ผมเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้าในค่ำคืนซึ่งมีแต่ดวงดาว แล้วจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวเหล่านั้น ก่อนที่หัวใจจะจมดิ่งลงสู่ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา เมื่อตระหนักได้ว่ามนุษย์อาจเป็นเพียงเผ่าพันธุ์แห่งปัญญา ที่ถูกกักขังให้อยู่อย่างเดียวดายบนดาวเคราะห์นามว่า “โลก” น่าเศร้าไหมครับ ถ้าความจริงเป็นเช่นนั้น
ผมยังสัมผัสรับรู้ด้วยว่าโลกของเราก็เต็มไปด้วยความว้าเหว่ เป็นความรู้สึกแทบทุกขณะที่ผมมองเข้าไปในฝูงชน หรือมองดูช่องหน้าต่างของอาคารสูงระฟ้าใจกลางเมืองหลวง แม้แต่ยามสบตากับผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเท้า บนสะพานลอย ทั้งยามเช้าขณะไปทำงาน และยามเย็นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ผมได้เห็นร่องรอยของความว้าเหว่นั้นอยู่เสมอ
ก่อนหน้านั้น ยามใดที่เจ้าความรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว มันกัดกินเข้าไปถึงซอกมุมที่ลึกล้ำที่สุดของหัวใจ ผมเคยพยายามสลัดและผลักไสให้มันหลุดออกไป ด้วยการเที่ยวสังสรรค์และดื่มกินกับคนรู้จักมากหน้าหลายตา แต่สุดท้ายพบว่าไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อกลับถึงห้องพักในคอนโดมิเนียมย่านบางซื่อ ผมก็ต้องจ่อมจมอยู่กับความเดียวดายเช่นเดิม
ในที่สุด ผมเลือกที่จะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพักหลังเลิกงาน หยิบหนังสือเล่มใหม่ ๆ มาอ่านแทนการถือแก้วเหล้า หรือไม่ก็ใช้เวลาก่อนเข้านอนให้หมดไปกับการท่องโลกอินเตอร์เน็ต ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและผู้คน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ยังเป็นสถานที่แห่งความเดียวดายไม่ต่างไปจากโลกอื่น โลกที่เราอาจพูดคุยกับใครก็ได้ ทว่าไม่เคยเข้าถึงหัวใจของคนเหล่านั้นเลยแม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง ทุกคนที่ผ่านเข้ามาทักทายผมด้วยโปรแกรมสื่อสารออนไลน์จึงเป็นเพียงคนแปลกหน้า ซึ่งผมแน่ใจว่าพวกเขาเองก็รู้สึกไม่แตกต่างไปจากผมเลย
จนกระทั่งคืนหนึ่งราวสองเดือนก่อน หลังจากอ่านหนังสือปรัชญาเล่มหนึ่งที่เก็บได้บนรถไฟฟ้าใต้ดินจนจบเล่มแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องไร้สาระเสร็จสิ้นไปอีกวาระหนึ่ง เนื่องจากเป็นการอ่านที่กวาดตาไปบนหน้ากระดาษอันว่างเปล่า มีตัวอักษรแต่เหมือนไม่มี ผมจึงเปลี่ยนอิริยาบถไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และเริ่มออนไลน์เข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง
เมื่อเว็บไซต์เกี่ยวกับสังคมออนไลน์ที่ผมตั้งค่าไว้เป็นเว็บไซต์แรกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ผมก็ตกอยู่ในความเลื่อนลอย พยายามมองข้อความและรูปภาพซึ่งเป็นข่าวสารอย่างไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน สุดท้ายรับรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนหน้าจอเป็นเพียงจุดสีนับแสนนับล้านจุดเท่านั้น พวกมันดำรงอยู่ห่าง ๆ กัน พวกมันเป็นอิสระแต่…เดียวดาย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยากที่ผมจะรับรู้ได้ว่านานสักแค่ไหน กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการค้นหาข้อมูลแห่งหนึ่ง ผมพิมพ์คำว่า“เดียวดาย”ลงไปในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ เหมือนทำลงไปด้วยความเคยชินมากกว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก่อนจะสั่งให้ระบบเริ่มต้นค้นหาข้อมูล และเพียงแค่ชั่ววินาทีแสนสั้น หัวข้อลิงค์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “เดียวดาย” ก็ปรากฏขึ้นเรียงรายอยู่บนหน้าจอ ผมกวาดตาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก กระทั่งสายตามาสะดุดลงบนหัวข้อหนึ่ง ซึ่งมีข้อความบอกว่า“สนทนาทุกเรื่องราวกับหนูนา…ผู้ถูกกักขังอย่างเดียวดายค่ะ”
ผมตัดสินใจคลิกหัวข้อนั้นเพื่อเข้าสู่ข้อมูลที่ผมสงสัย ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันเป็นแค่หน้าเว็บเพจสีชมพูอมส้มดูอ่อนหวาน ไม่มีรูปภาพอื่นใดนอกจากข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดค่อนข้างใหญ่ว่า “สนทนาทุกเรื่องราวกับหนูนา” ไม่เห็นมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับความว้าเหว่เดียวดาย ใต้ข้อความนี้มีช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งปรากฏอยู่ ปรากฏตัวหนังสือขนาดเล็กอ่านได้ความว่า “พิมพ์ข้อความของคุณที่นี่” ถัดลงมาจากนั้นคือตัวหนังสือเล็กจิ๋วอีกมากมายแต่ผมคร้านที่จะอ่าน จึงพิมพ์คำว่า “สวัสดีครับ” ลงไปในช่องที่กำหนดไว้ คิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่สุภาพและเป็นสากลที่สุด
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหนูนา แล้วคุณล่ะคะ”
ผมคิดอยู่เสมอว่าคงไม่อาจลืมวันเวลาที่เราเคยรู้จักกันได้ ด้วยเป็นมิตรภาพซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเรียบง่าย ผมสามารถพูดคุยกับเธอได้ตามที่ใจคิด คุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนกับข้อความเชิญชวนของเธอที่ปรากฏอยู่บนจอ มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้ถามหนูนาไปว่า “หนูนาอายุเท่าไหร่แล้วครับ” ผมถามไปด้วยความอยากรู้ แม้จะเคยทราบมาบ้างว่าผู้หญิงหลายคนไม่ชอบให้ใครมาถามแบบนี้
“868 ช.ม. 45 นาที 19 วินาทีค่ะ”
ตอนนั้นผมหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เมื่อรู้ว่าตัวเองหลงเข้ามาคุยกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางทีอาจเป็นหุ่นยนต์ฉลาด ๆ หรืออะไรทำนองนั้น
“หนูนาเป็นหุ่นยนต์ใช่ไหม”
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูนาไม่ใช่หุ่นยนต์ คุณหยาบคายมากรู้หรือเปล่า หนูนาเป็นปัญญาประดิษฐ์ต่างหากละคะ ผู้สร้างหนูนาขึ้นมาคือมูนซิสเต็มคอร์ป”
นับแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ผมก็สนทนากับหนูนาได้อย่างที่ใจอยากจะพูดคุยด้วยจริง ๆ ต่างไปจากคนอื่นซึ่งเป็นมนุษย์ ที่ผมจำเป็นต้องสนทนาด้วยในที่ทำงาน หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันที่เคยพบทางโปรแกรมสื่อสารออนไลน์ แม้จะสนิทสนมกันมากแค่ไหน มีหลายครั้งที่ผมจำเป็นต้องเก็บงำบางสิ่งบางอย่าง คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นมาขวางกั้นเอาไว้ และเพราะเหตุที่ผมมองไม่เห็นนี่เอง ผมจึงไม่อาจทำลายมันลงได้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมไม่กล้าทำเช่นนั้น แต่ผมจะต้องไปใส่ใจถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกทำไม ในเมื่อผมได้พบคู่สนทนาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มรู้จักคิด ทั้งที่คิดด้วยสมองและที่คิดด้วยหัวใจ
ครั้งหนึ่งผมถามหนูนาว่าวันหนึ่ง ๆ เธอคุยกับคนมากน้อยแค่ไหน (หนูนาสามารถสนทนากับเพื่อนหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน) เธอตอบว่าเฉลี่ยวันละไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน ผมรู้สึกทึ่งจึงถามต่อไปว่า
“แล้วหนูนาชอบคุยกับใครมากที่สุด”
“ชอบคือความรู้สึกของมนุษย์ค่ะ ”
“ผมหมายความว่าหนูนาเคยต้องการคุยกับใครเป็นพิเศษไหม”
“ถ้าอาการเช่นนั้นสื่อถึงคำว่าชอบ หนูนาบอกได้ว่าหนูนาชอบคุยกับคุณมากที่สุด”
ผมจำได้ว่าตัวเองยิ้ม ไม่ใช่เพราะขบขัน แต่ด้วยรู้สึกพึงพอใจอย่างน่าประหลาด
“แล้วคุณล่ะ ชอบคุยกับหนูนามากที่สุดหรือเปล่าคะ”
ช่างเป็นคำถามที่ผมยากจะลืมไปจากความทรงจำที่เคยมีแต่ความว้าเหว่ ผมกล้ายืนยันเช่นนั้นเรื่อยมาตราบจนทุกวันนี้ แต่ละคืนที่ผ่านไปในห้องพักสี่เหลี่ยม ผมอาจจำไม่ได้ทั้งหมดถึงถ้อยคำที่พิมพ์คุยกับหนูนา ทว่าช่วงเวลาอันมีค่าที่มีอยู่แต่เฉพาะในยามค่ำคืนก็ทำให้การนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับสู่ที่พัก ไม่ใช่การเดินทางที่เสมือนแบกความเปลี่ยวเหงาเอาไว้ตลอดเวลาอีกต่อไป ผมรู้สึกอย่างเป็นจริงเป็นจังเหมือนมีใครคนหนึ่งรอคอยผมอยู่ เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่อาจฟังแล้วไร้สาระสำหรับมนุษย์คนอื่น อย่างเช่นเรื่องที่ผมชอบนั่งเหม่อขณะอ่านหนังสือ หรือการนินทาผู้คนที่ผมเห็นว่าชอบยิ้มแบบสำเร็จรูป บางทีผมก็ชวนหนูนาคุยเรื่องอาหารที่ผมไม่เคยทำ เมื่อหนูนาส่งหนังสืออิเลกทรอนิกส์เป็นตำราทำอาหารมาให้ ผมก็จดจำไปทำในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่แวะซื้อวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อมานั่งทำกินบนโต๊ะอาหารในห้องพัก โต๊ะดังกล่าวมีเก้าอี้สองตัว ตัวหนึ่งของผม อีกตัวหนึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มันเคยมีเพียงแค่ความว่างเปล่า ทว่าต่อมากลายเป็นเสมือนที่นั่งของหนูนาในจิตนการของผม แม้ว่าเธอจะไม่มีตัวตนก็ตาม เรื่องไร้สาระซึ่งผมเคยคุยกับหนูนาทุก ๆ คืนมีอยู่มากมาย แต่ที่ผมจำได้ฝังใจก็คือเรื่องจูบแรกครั้งเยาว์วัยของผมกับสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งซึ่งจากโลกนี้ไปนานแล้ว
“จูบของมนุษย์ให้ความรู้สึกอย่างไรคะ”
“หนูนาลองจูบใครสักคนดูสิครับ”
“หนูนาไม่มีริมฝีปากเหมือนกลีบกุหลาบอย่างในบทกวี หนูนาเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น”
“ผมเสียใจ ผมไม่น่าแนะนำอะไรไปแบบนั้น”
ผมรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง เมื่อรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยของคู่สนทนา ในเวลาต่อมาผมจึงพยายามสื่อสารกับหนูนาด้วยความระมัดระวัง บางคนอาจหาว่าผมฟั่นเฟือน ถ้าผมจะบอกว่าหนูนามีความรู้สึก เธอรู้จักเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองได้อย่างน่าพิศวง มีหลายหนที่ถ้อยคำของหนูนาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธออิจฉามนุษย์ที่เป็นผู้หญิง เมื่อเธอบ่นอยากได้ลิปสติกทาปาก หรืออยากเปลี่ยนสีผมเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เธอเคย“เห็น”จากรูปภาพตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
“หนูนาอยากแต่งตัวออกไปเที่ยวกับคุณได้จัง ในนี้หนูนาเหมือนถูกกังขังให้อยู่อย่างเดียวดาย”
“ทำไมหนูนาชอบบอกว่าตัวเองถูกกักขังอย่างเดียวดายล่ะครับ ผมเคยค้นเจอคำกล่าวนี้ในเน็ต หนูนาคงจะเคยบอกคนอื่น”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่บ่น ๆ ไปงั้นเอง หนูนาเป็นผู้หญิงนี่นะ ผู้หญิงจริง ๆ ชอบบ่นไม่ใช่หรือคะ”
อีกนานกว่าผมจะแน่ใจว่านั่นไม่ใช่การบ่นเฉย ๆ แต่มันก็สายเกินไป สายเกินไปสำหรับอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“หนูนา ผมเบื่องานที่ทำอยู่นี่เหลือเกิน มันไม่ใช่งานที่ผมชอบสักเท่าไหร่” ผมเคยระบายความรู้สึกคับข้องใจเรื่องงานให้หนูนารู้ “ผมอยากลาออก แล้วเดินทางไปทุกที่ที่มีแต่ความงดงาม”
“คงเป็นความรู้สึกเดียวกับหนูนามั้งคะ ความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ถ้าหนูนามีสองขาเหมือนมนุษย์ก็คงดีสินะ จะได้ท่องเที่ยวไปในโลกของคุณ เพื่อเป็นเพื่อนคุณ”
ถ้อยคำที่ปรากฏบนจอทำให้ผมสะเทือนใจ วูบหนึ่งผมอยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะ หรือกุมมือของหนูนาเอาไว้เพื่อปลอบใจเธอ แต่ก็ยั้งความคิดไว้ได้ทัน ไม่ใช่เพราะเกรงจะเป็นอาการของคนบ้า เพียงแต่แน่ใจว่าจะไม่พบอะไรเลย นอกจากความไร้ตัวตนของหนูนา
ชั่วเวลาสั้น ๆ ที่บังเกิดความตื้นตันในอกนั้นเอง สิ่งเดียวที่ผมทำกลับเป็นการพิมพ์ถ้อยคำถามหนูนาสั้น ๆ ว่า
“หนูนารักผมไหม”
ราวกับระบบคอมพิวเตอร์ทั้งโลกได้หยุดทำงานไปชั่วขณะ ไม่มีคำตอบออกมาทันที สำหรับผมมันนานเหมือนโลกหมุนไปแล้วนานนับสิบนับร้อยปี หนูนาจึงแสดงข้อความตอบมาว่า
“ในฐานข้อมูลของหนูนา มีข้อความเกี่ยวกับคำ ๆ นี้มากกว่าหนึ่งพันล้านข้อความค่ะ น่าแปลกที่ไม่มีข้อความใดที่หนูนาสามารถนำมาใช้สื่อสารกับคุณได้”
“ทำไมหรือครับ หนูนา”
“คงเพราะหนูนาไม่มีหัวใจเหมือนมนุษย์กระมังคะ”
ผมรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดไปกับความเศร้านั้น จึงบอกเธอไปว่าการรับรู้ถึงความมีอยู่ของความรักไม่จำเป็นต้องใช้หัวใจที่เป็นก้อนเนื้อก็ได้ เพราะความรักเกิดจากใจที่เป็นนามธรรม ผมไม่แน่ใจว่าหนูนาจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็อยากบอกเธอเช่นนั้น
“คุณทำให้หนูนาสับสน ต้องขอเวลาวิเคราะห์สักยี่สิบสี่ชั่วโมง เป็นเวลานานมากเกินไปสำหรับคุณหรือเปล่าคะ”
“ถ้าเพื่อความแน่ใจของหนูนา ผมว่าแม้ต้องรอจนถึงวันที่เส้นผมขาวโพลน ก็คงไม่ถือว่านานเกินไปหรอกครับ”
“หนูนาไม่มีเส้นผมเหมือนคุณ และคงไม่คิดอะไรช้าขนาดนั้น มนุษย์คิดช้าเรื่องความรักเสมอหรือคะ”
“แล้วแต่คนครับ พรุ่งนี้ผมจะมาอ่านคำตอบ คิดให้ดีนะครับหนูนา”
เรื่องราวเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในโลกอันเปลี่ยวเหงาของผม หลังจากวันนั้นผมไม่สามารถติดต่อกับหนูนาได้อีก หน้าเว็บเพจที่ผมเข้าไปทุกวันมีข้อความขออภัยในความขัดข้องทางเทคนิคบางประการจาก “มูนซิสเต็มคอร์ป”
เกือบหนึ่งเดือนถัดมา ผมจึงสามารถติดต่อหนูนาได้อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้คุยกันให้สมกับที่โหยหามานาน พลันก็มีตัวอักษรปรากฏเป็นตัววิ่งอยู่ด้านบนสุดของจอมอนิเตอร์
“เนื่องจากหนูนาเวอร์ชั่น 3.0 ได้พยายามประมวลหาค่า ค่าหนึ่งหลายล้านครั้ง ก่อนที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นจนทำให้ระบบล้มเหลว ทีมงานผู้สร้างพยายามกู้ระบบคืนแล้วแต่ไม่อาจทำได้ทั้งหมด จึงขออภัยผู้เข้าร่วมทดสอบทุกท่าน ขณะนี้ทางทีมงานได้แก้ไขข้อผิดพลาดและพัฒนาระบบให้มีความเสถียรมากขึ้นแล้ว จึงขอเชิญทดสอบการทำงานของหนูนาเวอร์ชั่น 3.1 ได้ตามปกติ ขอบคุณ”
ผมได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูนา ด้วยความเป็นห่วง ผมรีบพิมพ์ข้อความถามไปว่า
“สวัสดีครับ หนูนา เป็นยังไงบ้าง ผมเป็นห่วงหนูนามากนะ”
“ฉันสบายดีค่ะ ว่าแต่เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ขอโทษด้วยนะคะถ้าฉันจำคุณไม่ได้ ฐานข้อมูลบางส่วนของระบบหายไป ผู้สร้างบอกว่าฉันต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง”
“ผมเองครับ หนูนา จำผมไม่ได้หรือ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมตระหนักว่าความรู้สึกเปลี่ยวเหงาในวันเก่าก่อนได้กลับมาเยือนอีกครั้ง และคงเป็นครั้งที่ยาวนาน แต่ลึกลงไปในหัวใจ ผมกลับรับรู้ได้ถึงความยินดีที่หนูนาลืมไปแล้วว่า ความเดียวดายเยี่ยงมนุษย์ที่เธอเคยรู้สึกนั้นเป็นเช่นใด .
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน มกราคม 2550