่วง ข้านี่แหละที่ดูแลบัวมาแทบจะทั้งชีวิต ไม่ต้องห่วงเว้ยเพื่อนรัก ขอให้เอ็งเดินทางโดยสวัสดิภาพว่ะ”
ราวกับแน่ใจแล้วว่าจะไม่ได้พบหน้าเธออีก เขาจ้องมองเธอเนิ่นนานเป็นพิเศษ ก่อนจะค้อมศีรษะให้ “ลาก่อน” เสียงของเขาเบาหวิวไม่ผิดเสียงคนใกล้สิ้นใจ แต่คงไม่มีใครได้ยิน
เขาหันหลังให้กับทั้งสอง พร้อมกับคว้ามือของเธอมากุมไว้แล้วออกเดิน เธอมีอาการประหลาดใจ ทว่าไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย เวลาย่อมเยียวยาทุกสิ่งในโลกนี้ได้เสมอ เขาปลอบใจตัวเอง
*
พื้นถนนหลังฝนตกสะท้อนแสงจากโคมไฟบนยอดเสาเป็นประกายระยิบระยับแลดูงดงามในสายตาของเธอ นี่เป็นความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าห้วงเวลาที่ฝนได้สาดซัดลงมา ก่อนหน้านี้ฝนตกลงมาเป็นสายแต่แล้วก็หยุดไป มันทำให้เธอรู้สึกว่าความงามทั้งหลายล้วนไม่คงทน ไม่ว่าจะเป็นความงามที่แลเห็นและจับต้องได้อย่างความเป็นหนุ่มสาวซึ่งย่อมจะร่วงโรยไปเช่นเดียวกับดอกไม้ ต่อให้เป็นดอกไม้แห่งสวนสวรรค์ก็ตาม แม้นความงามที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นแต่สัมผัสได้ด้วยใจก็ไม่จีรังเช่นเดียวกัน เธอคิดเปรียบเทียบกับความสุขที่กลายเป็นความสดสวยน่าอัศจรรย์แห่งชีวิตยามเมื่อเธอได้พบกับเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขากลับมาจากดินแดนห่างไกลจวบจนกระทั่งเมื่อคืนก่อน แม้ไม่มีอะไรให้สมหวัง ทว่าความรู้สึกที่ได้รับก็ยังคงงดงามอยู่เสมอ บัดนี้…ในคืนนี้ เธอก็ได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนไม่ยืนยาว และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
เธออดเศร้าใจไม่ได้เมื่อรับรู้ว่าเขากำลังจะโบยบินกลับไปสู่ดินแดนอันห่างไกล ที่ผ่านมาเธอเคยยอมพ่ายแพ้เพราะความไม่พร้อม แต่ครั้งนี้เธอไม่อาจยอมรับสภาพนั้นได้อีกแล้ว นี่ไม่ใช่ความคิดและการตัดสินใจซึ่งเกิดจากความมึนเมา เธอใคร่ครวญอย่างจริงจัง สมองของเธออาจจะมึนงงสับสน แต่ใจนั้นย้ำบอกถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อจะได้รับความสมหวังสักครั้งหนึ่ง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ขายบ้านอันโดดเดี่ยวหลังนั้นทิ้งไปเสีย ขายเดอะวอร์ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอันไร้ค่าให้แก่ใครก็ได้ที่ต้องการ มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เมื่อรวมกันเข้ากับเงินสะสมจำนวนหนึ่งในธนาคาร การเริ่มต้นชีวิตใหม่และได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินความคิดฝัน ไม่ไกลจากการเอื้อมถึงของเธอ มันคือความหวังของลูกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังร่วงโรยไปตามกาลเวลา อีกไม่นานเธอก็จะแก่เฒ่าแล้ว เธอนึกถึงหล่อนผู้มีโอกาสครอบครองความสวยใสน่ารัก ความสาวในเรือนร่างและเลือดเนื้อของหล่อนเพิ่งจะเริ่มต้น หล่อนได้เปรียบกว่าเธอในทุก ๆ ด้าน หล่อนนี่เองที่ได้รับการเอาใจใส่จากเขาอย่างน่าอิจฉา ทว่าด้วยสัญชาตญาณและความผูกพันอันยาวนานระหว่างเธอกับเขา เธอรู้สึกว่านั่นคือการเสแสร้ง แต่เขาทำเช่นนั้นด้วยเหตุผลใด หรือว่าที่แท้เธอกำลังพยายามหาเหตุผลให้แก่การตัดสินใจที่ไร้หลักประกัน
“บัว เมื่อไหร่จะกลับบ้าน เด็ก ๆ มันกลับไปหมดแล้วนะ”
สายตาของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า ดูท่าทางแล้วคงคล้ายเธอในเวลานี้ ต่างคนต่างนั่งทรงกายแทบจะไม่อยู่ ร่างโงนเงนอยู่บนเก้าอี้จนต้องใช้แขนยันโต๊ะเอาไว้ เธอระบายยิ้มออกมาพลางจิบบรั่นดีในแก้วโดยไม่คิดจะให้คำตอบ ความมุ่งมั่นครั้งใหม่ทำให้เธอยิ้มได้ แล้วเกิดความตั้งใจว่าจะไม่รีบกลับบ้าน บนเตียงนอนนุ่ม ๆ เธออาจเผลอหลับยาวนานจนล่วงเลยถึงตอนเย็น เธอไม่อยากพลาดโอกาสไปส่งเขาที่สนามบิน เพื่อบอกเล่าถึงเส้นทางชีวิตที่เธอกับเขาจะเดินร่วมกัน มันเป็นแผนการซึ่งมอบความหวังในชีวิตให้แก่เธออย่างล้นเหลือ ราวกับได้พบตะเกียงโดยบังเอิญหลังจากถูกทิ้งให้หลงทางอยู่ในถ้ำมืด ทั้งนี้มีข้อเตือนใจอยู่ว่าเธอจะต้องทำให้สำเร็จ
“กลับเหอะบัว นี่มันตีสามกว่าแล้ว เรียกแท็กซี่ดีมั้ย รถก็จอดทิ้งไว้ที่นี่”
“อยากกลับก็กลับไปก่อนซิ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหรอก เดี๋ยวฉันจะปิดร้านเอง กลับไปเลย…ไปได้แล้ว” ตอนท้ายเธอพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะโกนใส่ด้วยความรำคาญ
“ทำงั้นได้ไง ไอ้โอมมันฝากให้ผมดูแลบัวนะ”
“ไม่จำเป็น”
เธอล้วงเอาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นจุดสูบ หลังจากไม่ได้ลิ้มรสชาติควันละเอียดของมันมาตลอดทั้งคืน “ขอสูบเป็นมวนสุดท้ายเถอะนะเพื่อนยาก” เธอพูดพึมพำแล้วยิ้มกับตัวเอง เขาน่าจะพอใจที่เห็นเธอทำได้ เธออยากเป็นผู้หญิงดี ๆ ในสายตาของเขาบ้าง ทว่าสิ่งที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันระวังตัว “ทำอะไรน่ะ” เธอร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อถูกเกาะกุมแขนทั้งสองข้าง บุหรี่หล่นลงพื้น “ปล่อยฉัน เมาแล้วก็ไสหัวไปให้พ้น”
“นี่ถ้าเป็นมัน บัวคงไม่ว่าอะไรซักคำ”
“เอ๊ะ” เธอยังคงออกแรงดิ้นรนไม่หยุด
“แย่แล้ว บัวของผมเสียสติไปแล้ว ไม่เห็นเรอะ มันพาผู้หญิงของมันมาด้วย บัวไม่มีราคาสำหรับมันหรอก ผมขอเตือนด้วยความหวังดี เอาเถอะ ใจเย็นไว้ แล้วเรามากินเหล้ากันต่อดีกว่า กินกันให้สว่างคาตาอยู่ที่นี่แหละ โลกนี้ไม่มีใครหรอกนอกจากเราสองคน”
คำพูดแทงใจดำทำให้เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอมักจะรู้สึกเสมอว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่เขาจะยกย่องเชิดชู แต่ก็พยายามปัดมันออกไปจากความคิดตลอดมา จริงหรือที่เขาคิดเช่นนั้น ไม่ใช่ ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเคยพูดหรือทำในสิ่งที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามเธอบ้างไหม ไม่เลย นี่แหละคือเรื่องจริง เธอไม่ควรสนใจคำพูดของใคร
“พล ฉันขอสั่ง ออกไป…ออกไปจากร้านเดี๋ยวนี้ จ๋ารอเธออยู่” เขาคลายมือออก เธอดีใจแต่วินาทีต่อมาก็รู้ว่าคิดผิด เมื่อเขาลุกขึ้นยืนและก้าวเข้าหา จากนั้นก็ยกร่างเธอลอยขึ้นจากเก้าอี้ แล้วดึงเข้าไปกอดแนบแน่น เขาคลั่งอะไรขึ้นมานี่ เธอดิ้นรนด้วยความตกใจ หรือว่าความมึนเมาทำให้เขาเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ
“บัว…ทำไมบัวหอมเหลือเกิน รู้ไหมว่าบัวยังสวยเสมอในสายตาของผม” เขาพร่ำพูดพลางพรมจูบไปตามนวลแก้มและลำคอของเธอ นั่นทำให้ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป จากความตกใจเปลี่ยนเป็นความโกรธ และจากความโกรธก็ได้กลายเป็นความขยะแขยง เธอพยายามดิ้นรนจนหลุดออกมาได้ จากนั้นเงื้อมือฟาดใส่ลงไปบนใบหน้าของเขา แม้จะไม่สุดแรงตามที่ใจคิดแต่ก็ได้ผล เขาชะงักความระห่ำทันที สีหน้านั้นดูงงงันตะลึงลาน
“นี่…นี่ถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ไม่ได้คบกันมานาน ฉันจะไล่เธอออกเดี๋ยวนี้ บ้าอะไรขึ้นมาฮึ” เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ พยายามยืนทรงกายให้ตรง ขณะเดียวกันก็ใช้มือทั้งสองข้างเช็ดรอยจูบตามใบหน้า เธอไม่เคยรู้สึกขยะแขยงรอยสัมผัสจากผู้ชายคนใดเท่านี้มาก่อนเลย นี่อาจเป็นเพราะต้องสูญเสียความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเขา คิดแล้วเธอก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความแค้นใจ แม้ขณะนี้เธอกำลังอยู่กับเขาตามลำพัง ทว่าใจไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เธอผ่านชีวิตผ่านอะไรมามากมาย มันมากเสียจนไม่เคยหวาดกลัวต่อการอยู่ตามลำพังกับผู้ชาย แม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามเธอเห็นเขาทรุดลงบนเก้าอี้ที่เธอเคยนั่ง แล้วคว้าแก้วของเธอขึ้นมาดื่มจนหมด สีหน้าของเขาสลดลงเล็กเล็กน้อย แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดแทบจะในทันทีทันใด
“ทำไมล่ะ ผมผิดตรงไหน ผู้ชายตั้งมากมายเคยทำแบบผมมาตั้งมากต่อมาก มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรอะ แล้วบัวจะยังหวงตัวกับคนที่รักบัวมานานอย่างผมอีกหรือ”
ริมฝีปากของเธอสั่นระริก ใบหน้าเห่อชา แล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อยากตรงเข้าไปตบหน้าเขาซ้ำอีกหลายครั้ง แต่เวลานี้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ มันเจ็บปวดมากเกินไปเสียแล้ว ไม่ใช่เจ็บปวดด้วยเรื่องราวในอดีตที่ถูกรื้อฟื้น หากแต่เป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าในมิตรภาพของความเป็นเพื่อน จะมีคำพูดอย่างนี้หลุดออกมาจากปากของเขา
“นี่เธอคิดกับฉันอย่างนี้ใช่มั้ย เสียแรง…”
สีหน้าและแววตาของเธอทำให้อีกฝ่ายถึงกับใบหน้าซีดเผือด เขาส่ายหน้าช้า ๆ วินาทีต่อมาก็ก้มหน้าคอตก ขณะเดียวกันริมฝีปากของเธอยังคงสั่นระริก โธ่เอ๋ย เธอแทบจะร้องไห้ออกมา จริงหรือนี่ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนดีกับเธออย่างบริิสุทธิ์ใจเลยใช่ไหม เธอคร่ำครวญ พลันความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวโกรธ
“ฟังไว้นะ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานที่นี่อีก จนกว่าเจ้าของใหม่จะมา” เธอสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างราวพูดกับคนแปลกหน้า
“บัว…” เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแสดงความงุนงงแกมประหลาดใจ ครั้นแล้วก็เหมือนจะคิดออกว่าอะไรเป็นอะไร แววตาของเขาจึงมีร่องรอยของการตัดพ้อ พร้อมกับทำท่าจะลุกเดินเข้าหาเธออีก แต่สุดท้ายก็นั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไม่ต้องมาที่นี่อีก ฉันไม่อยากพบหน้าเธอ เธอทำให้ฉันผิดหวังมาก รู้ไว้ด้วย ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะขายเดอะวอร์ ไม่ถึงเดือนมันก็จะเปลี่ยนมือ แต่อย่าห่วงเลย เพื่อเห็นแก่มิตรภาพของเรา ถ้ามันยังหลงเหลืออยู่บ้างหรอกนะ ฉันจะฝากฝังให้เธอทำงานกับเจ้าของคนใหม่ต่อไป สบายใจได้ เธอไม่ตกงานแน่”
เขาพยายามลุกจากเก้าอี้อีกครั้งและซวนเซเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอได้แต่ผงะถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“บัวจะขายที่นี่เรอะ ขายทำไมกันล่ะ ผมไม่ยอม อย่า…อย่าขายเลยนะ” น้ำเสียงของเขาฟังดูแข็งกร้าว แต่ตอนท้ายเสียงอ่อนลงจนเหมือนกำลังอ้อนวอนขอร้อง ระหว่างที่พูดนั้นศีรษะของเขาส่ายไปมาอย่างคนเมาจนดูน่าตลก เธอแค่นหัวเราะ รู้สึกเวทนาขึ้นมาบ้าง
“นี่เป็นสิทธิของฉัน มันคือสมบัติที่ฉันต้องแลกมาด้วยทุกสิ่งที่ฉันมี แต่ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะขายที่นี่ ขายทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจะไปให้มันพ้น ๆ ฉันไม่ต้องการจมปลักอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว อดีตจะถูกทิ้งไว้ วันพรุ่งนี้ที่สดใสกำลังรอฉันอยู่”
“อย่าบอกนะว่าบัวจะ…”
“ในที่สุดฉันก็รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมากที่สุด ฉันจะตามพี่โอมไปอยู่อเมริกา ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา ที่ซึ่งไม่มีใครรู้จัก ฉันจะไม่ยอมแก่ตายในสภาพนี้อย่างเด็ดขาด”
เธอเห็นเขายืนคอตกราวกับยอมรับสภาพความเป็นจริงที่จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในความสะใจ เธอพลันสำนึกเสียใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แท้จริงแล้วเธอไม่ต้องการทำให้เขาเสียใจเลย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่คบหากันมา แม้บางครั้งเขาจะแสดงท่าทีเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเธออยู่บ้าง แต่เธอก็มักจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เธอไม่ได้ปฏิเสธหรือตัดรอนน้ำใจ แน่นอน มันไม่ได้เป็นการหลอกล่อเอาไว้ใช้งาน เธอแค่ต้องการใครสักคนหนึ่งในฐานะเพื่อนเท่านั้น ผิดด้วยหรือสำหรับเธอ ผู้หญิงที่พูดได้ว่าต้องอยู่ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวมาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้นเธอไม่เคยปล่อยให้ช่องว่างของความสัมพันธ์นี้ลดลงมาใกล้ชิดเกินความเป็นเพื่อนแม้สักครั้งเดียว แล้วทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนี้ เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรใจอ่อน เธอจะต้องพยายามมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอันแสนสุข โอกาสที่ดีที่สุดกำลังรอเธออยู่แค่เอื้อมถึง
“เอาละ ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็หยุดยาวไปเลยแล้วกัน ปิดร้านไปก่อน ส่วนลูกน้องคนอื่น ๆ ฉันจะโทร.บอกเอง แล้วมีอะไรคืบหน้าฉันจะโทร.หา ถ้าพล…ยังอยากทำงานที่นี่ต่อไป” ประโยคท้ายเธอข่มน้ำเสียงให้เบาลงและมีเยื่อใยไมตรีมากขึ้น
เขาคงเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เธอหวังเช่นนั้น หลังจากเห็นเขาอยู่ในอาการนิ่งงันราวรูปปั้น แต่เพียงชั่วอึดใจต่อมาเขาก็กลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง พลางจ้องดูเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปนั่งดื่มเหล้าต่อโดยไม่สนใจเธออีก เขายกขวดบรั่นดีบนโต๊ะขึ้นกระดกอึกแล้วอึกเล่า เธอยืนดูแต่ไม่ห้ามปราม คิดเสียว่านี่คืองานเลี้ยงอำลาเดอะวอร์ แต่สำหรับเธอนั้นไม่ต้องอาศัยความมึนเมามาหล่อเลี้ยงอารมณ์ไว้อีกแล้ว เธออยากได้ความสดชื่นและสมองที่โปร่งโล่งสำหรับวันพรุ่งนี้มากกว่า ภาพในจินตนาการถึงอนาคตอันสดใสทำให้เธอยิ้มอยู่คนเดียว
ท่ามกลางความเงียบสงัด เธอตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพราะอยากล้างหน้าล้างตาเพื่อลดความมึนเมาลงให้มากที่สุด เธอปิดประตูลงกลอนแน่นหนา จากนั้นเปิดก็อกเหนืออ่างเคลือบสีขาว ใช้มือทั้งสองวักน้ำขึ้นมาทำความสะอาดใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำเย็นทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเงาตัวเองในกระจกและพยายามฝืนยิ้มออกมา ปอยผมบางส่วนเปียกน้ำจนลู่ติดแก้ม เธอเสยผมจัดทรงให้เข้าที่ ใจอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ซึ่งจะต้องเป็นชุดที่สวยที่สุด แน่นอนว่าจะทำได้ก็ต่อมาถึงบ้านแล้วเท่านั้น เอาละ เธอควรกลับบ้านเพื่อรอเวลาให้ถึงเช้า พอถึงตอนนั้นเธอก็จะขับรถไปรับเขาที่โรงแรม เธอจะกอดเขาไว้และเล่าถึงแผนการเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอวาดฝันไว้ ใช่แล้ว เพียงแค่พูดออกไปเท่านั้น เธอแน่ใจว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ แววตาอันโศกซึ้งของเขายามจับจ้องอยู่ที่เธอขณะกล่าวคำอำลาได้แสดงความจริงชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เขาไม่ได้ต้องการจากเธอไปจริง ๆ อย่างที่แสดงออกมา เธอรู้ซึ้งถึงความปรารถนาของเขาเป็นอย่างดี
ทันใดนั้นเองเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงแก้วหรืออาจจะเป็นขวดแตกเปรี้ยงปร้างอยู่ข้างนอก เธอรีบผลุนผลันออกจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเขากำลังใช้เก้าอี้ฟาดขวดเหล้านับร้อยบนชั้นวางหลังเคาน์เตอร์อย่างเมามัน เหล้าราคาแพงหลากชนิดหลั่งไหลจากชั้นวางสู่พื้นห้อง พรมเปียกเป็นวงกว้าง กลิ่นเหล้าลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
“หยุดนะ ฉันบอกให้หยุด” เธอตะโกนลั่น แล้วเดินโผเผเข้าไป แต่ก็ต้องถอยกรูด เมื่อเขาเปลี่ยนมาทุบตู้กระจกสำหรับเก็บขวดเหล้าที่ลูกค้าดื่มไม่หมดแล้วฝากไว้ ความหวาดกลัวเริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในสภาพนี้เขาอาจหันมาทำร้ายเธอก็ได้ ภายในใจไม่กริ่งเกรงต่อความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เขาอาจฆ่าเธอเสียตรงนี้ด้วยความบ้าคลั่ง ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดหวั่น สิ่งเดียวที่เธอเป็นห่วงก็คือ การไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อจะสมปรารถนาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เธอต้องการช่วงเวลาอันมีค่าสำหรับรับรสชาติของความสมหวังแม้เพียงแค่วันเดียวก็ยังดี หลังจากนั้นหากต้องจากโลกนี้ไปตลอดกาล เธอก็จะยิ้มอย่างเป็นสุข แต่ในเวลานี้จะปล่อยให้เขาเป็นบ้าต่อไปได้อย่างไรกันเล่า เธอพยายามมองหาคนช่วยเหลือ
ทุบขวดเหล้าจนหมดแล้วเขาก็มีอาการสงบลง ส่วนเธอยังคงยืนนิ่งจังงังอยู่ที่เดิม ครั้นแล้วเธอก็ต้องตื่นตระหนก เมื่อเห็นเขาเดินส่ายโงนเงนไปยังโต๊ะติดผนังด้านหนึ่งซึ่งเป็นที่วางรูปภาพเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ใจหายขึ้นมาทันทีที่รู้เท่าทันความคิดของเขา ตะเกียงแก้วโบราณดวงหนึ่งถูกจับยกขึ้นสูง เขาหันมาส่งยิ้มประหลาดให้แก่เธอ ประกายในดวงตาซึ่งสะท้อนแสงจากเปลวไฟแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน เศร้า ขุ่นเคือง และทอดอาลัยต่อทุกสิ่งในโลกนี้
“อย่า…”
ตะเกียงโบราณถูกขว้างใส่ตู้เหล้าตรงเคาน์เตอร์ ตะเกียงแก้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลันเปลวไฟแห่งความพินาศก็ลุกพรึบสว่างไสว
เธอตัดสินใจวิ่งเข้าหาด้วยความลืมตัว แต่ถูกผลักกระเด็นล้มลง วินาทีต่อมาเขาก็คว้าตะเกียงที่เหลืออีกดวงหนึ่งขว้างข้ามศีรษะเธอไปตกยังมุมหนึ่งของเดอะวอร์ซึ่งเปียกชุ่มด้วยเหล้าดีกรีแรง
“ดับไฟเร็ว…”
เปลวเพลิงลุกลามรวดเร็วและร้อนแรงเหลือเกิน เธออยากหวีดร้องออกมา ทั้งน้ำมันในตะเกียงและแอลกอฮอล์ในเหล้าได้กลายเป็นไฟนรกอันน่ากลัว มันพากันกลืนกินผ้าม่าน ผืนพรมและแผ่นไม้อย่างกราดเกรี้ยวหิวโหย จนลามเลียไปถูกแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาซึ่งกำลังยืนเหม่อดูผลงานของตนอยู่ เธอเห็นเขาเต้นเร่า ๆพยายามสะบัดมือดับไฟ ก่อนจะล้มลงกลิ้งร่างไปมา เธอคลานถอยหลังออกห่าง ยามนี้ไฟลุกลามติดตามที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เธอรีบลุกขึ้นยืน แล้วมองหาน้ำหรือแม้แต่ผ้าหนา ๆ ที่จะใช้ปัดไฟให้ดับ ส่วนเขาจัดการกับเปลวไฟที่แขนเสื้อได้แล้วก็พยายามลุกขึ้นยืนเช่นกัน แต่ลุกไม่ไหวจึงคลานเข้ามาหาเธอ
“จบกันเสียที…ก็ดีแล้ว” เธอทำใจปลงตกต่อชะตากรรม คิดในแง่ดีว่าพระเพลิงคงช่วยให้เธอสามารถถอนตัวออกจากชีวิตกลางคืนได้อย่างแท้จริง “พรุ่งนี้จะต้องเป็นวันที่สดใสที่สุดสำหรับเราสองคน ใช่ไหมคะ พี่โอม” เธอพึมพำกับตัวเองท่ามกลางความร้อนและควันไฟ แทบจะไม่ได้ยินเสียงไอของเขาที่ดังขึ้นถี่ ๆ
“ไฟลุกใหญ่แล้วพล หนีเร็ว ทำไมเธอถึงได้ทำเรื่อง…ช่างมันเถอะ ลุกไหวมั้ย เราต้องรีบหนีออกไป”
“ดูไฟสิ สวยเหลือเกิน มันต้องเป็นแบบนี้ ใช่ ต้องเป็นแบบนี้โลกถึงจะยุติธรรม ฮ่าฮ่า ยุติธรรมได้บัดซบจริง ๆ”
“ลุกขึ้น…” เธอตรงเข้าไปประคองร่างเขา แต่ฤทธิ์ของบรั่นดีที่หลงเหลืออยู่ทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดได้อีก
เธอมองไปรอบ ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเปลวไฟลุกลามไปติดพื้นไม้ของชั้นลอย ควันไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ผ้าม่าน พรมปูพื้นและข้าวของภายในร้าน ได้กลายเป็นกลุ่มก้อนสีดำทะมึน ชวนให้เกิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงแก่ผู้พบเห็น
“ชั้นลอย…” ในห้วงเวลาคับขัน เธอยังระลึกถึงสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่าแก่ความรู้สึกขึ้นมาได้ เธอรีบปล่อยร่างของเขาทรุดลงไปกองกับพื้นตามเดิม ก่อนจะโผไปที่บันไดไม้
“อย่าบัว…อย่าขึ้นไป”
ตรงตีนบันไดนั้นเอง เธอหันกลับมามองดูเขาแวบหนึ่ง เขากำลังเดินโซซัดโซเซตรงเข้ามาหา แต่เธอไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจ ได้แต่วิ่งฝ่าควันไฟขึ้นไปบนชั้นลอย สถานที่แห่งความเปลี่ยวเหงาของเธอนั่นเอง
*
ถนนราชดำเนินกลางยามดึกดื่นหลังฝนตกเช่นนี้ แทบจะไม่มียวดยานใด ๆ แล่นผ่านไปมา มันมีสภาพไม่ต่างจากจิตใจของเขา ซ้ำยังถูกครอบงำด้วยอารมณ์เศร้าอันยากจะระบายให้ใครรับรู้ได้ เขาเหลือบมองดูเธอและอยากกล่าวคำขอบคุณด้วยความจริงใจ หากในเวลานี้ไม่มีเธอคอยอยู่เป็นเพื่อน เขาก็คงไม่มีใครอีกแล้ว เขาไม่ต่างไปจากสัตว์บาดเจ็บที่พเนจรอยู่ในพงไพรอันสงัดเงียบตามลำพัง แต่จู่ ๆ ก็มีเธอมาช่วยพยาบาลรักษา น่าประหลาดเหลือเกิน เขารำพึง ก่อนนั้นการต้องอยู่คนเดียวยามค่ำคืนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเขาเลย อีกทั้งไม่ใช่เรื่องที่ไม่อาจทนทานได้ แต่ในคืนนี้ ในความรวดร้าวเช่นนี้ เมื่อกำลังจะจากแผ่นดินแม่ไปอีกครั้งหนึ่ง เขาก็เกิดความรู้สึกไม่อยากอยู่ตามลำพัง เขาปรารถนาจะมีใครสักคนอยู่ใกล้ ๆ และคอยเฝ้ามองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่เธอกำลังกระทำอยู่ในเวลานี้ ขอบคุณในน้ำใจของเธอเหลือเกิน เธอผู้เป็นสาวน้อยแสนดีของเขา ดูเอาเถิด เธอทนนั่งอยู่ในร้านอาหารซอมซ่ออันเปล่าเปลี่ยว ร้านเดิมซึ่งเขากับเธออีกคนหนึ่งเคยนั่งพูดคุยอย่างสนุกสนานเมื่อนานมาแล้ว เรื่องราวเหล่านี้เมื่อย้อนคิดถึง แม้จะทำให้เศร้าใจแต่ก็เต็มไปด้วยความงดงาม ความงดงามดังกล่าวนี้เองมิใช่หรือที่ในเวลาต่อมาได้กลายเป็นผลงานภาพพิมพ์ของเขาในภาพนั้นมีชายหญิงอยู่สี่คน แต่คืนนี้มีเพียงเขากับเธอเท่านั้น ขณะที่อดีตของโซนาต้าคลับอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มันใกล้เสียจนเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถเอื้อมมือสัมผัสได้
หลังออกจากเดอะวอร์ เธอขับรถมาส่งเขาที่โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส จังหวะที่เธอกำลังจะจากไปนั้นเอง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าจากไปในเงามืดสลัวที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของเขา เขาก็ต้องส่งเสียงร้องเรียกให้เธอจอดรถ แล้วเอ่ยถามด้วยความทดท้อว่า เธอพอจะมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกสักพักหนึ่งหรือไม่ แน่นอนอย่างยิ่ง ความดีในตัวเธอย่อมทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังอาสาขับรถพาเขาเที่ยวไปตามถนนสายต่าง ๆ ซึ่งมีเพียงต้นไม้อาบแสงไฟเรียงรายอยู่สองข้างทาง พวกมันยืนต้นอยู่ในความเงียบเหงาท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอีก ใบของพวกมันร่วงหล่นลงบนพื้นทางเดินและท้องถนนใบแล้วใบเล่า
การเดินทางท่ามกลางสายฝนมาสิ้นสุดลงที่ท้องสนามหลวง เธอขับรถวนไปรอบ ๆ อย่างแช่มช้า ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้ว เวลาเหลือน้อยลงทุกที แต่คืนซึ่งเต็มไปด้วยรสขมของความเจ็บปวดก็ไม่ได้บีบคั้นจิตใจของเขาให้ดับดิ้นลงไปเดี๋ยวนั้น อย่างน้อยเขาก็ยังมีลมหายใจอยู่ เขายังมีหน้าที่ต่อโลกศิลปะ แม้ว่าถึงที่สุดแล้วมันอาจไม่มีความหมายใด ๆ เลยก็ตามบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเพียงแค่เรื่องราวของคนที่มองเห็นสิ่งรอบตัวยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของผู้อื่น สิ่งที่เขาประทับใจอาจไม่เคยมีอยู่จริง เขาก็เพียงแค่สร้างมันขึ้นมาเพื่อจะฟูมฟาย อีกทั้งใช้มันเป็นแรงขับดันให้ชีวิตเคลื่อนต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เขาจะต้องตะเกียกตะกายอยู่ในบ่อน้ำแห่งความทุกข์นี้ตลอดไปก็นับว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่สุดแล้ว คงไม่มีวันที่เขาจะก้าวพ้นบ่อน้ำขึ้นสู่แผ่นดินอันกว้างใหญ่ได้
เสียงอันเปี่ยมด้วยความอาทรของเธอสามารถเยียวยาจิตใจได้เป็นอย่างดี เมื่อเธอถามว่า “คุณโอมไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” หรือไม่ก็ยามเธอกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้ามีอะไรพอที่อัญจะช่วยได้ก็บอกมาเถอะนะคะ” เขาได้แต่พยักหน้า พึมพำขอบคุณเธอ และดีใจที่ยังมีเธออยู่เคียงข้าง ในเวลาต่อมา เมื่อเธอไม่รู้ว่าควรจะขับรถไปยังที่ใดอีก เธอก็ชะเง้อมองรอบ ๆ ตัวราวกับต้องการหาคนช่วยเหลือ เขาสงสารเห็นใจเธอเหลือเกิน พลางคิดได้ว่านี่ก็ดึกมากแล้ว เธอยังต้องมาช่วยเยียวยาจิตใจคนอย่างเขา โดยไม่อาจล่วงรู้ว่าเหตุการณ์จะไปสิ้นสุดลงเมื่อใดหรือที่ไหน เขาจึงขอให้เธอขับรถมาส่งที่ร้านอาหารแห่งนี้ เขาต้องการสถานที่สำหรับพักสงบจิตใจเพื่อคิดหาหนทางสำหรับการเริ่มต้นใหม่
เขาสั่งกาแฟร้อนให้เธอ อากาศยามดึกใกล้เช้ามืดนั้น หนาวเย็นยะเยือกด้วยสายลมและความชื้นในอากาศ หลังจากฝนตกหนักไปทั่วเมืองหลวงนานหลายชั่วโมง เธอในเสื้อผ้าเบาบางคงหนาวเสียจนริมฝีปากซีด เขาเสียใจที่ไม่มีเสื้อคลุมให้เธอสวมใส่จึงต้องทำเป็นลืมเรื่องนี้ แล้วหันไปทางจอโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งในร้านอาหาร มันกำลังถ่ายทอดรายการเพลงซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพลงเศร้า เขาสงสัยว่าทำไมมนุษย์ทั้งหลายถึงได้ตกอยู่ในวังวนของความเศร้าเยี่ยงนี้ไม่รู้จบสิ้น ทำไมชีวิตต้องเต็มไปด้วยความรวดร้าว ทว่าก็ดูจะเป็นความรู้สึกที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจ หาไม่แล้วพวกเขาจะทนเสพความทุกข์ดังกล่าวซ้ำซากอยู่ได้อย่างไร แต่แน่นอนว่ามันยังคงเป็นความรู้สึกซึ่งหากเกิดขึ้นกับใครแล้ว ก็ย่อมจะทำใจยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานได้ยาก และหากคิดจะวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล เจ้าความทุกข์นี้ก็จะคอยติดตามราวกับเป็นเงาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นี่คือสนามทดสอบความอดทนของมนุษย์ใช่หรือไม่สนามแห่งความยากลำบากที่คนส่วนใหญ่ต่างก็ปรารถนาจะปักหลักอยู่ให้ยาวนานที่สุด การต้องเดินออกจากสนามไปคือความน่าหวาดหวั่น ทุกชีวิตน้อยใหญ่ยินยอมเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนเขาสิเบื่อหน่ายกับความรู้สึกเช่นนี้เต็มที
“กาแฟเย็นหมดแล้วมั้งคะ ดื่มสักหน่อยเถอะค่ะ อาจช่วยให้สดชื่นขึ้นบ้าง”
เธอไม่ต่างไปจากเทพธิดาแห่งความกรุณา ราวกับเธอปรารถนาให้เขาหนีพ้นจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ที่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ ช่างแสนดีพอ ๆ กันกับความงามของเธอ แต่เขาจำเป็นต้องลืมความประทับใจเหล่านี้ ถ้าเขาไม่อาจรู้สึกกับเธอคนนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาก็ไม่สมควรรู้สึกกับเธอคนนี้ นี่แหละคือความถูกต้องในความคิดของเขา สักวันหนึ่งเมื่อเธอรู้จักโลกมากขึ้นเธอจะเข้าใจ แต่เวลานี้ขออย่าให้เธอทอดทิ้งเขาไปไหนจนกว่าจะถึงรุ่งเช้ามันคงเป็นยามเช้าที่น่าจะมีความหวังให้เห็นบ้าง แม้อาจเลือนรางและเต็มไปด้วยบรรยากาศหม่นมัวก็ตาม มนุษย์อย่างเขาคงสามารถปรับตัวรับโชคชะตาได้ด้วยหัวใจกล้าหาญ อย่างน้อยในวิถีทางที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจตลอดมา เขาก็ยังมีความหวังเป็นเครื่องนำทาง ถึงแม้มันอาจจะริบหรี่บ้างในบางคืน แต่หลายครั้งก็สุกใสชวนให้พิศวง น่าเสียดายที่หลายครั้งความหวังไม่อาจอยู่เคียงข้างนานเท่าที่ใจปรารถนา ชีวิตของเขาซึ่งมากด้วยการต่อสู้เพื่อหาหนทางสู่ความสำเร็จคงต้องดำเนินต่อไป ฝั่งแผ่นดินที่เป็นความหวังให้เขาแหวกว่ายไปให้ถึงนั้นจะอยู่แห่งหนใดยังไม่อาจรู้ได้ แต่เขาก็ต้องหาทางว่ายน้ำต่อไปด้วยความเพียรดุจเดียวกับพระมหาชนก สักวันหนึ่งเขาจะโถมร่างลงบนแผ่นดินที่เขาว่ายไปถึง แทนการปล่อยร่างให้เป็นเหยื่อฝูงปลาเฉกเช่นมนุษย์มากมายที่ถูกหลงลืมจากหน้าประวัติศาสตร์
แล้วถ้าไปถึงฝั่งที่ว่านี้โดยไม่มีเธอเล่า เขาถามตัวเอง เขาจะมีความสุขได้อย่างนั้นหรือ คำตอบคือความว่างเปล่า เขาเหนื่อยเหลือเกิน หลังจากแหวกว่ายมานานเขาก็แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรง หัวใจของเขาอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดเรื่องราวฟุ้งซ่านวกวนไปมาอีกแล้ว เอาเถิด เขาคิด การได้กลับไปทำงานหนักอาจจะช่วยทำให้เขาลืมว่าตัวเองต้องการคำตอบไปทำไม สู้ทุ่มเทเรี่ยวแรงให้กับงานไม่ดีกว่าหรือ ทนเคี่ยวกรำทำงานจนเหน็ดเหนื่อยและลืมว่าทำทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่ออะไร นั่นคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เขาแอบหวังว่าคงไม่ได้พยายามค้นหาการหลอกลวงตัวเองอีกวิธีหนึ่ง มันน่าเศร้าเกินไป
ตอนนี้รถราเริ่มแล่นบนท้องถนนหนาตามากขึ้น เขานั่งนิ่งไม่พูดจาเช่นเดิม บางครั้งทอดถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว เขาหันหน้าไปดูเธอซึ่งกำลังมองมาที่เขาอยู่พอดี ดวงตาคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยความห่วงใย อันที่จริงแล้วเขาควรเป็นฝ่ายห่วงเธอมากกว่า ไม่ใช่ปล่อยให้เธอต้องมานั่งเป็นกังวลอย่างไร้สุข
“อัญง่วงหรือเปล่า ผมไม่น่าพาอัญมาทรมานแบบนี้เลย กลับไปก่อนเถอะคนดี ไม่ต้องห่วงผม ผมอยู่คนเดียวได้แล้ว”
“อัญสบายดีค่ะ แล้วคุณโอมล่ะคะ อัญเห็นเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากผับแล้ว ไม่สบายใจเรื่องอะไรก็เล่าให้อัญฟังได้นะคะ อัญอยากเห็นคุณโอมเป็นคนเดิม แม้ที่ผ่านมาอัญมักแอบคิดว่าคุณโอมมักจะมีเรื่องเก็บไว้ในใจเสมอ”
คำพูดของเธอทำให้เขาเศร้าใจอยู่ลึก ๆ แต่ต้องพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าสิ่งใดหรือมนุษย์คนใดที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้ มีเรื่องราวมากมายนักที่ไม่อาจพูดให้ใครล่วงรู้ได้ เขายอมรับว่ามันเป็นความจริง แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมา เขาจะปล่อยให้เรื่องราวต่าง ๆ ลบเลือนไปพร้อมกับกองเนื้อหนัง เลือดทุกหยดและกระดูกขาวโพลนของเขา ซึ่งย่อมเปื่อยยุ่ยผุพังไปตามกาลเวลา ถึงแม้หลายคนอาจคิดว่าความลับไม่มีในโลกนี้ก็ตาม เขาต้องการให้เรื่องราวของเธอชนะต่อคำพูดนี้ เขาไม่ปรารถนาให้ใครรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ แล้วรู้สึกสมเพชเวทนาในความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ซึ่งจะตอกย้ำถึงชีวิตที่ผ่านมาของเธอให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
“อัญหิวไหม สั่งข้าวต้มมากินกันก็ดีนะ รู้มั้ยครับ สมัยก่อนโน้น พวกนักเที่ยวหรือคนทำงานกลางคืนมักจะแวะกินอาหารกันที่นี่ ร้านนี้แหละ หลังจากสนุกมาเต็มที่แล้ว พวกเขาก็เริ่มหิว”
“ขอบคุณค่ะ นี่ตีสี่แล้ว อัญว่ารอให้เช้าเลยดีกว่า แปลกจังนะคะ ที่ผ่านมาเรามักจะได้พบกันก็เฉพาะตอนกลางคืน แต่เช้านี้เราจะได้ทานอาหารเช้าร่วมกัน แม้ว่าจะมื้อสุดท้ายก็ตาม”
เขาสะดุดใจกับคำพูดของเธอ มันจะเป็นมื้อสุดท้ายอย่างนั้นจริงหรือ ถ้าเพียงแต่เธอไปเยี่ยมบ้านของอาจารย์ คนสองคนก็ย่อมจะได้พบกันอีก
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ถ้าอัญถามผมว่าผมยังต้องการพบอัญอีกไหม ผมก็จะตอบอย่างสัตย์ซื่อว่าผมยังอยากพบอัญอยู่เสมอ ต่อให้ไม่มีความหวังว่าจะได้พบกันอีกเลยก็ตาม” กล่าวออกไปแล้วเขาก็ไม่เข้าใจความคิดตัวเอง เขาจะพูดออกไปอย่างนั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา
“คุณโอมเคยสัญญาว่าจะดูแลบ้านของคุณพ่อ” เธอยิ้มแจ่มใสอย่างมีความหวัง ราวกับคนป่วยที่นายแพทย์เพิ่งบอกว่าไม่มีทางรักษาโรคให้หายขาด แล้วทันทีทันใดนั้นก็ได้รับยาวิเศษที่สามารถทำให้โรคนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง “สักวันหนึ่งอัญจะไปดูว่าคุณโอมทำได้ตามสัญญาหรือเปล่า”
เขาเสียใจขึ้นมาอีก เขาไม่ควรกล่าวถ้อยคำที่จะเป็นความหวังแก่ใคร ถนนชีวิตของเขาเป็นเส้นทางอันโดดเดี่ยว มีเป้าหมายที่ต้องรับผิดชอบ และอีกประการหนึ่ง เขาไม่ต้องการรู้สึกผิดต่ออาจารย์ ไม่ต้องการทำให้คนดี ๆ อย่างเธอต้องเสียใจเหมือนคนอื่น เธองดงามทั้งร่างกายและหัวใจ เขาไม่ควรนำชีวิตของเธอมาล้อเล่น
เวลานี้เขาเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินกับความคิดที่เกิดขึ้น จึงพยายามหยุดยั้งกระแสความคิดดังกล่าวด้วยการกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้าน แลเห็นแม่ค้ากำลังนั่งสะลึมสะลืออยู่ เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ ไม่น่าจะเกินยี่สิบปี แต่มีลูกน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่ในเปลข้างกาย ช่างเป็นภาระอันหนักหน่วง ก่อนหน้านั้นเธอน่าจะมีความคิดเหมือนเด็กสาวทั่วไปที่รอคอยชายในฝันก้าวเข้ามาในชีวิต เพื่อที่จะได้แต่งงานกันในพิธีอันสวยงาม จากนั้นก็มีความสุขไปชั่วนิรันดร์ แต่ในเวลาต่อมาก็ต้องพบกับความจริงที่ว่าชีวิตไม่เป็นดั่งฝัน เธอต้องตื่นขึ้นมาหลังจากร่ำไห้อย่างหนักให้แก่ชีวิตคู่ เขาอดเศร้าใจไม่ได้เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าเขาปล่อยให้เธออุ้มท้องจนกระทั่งคลอด และถ้าลูกของเขาเป็นผู้หญิงก็คงมีวัยไล่เลี่ยกับแม่ค้าคนนี้ เขารับรู้ถึงความผิดบาปภายในใจ ขณะเดียวกันก็ยินดีอยู่บ้างที่ลูกของเขาไม่ต้องเกิดมาว่ายเวียนอยู่ในเวิ้งทะเลของความทุกข์เช่นที่มนุษย์เป็นอยู่ ทั้งมนุษย์ในอดีต ปัจจุบัน และจะยาวนานไปจนถึงที่สิ้นสุดของอนาคต คิดดูเถอะ ผู้คนรอบตัวเขาล้วนแต่ต้องแบกรับชะตากรรมอันขมขื่นเอาไว้ ด้วยการเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่แตกแยก ไม่ว่าจะเป็นเธอ มัน หรือแม้แต่ตัวเขาเอง
“คุณโอมคะ”
เสียงร้องเรียกทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขาเพ่งพิศดูใบหน้าซีดเผือดปราศจากสีเลือดของเธอด้วยความสงสัย และเมื่อมองตามสายตาของเธอ ภาพบนจอโทรทัศน์ของร้านค้าก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว มิหนำซ้ำร้อนรนราวกับถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน มันลามขึ้นมาถึงแผ่นอกและใบหน้าอย่างรวดเร็ว
“ข่าวนั่น…นั่นใช่เดอะวอร์ที่เราเพิ่งจากมารึเปล่าคะ”
จริงแท้โดยไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือ ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง เขาตะโกนก้องอยู่ในใจ
ภาพเหตุการณ์และรายงานสดจากนักข่าวชายคนหนึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงชาวบ้านร้องเอะอะโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ ผู้คนวิ่งตัดหน้ากล้องดูสับสนอลหม่าน ท่ามกลางเปลวเพลิงที่แลบเลียออกมาจากช่องหน้าต่างและประตู เขาอดสังหรณ์ใจไปในทางร้าย ๆ ไม่ได้ เขาห่วงเธออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจสั่นสะท้านและทุรนทุราย คิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อคาดเดาได้ว่าเวลานี้เธอคงถึงบ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่างน่าสงสาร ป่านนี้เธอจะรู้หรือยังว่าเดอะวอร์กำลังย่อยยับอยู่ในกองไฟ แล้วหัวใจของเขาก็กลับเย็นวาบจนหนาวสะท้าน แท้จริงเธอยังอยู่ที่นั่นหรือว่ากลับบ้านแล้วกันแน่ ขอให้เป็นประการหลังด้วยเถิด เขาพึมพำอธิษฐาน เธอต้องปลอดภัย ใช่แล้ว เธอต้องปลอดภัย
“ไปที่นั่นกันเถอะค่ะ”
เขาวิ่งตามเธอไปขึ้นรถด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
*
บริเวณปากซอยลาดพร้าว 101 ชาวบ้านหลายร้อยคนกำลังยืนมุงดูเหตุการณ์เพลิงไหม้ พร้อมกับส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา เวลานั้นพื้นที่ดังกล่าวถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยแผงรั้วเหล็ก
เธอจอดรถห่างจากปากซอยมาเล็กน้อย พอเปิดประตูได้ เขาก็วิ่งย้อนกลับไปตรงจุดที่ผู้คนออกันอยู่ รถดับเพลิงหลายคันบนผิวถนนเปียกโชกกำลังทำงานอย่างหนัก เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับเพลิงพยายามห้ามปรามไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้จุดเพลิงไหม้ ยามนี้เดอะวอร์มีสภาพแตกต่างไปจากตอนหัวค่ำ แม้เปลวไฟดูเหมือนจะดับหมดแล้ว แต่ควันสีเทากลุ่มแล้วกลุ่มเล่ายังคงพวยพุ่งออกมาจากช่องหน้าต่างชั้นบน ก่อนจะสลายไปในกระแสลมเย็นซึ่งพัดกระโชกอยู่เกือบตลอดเวลา
เขาพยายามเบียดเสียดฝ่าฝูงชนเข้าไปพลางชะเง้อมองหาเธอ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออันเย็นเฉียบที่จับลงบนต้นแขน เขาหันไปมอง รู้สึกใจชื้นที่เห็นว่าเธออีกคนหนึ่งไม่ห่างหายไปไหน
“อย่าเบียดกันเข้ามา ถอยออกไป” เจ้าพนักงานดับเพลิงร้องบอก
“ตึกนั้นเป็นของเพื่อนผมเอง มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ให้ผมเข้าไปดูหน่อยเถอะ”
“รอให้เจ้าหน้าที่ทำงานเสร็จก่อนดีกว่า เอ๊ะ ห้ามไม่ฟังกันรึไง” เจ้าหน้าที่คนนั้นโวยวายขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเขาดึงดันจะเข้าไปให้ได้
“ให้เราสองคนเข้าไปเถอะนะคะ ร้านที่เกิดเหตุไฟไหม้เป็นของเพื่อนเราจริง ๆ ค่ะ บางทีเราสองคนอาจให้การอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ได้”
เธอเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง เจ้าหน้าที่มองหน้าเธอสลับกับเขาเหมือนชั่งใจ สุดท้ายก็อนุญาตให้ผ่านแนวกั้นเข้าไป
ขณะก้าวขาแต่ละก้าวอย่างอ่อนแรง เขาแลเห็นโลตัสสีดำยังคงจอดอยู่ที่เดิม ตัวรถเปียกน้ำเป็นคราบและเปื้อนเศษขี้เถ้าขาว นั่นยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้น พยายามหันซ้ายหันขวามองดูรอบ ๆ เธอต้องปลอดภัย แต่เวลานี้เธออยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังไม่ขับรถกลับบ้าน หรือว่าเธอเมามากจึงเรียกรถแท็กซี่ เขาสันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา
“คุณบัวต้องปลอดภัยค่ะ”
เธอกล่าวให้กำลังใจ ทว่าเนื้อตัวของเขาสั่นเทิ้มด้วยความประหวั่นใจ ไม่มีหนทางทำให้มันสงบลงได้เลย
*
และแล้วเมื่อเขาเดินมาถึงรถดับเพลิงซึ่งจอดใกล้กับรถกระบะของมูลนิธิการกุศล ก็พบเธออีกคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นถนนเปียกแฉะเปรอะเปื้อน เธอสวมเสื้อกับกางเกงสีชมพูแบบชุดนอน เธอเดินทางมาจากหมู่บ้านแสงจันทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาอยากเข้าไปถามให้รู้เรื่อง แต่ห้วงเวลาดังกล่าวดูเหมือนเธอได้กลายเป็นก้อนหินบนหลุมฝังศพไปเสียแล้ว เธอไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเขาเลย มีเพียงหยาดน้ำตาเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าใกล้กับประตูทางเข้าเดอะวอร์มีร่างหนึ่งในห่อผ้าขาวนอนอยู่ดูน่าอเนจอนาถ จากด้านบนของห่อผ้าซึ่งเปิดอ้าอยู่เล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าของผู้เคราะห์ร้ายดำเกรียมราวกับก้อนถ่าน เขารู้สึกหวั่นไหว หัวใจสั่นระรัว เนื้อตัวสะท้านยิ่งกว่าเดิม
เขาขยับจะถอยหลังเพื่อไปถามเธอถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องชะงักค้าง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่สองคนแบกห่อผ้าขาวออกมาทางประตู ก่อนจะนำมาวางลงเคียงคู่กับศพแรก เขาวิ่งถลาเข้าหาด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง ผ้าขาวที่ถูกห่อไว้ลวก ๆ ไม่อาจปกปิดร่างที่น่าสงสารนั้นได้มิดชิด เขาเพ่งมองด้วยสายตาอันเลอะเลือน จับจ้องอยู่ที่บริเวณหน้าอกของร่างไหม้เกรียมนั้น ซึ่งมีแท่งโลหะเหมือนกรอบรูปของเขาติดอยู่ เนื่องจากถูกอวัยวะที่ครั้งหนึ่งน่าจะเป็นมือและแขนอันสวยงามกอดเอาไว้ราวกับหวนแหนยิ่งชีวิต
“…” เขาส่งเสียงครางผ่านลำคอแผ่วเบา ร่างอ่อนยวบคุกเข่าลงกับพื้นถนน เขาแทบไม่รู้สึกเลยว่าตอนนี้กระแสลมพัดแรงยิ่งกว่าเดิม สักครู่หนึ่งหยาดฝนก็กระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าสีดำ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิอุ้มร่างทั้งสองในห่อผ้าไปวางตรงท้ายรถกระบะแล้วขับจากไป เขาไม่ได้เฝ้าดูจนลับสายตา เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม น่าประหลาดเหลือเกิน สิ่งที่เขาทำก็คือเพียรพยายามหาเหตุผลให้แก่เรื่องที่เกิดขึ้น แม้เส้นประสาทและสมองจะรัดติ้ว โลกทั้งโลกหมุนโงนเงน สุดท้ายเขาก็อยากให้เธอตบหน้าเขาแรง ๆ สักฉาดหนึ่งเพื่อเรียกสติที่หายไป บัดนี้ภายในใจเขามีเพียงภาพของเธออีกคนหนึ่ง แววตาอันงดงามซึ่งเคยฉายความสุข ความเศร้าและความทุกข์ของเธอ ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาจนไม่อาจถ่ายถอน ยิ่งเขาหลับตาลงก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน มันคือความฝัน…ทั้งหมดนี้คือความฝันใช่หรือไม่ ตอนนี้เธออยู่ไหนกันนะ พรุ่งนี้เธอจะกลับมาอีกหรือเปล่า ถ้าเธอกลับมา เขาก็จะได้พบเธออีก เราสองคนยังมีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมายนัก โธ่เอ๋ย เพราะอะไรกันเล่า มนุษย์เราจึงไม่เคยล่วงรู้ถึงอนาคต ความตายก็อยู่ใกล้ยิ่งกว่าเงาของตัวเราเอง เขาหลงคิดว่าจะมีพรุ่งนี้อยู่เสมอแต่ก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ตลอดไป
บนท้องฟ้าหมู่เมฆลอยละลิ่ว ฝนเม็ดใหญ่ทิ้งตัวลงมาเป็นสายกระทบเข้ากับใบหน้าและร่างกายของเขา ท่ามกลางความมืดมัวซัวของคืนอันไร้ไออุ่น เขาปล่อยให้สายฝนกระหน่ำเข้าใส่ด้วยหวังว่ามันจะช่วยชะล้างจิตใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกไปว่า เปลวไฟอันร้อนแรงได้ทำให้ชีวิตของเธอเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เจ้าหน้าตำรวจคนหนึ่งเข้ามาประคองให้เขาลุกขึ้นยืน แล้วซักถามหลายเรื่อง แต่เขาไม่ได้ตอบออกไปแม้สักคำหนึ่ง ปล่อยให้เธออธิบายแทน และโดยที่แทบจะไม่รู้สึกตัว เขาก้มหน้าเดินคอตกไปนั่งอยู่บนทางเท้าฝั่งตรงข้ามเพื่อมองย้อนกลับมาที่เดอะวอร์ เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ยามนี้เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังทำงานกันอย่างคร่ำเคร่ง สายตาเลือนรางของเขามองเห็นภาพลูกค้าของเดอะวอร์กำลังสรวลเสเฮฮา เธอในชุดสีขาวยืนอยู่ตรงช่องหน้าต่างที่กระจกได้แตกลงหมดแล้ว เธอกำลังมองมาที่เขาแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น สงบและบริสุทธิ์ นั่นทำให้เธอดูงดงามยิ่งกว่าทุกคืนในชีวิตของเธอ
“…” เขาพูดพึมพำงึมงำอะไรบางอย่างกับตัวเอง ขณะที่เธอยังคงยืนตอบคำถามของตำรวจนายนั้นอยู่หน้าเดอะวอร์.
หมายเหตุ
- หนังสือเรื่อง “โซนาต้าคลับ” จัดพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือและอีบุ๊ก โดย สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ พ.ศ. 2554 ห้ามผู้ใดทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ จำหน่าย ให้เช่า เข้าครอบครอง เรียกดึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับสิทธิและทรัพย์สินทางปัญญาของสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ หรือโดยก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ อันเป็นการกระทำความผิดทางอาญา ซึ่งต้องได้รับโทษตามพระราชบัญญัติทรัพย์สินทางปัญญาฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งเป็นการกระทำละเมิดต่อสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ ซึ่งสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ สงวนสิทธิในการยับยั้งการกระทำนั้นในทันที และจะดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำละเมิดอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น
- ท่านใดสนใจหนังสือเรื่องนี้ ฉบับพิมพ์ปกอ่อน ราคา 170 บาท (จัดส่งฟรี) กรุณาติดต่อสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ Email : siraphornbooks@gmail.com หรือต้องการอ่านฉบับอีบุ๊ก สามารถสั่งซื้อได้ในราคา 99 บาท ที่ www.mebmarket.com