เรื่องสั้นไทย “โรคระบาด” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย-เรื่อง-โรคระบาด-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ยอดของผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดพุ่งถึงหนึ่งหมื่นศพแล้ว   สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ พากันประโคมข่าวอย่างเอิกเกริก   ข่าวนักการเมืองทุจริตแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างให้รายงานเหมือนแต่ก่อน   ดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา   เรื่องราวเกี่ยวกับโรคระบาดได้รุกคืบเข้ายึดกุมความสำคัญของพื้นที่ข่าวไว้เกือบทั้งหมด   เนื่องจากกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุด

เดี๋ยวนี้ผู้คนไม่พูดคุยกันเรื่องการทุจริตและความขัดแย้งในบ้านเมืองอีกแล้ว   พวกเขาหันหน้ามาจับเข่าปรับทุกข์กันด้วยความหวาดกลัวโรคระบาดแทน   แต่ละคนล้วนประหวั่นพรั่นพรึง   ผู้เชี่ยวชาญในวงการแพทย์ต้องกุมขมับ   ผิดกับเจ้าของธุรกิจรับจัดงานศพที่ยิ้มย่องผ่องใสราวกับตายไม่เป็น

เขารู้สึกไม่ต่างจากชาวบ้านนัก   จะผิดกันก็ตรงที่เขาเป็นห่วงสุขภาพของพ่อมากกว่าที่จะเป็นห่วงตัวเอง   พ่อของเขากำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงนอน   ดูเอาเถอะ   ตอนนี้พ่อผ่ายผอมไปมาก   ไม่น่าเชื่อว่าด้วยเวลาเพียงเจ็ดแปดวัน   โรคระบาดจะทำให้ชายอายุห้าสิบปีที่เคยแข็งแรงต้องมาอยู่ในสภาพเหลืองซีด   มิหนำซ้ำยังนอนนิ่งราวกับท่อนไม้   เขาได้แต่หวังอย่างค่อนข้างเห็นแก่ตัวว่าพ่อคงจะปลอดภัย   เพราะประเทศนี้ยังมีคนป่วยด้วยโรคระบาดอีกมากมายนัก   ถ้ามัจจุราชต้องการวิญญาณของมนุษย์สักคนเป็นรายต่อไป   ก็ยังมีคนป่วยให้เลือกอีกนับไม่ถ้วน

ความจริงแล้ว   หลังจากที่เริ่มเป็นห่วงว่าพ่ออาจจะติดเชื้อโรคระบาด   เขาก็ได้พยายามหาทางดูแลสุขอนามัยภายในตึกแถวของตัวเองอย่างสุดความสามารถ   ถึงขนาดลงทุนซื้อเครื่องฟอกอากาศมาติดตั้ง   ทั้งชั้นล่างที่เป็นร้านขายหนังสือมือสอง   และชั้นบนซึ่งเป็นที่พักอาศัยของพ่อกับเขา   ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย   สุดท้ายพ่อยังล้มป่วยลงจนได้    ครั้นพาไปโรงพยาบาลก็ต้องแบกความผิดหวังกลับมา   เนื่องจากแพทย์ทุกสาขาล้วนส่ายหน้า   ต่างหมดปัญญาที่จะรักษาโรคนี้   มิหนำซ้ำแพทย์หลายคนยังต้องมาสังเวยชีวิตด้วยเช่นกัน   เขาออกจะเชื่อว่า   ทุกคนตายจากไปโดยไม่เคยหายสงสัยว่าโรคระบาดเกิดขึ้นได้อย่างไร   และอะไรคือสาเหตุ

ยามนี้โรคร้ายที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อนกำลังบ่อนทำลายความสงบสุขไปทุกตรอกซอกซอย   เขาบอกตัวเองอย่างสิ้นหวัง   ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงนอนของพ่อไปยืนครุ่นคิดอยู่ที่ริมหน้าต่างห้อง

เขาทอดสายตาออกไปยังท้องถนนบริเวณด้านหน้าตึกแถว   ถนนสายนี้เคยคึกคักด้วยยวดยาน   บัดนี้แทบจะว่างเปล่าราวกับถนนในเมืองร้าง   ชาวบ้านพากันเก็บตัวอยู่แต่ในห้องที่ฟอกอากาศไว้ตลอดเวลา   ไม่มีใครอยากออกไปไหนถ้าไม่มีความจำเป็น   ร้านขายหนังสือมือสองของพ่อต้องปิดกิจการก่อนหน้าที่พ่อจะล้มป่วยลงด้วยซ้ำ   ลูกค้าขาประจำไม่มีอารมณ์อยากอ่านหนังสือปรัชญา   หนังสือการเมือง   หรือแม้แต่หนังสือวรรณกรรมชั้นเยี่ยม   ที่พ่อได้สรรหามาขายให้แก่ผู้มีรสนิยมทางด้านนี้โดยเฉพาะ   ร้ายยิ่งไปกว่านั้นพวกลูกค้าขาประจำยังทยอยเสียชีวิตลงทุกวันอีกด้วย   พ่อมักจะไปร่วมงานศพของลูกค้าเหล่านี้เสมอ   และจะกลับมาบ้านด้วยความโศกเศร้าที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลย

อาการของผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดนั้น   เท่าที่เขาฟังมาจากเพื่อนหรืออ่านจากในอินเทอร์เน็ต   ทุกคนล้วนมีลักษณะเดียวกันกับที่พ่อกำลังเป็นอยู่   นั่นคือจะมีอาการหดหู่ซึมเศร้า   นอนไม่ค่อยหลับ   ไม่รู้สึกหิว   แม้แต่น้ำก็ไม่ยอมดื่ม   ส่วนใหญ่จะไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรทั้งสิ้น   จากนั้นไม่นานผู้ป่วยจะมีอาการหมดเรี่ยวแรง   นอนซมเหมือนคนเป็นไข้   นัยน์ตาเหม่อลอย   ไม่พูดจากับใคร   เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดที่เป็นโลกส่วนตัว   ต้องคะยั้นคะยอถามจึงจะตอบออกมาได้สักคำหนึ่ง   แล้วไม่นานก็ตายจากไปในสภาพเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

เขาหันไปดูพ่อซึ่งนอนเหม่อมองเพดานมาหลายชั่วโมงแล้ว   ถามไถ่อะไรก็ไม่ยอมตอบ   เขารู้สึกเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง   พร้อมกันนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า   อีกนานแค่ไหนโรคระบาดถึงจะหมดไปจากประเทศนี้   แล้วพ่อของเขาจะอยู่รอดถึงวันนั้นหรือไม่   พ่อผู้มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน   ต่อลูกค้า ต่อผู้คนในสังคม   พ่อไม่เคยปฏิเสธ   หากมีใครมาร้องขอความช่วยเหลือ   ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังกาย   กำลังความคิด   หรือกำลังทรัพย์   เพราะพ่อมองทุกคนเหมือนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เสมอกัน แม้แต่กับคนแปลกหน้าหรือคนพเนจร   พ่อก็ยังคิดและเชื่อเช่นนั้น   แล้วคนแบบพ่อนี่น่ะหรือ   ที่กำลังนอนรอความตายอย่างไม่อาจเยียวยาได้   โลกนี้ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน   เขาคร่ำครวญอยู่ภายในใจ แล้วด้วยสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้นี่เอง   ชีวิตของเขาหลังจากพ่อล้มป่วยลง   จึงไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก   เขาไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมาหลายวันแล้ว   ด้วยมัวแต่คอยดูแลเช็ดเนื้อตัว   รวมถึงพยายามป้อนน้ำป้อนข้าวให้แก่พ่อ   และให้ยารักษาตามอาการ   โชคดีที่พ่อยอมฝืนกินได้เล็กน้อย   เขาจะออกไปนอกบ้านก็เฉพาะเวลาต้องการซื้ออาหารหรือยาเท่านั้น

ชีวิตหม่นเศร้าภายใต้บรรยากาศที่มีแต่กลิ่นอายของความตายนี้   น่าจะทำให้เด็กหนุ่มอย่างเขารู้สึกเบื่อหน่าย   โชคดีอีกครั้งที่ภายในห้องนอนมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตไว้   เขาจึงพอมีกิจกรรมผ่อนคลายใจให้ทำอยู่บ้าง   โดยใช้มันเป็นเครื่องฆ่าเวลาที่กำลังเหลือน้อยลงทุกขณะ

เขารู้สึกสนุกอย่างฝืดฝืนไปกับการเล่นสารพัดเกมออนไลน์   ครั้นเบื่อขึ้นมาก็เที่ยวค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับงานศิลปะที่ตัวเองศึกษาอยู่   ทว่าสุดท้ายแล้ว   การเดินทางในโลกอินเทอร์เน็ตมักจะมาสิ้นสุดลงที่เว็บบอร์ดแห่งหนึ่งซึ่งเขาเป็นสมาชิกอยู่   แม้ว่าเดี๋ยวนี้ในเว็บบอร์ดจะไม่มีสิ่งดึงดูดใจเหมือนแต่ก่อน   กระทู้ตลก ๆ หรือเรื่องราวน่าสนใจล้วนหายไปจนหมดสิ้น

เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ   ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าทุกคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นล้วนแต่เศร้าโศก   ต้องปลอบโยนซึ่งกันและกันไปวัน ๆ   ไม่มีใครมีทางออกที่ดีกว่า   ทุกคนพยายามคิดเหมือนกันหมดว่า   ตัวเองอาจจะโชคดี   ไม่ชิงตายไปเสียก่อนที่จะมีคนค้นพบวิธีรักษาโรคระบาดลึกลับ   

คนพวกนี้มักจะเข้ามาตั้งกระทู้ทุกครั้งหลังจากตื่นนอนเพื่อแสดงตนว่ายังมีชีวิตอยู่   หากมีขาประจำรายใดหายหน้าไปก็จะถามไถ่กันด้วยความเป็นห่วง   ถ้ารู้ข่าวว่าใครป่วยหรือเสียชีวิตไปแล้ว   คนที่เหลือรอดอยู่จะช่วยกันพิมพ์ข้อความอธิษฐานให้ผู้จากไปเดินทางสู่แดนสุขคติ   บางคนถึงกับบอกด้วยข้อความอันมีสำเนียงเศร้าสร้อยว่า   ตัวเองกำลังจะตามไปสู่ปรโลกอันมืดมนภายในไม่ช้านี้เช่นกัน

เขาหันหน้าไปดูพ่อ   พลางคิดเหมือนกันว่า   ถ้าพ่อไม่รอด   เขาก็คงตามพ่อไปในเร็ววัน

“พ่อครับ   เราจะอยู่ร่วมกันตลอดไป   ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า   หวังว่าโลกหน้าจะไม่มีโรคระบาดนะครับ”

ความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างพ่อกับลูก   ทำให้เขาไม่กลัวว่าจะติดเชื้อโรคระบาดจากความใกล้ชิด   บางทีมันอาจจะแพร่กระจายเข้าไปร่างกายของมนุษย์ทุกคนแล้วด้วยซ้ำ   ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงไม่มีใครรอด   เขาคิดอย่างปลงตก

เด็กหนุ่มกลับมาไล่อ่านหัวข้อกระทู้ต่าง ๆ ในเว็บบอร์ด   แล้วเปิดอ่านกระทู้ของสมาชิกคนหนึ่งที่เขาคุ้นกับนามแฝงเป็นอย่างดี   อีกทั้งเห็นว่าหัวข้อกระทู้น่าสนใจด้วย   ปรากฏว่า   ภายในกระทู้ดังกล่าวเป็นรายชื่อของผู้เสียชีวิตตั้งแต่คนแรกจนถึงคนล่าสุด เรียงตามลำดับลงมาเป็นแถว   แต่ที่น่าพรั่นพรึงก็คือ   การปิดท้ายรายชื่อทั้งหมดด้วยหมายเลขลำดับที่ 10,001   ซึ่งว่างเปล่าปราศจากนามของผู้ใด

อย่างไรก็ตาม   คนตั้งกระทู้ยังมีแก่ใจสร้างอารมณ์ขัน ด้วยการเรียกร้องว่า   “มาทายกันเถอะ   ชื่อของใครจะได้รับเกียรติให้มาพิมพ์ต่อตรงนี้”

เขาส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างแห้งแล้ง   ถามตัวเองว่า   ถ้าลำดับที่ 10,001 เป็นคนที่เขารักมากที่สุดล่ะ   เขานึกอยากแจ้งให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ลบกระทู้นี้ทิ้งเสีย   แต่ก็นั่นแหละนะ   มันคงจะไม่มีประโยชน์อะไร   มันไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาหรอก   เขาน่าจะรู้ดีว่า   ในไม่ช้าคนรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิตก็ต้องเลิกเล่นสนุก   เพราะจะทำไปให้เสียเวลาทำไมกันเล่า   ถ้าในที่สุดแล้ว   ไม่มีใครรอดชีวิตเข้ามาอ่านกระทู้อีก   เขารู้สึกเศร้าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้   บางทีนี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของผู้คนทั้งประเทศก็เป็นได้   ประเทศที่คงมีตอนจบในหน้าประวัติศาสตร์เป็นโศกนาฏกรรม

ดูเอาเถอะ   เขาแทบจะร้องออกมาดัง ๆ   เมื่อสายตาไปสะดุดที่รายชื่อบรรทัดหนึ่ง   น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะอ่านชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า   ไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่อาจารย์สอนปรัชญาของเขาก็มีชื่ออยู่ในกระทู้นี้ด้วย   ทั้ง ๆ ที่อาจารย์เป็นชายหนุ่มผู้มีสุขภาพดีเยี่ยม   เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ป่วยไข้หรือมีอาการไอจามเช่นคนทั่วไป   อย่าว่าแต่ถึงขั้นหามเข้าโรงพยาบาลเลย   อาจารย์ดูร่าเริงสดใส   และมีพลังใจอยู่เสมอ

“มนุษย์ผู้ไร้ความหวัง   ย่อมมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว”

อาจารย์เคยบอกแก่เขาเช่นนั้น   แต่โรคระบาดก็มาคร่าชีวิตของอาจารย์ไปจนได้   น่าใจหายจริงหนอ   เขารำพึงกับตัวเอง   ก่อนจะไล่ตรวจดูรายชื่อด้วยความหวังว่าคงไม่พบชื่อคนรู้จักอีก   ใช่  เขายังมีความหวังอยู่บ้าง   แม้จะริบหรี่เต็มทนก็ตาม

ในเวลาต่อมา   เขาได้เห็นชื่อของคอลัมนิสต์ผู้หนึ่งในหนังสือพิมพ์คุณภาพ   รายละเอียดบอกว่า   เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ก่อน   เขารู้สึกเสียดาย   และเศร้าใจแทนวงการสื่อสารมวลชน   คอลัมนิสต์คนนี้มิใช่หรือ   ที่หาญกล้าท้าทายอำนาจอันไม่ชอบธรรม   ด้วยการเปิดโปงขบวนการทุจริตในโครงการหนึ่งของรัฐบาลเผด็จการ   จนถูกลอบยิงระหว่างขับรถกลับบ้านยามดึก   แต่ก็ยังอุตส่าห์เอาชีวิตรอดมาได้   เขาไม่นึกเลยว่าคนกล้าจะต้องมาตายด้วยโรคระบาดอย่างง่ายดายเช่นนี้

เมื่อไล่อ่านรายชื่อลงมาเรื่อย ๆ   เขาพบว่ามีคนระดับคุณภาพอีกมากมายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ   ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เคยสร้างคุณงามความดีให้แก่สังคมมาแล้วทั้งนั้น   บางคนเป็นนักคิด   นักต่อสู้   นักวิจารณ์   บางคนเป็นผู้ใหญ่ที่น่ายกย่อง   ใช่   ทุกคนผ่านอุปสรรคน้อยใหญ่มามากจนกลายเป็นเสาหลักให้แก่ประเทศชาติ   สุดท้ายต้องมาจบชีวิตโดยไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้

ด้วยความสลดใจ   และไม่อยากอ่านรายชื่อคนตายอีก   เขาจึงเปลี่ยนมาเปิดอ่านกระทู้ถัดไป   มีสมาชิกซึ่งดูจากนามแฝงแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง   ได้แสดงความคิดเห็นว่า   หากหลบไปอยู่ในต่างประเทศขณะที่ร่างกายยังแข็งแรงดี   เลือกหาดินแดนที่สะอาดบริสุทธิ์   แล้วรอให้โรคระบาดหายไป   หรือมียารักษาเสียก่อนค่อยเดินทางกลับมา   วิธีนี้อาจช่วยทำให้ทุกคนปลอดภัย   และได้ยกตัวอย่างบ้านพักในต่างประเทศของนักการเมือง   ซึ่งมีข่าวว่าพากันอพยพหลบภัยไปอยู่อย่างครึกครื้น   หลายคนเปิดแชมเปญเลี้ยงฉลองที่รอดตายแทบจะทุกคืน

ข่าวนี้ทำให้เขานึกอยากหัวเราะ   ไม่เห็นมีความจำเป็นใด ๆ ที่พวกนักการเมืองจะต้องลำบากลำบนเช่นนั้น   พ่อของเขาเคยบอกไว้ตั้งแต่เริ่มมีโรคระบาดแล้วว่า   หากโรคนี้ไม่มีทางเยียวยาจริง ๆ   มนุษย์ที่เหลือรอดจะมีเพียงมนุษย์สายพันธุ์นักการเมืองเท่านั้น   เนื่องจากพวกนี้สามารถปรับตัวให้กินอิ่มนอนหลับได้ในทุกสถานการณ์เสมอ   แต่ถ้าเป็นไปตามที่พ่อพูด   วันนั้นจะมีประชาชนที่ไหนเหลือรอดให้นักการเมืองกดขี่ข่มเหงอีกล่ะ   พวกนี้จะไม่พากันคลุ้มคลั่งอย่างนั้นหรือ   หากแม้นไม่ได้รีดเลือดเอาจากประชาชนอีก   เขาอยากรู้เหมือนกัน

ดังนั้นหากเป็นไปได้   เขาก็ปรารถนาจะเห็นพ่อรวมถึงตัวเองอยู่รอดจนถึงวันนั้น   แต่มาลองคิดดูอีกที   มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า   เพราะเขากับพ่อไม่ใช่นักการเมือง   คิดถึงความจริงข้อนี้แล้ว   เขาก็ต้องพยายามกลั้นหัวเราะเหมือนคนบ้า   ด้วยเกรงว่ามันจะกลายเป็นเสียงสะอื้น   เขาไม่ต้องการให้พ่อได้ยินเสียงสะอื้นของเขา   แค่นี้พลังชีวิตของพ่อก็ใกล้จะหมดอยู่แล้ว

ไม่นานนัก   เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจจนคร้านที่จะอ่านข้อความต่าง ๆ ในเว็บบอร์ดอีก   ขณะกำลังขยับนิ้วบนเมาส์เพื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์   ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเครื่องหมายเตือนว่ามีอีเมลส่งเข้ามา   มันเป็นอีเมลของเพื่อนคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง

เพื่อนของเขาเล่าถึงสถานการณ์ที่คณะ   หลังจากนั้นก็บ่นเรื่องไม่ค่อยมีใครมาเรียนหนังสือกันแล้ว   เนื่องจากอาจารย์ผู้สอนรายวิชาต่าง ๆ ซึ่งไม่ยอมลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศกับพวกนักการเมือง   ถ้าไม่เสียชีวิตก็กำลังล้มป่วย   นั่นเป็นเรื่องที่เขารู้อยู่เต็มอก   สิ่งที่น่าสนใจกว่ากลับเป็นข่าวล่าสุด   เพื่อนถามว่า   “รู้ไหม   ในมหาวิทยาลัยกำลังมีข่าวลือหนาหู   หลายคนได้ยินมาว่า   รัฐบาลจะประกาศภาวะฉุกเฉิน   และหาทางปิดข่าวลือเรื่องโรคระบาด   ว่ากันว่าเรื่องโรคระบาดมีต้นตอมาจากข่าวลือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี   ตอนนี้สื่อวิทยุและโทรทัศน์   ยกเว้นหนังสือพิมพ์   ไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดมานานสองวันแล้ว   มีการขอความร่วมมือไปยังผู้ดูแลสื่อทั้งหลาย   ถ้าไม่ปฏิบัติตามอาจถึงขั้นถูกสั่งปิด   หรือลงโทษตามกฎหมายที่รัฐบาลมีอยู่ในมือ   ซึ่งหากไม่เพียงพอก็จะออกกฎหมายใหม่ล่าสุดมารองรับอีก   แล้วถ้าการตัดสินคดีในปัจจุบันกับอนาคตยังกำราบไม่อยู่   ท่านผู้นำก็จะทำให้กฎหมายมีผลลงโทษย้อนหลัง”

ข่าวนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่พอสมควร   นานมาแล้วที่เขาไม่มีแก่ใจจะเปิดโทรทัศน์ดู   เขาคิดด้วยความสงสัยว่า   ลำพังแค่การสั่งงดเสนอข่าวเรื่องโรคระบาด   มันจะทำให้ปัญหาหมดไปได้อย่างไร   ตราบใดที่ยังมีคนเสียชีวิตอยู่ทุกวัน   ดูเหมือนรัฐบาลกำลังคิดว่า   โรคระบาดคือควันไฟซึ่งจะจางหายไปได้เอง   ทั้งที่ในความเป็นจริงมันคือกองไฟมหึมา   ซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ในสังคมต่างหากเล่า

ขณะคิดจะตอบอีเมลของเพื่อน   เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่   พลันก็ได้ยินเสียงโห่ร้องแว่วมาจากทางหน้าต่าง   เขารีบลุกไปเปิดบานกระจก   แล้วชะโงกหน้าออกไปดู   เสียงที่ได้ยินช่างดึงดูดใจเหลือเกิน   ฟังคล้ายกับคนจำนวนมากกำลังร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข   คนจำพวกไหนกันนะที่สามารถแสวงหาความสุขได้ท่ามกลางความตายเยี่ยงนี้   เขาถามตัวเองด้วยความงุนงงสงสัย

บนท้องถนนซึ่งเคยร้างว่างเปล่าชีวิต   บัดนี้ประชาชนมืดฟ้ามัวดินกำลังแบกโลงศพใบหนึ่งเดินมุ่งหน้ามาทางตึกแถวที่เขาอาศัยอยู่   หลายคนในขบวนแห่พากันยกมือชูกำปั้นเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องเป็นระยะ   และมีจำนวนมากที่ยกมือยกแขนรำป้อด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข   นี่มันเกิดอะไรขึ้น   เขาพยายามเค้นความคิดหาคำตอบ   ทำไมคนมากมายกำลังเบิกบานใจทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ในขบวนศพ   หรือว่าโรคระบาดได้ทำให้จิตใจของผู้คนในสังคมฟั่นเฟือนกันหมดแล้ว

ขณะสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั่นเอง   เขายังตาไวมองเห็นเด็กผู้ชายหลายคนกำลังเดินเร่ขายหนังสือพิมพ์อย่างสนุกมือ   แม้จะยังไม่ถึงเวลาออกหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายก็ตาม   ผู้คนจากตึกแถวริมถนนพากันออกมาซื้ออ่านอย่างคึกคัก   เขาจึงรีบวิ่งลงไปซื้อบ้าง   ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์มานานมากแล้ว   เนื่องจากอาศัยรับข่าวสารจากเว็บไซต์ทางอินเทอร์เน็ตเสียเป็นส่วนใหญ่   ด้วยเชื่อมั่นว่ารัฐบาลยังไม่ได้เข้ามาควบคุมเหมือนสื่ออื่น ๆ

มันเป็นเพียงหนังสือพิมพ์บาง ๆ   มีกระดาษแค่คู่เดียวแต่ขายราคาปกติ   ข้อความพาดหัวตัวยักษ์ทำให้เขาแทบจะทำอะไรไม่ถูก   เป็นไปได้อย่างไรกัน   เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในยุคสมัยของเราอย่างนั้นหรือ   

เขารีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องพัก

“พ่อครับ   ลุกขึ้นมาอ่านข่าวนี่   พ่อต้องไม่เชื่อแน่”   

เขาโผเข้าหาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง   พยายามเรียกหลายครั้ง   แต่ไม่เกิดผลใด ๆ   จึงเปลี่ยนมาพยุงร่างของพ่อให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง   ก่อนจะยื่นหนังสือพิมพ์ให้ดู

“ศพที่ 10,001 คือนักการเมืองนั่นเอง   ไหนพ่อเคยบอกว่า   คนพวกนี้ไม่มีวันตายด้วยโรคระบาดไงล่ะครับ”

พ่อของเขาเริ่มกระพริบตา   ก่อนจะเปล่งเสียงแหบเครือถามออกมาอย่างอ่อนแรง   แผ่วเบา   และขาดเป็นห้วง ๆ

“เขาเป็น…อะ…ไร…ตาย…”

“พ่อยอมพูดแล้ว   ผมดีใจจนบอกไม่ถูก”

“เขาเป็น…อะไร…ตาย”

“เป็นโรคระบาดตายเหมือนประชาชนทั่วไปนั่นแหละครับ   เมื่อกี้ชาวบ้านหลายหมื่นคนยังเดินแห่ศพผ่านหน้าบ้านเราไปเลย”   พูดจบเขาก็หันมาอ่านรายละเอียดในหนังสือพิมพ์อีกครั้ง   “ในข่าวบอกอย่างนี้ครับ   นี่นับเป็นนักการเมืองรายแรกที่เสียชีวิตด้วยโรคระบาดลึกลับ   หลังจากล้มป่วยได้เพียงสัปดาห์เดียว”

“เป็น…ไปได้…ยัง…ไง”

“นั่นสิครับพ่อ”   เขาใจชื้นที่เห็นพ่อมีสีหน้าดีขึ้น   “ตามข่าวยังบอกอีกว่านักการเมืองคนนี้   ก่อนตายได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชนว่า   เขารู้สึกสำนึกเสียใจ และขอโทษที่เป็นคนหนึ่งซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดครั้งนี้   แปลกดีไหมครับ   ทำไมเขาถึงต้องยอมรับก่อนตายว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของโรคนี้…”   

พูดยังไม่ทันจบก็ต้องตกใจที่เห็นพ่อหลั่งน้ำตาออกมาจากดวงตาและใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเก

“เป็นไปไม่ได้   มัน…มันสร้างภาพ   มันรู้กันกับหนังสือสือพิมพ์นี่   มัน…โธ่…บ้านเมือง…ของเรา”   พ่อพยายามตะโกนออกมา   แต่เสียงกลับขาดเป็นห้วง ๆ   ในตอนท้ายมีเสียงดังขลุกขลักติดอยู่ในลำคอ   ดวงตาเศร้า ๆ ของพ่อเหลือกค้าง   ก่อนจะชักกระตุก   แล้วสิ้นใจอย่างปุบปับ   ท่ามกลางความตกตะลึงของเขา

“แม้แต่นักการเมืองที่ตายแล้ว   ก็ยังไว้ใจไม่ได้หรือครับพ่อ”

เขาคร่ำครวญ   ขณะกอดศพพ่อด้วยความสิ้นหวัง


เรื่องสั้นของธาร ยุทธชัยบดินทร์ เรื่องนี้ ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์   เดือนพฤษภาคม   พ.ศ.   2551

กลับหน้าแรก