เรื่องสั้นไทย “ผีกำสรวล” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

ผีกำสรวล โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ตั้งแต่ผีเรือนรู้ตัวว่าตนเป็นผี ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดที่จะทำให้เจ็บปวดรวดร้าวได้มากเท่ากับเหตุการณ์ที่กำลังจะเล่านี้เลย ผีเรือนอยากจะร้องทุกข์ก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนคิดตั้งตู้รับเรื่องให้ อย่าว่าแต่จะช่วยพาไปร้องเรียนต่อสื่อมวลชนหรือออกโทรทัศน์สักหน เพราะผีย่อมไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงจึงหาประโยชน์อันใดมิได้ หากผีขืนดื้อดึงไปแสดงพลังเลือกผู้แทนเข้า มนุษย์ก็จะค่อนขอดว่ามีผีไปลงคะแนน พวกเขาอาจจะคิดว่าผีไม่มีหัวใจกระมัง (แม้จะไม่มีจริง ๆ ก็เถอะ) แต่ก็ยังเจ็บปวดได้ถึงแก่นของดวงวิญญาณ ซึ่งหนักหนากว่าหลายร้อยเท่านัก เมื่อเทียบกับหัวใจที่เป็นก้อนเนื้อ

แล้วอะไรกันเล่าที่ทำให้ผีเรือนตนนี้คร่ำครวญหวนไห้ มีอะไรอีกหรือที่สามารถทำให้วิญญาณของคนที่ตายกลายเป็นผีถึงขนาดเลื่อนขั้นเป็นผีบ้านผีเรือนแล้วก็ยังโศกเศร้าได้ถึงปานนั้น ความนัยเรื่องนี้คงมีแต่ผีเรือนที่จะเฉลยได้ ยิ่งถ้ามีพิธีกรฝีปากกล้าคอยซักถามให้ถึงลูกถึงคนสักหน่อย เรื่องราวที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็คงจะพรั่งพรูออกมาจากปากของผีเรือนเป็นแน่ จนกระทั่งมีหน่วยงานผี ๆ สักแห่งรับไปแก้ไข

แต่ผีเรือนยังไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย ผมในฐานะพิธีกรในวงเหล้า (เมาแล้วชอบซักชอบถาม) จึงต้องแสดงน้ำจิตน้ำใจรับฟังเรื่องร้องทุกข์จากผีเรือนตนนี้ดูสักหน่อย แม้ว่าจะไม่ใช่ผีเรือนในบ้านของผมก็ตามที

“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อราวยี่สิบปีมาแล้ว ตามเวลาโลกมนุษย์ ถึงข้าจะไม่มีปฏิทินดูก็ตาม เพราะไม่เคยมีใครตักบาตรไปให้ คงเห็นว่าไม่จำเป็นกระมัง”

ผมพยักหน้าหงึกหงักจนศีรษะคอนไปคอนมาด้วยความเมา

“แล้วผมจะทำบุญตักบาตรไปให้ จะได้ถึงมือท่าน” ผมให้ความหวัง

“ตอนนี้บ้านยังไม่มีจะอยู่เลย แล้วจะเอาปฏิทินไปติดไว้ที่ตรงไหน” ผีเรือนส่ายหน้า “เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีใครทำแบบโป๊ ๆ ออกมาแล้วด้วยเพราะเป็นห่วงเยาวชน น่าเสียดาย”

“แบบเป็นแผ่นการ์ดเล็ก ๆ ก็ได้นี่ท่าน ไว้พกติดตัว”

ผีเรือนพยักหน้า แล้วทำเป็นสะดุ้ง

“เล่าถึงไหนแล้ว ไอ้เหตุแห่งความทุกข์ของข้าน่ะ” ผีเรือนถามอย่างเคือง ๆ “เจ้าอย่าชวนนอกเรื่องสิวะ กินเหล้าแล้วคอยซักถามให้พองาม ขืนนอกเรื่องบ่อย ๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวไปหรอก”

ผมหัวเราะเบา ๆ นึกในใจว่าคืนนี้เมาขนาดหนัก ถึงขั้นคุยเป็นตุเป็นตะกับผีเลยทีเดียวเชียว

“เริ่มใหม่ก็แล้วกันนะ…เมื่อราวยี่สิบปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่ข้ายังครองตนเป็นผีเรือนอย่างมีศักดิ์มีศรี ไม่เคยซื้อสิทธิขายเสียง เพราะเจ้าของบ้านที่ข้าสิงสถิตอยู่นั้นมีฐานะร่ำรวย มีเครื่องเซ่นเครื่องสังเวยดี ๆ ให้ข้าอยู่เสมอ แต่ในโลกใบนี้มีสองด้าน มีได้ก็มีเสีย มีสุขแล้วมีทุกข์ และความทุกข์ของข้าก็มาเยือนในวันหนึ่ง”

ผีเรือนหยุดเล่า ก่อนจะถือวิสาสะหยิบแก้วเหล้าของผมไปกระดกใส่ปากหน้าตาเฉย โชคดีที่เป็นผี จึงไม่ทำให้เหล้าในแก้วพร่องไปแม้แต่น้อย

“ทีหลังมีเงินก็หัดกินเหล้านอกกับเขาบ้างนะ เงินตรารั่วไหลออกไปบ้างช่างมัน” ผีเรือนบ่นเล็กน้อย

“ครับ ไว้รอเงินเดือนออกก่อน แล้วไงต่อ รีบเล่าหน่อยครับ ผมเมาจะหลับอยู่รอมร่อแล้ว”

“วันนั้นเจ้าของบ้านที่ข้าอยู่กลับมาพร้อมกับวัตถุสีดำ ท่าทางมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย” ผีเรือนใช้หลังมือเช็ดปาก ก่อนจะพูดต่อไปว่า “รูปร่างมันคล้ายกับถังแกลลอนใส่น้ำมันเครื่อง เจ้าของบ้านเที่ยวอวดใครต่อใคร ก็บรรดาลูกเมียของเขานั่นแหละ เจ้าพอจะเดาออกไหมล่ะ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร” 

แล้วโดยที่ไม่ต้องการคำตอบ ผีเรือนก็เฉลยให้ฟังว่า “มันคือโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งสมัยนี้ชาวบ้านเรียกกันผิด ๆ ว่าโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ โทรศัพท์ทุกเครื่องไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์แบบมีสายหรือไร้สายล้วนใช้มือถือเวลาโทร.ทั้งนั้น หากไม่มีแฮนด์ฟรี ขอพูดทับศัพท์หน่อยคงไม่ว่ากัน แม้เกิดเป็นคนไทยควรจะใช้ภาษาไทยอย่างภาคภูมิใจก็เถอะ แต่ข้าเป็นผีนี่หว่า เอาสะดวกก็แล้วกัน”

พูดถึงตรงนี้ผีเรือนทำท่าจะคว้าแก้วเหล้าผมไปซดอีก ผมจึงรีบชิงยกมาดื่มเสียก่อน แล้วก็ต้องทำหน้าแหย เมื่อรู้สึกว่ากำลังดื่มน้ำเปล่าเข้าไปเต็มปาก

“ไม่เคยได้ยินรึ เครื่องเซ่นผีจะจืดชืด” ผีเรือนหัวเราะขำ ก่อนอธิบายให้ฟังว่า “เมื่อกี้ข้าเผลอซัดเต็มรัก ไม่ได้กินซะนาน ตั้งแต่เกิดเรื่องเพราะไอ้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเหตุนั่นแหละ”

“ผมก็งงว่าผีไปเกี่ยวกับมือถือ เอ๊ย โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ยังไง”

“ตั้งแต่เจ้าของบ้านได้เครื่องมือไฮเทคนั้นมา ข้ามีอันกินไม่ได้นอนไม่หลับ กำลังจะเคลิ้ม ๆ หรือใจลอยคิดถึงอะไรอยู่ก็ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่เจ้าของบ้านใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นการรับหรือส่งก็ตาม คลื่นจากโทรศัพท์มันทำให้ข้าเกิดความรู้สึก… อืม อธิบายยากอยู่สักหน่อยนะ มันน่าจะเทียบได้กับเมื่อมนุษย์อย่างเจ้าพูดว่า ‘ปวดประสาทวุ้ย’ หรือ ‘ปวดแก้วหูจังโว้ย’ แต่ของข้าน่าจะหนักหน่วงมากกว่าสักทวีคูณ ตรีคูณ หรือมากกว่านั้น มันอยู่ที่ความใกล้ไกลด้วย โชคดีที่เจ้าของบ้านมักจะนำเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดรถเก๋งไปไหนต่อได้ด้วย เพราะเท่าที่แม่ย่านางรถคันนั้นเคยบอกข้า ก่อนจะเผ่นหนีเช่นกันก็คือ เจ้าของบ้านชอบอวดให้ใครต่อใครดูโทรศัพท์ในรถทุกครั้งที่มีโอกาส บางทีถึงกับไขกระจกรถลงเพื่อให้คนในรถคันที่ติดไฟแดงอยู่ข้าง ๆ เห็นว่าเจ้าของบ้านกำลังใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ แม้ว่าจะไม่ได้โทรศัพท์หาใครจริง ๆ ก็ตาม”

ผมอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อจินตนาการถึงการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของชายคนนั้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันส่งผลอย่างหนักหนาสากรรจ์แก่ผีเรือนได้อย่างไร

“สักสองปีต่อมา เจ้าของบ้านเลิกหอบหิ้วเจ้าถังแกลลอนนั่นติดรถไปไหนต่อไหน แต่วางไว้ในห้องรับแขกสำหรับให้คนในบ้านใช้แทน ส่วนเจ้าของบ้านหันไปใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดเล็กลง รุ่นที่คนเขาเรียกกันว่า ‘กระติกน้ำ’ ถ้าเล็กลงมาหน่อยก็รุ่นกระดูกหมา และนี่ก็เป็นสาเหตุให้ข้าต้องระเห็จออกมาจากบ้านหลังนั้น”

“ถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ ท่านผีเรือน”

“ใครจะไปอยู่ไหว เดี๋ยวโทร.เข้า เดี๋ยวโทร.ออก จนข้าได้แต่ร้องกรี๊ด ๆ ลั่นบ้าน เพราะปวดประสาทจนทนไม่ไหว แต่ไม่มีใครได้ยินหรอก ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ขยันโทร.กันจริง เพื่อนฝูงเขาก็มีโทรศัพท์เคลื่อนที่เหมือนกันนี่ ตามประสาคนรวยมักจะโทร.หากันอยู่เนือง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีธุระอะไรสำคัญหรอก ข้าจึงได้แต่เอ่ยคำอำลาน้ำตาร่วงไหล… ปล่อยไปตามกรรม…เพราะบุญของข้ากับเจ้าของบ้านทำมาร่วมกันแค่นั้น…” 

ตอนท้ายผีเรือนส่งเสียงครวญเป็นบทเพลง และมีสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อหวนคิดถึงอดีต จากนั้นพึมพำอะไรออกมาสองสามคำที่ไม่ใช่ภาษามนุษย์ ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไปว่า “ข้าเก็บเอาข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางออกมา แล้วจึงเริ่มต้นมองหาบ้านหลังใหม่สำหรับสิง…”

“เดี๋ยวก่อนครับ ผีอย่างท่านมีสมบัติติดตัวด้วยหรือครับ”

ผีเรือนมองผมอย่างสมเพช

“เจ้ามันยังไม่เคยเป็นผีก็อย่างนี้แหละนะ ใจคอจะไม่ให้ผีมีสิ่งอำนวยความสะดวกบ้างเลยรึไง พวกผีอย่างเรา ๆ มีของใช้กันมากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ญาติโยมจะเผากงเต๊กมาให้ รถเก๋งบ้าง ทีวีบ้าง หรือเตียงนอน พอดีข้าเป็นผีไทยแล้วก็ตายมาตั้งนานแล้ว เลยได้แต่ขอซื้อต่อจากเพื่อนผีที่สัญจรไปมา ก็พวกเสื้อผ้า รองเท้า หวี แว่นกันแดด แป้งเย็น น้ำหอม ซันบล็อค ไม่มีอะไรมากนักหรอก อ้อ แล้วที่ลืมพกไม่ได้เลย ทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้านก็คือ บัตรเครดิตของค่ายปรโลกเอ็กเพรสอีกใบ เมื่อไม่มีเจ้าของบ้านคอยถวายของให้อีกแล้ว ข้าก็ต้องหาซื้อกินซื้อใช้เอาเอง แต่โชคดีที่ไม่นานเท่าไรนัก เพราะในที่สุดข้าก็ได้บ้านใหม่”

ผีเรือนหยุดพูดเพื่อรินเหล้า คราวนี้ล่อเสียเต็มแก้ว ก่อนจะเทลงคอกรึ๊บเดียวจืดสนิทเป็นน้ำ ส่อให้เห็นว่าน่าจะเป็นผีสุราขนานแท้และดั้งเดิมอีกตำแหน่งหนึ่ง

“รีบเล่าเถอะครับท่าน เดี๋ยวหมดโควต้าหน้ากระดาษเสียก่อน”

“แหม นี่ถ้ามีมะยมดองซักหน่อยก็ดีสิ ถึงไหนแล้ว อ้อ ถึงตรงบ้านใหม่ บ้านหลังนั้นเพิ่งปลูกเสร็จและทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ไปไม่นาน ยังไม่มีผีเรือนเป็นของตัวเอง ข้าจึงรีบเข้าจับจอง เพราะทรมานกับการร่อนเร่เป็นเจ้าไม่มีศาลอย่างที่สุด ชนิดที่ต้องบอกว่าเรียมเหลือทนแล้วนั่นแหละ อีกอย่างข้าชอบบ้านหลังนั้นด้วยสิ เพราะมันเป็นบ้านของผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่งที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว การใช้จ่ายเงินทองจึงเป็นไปอย่างประหยัด เครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้านมีแต่ของจำเป็นเท่านั้น แน่นอน ไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีราคาแพงอย่างน่าเกลียด ข้าจะได้อยู่อย่างสบายหูเสียที แต่พระเจ้าก็ไม่เป็นใจให้ข้าเลยแม้แต่น้อยนิด เพราะหลังจากที่ข้าอยู่อย่างสุขสบายมาหลายปี ข้าก็เผลอให้หวยสามตัวบนแก่ผัวเมียคู่นั้นด้วยการเข้าฝัน กะว่าจะทดแทนบุญคุณซะหน่อย พวกเขามีโชคได้เงินแสน แล้วสิ่งแรกที่พวกเขาซื้อแทนที่จะเป็นหนังสือดี ๆ สักสองสามเล่มเอาไว้ประเทืองปัญญา หรือเอาเงินไปทำบุญทำทานเก็บไว้ใช้ในชาติหน้า พวกเขากลับนำไปซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่เป็นแท่งเล็กกว่ารุ่นกระดูกหมาเยอะเลย ล่อซะสองเครื่อง ด้วยข้ออ้างว่าผัวเมียจะได้โทรศัพท์หากัน ในช่วงเวลาที่ต้องแยกย้ายไปทำงานตอนกลางวัน…อะแอ้ม”

ผีเรือนทำเหมือนมีอะไรติดคอ ผมจึงรีบรินเหล้าแก้วใหม่ส่งให้อย่างรู้ใจ ซึ่งผู้มาเยือนก็รับไปสาดลงคออย่างกระหาย ก่อนจะเอ่ยขอบใจ

“เท่าที่ฟังดูไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วนี่ครับ เพราะผัวเมียคู่นั้นใช้โทร.คุยกันที่ทำงานหรือนอกบ้าน ตกเย็นเลิกงานมาก็คงไม่ต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่คุยกันอีกแล้ว หรือว่า…” ผมคิดอะไรขึ้นมาได้

“เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ แต่ผู้อ่านคงไม่รู้ความคิดของเจ้า ข้าจึงขอพูดออกมาให้ได้ยิน จะได้เข้าใจกันทั่ว เรื่องมันก็น่าจะไม่มีปัญหาตามที่เจ้าว่า ถ้าต่อมาฝ่ายผัวจะไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงจนกลับบ้านดึกดื่น ทำให้ฝ่ายหญิงต้องโทร.ตามจิกคืนละหลายหน ถ้าคืนไหนเจ้าผัวกลับบ้านตอนเช้า ก็อย่าให้บรรยายเลย แม่เจ้าประคุณไม่เป็นอันหลับอันนอนละ รวมถึงข้าด้วย เพราะคุณเธอจะต้องโทร.ตามจิกผัวทุกห้านาที แม้อีกฝ่ายจะปิดเครื่องหนีแล้วก็ยังกดโทรศัพท์อยู่นั่น ในที่สุดข้าอยู่ไม่ได้ ต้องออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าไม่สนใจเครื่องเซ่นอะไรแล้ว บ้านคนมีเงินแม้แต่สองตาของข้าก็ไม่แล ข้ามองหาบ้านคนจนที่ยังไม่มีผีเรือนคุ้มครอง เข้าตำราคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก”

“ถ้างั้นท่านก็สบายสิครับ คนจนในเมืองไทยมีอยู่เยอะไป แต่อีกสี่ปีข้างหน้าคงหาลำบากหน่อย อาจถึงขั้นต้องตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์คนจนเลยทีเดียว เหมือนที่สหรัฐอเมริกาทำกับอินเดียนแดง เพราะรัฐบาลประกาศจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศแล้ว”

“แรก ๆ มันก็ดีหรอก” ผีเรือนส่ายหน้า “บ้านคนจนน่ะ แค่มีข้าวกินครบมื้อก็บุญโขแล้ว แต่ที่นี้ไม่รู้ว่าโลกมนุษย์ของเจ้ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนป่าช้าแตก แล้วมีผีเร่ร่อนออกมามากมาย ทว่ากับเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่แทน อยู่ดี ๆ โทรศัพท์ก็ราคาถูกลง หมายถึงรุ่นที่เขากำลังโละทิ้งหรอกนะ ถ้าเป็นรุ่นล่าสุดก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน ที่นี้ถูกไม่ถูกเปล่า ยังแถมให้…ให้อะไรวะ ฝรั่งเขาเรียกเครดิต ๆ”

“อ๋อ สินเชื่อหรือสินค้าเงินผ่อนใช่ไหมครับ ท่านจะบอกอย่างนั้นใช่หรือเปล่า”

“ใช่มั้ง แบบว่าเอาไปใช้ก่อนผ่อนทีหลัง คนจนยิ้มย่องหน้าตาผ่องใสไปตาม ๆ กัน ไม่อยากเป็นภาระต้องมีใบแจ้งค่าโทรศัพท์มากวนทุกเดือน ก็มีโทรศัพท์แบบเติมเงินให้บริการ มีมากโทร.มาก มีน้อยโทร.น้อย หรือไม่ต้องโทร.เลยก็ยังไหว แค่กดไปโชว์เบอร์ให้เพื่อนโทร.กลับก็นิยมกันมากเดี๋ยวนี้ จนเพื่อนเลิกคบกันไปหลายรายแล้ว”

ผมยิ้มแห้ง ๆ เมื่อผีเรือนเล่ามาถึงตรงนี้ เพราะผมก็เคยทำอย่างนั้นอยู่เป็นประจำ เวลาที่รู้สึกตัวว่าใช้โทรศัพท์เกินงบประมาณไปมากแล้ว

“แต่นั่นแหละ มันเรื่องของมนุษย์อย่างพวกเจ้า ข้าไม่สนใจนักหรอก แต่สิ่งที่ตามมากลับเหมือนครั้งก่อนราวกับว่าข้าถูกจองเวรจองกรรมไม่รู้จบสิ้น บ้านคนจนที่ข้าอยู่มีพ่อแม่กับลูกสาววัยรุ่นสองคน ลูกชายวัยรุ่นเหมือนกันอีกหนึ่งคน แล้วเจ้ารู้อะไรมั้ย ทั้งที่จนขนาดหนัก แต่บ้านนี้มีโมบายล์โฟน เอ๊ย โทรศัพท์เคลื่อนที่ถึงห้าเครื่อง เรียกว่าเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของคนในบ้านก็ว่าได้ ทุกคนพกติดตัวและประคบประหงมอย่างดี คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ข้าหมายถึงไฟฟ้ากับเงินน่ะ ไม่งั้นไอ้ดุ้นนั่นจะพาลตายเอาง่าย ๆ ส่วนข้าไม่มีเวลาได้พักผ่อนอย่างเป็นสุขหรอก ไม่ว่าจะกี่โมงกี่ยาม ดึก ๆ ยิ่งหนักกว่ากลางวัน เพราะเด็กมันโทร.คุยกับแฟนบ้าง กิ๊กบ้าง แล้วชอบเกี่ยงให้อีกฝ่ายวางหูก่อน เกี่ยงกันอยู่นั่นแหละจนเช้า ช่างไม่รู้เลยว่าทำให้ผีเรือนอย่างข้าทรมานแค่ไหน”

“แล้วท่านก็ต้องหาบ้านหลังใหม่อีกตามเคยใช่มั้ยครับ ผมพอเดาเรื่องออก”

ผีเรือนค้อนขวับ ก่อนจะจิบเหล้าเสียอึกหนึ่งแก้คอแห้ง ตามด้วยไส้กรอกฝรั่งทอดจิ้มกับซอสพริก 

“ใครจะไปอยู่บ้านที่วุ่นวายปานนั้นได้เล่า” ผีเรือนเล่าต่อ “ข้าต้องร่อนเร่อย่างลำบากลำบนอีกครั้ง มองหาบ้านที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่มันช่างยากเหมือนสนเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวเชียว”

“เดี๋ยวก่อนท่าน เขามีแต่งมเข็มในมหาสมุทร” ผมแย้งผีเรือนโดยไม่พยายามขำออกมา

“เจ้านี่โง่แล้วอวดฉลาด ไม่เชื่อลองลงไปในมหาสมุทร เอาเส้นด้ายไปสนเข็มดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันยากขนาดไหน เออ ถึงไหนแล้ว อย่าขัดสิวะ ข้าเที่ยวหาบ้านใหม่ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผีจรจัด กลัวจะเป็นภาระให้กรมปิศาจสงเคราะห์จับไปฝึกอาชีพ แต่มันยากจริง ๆ แม้แต่บ้านคนหูหนวกเป็นใบ้ก็ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ เพราะสื่อสารกันด้วยเอสเอ็มเอสแทนการพูด จนข้าไปเจอขอทานคนนึงกำลังนั่งทำงานอยู่บนสะพานลอย เลยได้ไอเดียใหม่ขึ้นมา คงมีแต่ขอทานเท่านั้นที่ไม่มีปัญญาใช้เครื่องมือแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นขอทานรึ แต่แล้วความหวังของข้าก็ต้องพังทลายเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ขณะที่ข้ารอจะเกาะขันพลาสติกของขอทานกลับบ้านหลังเลิกงานอยู่นั่นเอง ไอ้เจ้าขอทานนั่นกลับทำอะไรหลังนับเงินเสร็จแล้วรู้ไหม”

ผมได้แต่ส่ายหน้า

“ขอทานเป้าหมายของข้าดันควักโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกมา แม่งเอ๊ย รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นแบบฝาพับจอสี แถมยังติดกล้องด้วย มันโทร.ไปบอกเมียน้อยที่คอนโดฯ ริมแม่น้ำ ให้ซื้อห่านพะโล้ท่าดินแดงกับบรั่นดีเตรียมไว้สำหรับดินเนอร์ ข้าแทบจะปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ ดูเหมือนใคร ๆ ในยุคนี้ล้วนมีไอ้ดุ้นนี่กันทุกคน ข้าถึงกับต้องสาปส่งชีวิตในเมือง ในเมื่อเป็นผีบ้านผีเรือนไม่ได้ก็ขอเป็นผีป่าผีเขาไปให้รู้แล้วรู้รอด ข้ากระโดดเกาะรถไฟมุ่งหน้าออกต่างจังหวัด แต่เกาะได้ไม่นานก็ต้องกระโดดหนี เพราะบนรถไฟก็มีสภาพไม่ต่างจากที่พบมา ผู้โดยสารหลายคนเอาแต่โทร.หาเพื่อนฝูงไม่วางสายเลย ด้วยพากันเชื่อโฆษณาว่ายิ่งโทร.มากยิ่งถูกมาก ข้าเลยต้องลอยไปตามลม สุดแต่ลมเพลมพัด จนไปถึงบริเวณที่เป็นดอยหรือภูแห่งหนึ่ง ดูเงียบสงบเหมาะแก่ผีอย่างข้ามากที่สุด แต่เกิดอะไรขึ้นรู้ไหม อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาวิ่งเล่นโป้งแปะ เจ้าคงเคยเล่นตอนเป็นเด็กอยู่หรอก ไอ้เจ้าคนที่มาเล่นโป้งแปะที่ข้าเห็นนี่ ดันชักชวนใครต่อใครให้มาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่บนดอย พร้อมรับรองว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณ ทำให้ข้าต้องหนีเตลิดเปิดเปิง แล้วกลับเข้ามาอยู่ในเมืองอีกครั้ง จนได้พบว่ายังมีบ้านของเจ้าหลังเดียวที่ปลอดคลื่น โชคดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นข้าแย่แน่”

ผมได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากผีเรือนแล้วก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดว่ามนุษย์เราจะทำกับผีได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีบางแง่มุมที่ผมไม่เข้าใจ

“เพราะอะไร ผีอย่างท่านถึงทนคลื่นจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้ครับ มันก็ไม่น่าจะต่างไปจากคลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้รบกวนอะไรท่านเลย”

ผีเรือนทำท่าถอนหายใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีลมหายใจมานานแล้ว คงด้วยความเคยชิน พูดเนือยๆ กับผมว่า “ข้าก็ไม่เข้าใจนัก เจ้าต้องรู้ก่อนว่าสมัยข้ายังมีชีวิตอยู่ โลกเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ และข้าก็ไม่ถนัดเรื่องวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ ถ้าเป็นไสยศาสตร์เสกควายธนูเข้าท้องยังพอไหว แต่เท่าที่พวกผีพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าความถี่ของคลื่นวิทยุที่โทรศัพท์ปล่อยออกมา มันจะเป็นความถี่ที่รบกวนผีอย่างข้าพอดี เหมือนคลื่นเสียงบางความถี่ที่ทำให้หมาหอน หรือบางคลื่นที่ใช้เรียกปลาโลมาได้ เจ้าพอจะเข้าใจมั้ย เจ้าไม่เคยสงสัยบ้างเลยหรือว่า ทำไมเดี๋ยวนี้มนุษย์ถึงไม่ค่อยได้เจอผี ก็เพราะผีทุกตนเป็นเหมือนข้าไง ต่างก็หนีหัวซุกหัวซุนกันหมด ยกเว้นผีหัวขาดที่ไม่มีหัวให้ซุกให้ซุน พวกผีพยายามอยู่ห่างจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้าไว้ ข้ายังโชคดีที่ได้มาเจอบ้านเจ้าที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แม้แต่น้อย หวังว่าเจ้าจะยอมให้ข้าเป็นผีเรือนในบ้านของเจ้านะ คิดว่าสงสารผีตาโบ๋อย่างข้าเถอะ”

“เชิญอยู่ตามสบายเถอะครับ” ผมยิ้มเศร้า ๆ “เอาเป็นว่าผมจะดูแลท่านเป็นอย่างดี จะเซ่นวักตั๊กแตนทุกวัน จะใช้เวลาระหว่างนี้ทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุด แต่…”

“แต่อะไร เจ้ามนุษย์ผู้แสนดีของข้า”

“ท่านคงอยู่ได้ถึง…สิ้นเดือนนี้เท่านั้น”

ผีเรือนทำท่าตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้างจนลูกตาหลุดร่วงลงบนหน้าตักตัวเอง

“เพราะอะไรเรอะ เจ้าผู้เป็นความหวังสุดท้ายของข้า”

“เมื่อถึงสิ้นเดือน มนุษย์เงินเดือนอย่างผมก็จะมีเงินไปจ่ายบิลล์ค่าโทรศัพท์ที่ค้างเขาไว้ไงละครับ” ผมยิ้มแฉ่งอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที “โดนตัดมาหลายวันแล้ว ต้นเดือนจะได้ใช้มือถือเหมือนชาวบ้านเขาบ้าง ไม่งั้นถือว่าเร่อร่าล้าสมัยครับ”

ได้ยินดังนั้นผีเรือนก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ก่อนที่ร่างจะค่อย ๆ สลายไปด้วยท่าทางเจ็บปวด นับเป็นความเจ็บปวดที่มนุษย์มือถืออย่างผมปรารถนาจะเข้าใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ

ผีกำสรวล โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์
ผีกำสรวล โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย   เดือนพฤศจิกายน   พ.ศ.  2548

เว็บไซต์ nittaysan.com