เรื่องสั้นประจำสัปดาห์
“นักการเมืองที่ดีนั้น จะพบได้ก็แต่ในนักการเมืองที่ตายแล้ว”
เขาคิดถึงข้อความที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกของพ่อ ระหว่างเดินตามท่านหัวหน้าพรรคเข้าไปในสวนเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมอยู่รอบตัว ภายใต้ความเลือนรางของแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่เล็ดลอดผ่านยอดไม้ลงมา ชายผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ อยู่เบื้องหน้า เขารู้สึกประหลาดใจที่คนอายุเกือบจะหกสิบยังคงเดินเหินได้คล่องแคล่วราวคนหนุ่ม เขาต้องพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทันด้วยซ้ำ ระหว่างนั้นก็คิดถึงข้อความในสมุดบันทึกของพ่ออีกครั้ง พลางสงสัยว่าถ้าสิ่งที่พ่อเขียนไว้เป็นความจริง นักการเมืองสองคนที่กำลังเดินเร้นกายแฝงเงามืดอยู่ในสวนยามนี้ก็ต้องเป็นนักการเมืองเลว ๆ อย่างแน่นอน
จริงสินะ ในสายตาของท่านหัวหน้าพรรค เขามันเป็นได้แค่นักการเมืองชั้นเลว แม้ว่าภูมิหลังของเขาเหมาะสมที่จะเจริญก้าวหน้าบนถนนการเมืองอย่างที่สุดก็ตาม เขาไม่ใช่หรือที่ไปร่ำเรียนจนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรป ฐานะทางครอบครัวก็ดีพอจะเรียกได้ว่าเศรษฐี และที่จะลืมกล่าวเสียไม่ได้เลยก็คือ เขาเป็นทายาทของนักการเมืองผู้อำลาจากโลกนี้ไปในฐานะวีรบุรุษประชาธิปไตย ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขาอีกแล้วที่จะเจริญก้าวหน้าทางการเมือง ไม่ต่างจากเมล็ดพันธุ์ของต้นไทรซึ่งวันหนึ่งจะเติบโตขึ้นเป็นที่พักพิงของเหล่านกน้อย เพื่อนในวงการของพ่อเคยว่าไว้เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็เห็นด้วยกับท่านหัวหน้าพรรคอย่างยิ่งเกี่ยวกับความไม่ได้เรื่องของเขา ผู้มักจะลงคะแนนเสียงในสภาฝืนมติพรรคให้ผู้ใหญ่ขุ่นเคืองอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงพากันสนับสนุนให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้การใช้ชีวิตเยี่ยงนักการเมืองผู้เจนจัด มิใช่ไก่อ่อนเพิ่งสอนขันเช่นที่ผ่านมา
เดินมาถึงตรงนี้ สวนอันมืดสลัวก็กลายเป็นละเมาะไม้รกรุงรังไปเสียแล้ว เขาก้าวมาทันท่านหัวหน้าพรรคซึ่งหยุดเดินพลางมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เสียงนกกลางคืนพลันดังขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดปีกของฝูงจักจั่น ท่านหัวหน้าพรรคยกมือป้องปากร้องเสียงนกกลับไปในความวังเวง มีเสียงนกกลางคืนกู่ตอบกลับมาอีกครั้ง ประเดี๋ยวเดียวร่างของชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากดงไม้ แสงจันทร์อันสลัวรางทำให้เขาแลเห็นว่า ชายคนดังกล่าวยกมือไหว้ท่านหัวหน้าพรรครวมถึงเขาด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเดินนำหน้าพาลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ท่ามกลางเสียงย่ำดังสวบสาบและเสียงแมลงกลางคืน สมองของเขาเต็มไปด้วยความสนเท่ห์ ทว่ายังคงเก็บปากเก็บคำไว้ราวคนใบ้ ระยะหลังมานี้เขาตระหนักดีว่าตัวเองถูกกำหนดให้เป็นเพียงผู้ตามเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านหัวหน้าพรรค แม้ความรู้สึกในใจจะขัดแย้งกับความคิดเห็นของชายสูงวัยหลายต่อหลายเรื่องก็ตาม
ในที่สุด หลังจากผ่านพ้นป่าละเมาะที่ลึกลับดุจเขาวงกต คนนำทางก็พาพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง อันมีรั้วรอบก่อด้วยอิฐฉาบปูนสูงร่วมสามเมตร เมื่อมองผ่านประตูรั้วเข้าไปก็เห็นบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ตั้งอยู่ในความสงบ แสงจากโคมไฟหัวเสาตามจุดต่าง ๆ ส่องสว่างไปทั่วอาณาบริเวณที่เหมือนไร้ผู้คน แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นว่ามีชายหลายคนยืนซุ่มอยู่ในเงามืดรอบตัวอาคาร ทุกคนมีท่าทีระแวดระวังและปราดเปรียวผิดธรรมดา ต้องไม่ใช่ชาวบ้านสามัญแน่ เขาคิดขณะเดินตามท่านหัวหน้าพรรคเข้าไปในบ้านหลังนั้น และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห้องแรกที่สมควรเป็นห้องรับแขกกลับเป็นห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ ระหว่างกวาดตาสำรวจห้องดังกล่าว เขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลังบ้านแล้วเงียบหายไป อยากจะถามท่านหัวพรรคแต่ไม่เห็นว่าฝ่ายนั้นมีปฏิกิริยาอะไร จึงได้แต่นึกไปว่าตัวเองคงหูฝาดกระมัง หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงแค่เสียงสัตว์หรือแมลงกลางคืนเท่านั้น
มีชายหญิงสิบคนนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะอาหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสิบสี่ที่นั่ง ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพท่านหัวหน้าพรรคซึ่งไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มด้วยมุมปาก ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหัวโต๊ะ เขาเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างโดยไม่ลืมยกมือไหว้ทุกคนรอบโต๊ะ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสของพรรคทั้งสิ้น
ความจริงอายุของเขาย่างสามสิบหกปีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับทุกคน เขาก็กลายเป็นเด็กที่สุดในห้องนี้ ห้องที่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่เก้าอี้และโต๊ะอาหารเท่านั้น ทั้งหมดได้รับการตกแต่งห่มคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีขาวงดงาม มีจานกระเบื้องสีน้ำเงินขอบทองวางไว้ตรงหน้าของทุกคน ยกเว้นด้านปลายโต๊ะซึ่งไม่มีเก้าอี้ตั้งอยู่ สองข้างจานวางมีด ส้อม และช้อนขนาดต่าง ๆ ทำด้วยเงินแท้ แก้วไวน์แดงตั้งอยู่ทางขวามือ ผนังห้องทุกด้านว่างเปล่า ทุกซอกมุมล้วนทาสีขาว รอบ ๆ ตัวของทุกคนล้วนถูกครอบงำด้วยแสงไฟจากโคมระย้าเหนือศีรษะ บรรยากาศอันสะอาดเช่นนี้ทำให้เขาอดคิดไปถึงสรวงสวรรค์ไม่ได้ จนหวั่นเกรงว่าตัวเองอาจจะเผลอนำเอาความสกปรกเข้ามาแปดเปื้อนโดยไม่ตั้งใจ เขานึกคล้อยตามคำของท่านหัวหน้าพรรคที่เคยบอกว่า เขาเป็นนักการเมืองอ่อนหัดผู้ชั่วร้าย แต่ยังคงให้โอกาสกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่สะอาดพอเมื่อถูกพามาที่นี่ เขาประหลาดใจอีกครั้งทันทีที่ีรู้ว่า การฝึกใช้ชีวิตเยี่ยงนักการเมืองที่ดีตามที่ท่านหัวหน้าพรรคแนะนำ แท้จริงแล้วเป็นเพียงการมานั่งรับประทานอาหารในลักษณะลับ ๆ ล่อ ๆ เยี่ยงนี้นี่เอง เขาอยากหัวเราะให้ลั่นห้อง แต่ก็ต้องกล้ำกลืนเสียงทั้งหมดลงในลำคอ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงพูดของท่านหัวหน้าพรรค นับตั้งแต่ก้าวลงจากรถคันยาวสีดำตรงริมถนนด้านหน้าสวน เหล่านักการเมืองร่วมพรรคพากันส่งเสียงขานรับอย่างนอบน้อม รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าประหลาดเหลือเกิน กระแสความประหลาดนั้นไหลผ่านไปรอบ ๆ ตัวเขา พร้อมกับความรู้สึกสะอิดสะเอียน เมื่อจมูกได้กลิ่นบางอย่าง กลิ่นที่ว่านี้ลอยตามลมมาจากทางด้านหลังห้องซึ่งมีประตูบานเลื่อนปิดอยู่
“ถ้าพร้อมแล้วก็บอกเชฟให้นำอาหารออกมาเสิร์ฟได้เลย” ท่านหัวหน้าพรรคสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่ามีกังวานของอำนาจที่ใครก็คัดค้านไม่ได้ ทางด้านเลขาธิการพรรค - หญิงร่างท้วมในวัยกลางคน ผู้มีใบหน้ากลมและผมหยิก คงเพื่อจะเอาใจนายจึงรีบยกกระดิ่งแก้วบนโต๊ะอาหารขึ้นมาสั่นเบา ๆ ชั่วอึดใจหนึ่งประตูบานเลื่อนด้านหลังก็เปิดออกกว้าง กลิ่นหอมแต่แฝงไว้ด้วยความน่าสะอิดสะเอียนได้แสดงฤทธิ์เดชของมันยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาเข้าใจไม่ผิดแน่นอน ตรงนั้นน่าจะเป็นห้องครัว มองเห็นชายสองสามคนแต่งชุดขาว สวมหมวกทรงสูงสีเดียวกัน กำลังเดินอยู่ขวักไขว่ นาทีต่อมาพ่อครัวร่างใหญ่ลักษณะเหมือนคนจีนก็เดินเข็นหีบใหญ่ใบหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ
ให้ตายเถอะ เขาร้องอยู่ในใจ หีบดังกล่าวมีรูปทรงไม่ผิดไปจากโลงศพ มิหนำซ้ำขนาดก็ยังพอ ๆ กันอีกด้วย วัสดุทั้งหมดประกอบขึ้นจากเหล็กสเตนเลส วางอยู่บนโครงเหล็กสูงประมาณสะโพก ด้านล่างโครงเหล็กติดล้อยางเล็ก ๆ ไว้ทั้งสี่มุม บนหีบมีฝาครอบอาหารทำจากสเตนเลสเช่นเดียวกันวางอยู่ ความกว้างยาวของมันเกือบจะเท่ากับตัวหีบเอง ดูเหมือนว่าภายในหีบนั้นจะติดตั้งเตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าเอาไว้ เขาสันนิษฐานเมื่อเห็นควันขาวเล็ดลอดออกมาจากบริเวณขอบของฝาครอบ มันต้องเป็นที่มาของกลิ่นชวนคลื่นไส้นั้นอย่างแน่นอน เขาบอกตัวเอง พร้อมกับสงสัยว่า อาหารประเภทไหนกันนะ ที่ท่านหัวหน้าพรรคชวนทุกคนมากิน แน่นอน ต้องไม่ใช่หูฉลามน้ำแดง อันเป็นอาหารยอดนิยมเหมือนครั้งที่ติดตามท่านไปหารือกับหัวหน้าพรรคน้อยใหญ่เมื่อหลายเดือนก่อน
แต่ทำไมมันถึงได้ส่งกลิ่นประหลาดรุนแรงยิ่งขึ้นทุกทีล่ะ เขาถามตัวเองอีก กลิ่นนี้ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนได้อย่างเหลือเชื่อ ราวกับว่ามันไม่ใช่กลิ่นอาหารของมนุษย์ เขาอยากลุกหนีออกไปจากห้องนี้แต่ก็ทำไม่ได้ พ่อครัวเข็นหีบโลหะผ่านทางด้านหลังของเขาไปหยุดอยู่ตรงปลายโต๊ะซึ่งไม่มีใครนั่ง บริเวณนั้นมีเพียงรองหัวพรรคสองคนอยู่ใกล้มากที่สุด ทั้งสองทำจมูกย่นฟุดฟิดคอยสูดกลิ่นอาหารอย่างกระหาย พร้อมกับเอามือถูกันไปมาเหมือนเด็กที่อดใจไม่ได้ยามเห็นขนมของโปรด
ครั้นจัดข้าวของเข้าที่แล้ว พ่อครัวจึงยกฝาครอบออกมาวางไว้ใต้หีบ ฝาครอบนั้นคงค่อนข้างหนักทีเดียว ทุกคนในห้องยิ้มกริ่ม มีแต่เขาที่ตาเหลือกโพลง และพยายามขยี้ตาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็นั่งนิ่งงันเหมือนได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว ครั้นตั้งสติได้เขาก็รีบพรวดพราดลุกขึ้นยืน แต่เลขาธิการพรรคกระชากแขนให้นั่งลงตามเดิม เขาส่ายศีรษะไปมาด้วยท่าทางคล้ายคนบ้า รีบยกมือข้างหนึ่งปิดปากแน่น แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เลขาธิการพรรคพยายามดึงแขนเขาเอาไว้ แต่เขาสะบัดจนหลุด ก่อนจะวิ่งหลบไปโก่งคออาเจียนตรงมุมห้องด้านหนึ่ง ในท่ามกลางกลิ่นอันรุนแรงนั้น เขารู้สึกได้ถึงรสขมจากน้ำดีที่ขย้อนออกมา เขาอาเจียนหลายครั้งจนหมดแรง ขาทั้งสองข้างซวนเซ ต้องทรุดลงนั่งคุกเข่าใกล้กับกองเศษอาหาร ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต ๆ เขาอยากให้เรื่องในคืนนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเหลือเกิน
“เอาเหล้าพิเศษให้เขาดื่มหน่อยซิ…” ท่านหัวหน้าพรรคสั่ง มีเสียงหัวเราะของคนอื่น ๆ ดังประสานกัน ทำให้เขารู้สึกตัวว่านี่คงไม่ใช่ความฝันแน่แล้ว
“ดื่มให้หมดครับนาย เหล้าสูตรนี้ผมปรุงขึ้นมาเองตามตำรับโบราณ มันจะช่วยให้นายรู้สึกดีขึ้น”
เขาเงยหน้าขึ้นมองพ่อครัว แปลกใจที่ได้ยินภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ สายตาเหลือบมองแก้วเหล้าซึ่งมีน้ำสีแดงอมม่วงอยู่ราวครึ่งหนึ่ง เขารับมาถือไว้และยกขึ้นกระดกใส่ปากรวดเดียวจนหมด ความร้อนแรงของแอลกอฮอล์แล่นซ่าน รสหวานชุ่มคอของสมุนไพรบางชนิดชำแรกเข้าไปในทุกต่อมรับรส กลิ่นอันคล้ายใบสะระแหน่ผสมกับตะไคร้หอมทำให้รู้สึกดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายังคิดว่ามันแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวประหลาดบางอย่าง แต่พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมากเกินไป เขายังไม่อยากโก่งคออาเจียนอีก
พ่อครัวช่วยพยุงร่างของเขาให้ลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างยังคงสั่นเล็กน้อยในตอนแรก อึดใจต่อมาเขาก็รู้สึกว่าค่อยยังชั่วขึ้น น่าประหลาดที่อาการพะอืดพะอมหายไปจนหมดสิ้น เขาส่งแก้วคืนให้พ่อครัว จากนั้นเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ใครต่อใครพากันปรบมือให้เขาอย่างพร้อมเพียง ไม่เว้นแม้แต่ท่านหัวหน้าพรรค
“อีกหน่อยก็ชิน ผมเองทีแรกก็แทบตายเหมือนคุณนั่นแหละ แต่คุณต้องหัดกินเสียตั้งแต่วันนี้ ถ้าหากคุณต้องการเป็นนักการเมืองที่ดี” ประธานที่ปรึกษาพรรคซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือกระซิบบอก
เขาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูสิ่งที่อยู่บนหีบอีกครั้ง และแม้ว่าจะได้เตรียมใจไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งเหล้าอันร้อนแรงก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกมึนงง ถึงกระนั้นดวงตาของเขาก็ยังคงเบิกค้างกับภาพที่เห็นซ้ำสองอยู่นั่นเอง มันจะเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจากร่างของมนุษย์คนหนึ่ง เขาคิด ร่างนั้นนอนหงายเหยียดยาวอยู่บนแผ่นเหล็กสีดำเหมือนกระทะแบนบนหีบสเตนเลส มันร้อนจัดเสียจนทำให้เกิดเสียงดังฉ่า ๆ ยามที่น้ำมันใต้ชั้นผิวหนังหยดลงถูกแผ่นเหล็ก ก่อให้เกิดควันสีเทาโขมงไปทั่วบริเวณนั้น
ต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ เขาร้องเอ็ดอึงอยู่ในใจ แม้ศีรษะของเธอจะโล้นเลี่ยน เนื่องจากถูกโกนเส้นผมออกจนหมด คะเนจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เขามั่นใจว่าเธอน่าจะอายุราวยี่สิบปีเศษ วงหน้ารูปไข่ อกอวบ เอวคอด สะโพกผาย และแขนขาเรียวยาว เธอคงเป็นผู้หญิงที่งดงามมากยามมีชีวิตอยู่ ทว่าบัดนี้ร่างของเธอเหลืองเกรียม ผิวหนังบางส่วน เช่น หน้าผาก ปลายจมูก โหนกแก้ม หน้าอก หัวเข่า และปลายเท้า ได้ถูกความร้อนเผาจนเกรียม เขารู้สึกเศร้าใจ อีกทั้งสยดสยองไปพร้อม ๆ กัน
“ได้ที่หรือยัง เชฟ” ใครคนหนึ่งร้องถามด้วยน้ำเสียงหิวกระหายเต็มที
“เหมาะแก่การรับประทานแล้วครับนาย” พ่อครัวร้องตอบ ก่อนจะคว้ามีดแล่มาลับกับแท่งเหล็กกลมยาว และเมื่อทดสอบว่าคมได้ที่แล้ว ด้วยการใช้นิ้วโป้งลูบคมไปมาด้วยท่าทางพึงพอใจ ก็หยิบส้อมใหญ่จิ้มพรวดลงไปที่โคนขาของหญิงสาว มือขวาค่อย ๆ ประคองมีดเฉือนเนื้อชิ้นขนาดฝ่ามือผู้ชายออกมา มีเสียงดังฉี่ฉ่าเมื่อเลือดของหญิงสาวไหลย้อยลงบนกระทะร้อน พ่อครัววางชิ้นเนื้อใส่จานอย่างบรรจง แน่นอน เขานึกรู้ได้ทันทีว่า เนื้อชิ้นแรกนี้คงเป็นของใครไปไม่ได้ นอกเสียจากท่านหัวหน้าพรรค
ท่านหัวหน้าพรรคมองเนื้อของหญิงสาวที่วางอยู่บนจานด้วยสายตาชื่นชม นาทีต่อมาก็ลงมือหั่นเนื้อชิ้นขนาดพอดีคำ แล้วจิ้มใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“อืมม์ วิเศษมาก เนื้อนุ่มใช้ได้ ด้านนอกสุกแต่ข้างในยังฉ่ำเลือดหวานอยู่ อร่อยจนแทบจะลืมกลืน นี่ขนาดไม่ได้ราดซอสหรือน้ำเกรวี่อะไรเลยนะ” ท่านหัวหน้าพรรคเอ่ยปากชม
ทุกคนที่นั่งรายล้อมโต๊ะอาหารมีอาการน้ำลายสอ ยกเว้นเขาคนเดียว ท่านหัวหน้าพรรคจึงเร่งให้พ่อครัวแล่เนื้อแจกจ่าย
เลขาธิการพรรคสาวแก่ร่างท้วมสั่งเสียงแจ๋วว่า “ดิฉันขอเนื้อหน้าอกนะเชฟ ไม่ได้ลิ้มรสมานานแล้ว ท่านที่ปรึกษาน่ะชอบแย่งดิฉันกินอยู่บ่อย ๆ”
“โธ่ ท่านเลขาครับ ก็ผมมันผู้ชายนี่นา อะไรจะรสโอชายิ่งไปกว่าเต้านมหญิงสาวล่ะ”
“ดูพูดเข้านั่น งั้นดิฉันเป็นผู้หญิงก็ต้องกินไอ้ตัวเดียวอันเดียวน่ะสิคะ”
“ของแบบนี้แล้วแต่ชอบครับ ดูเอาเถิด บางคนชอบกินเนื้อ แต่บางคนก็ชอบกินผัก” พูดจบก็หันไปหัวเราะกับรองหัวพรรคคนหนึ่ง “คนธรรมดาไม่มีทางรู้หรอกว่า เลือดเนื้อประชาชนนี่มันอร่อยวิเศษแค่ไหน…”
เขามองเนื้อหนังของหญิงสาวที่พ่อครัวทยอยแล่มาวางตรงหน้าทุกคน อาการปั่นป่วนในท้องกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง สักพักหนึ่งก็รู้สึกทนไม่ได้ รีบร้องขอเหล้าสูตรเดิมจากพ่อครัวซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการพลิกร่างหญิงสาวกลับด้าน พอได้เหล้าแล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบดื่มรวดเดียวหมด มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแทบจะในทันทีทันใด
เนื้อจานแรกของคนอื่นหมดไปแล้ว เวลานี้กำลังเริ่มต้นจานที่สอง ส่วนเขาชำเลืองมองชิ้นเนื้อในจานตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะคิดแตะต้อง เลือดที่ซึมออกมาจากด้านในของเนื้อกึ่งดิบกึ่งสุกเริ่มแห้งแล้ว ดูราวกับเนื้อสัตว์ชนิดหนึ่ง เขาคิดไม่ออกว่าเป็นเนื้อสัตว์ชนิดไหน อาจจะคล้ายกับเนื้อหมูผสมเนื้อวัวกระมัง เขาพาลสงสัยอีกว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไรกันแน่นะ ทำไมคนที่อยู่รอบตัวเขาถึงได้ส่งเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าเหมือนตายอดตายอยากมานาน เนื้อหนังของประชาชนอร่อยล้ำเลิศถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ยามนี้เขาควรถือโอกาสทดลองชิมดูสักคำหรือไม่ โชคดีที่จมูกของเขาไม่ได้กลิ่นอันชวนสะอิดสะเอียนแล้ว เหล้าทั้งสองแก้วช่วยรักษาอาการคลื่นเหียนได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“อ้าว นั่งเฉยอยู่ทำไมล่ะคุณ รีบทานซะสิคะ เดี๋ยวไม่ทันคนอื่นเขาหรอก ของดี ๆ ต้องแย่งกันกินค่ะ ถึงจะอร่อยที่สุด” เลขาธิการพรรคเคี้ยวพลางพูดพลาง ทว่าเขาไม่ยอมหลงใหลไปการกินอาหารค่ำมื้อวิตถารเหมือนคนอื่น ๆ เวลานี้ท่านหัวหน้าพรรคเองก็ไม่สนใจใครเช่นกัน เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้มีดหั่นเนื้อใส่ปากเคี้ยว ยังไม่ทันหมดก็สั่งเพิ่มอีก ท่านหัวหน้าพรรคกำชับให้จานต่อไปแล่เนื้อสะโพกมาชิ้นโต ๆ
“ด่วนเลยเชฟ ขืนช้านักมันจะขาดระยะ…”
เขารู้สึกขนลุกขนพอง นี่หรือคือวิธีที่คนในพรรคบอกว่าเป็นการฝึกตนเพื่อเป็นนักการเมืองที่ดี เขารู้สึกมึนงงเหลือเกิน ได้แต่สงสัยว่าขณะนี้ตัวเองกำลังเมาเหล้า หรือว่าฝันร้ายอยู่กันแน่
“นายไม่รับอะไรบ้างเลยรึครับ หรือว่ารสชาติไม่ถูกปาก” พ่อครัวเดินมาถาม
เขาสบตากับพ่อครัว วางสีหน้าไม่ถูก แต่แล้วก็หลุดปากไปว่า “ผมไม่กล้ากิน”
คราวนี้พ่อครัวอมยิ้ม กล่าวว่า “แหม ทีเหล้าผสมเลือดนังผู้หญิงคนนี้ เจ้านายยังซดเข้าไปได้ตั้งสองแก้ว แล้วทำไมถึงไม่กล้ากินเนื้อหล่อนล่ะ”พูดจบก็หัวเราะฮึ ๆ อยู่ในลำคอ
คำพูดของพ่อครัวทำให้เขาสะดุ้งตกใจจนตาเหลือกค้าง กระเพาะและสำไส้ออกอาการขยอกขย้อนอย่างรุนแรง สีหน้าสีตาทำท่าเหมือนคนขาดอากาศหายใจ เขาเอ่ยปากขอน้ำเปล่ามาดื่มด้วยเสียงแหบพร่า พ่อครัวจึงรินส่งให้แก้วหนึ่ง เขาเอ่ยขอบคุณ รีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหาย แต่แล้วก็ต้องบ้วนทิ้งแทบจะในทันทีทันใด
“น้ำอะไรกันนี่ ทำไมถึงได้เค็ม ๆ ขื่น ๆ ยังงี้”
“น้ำตาประชาชนครับนาย ของดีอีกอย่างหนึ่งของที่นี่เชียวนะครับ”
เขาถ่มน้ำลายลงพื้นหลายครั้งราวกับว่ามันจะทำให้ภายในปากของเขาสะอาดขึ้น คนอื่น ๆ พากันหัวเราะชอบใจ
“อย่างน้อยคุณก็ได้เริ่มต้นแล้ว” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล่าวอย่างชื่นชม “นักการเมืองที่ดีมันต้องกินเลือดเนื้อประชาชนเป็นอาหารหลัก มันถึงจะมีกำลังวังชาไปพัฒนาประเทศ พ่อของคุณก็เคยกินอาหารแบบนี้มาก่อน ต่อมาภายหลังคิดจะเลิกกิน จึงต้องไปจบชีวิตในคุก โชคดีที่เขายังได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย…”
พ่อก็เคยผ่านเรื่องอย่างนี้มาด้วยหรือ ทำไมถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย เขาถามตัวเองอยู่ในใจ ในสมุดบันทึกของพ่อไม่ได้เขียนถึงเรื่องเหล่านี้ ไม่มีการบันทึกไว้ บางทีพ่ออาจจะรู้สึกอับอายกระมัง ทันใดนั้นเขาก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ มิน่าเล่า ครั้งหนึ่งสมัยที่เขายังเป็นเด็กอายุน่าจะราวแปดขวบ พ่อเคยจับเขากดน้ำหวังจะให้ตายมาแล้ว และได้เขียนเล่าความในใจไว้ในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง พ่อยืนยันถึงความรักที่มีต่อเขา แต่ไม่อยากให้เขาเดินตามรอยเท้าของท่าน พ่อรู้จากสภาพแวดล้อมรอบตัวดี ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะต้องกลายเป็นนักการเมือง ใช่แล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งซึ่งพ่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงคิดจะปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากวังวนนี้ ความตายอาจดีกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นนักการเมือง ทว่าด้วยหัวใจของคนเป็นพ่อ พ่อไม่อาจลงมือ จำต้องปล่อยให้เขาเติบโตไปตามชะตากรรมของเขาเอง
เนื้อหนังของหญิงสาวคนนั้นถูกแล่จนใกล้จะหมดแล้ว แลเห็นกระดูกบางส่วนโผล่ออกมาเป็นสีขาว เขาเหลือบมองแล้วหลุบตาลงต่ำ ได้ยินเสียงท่านหัวหน้าพรรคร้องสั่งพ่อครัวให้ไปทำอาหารมาเพิ่มอีก คราวนี้ขอเปลี่ยนเป็นเนื้อผู้ชายบ้าง
“ผู้ชายกล้ามเนื้อมันแน่นดี เคี้ยวมันปากกว่าผู้หญิง…”
“ครับนาย โปรดรอสักครู่”
“อย่าลืมเอาเครื่องในแม่สาวรายนี้ไปต้มแซบใส่ข่าตะไคร้ด้วยล่ะ จะเอาไปฝากคุณหญิงกับลูก ๆ ที่บ้าน พวกเขาว่าเคยกินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังอร่อยติดปากไม่หาย ส่วนผมมันชอบเนื้อสันในสันนอกของประชาชนมากกว่า เครื่องในมีคอเลสเตอรอลสูงไปหน่อย หมอห้ามขาดถ้าไม่อยากอายุสั้น ผมก็เชื่อ เพราะอยากอายุยืนเพื่อประชาชน ฮา ฮา”
เขาคิดถึงการเป็นนักการเมืองที่เลวร้ายของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตากินเนื้อผู้หญิงจานสุดท้าย รีบลุกขึ้นเดินตามพ่อครัวไปทางด้านหลัง
ภายในห้องครัว เขามองเห็นประชาชนทั้งชายหญิง เด็กและคนแก่ ล้วนถูกล่ามโซ่กักขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ เขารู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นว่าแววตาทุกคู่ล้วนสิ้นหวัง ความตายวนเวียนอยู่ใกล้ยิ่งกว่าลมหายใจ เสียงสะอื้นไห้ดังกระซิก ๆ มันทำให้หัวใจของเขาอ่อนล้าราวกับมีอายุมากขึ้นสักยี่สิบปี เขาคิดถึงพ่อเหมือนเช่นทุกครั้งที่เห็นประชาชนถูกคุมขังและเป็นทุกข์
ระหว่างที่พ่อครัวกำลังเดินเลือกเหยื่อรายต่อไปอยู่นั่นเอง เขาก็ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าออกกองกับพื้นห้อง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเปลือยเปล่าบนหีบสเตนเลสใบหนึ่งที่ว่างอยู่
“ติดไฟให้กระทะร้อนเถอะครับ” เขาร้องบอก “แล้วปรุงร่างของผมให้อร่อยสุดฝีมือ จากนั้นช่วยนำไปเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมหวังว่ามันจะทำให้พวกเขาอิ่มไปนาน”
“นายอย่าล้อเล่นน่า” พ่อครัวหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “พวกท่านไม่อยากกินเนื้อกันเองหรอกครับถ้าไม่จำเป็น พวกท่านชอบกินเนื้อประชาชนตาดำ ๆ มากกว่า”
อีกครั้งที่เขาหวนระลึกถึงข้อความประโยคนั้นของพ่อขึ้นมาอีก
“นักการเมืองที่ดีนั้น จะพบได้ก็แต่ในนักเมืองที่ตายแล้ว”
เขาพึมพำทวนคำพูดของพ่อซ้ำไปซ้ำมา แล้วเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ก็เลยเผยอริมฝีปากยิ้ม ใช่แล้ว พ่อยอมสละอิสรภาพเพื่อประชาธิปไตย ทว่าในฐานะทายาท เขาต้องการเสียสละมากกว่านั้น
“ทุกคนคงสะใจที่ได้กลืนกินร่างของนักการเมืองเลว ๆ ในสายตาของพวกเขา ผมจะไม่มีโอกาสทำให้พวกเขาโมโหโกรธาเหมือนกับทุกครั้งที่ผมแสดงความคิดเห็นแตกต่างออกไป เพราะคิดถึงทุกข์สุขของประชาชน เอาละ อย่ารอช้าเลยครับ รีบจัดการได้แล้ว ก่อนที่จะมีใครหิวมากไปกว่านี้ หวังว่าเนื้อหนังของผมจะทำให้พวกมันอิ่มกันไปนาน”
พ่อครัวพยักหน้ายอมจำนน แต่นัยน์ตาลุกวาว แสยะยิ้มแล้วเงื้อมีดขึ้นสูง วินาทีต่อมาเขารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเมื่อปลายมีดชำแรกแทรกผ่านซี่โครงปักลงตรงหัวใจ
ความคิดวูบสุดท้ายอันเลือนรางบอกว่า นักการเมืองเหล่านั้นคงได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ซึ่งสุกเกรียมอยู่บนกระทะอันร้อนแรง
โอ้ เขาเกิดมาและจากไปโดยไม่ละอายต่อแผ่นดิน.
(พิมพ์ครั้งแรก ในหนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า พ.ศ. 2549 เนื่องจากเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับรางวัลชมเชยในปีนั้น)