เรื่องสั้น “ชายชราแห่งเมืองโลหะอันว้าเหว่” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น ชายชราแห่งเมืองโลหะอันว้าเหว่ ธาร ยุทธชัยบดินทร์

ที่เส้นขอบฟ้าเบื้องทิศตะวันออก  ณ  ดินแดนซึ่งแผ่นฟ้าและผืนดินได้มาบรรจบพบกัน  ผมมองเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าตั้งอยู่ตรงนั้น  มันผุดอารยธรรมสูงเด่นขึ้นมาจากความราบเรียบของธรรมชาติ  แน่นอน  มันสร้างความยินดีให้แก่นักเดินทางซึ่งรอนแรมมาจนลืมคืนและวัน  ในความอ่อนล้า  ผมใช้กำลังกายใจเฮือกสุดท้ายมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองนั้น

เมืองโลหะกำลังส่องประกายล้อพระอาทิตย์ยามบ่าย  ผมหมุนตัวเหลียวมองไปรอบ ๆ บนถนนโลหะสีเงิน  ท่ามกลางอาคารทรง เรขาคณิตสูงตระหง่านที่รายล้อมอยู่ทุกทิศทุกทาง  สรรพสิ่งซึ่งปรากฏอยู่ในสายตาล้วนสร้างด้วยโลหะสีเงิน  ผมเริ่มแน่ใจว่าที่นี่ต้องเป็นเมืองของผู้มั่งคั่ง  มันช่างดูแตกต่างไปจากเมืองไม้  เมืองหิน  หรือเมืองกระดาษ  ที่ผมได้เคยพบพานในระหว่างการรอนแรมอันยาวนาน

แล้วเหตุใดสถานที่งดงามดูทันสมัยเช่นนี้  จึงปราศจากสิ่งมีชีวิต  ผมสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในสายลมแห้ง ๆ เต็มไปด้วยฝุ่น  ซึ่งพัดหมุนวนอยู่ในเมืองนี้  หรือว่าที่นี่คือเมืองอันรกร้างว่างเปล่าผู้คน

จังหวะนั้นเองใครคนหนึ่งได้เดินออกมาจากอาคารริมถนนไกลออกไป  ด้วยความยินดี  ผมรีบวิ่งตรงเข้าไปสอบถาม   แต่แล้วก็ต้องชะงัก  เมื่อเห็นเขาล้วงปืนพกออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม  มิหนำซ้ำยังยิงขึ้นฟ้าเสียหนึ่งนัด  เสียงของมันกึกก้องและสะท้อนไปทั่วเมืองโลหะ

“หยุดอยู่ตรงนั้น  ห้ามเจ้าเข้ามาใกล้ที่ว่าการของเมืองนี้”

“อย่ายิงนะครับ ผมแค่เดินทางผ่านมา  ผมไม่ได้ต้องการอะไร  นอกจากเสบียงอาหารกับเวชภัณฑ์ที่จำเป็น”

ผมลองขยับเข้าไปใกล้อีกนิด  เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นไม่ว่าอะไร จึงเดินเข้าไปหา  และได้เห็นถนัดตาว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงชายชราที่ยังดูแข็งแรง  มีเรือนร่างตั้งตรงราวกับคนหนุ่ม

“ข้าคือผู้ปกครองของที่นี่  เจ้ารีบรายงานตัวมาเดี๋ยวนี้”

ผมบอกนามเรียกขาน  รวมถึงชื่อเมืองต้นทางที่จากมา  และเมืองปลายทางที่กำลังมุ่งหน้าไป  ชายชราพยักหน้ารับคำเป็นระยะ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก  เมื่อผมบอกถึงความประสงค์เรื่องอาหารและยาอีกครั้ง  ชายชราจึงชี้ไปที่อาคารโลหะทรงปิรามิดหลังหนึ่ง  ซึ่งมีลักษณะเตี้ยกว่าอาคารหลังอื่นแต่ขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ  ชายชราไม่ได้สนใจในตัวผมอีก  เขาหันหลังกลับ  แล้วเดินหายเข้าไปในอาคารที่ว่าการของเมืองโลหะ  ทั้งที่ผมยังมีคำถามอีกมากมาย  เช่น  ผู้คนที่นี่หายไปไหนกันหมด  หรือผมจะขอพักค้างคืนที่นี่ได้ไหม  แต่เอาเถอะ  ตอนนี้ผมควรจัดการกับเรื่องเสบียงอาหารเสียก่อน  เผื่อมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล  ผมจะได้จากไปโดยไม่ต้องหิวตายในระหว่างเส้นทางอันยาวไกลเสียก่อน

ผมเข้าไปในอาคารโลหะทรงปิรามิดที่ชายชราแนะนำ  ทำให้ได้รู้ว่าที่นี่เป็นตลาดจำหน่ายข้าวของเครื่องใช้  รวมถึงอาหารสดสารพัดชนิด  ซึ่งรักษาสภาพไว้ในตู้แช่เย็นขนาดมหึมา  แต่ผมไม่ได้ใส่ใจกับอาหารสดพวกนั้นเลย  สิ่งที่ผมต้องการก็คืออาหารสำเร็จรูป  ผมตรงไปที่ชั้นวางอาหารกระป๋อง  แล้วหยิบใส่ลงในเป้สัมภาระจนเต็ม  น่าประหลาดที่ระหว่างนั้น  ชั้นวางอาหารกระป๋องที่พร่องไปก็ถูกเติมเต็มโดยอัตโนมัติจากอุปกรณ์ที่อยู่ทางด้านหลัง  ผมมองดูด้วยความพิศวง  ก่อนจะผละมาที่ตู้เก็บยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์  เพื่อซื้อทดแทนเวชภัณฑ์ในกระเป๋าที่ร่อยหรอลงไปมากแล้ว  สถานที่แห่งนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังแม้แต่น้อย  มันมีทุกสิ่งที่ผมต้องการ

“ช่างเป็นเมืองที่สมบูรณ์พูนสุขเหลือเกิน” ผมพึมพำออกมา  คิดไปว่าน่าจะดีไม่น้อย  หากผมได้พักผ่อนอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง  ผมเริ่มคิดถึงอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นและฟองสบู่  คิดถึงการได้เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูหนานุ่ม  ได้นั่งนอนในห้องปรับอากาศเย็นสบาย  รวมถึงได้กินอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ  มันน่าจะให้ความรู้สึกดีกว่าอาหารกระป๋องเป็นไหน ๆ

พอได้ข้าวของจำเป็นครบถ้วนแล้ว  ผมพยายามมองหาพนักงานเก็บเงิน หรือแม้แต่ระบบอัตโนมัติสำหรับการนี้  แต่ไม่พบใครแม้สักคนเดียว  รอบกายเต็มไปด้วยความเงียบวังเวงของเมือง ร้าง  หากเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเพียงแค่เสียงเครื่องจักรกลหรืออะไรสักอย่างหนึ่งครางหึ่ง ๆ อยู่เท่านั้น

สุดท้ายเมื่อไม่พบพนักงานเก็บเงิน  ผมจึงวางเงินจำนวนหนึ่งทิ้งไว้ในตู้เก็บยา  แล้วเดินกลับออกไปยังถนนโลหะ   ผมพยายามมองหามนุษย์สักคนเพื่อถามทางไปโรงแรม  แต่ถนนที่สะท้อนแสงวาววามยังคงไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต  ผมเพิ่งตระหนักว่าตั้งแต่เหยียบย่างเข้าสู่เมืองนี้  สิ่งมีชีวิตที่ผมได้พบและสนทนาด้วยมีเพียงชายชราผู้ชอบพูดด้วยปืนเพียงคนเดียว

ขณะกำลังยืนเคว้งคว้างอยู่นั่นเอง  ชายชราที่ผมกำลังนึกถึงก็เดินออกมาจากอาคารที่ว่าการของเมืองอีกครั้ง  เขาใช้มือข้างที่ถือปืนพกกวักเรียกให้ผมเข้าไปหา

“เมื่อเจ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็จงรีบออกไปจากเมืองของข้าเดี๋ยวนี้”

“ทำไมหรือครับ” ผมถามด้วยความสงสัย “ความจริงผมอยากพักที่นี่สักคืนสองคืน  ผมรู้สึกล้าเต็มทน  เมืองนี้น่าจะมีโรงแรม  หรือที่พักของคนเดินทางบ้างนะครับ”

ผมเห็นชายชราส่ายหน้า  พูดเสียงแข็งว่า 

“เจ้ารีบออกไปให้พ้นเมืองของข้าดีกว่า  ข้าไม่อยากไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างเจ้า”

ทั้ง ๆ ที่ใจยังอยากอ้อนวอนขอพักค้างแรม  แต่เมื่อเห็นชายชรากระดกปากกระบอกปืนไปมา  ราวกับจะสื่อให้เห็นว่าถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็คงต้องพูดกันด้วยลูกปืน  ผมจึงค้อมศีรษะให้เขาเป็นการอำลา  อย่างน้อยผมก็ยังนึกขอบคุณที่เขาทำให้ผมมีเสบียงเพียงพอสำหรับการเดินทางต่อไป

ผมเริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตามเดิม  ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังกำลังคล้อยต่ำลงไป   บางทีก่อนที่แสงสุดท้ายจะลับขอบฟ้า  ผมอาจได้พบสถานที่เหมาะ ๆ สำหรับพักแรมก็เป็นได้  ผมนึกเข็ดขยาดหากจะต้องนอนในที่โล่งแจ้ง  และสะดุ้งตื่นขึ้นมายามดึก  ท่ามกลางสายฝนเม็ดโตเท่านิ้วโป้ง  ลูกเห็บก้อนขนาดเท่าผลมะนาว  หรือแม้แต่พายุทรายอันโหดร้ายทารุณ

ทว่าหลังจากที่เดินไปได้ไม่ไกลนัก   พลันก็มีเสียงร้องเรียกให้หยุด  ผมหันไปเห็นชายชราทำท่าพยักพเยิดคล้ายจะให้ผมเดินตามเขาเข้าไปในอาคารที่ว่าการเมือง  และนั่นก็ทำให้ผมไม่รอช้า  

“ในตึกนี้มีห้องพักสำหรับแขกเมืองมากมาย เจ้าขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน แล้วเลือกพักเอาเถอะ มื้อเย็นก็ลงมากินอาหารที่ห้องกระจกด้านโน้น”

ห้องรับประทานอาหารดังกล่าวสร้างขึ้นจากกระจก  ภายหลังผมจึงพบว่าแม้กระทั่งโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในนั้นก็ทำจากกระจก  นับเป็นความงามที่ผมต้องยอมรับว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ถึงหลายปีมานี้จะได้เดินทางผ่านเมืองต่าง ๆ มาแล้วมากมาย

“ขอบคุณมากครับ” ผมเอ่ยออกมาเบา ๆ  ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟท์แก้ว  เอื้อมมือกดเลือกชั้นอย่างไม่ตั้งใจ  ผมคิดว่าชั้นไหนที่ลิฟท์หยุดเคลื่อนที่ก็หมายความว่าโชคชะตาได้กำหนดให้ผมพักที่นั่นแล้ว   นิสัยเช่นนี้  ผมเดาว่าคงเป็นพฤติกรรมที่ติดตัวมาจากการเดินทางอันยาวนานนั่นเอง  การเดินทางซึ่งกำหนดให้ชีวิตแต่ละวันแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

ผมเริ่มคิดถึงการอาบน้ำอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง  และยังคิดไกลไปถึงอาหารมื้อเย็น  มันคงไม่ใช่อาหารกระป๋องรสชาติน่าเบื่อหรอกนะ ในฐานะแขกเมือง  ผมควรได้กินอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่  ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ตามที่ผมได้เห็นมากับตาในอาคารโลหะทรงปิรามิดหลังนั้น

ลิฟท์หยุดที่ชั้นสิบสี่  ผมก้าวเท้าออกไปอย่างระแวดระวัง  เมื่อได้เห็นว่ามีห้องพักเรียงรายอยู่สองข้างทางเดินเหมือนโรงแรมทั่วไป   ผมจึงเลือกห้องที่อยู่ใกล้ลิฟท์มากที่สุด  แน่นอน  มันดีเกินกว่าจะทำให้ใครผิดหวังได้  ห้องพักของผมมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนาโดยไม่ต้องร้องขอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ผมเคยฝันถึงก่อนหน้านี้

เครื่องแต่งกายมอมแมมถูกถอดออกไปทีละชิ้น  จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า  ผมก้าวลงไปในอ่างน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิพอดีกับความรู้สึกพึงพอใจ รอบกายเต็มไปด้วยฟองสบู่ละเมียดละไมหอมกรุ่น  มีเสียงดนตรีกล่อมอารมณ์ราวเสียงกระซิบ  แต่แจ่มชัดในโสตประสาทเหลือเกิน   สถานที่แห่งนี้ช่างเหมือนกับดินแดนสมบูรณ์แบบ  ไม่ต่างไปจากโลกในฝันอันแสนสุข ไม่มีสิ่งใดที่ปรารถนาแล้วไม่ได้  ไม่มีความขาดแคลนใด ๆ ให้เห็น

ในเสี้ยวหนึ่งของอารมณ์สำราญใจนั้น   ผมถามตัวเองว่าจะไม่ดีหรอกหรือ  ถ้าเราจะล้มเลิกการเดินทางอันไร้วี่แววของความสำเร็จ  หนทางช่างยาวไกลราวกับไร้ที่สิ้นสุด  แล้วเอ่ยปากขอชายชราตั้งรกรากอยู่ที่นี่ตลอดไป

หรือว่าผมเริ่มเบื่อหน่ายการเดินทางเสียแล้ว  ผมคิดด้วยความสับสน  จากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งจนไม่อาจฝืนทนได้อีก  อนุสติสุดท้ายก่อนผล็อยหลับบอกผมว่าน้ำในอ่างค่อย ๆ ลดลงจนแห้ง  ก่อนที่อ่างดังกล่าวจะแปรสภาพกลายเป็นเตียงนอนหนานุ่มโดยอัตโนมัติ

“วิเศษอะไรเช่นนี้” ผมพึมพำ  หัวใจล่องลอยคิดถึงการเดินทางแสนเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมา  กระทั่งหลับไหลไปในที่สุด

ยามเย็นใกล้ค่ำ  ห้องรับประทานอาหารเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความวังเวง  นอกจากอาหารรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสเต็กที่วางอยู่บนโต๊ะแก้วโปร่งใสแล้วก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีก  ผมมองหาชายชราแต่ไม่พบ  จึงถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ใสตัวหนึ่ง  แต่พยายามเตือนตัวเองว่า  แม้อยากลงมือกินแค่ไหนก็ควรรอให้ชายชรามาถึงเสียก่อน

ผมฆ่าเวลาด้วยการชื่นชมงานสถาปัตยกรรมของเมืองโลหะ  ที่มองเห็นได้ชัดเจนจากเก้าอี้ซึ่งผมนั่งอยู่  ดวงอาทิตย์กำลังตก  ท้องฟ้าจึงอุดมด้วยสีครามมัว ๆ ตัดกับสีแสดเป็นประกาย  แต่ไม่นานนักทั้งหมดก็กลายเป็นสีน้ำเงินดำ  ระหว่างนั้นแสงประดิษฐ์ก็เรืองรองขึ้นมาจากทุกซอกมุมของอาคารหลังต่าง ๆ  จนสว่างขาวโพลนตัดกับสีท้องฟ้า  ในที่สุดก็เหลือเพียงความมืดมิดอันลึกล้ำซึ่งอยู่สูงขึ้นไปในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น

“นั่งเฉยอยู่ทำไมเล่า  ลงมือกินอาหารกันเถอะ”

ชายชราเดินเข้ามาในห้องกระจกตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ได้  เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผม   เราสองคนลงมือกินอาหารกันอย่างเงียบ ๆ  ทั้งที่ผมเองอยากจะชวนคุย  แต่ต้องเปลี่ยนใจหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

แต่แล้วจู่ ๆ ชายชราก็ถามขึ้นว่า  “เจ้าบอกจะไปเมืองไหนนะ  ข้าจำไม่ได้เสียแล้ว”

“เมืองแห่งการเริ่มต้นครับ”

“เมืองแห่งการเริ่มต้นงั้นรึ  อืมม์…เมืองที่ว่านี้อยู่ที่ไหน  ข้ารู้สึกคุ้นหู  คล้ายเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน”

ผมยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบว่า “ผมไม่แน่ใจนัก  ทราบเพียงแค่เมืองที่ว่านี้อยู่ทางทิศตะวันออก  ผมกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น”

ชายชราผงกศีรษะ แต่สีหน้าคล้ายยังไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง “แล้วทำไมเจ้าจึงต้องเดินทางตามลำพังเช่นนี้ด้วย  ใครบังคับให้เจ้าทำงั้นเรอะ”

“ไม่มีใครบังคับผมได้หรอกครับ  ผมก็แค่…แค่อยากกลับไปหาจุดเริ่มต้นของมนุษย์ และบ่อเกิดของอารยธรรมต่าง ๆ ”

“มันจะมีประโยชน์อันใดล่ะ ในเมื่อความเจริญของมวลมนุษย์ ได้ก้าวมาถึงปลายทางเสียแล้ว  เจ้าลองมองดูไปรอบ ๆ สิ  เจ้าไม่ตระหนักถึงความศิวิไลซ์ที่ข้าครอบครองอยู่นี่หรือ”

ผมไม่จำเป็นต้องหันไปดูตามที่ชายชราบอก  ด้วยรู้อยู่แก่ใจและสายตาก่อนหน้านี้แล้วว่า  ดินแดนแห่งโลหะนี้เป็นเช่นไร  ความสมบูรณ์พูนสุข  ตลอดจนความเพียบพร้อมที่สัมผัสได้  เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนรวมถึงตัวผมไม่อาจจะปฏิเสธ  แล้วเหตุไฉนเมืองที่เพียบพร้อมเยี่ยงนี้   จึงอยู่ในสภาพเงียบร้างว่างเปล่า  ถ้าผมคาดไม่ผิด  บางทีคงมีเพียงชายชรากับผมเท่านั้น  ที่กำลังสูดลมหายใจแห่งความโดดเดี่ยวอยู่ในเมืองโลหะแห่งนี้

“เจ้าน่าจะอยู่ยุติการเดินทาง  แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไป”

คำชวนของชายชราทำให้ผมนึกประหลาดใจ  ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเต็มใจให้ผมเข้ามายุ่มย่ามในเมืองโลหะสักเท่าไรนัก

“บางครั้งการดำรงอยู่เพียงคนเดียวท่ามกลางความสมบูรณ์แบบ  ทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นการสูญเปล่า  สำหรับสิ่งที่ข้าได้ลงมือทุ่มเทมาตลอดชีวิต”

“ท่านสร้างเมืองโลหะนี้ขึ้นมาหรือครับ”

ชายชราไม่ได้ตอบคำถามของผมในทันที  ดวงตาแห้งผากของเขาดูเลื่อนลอยอยู่นาน  มุมปากกระตุกเล็กน้อยราวกับเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยคำใดออกมา

“ข้ากับพวกพ้องและประชาชนของข้า  ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์เมืองนี้ขึ้นมา  เพื่อที่ทุกคนจะได้พบกับสันติสุข  ปราศจากซึ่งความทุกข์เช่นมนุษย์ในประวัติศาสตร์”

“แล้วคนเหล่านั้นล่ะครับ  พวกเขาพากันไปอยู่เสียที่ไหนกันหมด  ตั้งแต่ผมเข้าเมืองมา  ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับใครเลย  หรือว่าพวกเขาพักผ่อนอยู่ในอาคารระฟ้าข้างนอกนั่น”

ถึงตรงนี้  ชายชรานิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก  เขานั่งก้มหน้าโดยไม่ใส่ใจกับอาหาร  ผมเองได้แต่หั่นเนื้อมากินจนหมดจาน  แล้วรวบมีดกับส้อมวางบนจานกระจก  จากนั้นก็ยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม  สุดท้ายต้องทนนั่งอึดอัดโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

เวลาคืบคลานผ่านไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน  ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน  คิดว่าน่าจะออกไปเดินชมเมืองสักครั้ง  อีกอย่างก็เพื่อหนีจากบรรยากาศกดดันเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ด้วย

“ผมขอตัวออกไปข้างนอกนะครับ  ผมอยากเดินดูความเจริญของเมืองโลหะให้ทั่ว”

“จริงหรือ” ชายชราเงยหน้าขึ้นมองดูผม  นัยน์ตาของเขาทอประกายแจ่มใสอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “ข้าขอร่วมเดินไปกับเจ้าได้ไหม”

ผมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับย้อนถามว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ  ที่นี่คือเมืองโลหะของท่านไม่ใช่หรือ  ท่านสามารถเดินไปไหนก็ได้อยู่แล้วนี่”

“ข้าเพียง…ปรารถนาจะมีเพื่อนเดินเคียงไปด้วยเท่านั้น”

ผมเหลือบไปเห็นดวงจันทร์รูปเสี้ยวกำลังโผล่พ้นยอดอาคารโลหะหลังหนึ่ง   ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพในฝัน  ผมชี้ชวนให้ชายชราดู

“พระจันทร์กำลังสวย  เราออกไปชื่นชมกันดีกว่าครับ” 

ชายชรากับผมออกจากห้องกระจก  เราเดินทอดน่องไปตามถนนโลหะ  มีเสียงกังวานก้องไปมายามที่ส้นรองเท้ากระทบพื้น  ถนน  ผสานไปกับเสียงหวีดหวิวจากสายลมที่ม้วนตัวผ่านซอกหลืบของหมู่อาคาร  นั่นยิ่งทำให้เมืองนี้ดูเดียวดายยิ่งขึ้น

เราหยุดเดินเมื่อบรรลุถึงอ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่ง  ชายชราชักชวนให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้โลหะริมน้ำ  ซึ่งกำลังเย็นเฉียบด้วยเปียกชื้นละอองน้ำค้าง 

“ผู้คนในเมืองนี้หายไปไหนกันหมดครับ  ทำไมพวกเขาถึงทอดทิ้งให้ท่านอยู่ตามลำพังเช่นนี้” 

ร่างของชายชราราวกับขี้ผึ้งต้องความร้อน  แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงงองุ้มลงแทบจะในทันที  ส่งผลให้ความสง่างามซึ่งผมเคยนึกชื่นชมอันตรธานไป  ภาพที่เห็นยามนี้เป็นเพียงคนแก่หง่อมคนหนึ่ง  อุดมด้วยลักษณะชวนให้ผู้พบเห็นบังเกิดความเวทนา

“พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งข้า  แต่พวกเขาพากันจากไป  เพราะไม่ยินดีที่จะเชื่อฟังความคิดเห็นของข้า  ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า  ทั้งที่ข้าเป็นประมุขเมืองโลหะแห่งนี้  เมืองที่ข้าทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิต  ตลอดจนทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด  เพื่อที่ทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  แต่พวกมันไม่เคยรู้จักคำว่าพอ  ต่างพากันเรียกร้องในสิ่งที่ข้าไม่ต้องการ และไม่เคยเห็นดีงามด้วย  พวกนั้นไม่ยอมรับว่าอำนาจสิทธิ์ขาด  รวมถึงการกำหนดความเป็นไปของทุกคนคืออำนาจของข้า  อำนาจที่เป็นความจริง  อำนาจที่ไม่มีใครปฏิเสธได้…”

ผมนิ่งเงียบราวก้อนหินผา  ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าควรปลอบใจชายชราอย่างไรดี

“เจ้าลองตรองดูเถิด  พวกมันได้รับความสมบูรณ์แบบที่ข้ามอบให้  แต่สิ่งเดียวที่ข้าต้องการพวกมันไม่อาจให้ข้าได้”  

กระแสเสียงตอนท้ายของชายชราเริ่มสั่นและแหบเครือ  ผมหันไปมองก็พบว่า  น้ำตาของชายชรากำลังรดรินผ่านสองข้างแก้มซูบผอมที่มีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่น

“แล้วเจ้าล่ะ  ถ้าข้าขอให้เจ้าอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไป  เจ้าจะยินดีไหม  ที่นี่มีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ  ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้ครอบครองความสมบูรณ์แบบเยี่ยงนี้อีกแล้ว  เมื่อข้าอำลาจากโลกนี้ไปในวันหนึ่ง  เมืองโลหะก็จะตกอยู่ในอำนาจของเจ้า  เจ้ายินดีหรือไม่  บอกข้ามาเถิด”

ผมคิดถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้เมื่อแรกออกเดินทางอีกครั้ง   ดินแดนแห่งนั้นจะอยู่ใกล้หรือไกลเพียงไหนก็ยังไม่อาจรู้ได้   หนทางข้างหน้าจะโหดร้ายหรือเป็นที่น่ายินดียังยากจะคาดเดา  ผมยอมรับว่าตัวเองกำลังรู้สึกลังเลใจอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าเจ้าไม่ตกลง  ข้าก็ต้องใช้สิ่งนี้สั่งเจ้า”

ชายชราพูดเสียงแข็งแล้วลุกขึ้นยืน  ในมือมีปืนพกกระบอกเดิมชี้ตรงมาที่ร่างของผม

“เจ้าต้องเลือกแล้ว  ระหว่างการดำรงอยู่ที่นี่  หรือว่าจากไปเช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่น ๆ”

หัวใจของผมยังคงเต้นสม่ำเสมอเมื่อคราวเหยียดร่างยืนขึ้น  ผมยิ้มให้ชายชราอีกครั้ง  แล้วหันหลังเดินกลับไปยังที่พัก  แม้ว่าจะมีเสียงตะโกนสั่งให้ผมหยุดเดินหลายครั้งก็ตาม  ก่อนที่เสียงสั่งนั้นจะแผ่วลงจนกลายเป็นเสียงคร่ำครวญ  กระทั่งเงียบหายไปในสายลม  ในส่วนลึกของหัวใจผมรู้สึกสงสารชายชราผู้ครอบครองเมืองโลหะแห่งนี้  ทว่าก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย

เช้าวันรุ่งขึ้น  ระหว่างเส้นทางเดินออกจากเมืองโลหะมุ่งหน้าไปยังทิศเดิม  ผมแบกเป้สัมภาระย่ำผ่านสนามหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา  เป็นความเขียวขจีของธรรมชาติที่ผมไม่เคยเห็นในเมืองโลหะมาก่อน  บนสนามหญ้ามีแผ่นป้ายหินอ่อนสีขาวปักอยู่  แลเห็นเรียงรายเป็นทิวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า  ยากนักที่จะเดาได้ถูกต้องว่ามีจำนวนเท่าใด  บนแผ่นป้ายมีรอยสลักชื่อชายหญิงที่ผมไม่รู้จักไว้อย่างงดงาม  แต่ก็ดูแสนเศร้าเหลือเกิน  เมื่อสันนิษฐานได้ถึงความเป็นมาของความงดงามที่ชวนให้หัวใจร่ำไห้นั้น

ผมเพิ่งรับรู้อย่างแท้จริงในเวลานั้นเองว่า  ทำไมชายชราถึงได้เปลี่ยวเหงา  และต้องการให้ใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนในเมืองโลหะอันว้าเหว่แห่งนี้ .

 พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสกุลไทย มกราคม 2550

ใส่ความเห็น