อ่านเรื่องผี สยองขวัญ
เอกอายุประมาณ 25 ปี เปิดร้านขายปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรอยู่ในอำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร แต่ก่อนเขาเคยเป็นคนชอบขี่รถจักรยานมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงสะสมรถจักรยานเอาไว้หลายคัน ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานเสือหมอบ จักรยานทัวริ่ง จักรยานแม่บ้าน แต่ที่เป็นคันโปรดจริง ๆ ก็คือจักรยานเสือภูเขาสีดำนั่นเอง
ในตอนนั้น ก่อนที่จะเกิดเรื่องชวนขนหัวลุกขึ้นกับเอก เขามักจะออกไปขี่จักรยานคันโปรดในตอนเย็นหลังเลิกงานแล้ว โดยเลือกขี่ไปตามทางหลวงชนบทที่เชื่อมระหว่างอำเภอ เพราะถนนประเภทนี้จะไม่มีรถยนต์แล่นไปมามากนัก และยังได้เจอทางลูกรังหรือหลุมบ่อเป็นระยะ ๆ พอให้รถจักรยานเสือภูเขาของเขาได้กระแทกกระทั้นบ้าง
ที่ผ่านมาการขี่จักรยานของเอกก็ไม่เคยเจอเรื่องราวน่ากลัวแต่อย่างใด เขาขี่จักรยานออกจากบ้านตอนบ่ายสี่โมง และกลับมาประมาณหกโมงเย็น ถ้าล่าช้าหน่อยก็อาจจะกลับมาราวหกโมงครึ่ง เอกพยายามที่จะไม่กลับมามืดค่ำ แม้ว่าจักรยานของเขาจะติดไฟหน้าและไฟท้ายไว้ทุกคันก็ตาม เพราะทางหลวงชนบทในอำเภอนี้โดยมากสองข้างทางออกจะเปลี่ยวอยู่สักหน่อย นาน ๆ จะผ่านหมู่บ้านขนาดเล็ก ส่วนใหญ่แล้วจะพบแต่ท้องนาและป่าละเมาะเท่านั้น
แต่แล้ว วันที่เอกจะไม่มีวันลืมได้เลยก็มาถึง เมื่อเขาขี่จักรยานเสือภูเขาออกจากบ้านตอนห้าโมงเย็น วันนั้นเขาออกไปขี่จักรยานช้าหน่อยเพราะเลิกงานช้า ทีแรกเขาคิดจะหยุดขี่จักรยานสักวันอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเลิกงานช้า บนท้องฟ้ายังมองเห็นเมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ดูท่าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วฝนน่าจะตกลงมาอย่างแน่นอน แต่เอกก็เสพติดการขี่จักรยานจนยากจะตัดใจไม่ออกไปสนุกเหมือนเช่นทุกวัน เขายังคิดว่าการได้ขี่จักรยานกลางสายฝนก็ดีเหมือนกัน
วันนั้นเอกเลือกขี่จักรยานไปตามทางหลวงชนบท ที่เชื่อมระหว่างอำเภอเจริญศิลป์กับอำเภอวานรนิวาส ซึ่งมีสภาพถนนค่อนข้างดี และมีเนินสูงบ้างต่ำบ้างพอให้ได้ออกแรงมากกว่าถนนทั่วไป ระยะทางไปกลับประมาณห้าสิบกิโลเมตร เอกวางแผนว่าจะใช้เวลาไปกลับราวสองชั่วโมง ซึ่งก็น่าจะกลับถึงบ้านตอนหนึ่งทุ่ม ซึ่งยังไม่ถือว่ามืดค่ำเกินไปนัก แม้จะเป็นอำเภอในชนบทก็ตาม
เอกขี่จักรยานไปถึงตลาดเทศบาลอำเภอวานรนิวาสเวลาหกโมงเย็นพอดี เขารู้สึกสนุกที่ทำเวลาได้ตรงตามที่คิดเอาไว้ จากนั้นเขาก็รีบเดินทางกลับมาตามเส้นทางเดิม ในเวลานั้น ท้องฟ้าเริ่มสลัวแล้ว บรรยากาศสองข้างทางก็เปล่าเปลี่ยว เพราะพวกชาวนาได้ต้อนวัวควายกลับเข้าคอกกันหมดแล้ว นาน ๆ ครั้งจึงจะเห็นรถมอเตอร์ไซค์หรือรถกระบะแล่นสวนมาสักคันหนึ่ง รถทุกคันเปิดไฟหน้ากันหมดแล้ว เอกจึงเปิดไฟหน้ารถจักรยานของตัวเองบ้าง รวมถึงไฟท้ายด้วยเพื่อความปลอดภัย
เอกขี่จักรยานกลับไปตามเส้นทางเดิมเต็มกำลังที่เหลืออยู่ ซึ่งก็เหลือไม่เท่าเดิมแล้ว เพราะออกแรงปั่นตอนขามามากกว่าปกติเพื่อทำเวลา แต่ก็ไม่ได้ช้ากว่าเดิมสักเท่าไรนัก แม้กระนั้นก็ยังไม่เร็วเท่าใจคิด เพราะในที่สุดท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตกลงมา จากปรอย ๆ แล้วหนาเม็ดขึ้นจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มโชก ที่แย่ที่สุดก็คือฝนไม่ได้ตกอย่างเดียว แต่ยังมีฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ และฟ้าผ่า อยู่เป็นระยะ ซึ่งสร้างความเสียวสันหลังให้แก่เอกเป็นอย่างมาก เพราะกลัวฟ้าผ่าลงมาเป็นที่สุด เนื่องจากเคยอ่านข่าวเจอว่าคนที่อยู่กลางแจ้งตอนฝนฟ้าคะนองถูกฟ้าผ่าเป็นประจำ ในช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้นึกหวาดกลัวภูติผีเลย แม้ว่าถนนที่เขากำลังขี่จักรยานอย่างเร่งรีบ จะเหลือเขาอยู่เพียงคนเดียว
เอกยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตัวเลขเรืองแสงสีเขียวบอกว่า เป็นเวลา 18นาฬิกา45นาทีแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงบ้าน ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจและสบายใจมากขึ้น แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนได้ เมื่อเขาแลเห็นสายฟ้าสว่างวาบขึ้น แล้วฟาดลงมาที่ยอดไม้ใหญ่ข้างทาง จนกิ่งไม้หักตกลงมาขวางถนน ด้วยความตกใจเอกรีบหักหลบทันที แต่เป็นด้วยความเร็วของจักรยานที่เปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน จึงทำให้มันเสียหลักพุ่งตกลงไปยังข้างทางซึ่งเป็นคันนา เขาพยายามบังคับแฮนด์จักรยานเอาไว้ไม่ให้รถล้ม แต่ก็ยังพุ่งตกลงไปในท้องนาจนได้ ในที่สุดทั้งจักรยานทั้งคนขี่ ก็ล้มลงบนต้นข้าวที่กำลังงอกงาม ในสภาพล้มคว่ำคะมำหงาย นั่นทำให้เอกอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบลง เว้นก็แต่เสียงฟ้าเสียงฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมา
ครั้นตั้งสติได้ ก็รีบตรวจดูเนื้อตัวแข้งขาว่ามีอะไรหักหรือไม่ พอแน่ใจว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็คว้าจักรยานจูงขึ้นมาบนถนนอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นขี่จักรยานกลับบ้าน แต่ทันใดนั้นเองเขาก็พบว่าโชคร้ายได้มาเยือนเขาเสียแล้ว
“บัดซบเอ๊ย ยางรั่วจนได้” เอกพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย
เขารีบลงจากอานจักรยานและรูดซิบเปิดกระเป๋าใต้อาน เพื่อหาอุปกรณ์ปะยางที่เขาติดกระเป๋าเครื่องมือเอาไว้เสมอ แต่การจะปะยางล้อจักรยาน กลางสายฝนที่ตกหนักเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ เอกจึงเหลียวซ้ายแลขวาหาที่หลบฝน แล้วก็รู้สึกดีใจปนโล่งอกที่มองเห็นเถียงนาขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก มีแสงไฟจากตะเกียงรั้วแบบโบราณ สว่างขนาดพอมองเห็นครอบครัวหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกินอาหารกันอยู่ ภาพดังกล่าวนี้ทำให้เขาต้องยิ้มและเป่าปากออกมา รู้สึกโล่งใจอย่างไรบอกไม่ถูก คิดว่าสวรรค์เข้าข้างจริง ๆ
เอกรีบจูงรถจักรยานตรงไปที่เถียงนา บนนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งล้อมวงกินข้าวอยู่กับลูกเมีย โดยมีกระติบข้าวเหนียว จานใส่ปลาช่อนนึ่ง และมีถ้วยใส่แจ่วอยู่ถ้วยหนึ่ง แต่ไม่มีกระจาดใส่ผักให้เห็น ลูกสาวของชายคนดังกล่าวอายุน่าจะไม่เกินแปดขวบ กำลังจกข้าวเหนียวในกระติบออกมา ดูเหมือนว่าข้าวเหนียวจะกำลังร้อนจัด เพราะเห็นควันฉุย แต่เด็กคนนั้นกลับไม่รู้สึกร้อนมือเลยแม้แต่น้อย
“ อ้าว ไปยังไงมายังไงล่ะ พ่อหนุ่ม ถึงได้จูงจักรยานเปียกฝนมาอย่างนั้น” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจดี
“อย่าเพิ่งถามเลยพ่อ ให้เขาขึ้นมาหลบฝนก่อนเถอะ แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง หิวมั้ย ยังไงก็กินข้าวด้วยกันก่อน ค่ำมืดแล้ว ดูท่าน่าจะหิวอยู่นะ” เมียของชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ
“คงไม่รบกวนหรอกครับ แค่ขอหลบฝนปะยางในจักรยานก็พอแล้ว ปะเสร็จก็จะไป บ้านผมอยู่บ้านเจริญศิลป์แค่นี้เอง ขี่เร็ว ๆ หน่อย ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”
“งั้นก็ตามสบาย” ชายวัยกลางคนพูดเบา ๆ
เถียงนาที่เอกเข้ามาหลบฝนนี้ มีชายคาค่อนข้างกว้าง เขาจึงล้มจักรยานลงใต้ชายคา และก้มหน้าก้มตางัดยางในออกมาปะ ด้วยแผ่นยางขนาดเล็กอย่างรวดเร็ว แต่ปะยางยังไม่ทันเสร็จดีก็พบว่าแสงตะเกียงและแสงจากโคมไฟหน้ารถจักรยานของเขา ค่อย ๆ หรี่ลงจนในที่สุดก็มืดสนิท นั่นทำให้เขามองอะไรไม่เห็น
“ทำไมดับตะเกียงซะล่ะครับ ช่วยจุดใหม่ให้ผมหน่อยได้ไหม ผมมองล้อจักรยานไม่เห็นเลย ไฟของผมก็ดันมาดับพร้อมกันเสียด้วย”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะให้ลูกสาวของข้าซ่อมให้เอง เอ้า อีหนู ลงไปซ่อมจักรยานให้พี่เขาหน่อย” ผู้เป็นพ่อพูดจบก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ จนแลเห็นไฟแดง ๆ สว่างขึ้นวาบ ๆ
ในความมืดสลัวของพายุฝน ชั่วขณะที่แสงฟ้าแล่บสว่างขึ้น เขามองเห็นเด็กหญิงคนนั้นกระโดดจากเถียงนาลงมายังพื้นใกล้จักรยาน เหมือนเด็กที่โตแล้วทำกัน นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนพื้นกระดานเถียงนา แล้วยกกระติกน้ำที่พกมาด้วยขึ้นดื่มแก้กระหาย
ระหว่างนั้นเอกก็เห็นว่าเมียของชายกลางคนทำท่าเหมือนจะเก็บสำรับข้าวปลาอาหาร แต่ถูกผู้เป็นสามียกมือห้ามไว้เสียก่อน
“เผื่อไอ้หนุ่มนี่จะหิว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวปะยางเสร็จ กาวแห้งแล้วผมก็จะรีบกลับไปกินข้าวที่บ้านเลย”
“เอาหน่อยน่า เดี๋ยวจะหิวจนเป็นลมตายกลางทางไปซะก่อน”
จริง ๆ เอกก็รู้สึกหิวอยู่นานแล้ว เขาจึงรีบดึงพาข้าวมาใกล้ตัวแล้วหยิบชิ้นปลานึ่งขึ้นมาใส่ปาก คำแรกก็อร่อยดี เป็นปลาช่อนนาเนื้อไม่เยอะ แต่หวานอร่อย จากนั้นเขาก็จกข้าวเหนียวจิ้มแจ่วใส่ปากเป็นคำเล็ก ๆ ภายในใจคิดว่าการกินข้าวในบรรยากาศอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ยิ่งกินเขากลับยิ่งรู้สึกว่ารสชาติของมันเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลาหรือข้าวเหนียว
“กลิ่นเหมือนหมาเน่าหรือซากสัตว์อะไรสักอย่างหนึ่ง” เอกเกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว แต่ยั้งเอาไว้ได้ทันเสียก่อน หาไม่แล้วก็จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากเลยทีเดียว
“ไม่อร่อยเรอะ เอ็งถึงได้ทำหน้าเหมือนกำลังกินเนื้อศพอยู่อย่างงั้น ไอ้หนุ่ม” ชายกลางคนถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นยะเยือก
คำพูดนั้นทำให้เอกรู้สึกว่า กลิ่นเหม็นที่อบอวลอยู่ภายในปากของเขายิ่งฟุ้งตลบมากขึ้น มันช่างเหม็นราวกับกำลังกินเนื้อศพอยู่จริง ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยกินเนื้อมนุษย์มาก่อนเลยก็ตาม
ยังไม่ทันที่เอกจะทำอะไรต่อไป เขาก็ถึงกับตาค้างและขนลุกซู่ เมื่อมองเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กระโดดจากพื้นดิน ขึ้นมาบนเถียงนาที่สูงกว่าเมตรครึ่งได้อย่างหน้าตาเฉย
“หนูปะยางรถจักรยานให้น้าเสร็จแล้วนะจ๊ะ”
ชายกลางคนเอื้อมมือมาตบศีรษะลูกสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู แต่แขนนั้นดูเหมือนจะยาวกว่าสองเมตรเลยทีเดียว ซึ่งทำให้เอกตกใจแทบสิ้นสติ
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเจอดีเข้าให้แล้ว จึงรีบกระโดดลงจากเถียงนา แต่ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จึงล้มกลิ้งไปตามพื้นดิน กว่าจะหลับหูหลับตา คว้าจักรยานยกขึ้นวิ่งหนีจากตรงนั้นมาได้ ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันแต่ฟังดูเย็นยะเยือกของพ่อแม่ลูกสามคนนั้น เขาพยายามวิ่งสุดกำลังแต่เสียงหัวเราะนั่นกลับดังตามหลังมาไม่ยอมหยุด สุดท้ายแล้วเอกก็ไปล้มลงหมดสติ บนพื้นดินที่เปียกแฉะท่ามกลางพายุฝน ที่ยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย
วันรุ่งขึ้น มีชาวนาเดินมาพบเอกนอนสลบเหมือดอยู่ข้างเมรุเผาศพของวัดแห่งหนึ่ง โดยมีรถจักรยานล้มอยู่ใกล้ ๆ
ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนั้น ได้สอบถามถึงถิ่นฐานบ้านช่องของเอก แล้วพามาส่งจนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ทางบ้านของเอกเห็นสภาพของเขาจึงพาไปส่งโรงพยาบาลทันที ซึ่งหลังจากตรวจอย่างละเอียดดีแล้วหมอก็ไม่พบอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นทุกคนยังเห็นว่าเอกยังมีอาการหวาดผวาอยู่ไม่หาย
แต่เมื่อมีใครถามว่าเกิดอะไรขึ้น เอกกลับไม่ยอมบอกความจริง เพราะภายในใจนั้นรู้สึกหวาดกลัวมากเกินกว่าจะพูดออกมาได้
หลังจากนั้นเอกก็เลิกขี่จักรยาน และหันไปวิ่งออกกำลังกายแถวบ้านแทน และแน่นอนว่า เขาเลือกที่จะวิ่งแค่ตอนเช้าเท่านั้น