เรื่องสั้นไทย “นาสตาเซีย” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นเรื่อง-นาสตาเซีย-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์-นักเขียน

มุมเรื่องสั้นไทย

20.35  น.
5  กรกฎาคม  พ.ศ.  2544
ตำบลบางกระเบา

ก่อนหน้านั้น   ผมเพิ่งจะเดินอย่างผิดหวังออกมาจากบ้านเช่าซึ่งเคยอาศัยอยู่   เจ้าของบ้านเช่าบอกว่าหญิงสาวที่ผมมาหาได้ย้ายออกไปนานแล้ว   ดูเหมือนหญิงเจ้าของบ้านจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำในตอนแรก   แล้วทันทีที่จำได้   หล่อนก็ตีสีหน้าเย็นชาเข้าใส่   ผมพยายามถามว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหน   แต่ไม่มีคำตอบหลุดรอดออกจากปากของหล่อน   ผมกลับมาที่ตำบลบางกระเบาอีกครั้ง   และกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าของที่นี่

บัดนี้   ผมซมซานมายืนหลบอยู่ภายใต้เงามืดของต้นเฟื่องฟ้าหน้าประตูรั้วบ้านพี่เซียน   ผมทำท่ารี ๆ รอ ๆ อยู่ตรงนั้นโดยไม่กล้าเปิดประตูเดินเข้าไป   เหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำเมื่อหลายปีก่อน   นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขากับผมดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยครั้ง   แม้พี่เซียนจะไม่ใช่นักดื่มแบบผมก็ตาม   ทว่าด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน   ก็ทำให้เราสามารถนั่งสนทนาเรื่องหนังสือแต่ละเล่มได้นานสองนานเสมอ

หัวใจของผมเต้นรุนแรงเหมือนจะดีใจ   ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกประหวั่นอยู่ไม่น้อย   อีกทั้งยังโศกเศร้าอยู่ลึก ๆ   นึกอยากจะทำใจกล้าแต่กลับละอาย   เมื่อเมียงมองเข้าไปก็แลเห็นแสงไฟภายในบ้านและเงาดำหลังผ้าม่านวูบไหวเคลื่อนที่   ทำให้เดาได้ว่าคนในบ้านคงกำลังทำกิจกรรมบางอย่างหลังอาหารมื้อค่ำ ผมได้ยินเสียงซึ่งฟังเหมือนรายการโทรทัศน์แว่วมาเป็นระยะ   บางครั้งก็มีเสียงเด็กเล็กร้องตะโกนหรือหัวเราะดังขึ้น   นี่ทำให้ผมรู้สึกฉงนสนเท่ห์   บรรยากาศภายในบ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไปจากวันเก่า ๆ มาก   และด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมรู้สึกว่า   ตัวเองได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วอย่างแท้จริง

ผมควรจะกดกระดิ่งไฟฟ้า   แล้วขอเข้าไปเพื่อถามคำถามสำคัญหรือไม่นะ   ผมปรารถนาจะถามเหลือเกินว่าเขาได้ข่าวของพี่เอ๋ยบ้างไหม   หลังจากวันนั้นแล้วชีวิตของเธอเป็นอย่างไรบ้าง   จะวันไหนเล่า   ก็ในวันที่ผมจากไปโดยทิ้งเธอให้นอนป่วยไข้อยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าท้ายซอยนั่นเอง   ผมหวังว่าพี่เซียนจะมีคำตอบ   แม้กระนั้นผมก็ไม่กล้าเดินเข้าไปอยู่ดี   ผมยังคงเป็นเพียงชายขี้ขลาดตาขาวเหมือนเช่นที่ผ่านมา   ใช่   ผมเป็นเช่นนั้นเสมอ

ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบภายในซอยแห่งนี้กับแสงไฟสลัวสีเหลืองซีด ๆ จากหัวเสาประตูรั้ว   ผมอดล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบข่มอารมณ์ไม่ได้   มือของผมสั่น   ลมก็พัดแรงจนจุดไฟแช็กสูบบุหรี่ได้ยากเย็น   อย่างไรก็ตาม   ในที่สุดปลายบุหรี่ก็ติดไฟแดงวาบ   ผมสูบควันเข้าปอดก่อนจะถอนหายใจยาว   รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย   แต่ไม่ทันไรฝนก็ตกปรอย ๆ ลงมา   โชคดีที่กระเป๋าซึ่งสะพายอยู่กันน้ำได้   ผมจึงไม่นึกห่วงว่าสิ่งของภายในกระเป๋าจะเปียกน้ำฝนหรือไม่

ไม่นานนักฝนก็ตกแรงขึ้น   ส่งผลให้ร่างของผมเปียกปอนไปทั้งตัว   บุหรี่ดับสนิท   ก่อนจะหักลงตรงกลางมวนจนต้องโยนทิ้ง   ผมขยับเท้าจะเดินกลับออกไปทางปากซอย   แต่เสียงของหญิงคนหนึ่งภายในบ้านที่ดังเล็ดรอดออกมากลับกระชากขาทั้งสองข้างของผมเอาไว้   แล้วยึดมันให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นผมจำเสียงของเธอได้ดี   ทำไมถึงจะจำไม่ได้ล่ะ   เสียงของเธอคือความทรงจำของผม   ผมนึกขอบคุณ   อีกทั้งดีใจที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่   เธอจะทำสีหน้าอย่างไรนะ   หากแม้ได้เห็นผมอีกครั้งหนึ่ง   หลังจากที่ผมเคยวิ่งหนีการติดตามของเธอในวันที่โลกของเรามีแต่พายุฝน   ช่างเป็นพายุฤดูร้อนที่รุนแรงเหลือเกิน
ผม

จำได้ดีว่าในเย็นวันนั้น   ผมพยายามวิ่งไปให้ถึงสะพานรวมเมฆ   วิ่งอย่างรวดเร็วและร้อนรนที่สุด   เพื่อหนีจากเธอชั่วชีวิต…

…บางส่วนของต้นฉบับที่เคยค้างเติ่ง…

ภายในห้องเช่าย่านบางกระเบาอันเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอนครชัยศรี ท่ามกลางความคับแคบ ความมืดมน และความวังเวงใจ ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นห้องซึ่งปูด้วยกระเบื้องสีเขียวเหมือนสีของใบลั่นทม ช่างเป็นสีเขียวที่งดงาม ผมบอกกับตัวเอง 

มันก่อให้เกิดความรู้สึกเย็นยะเยียบแก่หัวใจของผมมานานแล้ว ครั้นได้มองดูอยู่ในเงามืด สีนั้นกลับดูเขียวคล้ำคล้ายกับริมฝีปากของนาสตาเซีย หญิงสาวเลือดผสมผู้หลับใหลอยู่บนเตียงนอนที่ผมคุ้นเคย ความจริงผมควรเป็นฝ่ายนอนซมเหมือนคนตายบนเตียงนี้แทนเธอมากกว่า โรคภัยหรือคำสาปใด ๆ ควรลงมาสิงสู่อยู่ในร่างของผม ไม่ใช่เธอ ดูนั่นสิ เธอนอนนิ่งราวกับไร้ชีวิต นาน ๆ ครั้งจึงจะได้ยินเสียงเธอขยับร่างซึ่งกำลังสั่นเทิ้ม แล้วละเมอเพ้อพึมพำออกมาด้วยถ้อยคำอันฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับว่าเธอต้องการกระซิบเรียกหาใครคนหนึ่ง ใครสักคนซึ่งจะทำให้เธอมีความสุข แต่แล้วใครคนนั้นกลับเป็นผมนั่นเอง บ้าไปแล้ว ทำไมเธอถึงได้เลือกผม จริงอยู่ ผมอาจช่วยเธอได้ หากตระหนักถึงความรู้สึกที่เธอสุมเอาไว้ในอก ความรู้สึกซึ่งคงกำลังโหมกระพือลุกไหม้ปนเปไปกับพิษไข้ ผมมองเห็นเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผากและลำคอของเธอ มันจะทำให้เธอรู้สึกเย็นลงบ้างไหมนะ   ผมถามตัวเองเหมือนคนโง่

"นาสตาเซีย...” ผมอยากเอ่ยชื่อของเธอออกมาให้ตัวเองได้ยิน แค่ได้ยินชื่อของเธอเท่านั้น รู้ดีว่าเธอกำลังทนทุกข์ น้ำตาของเธอแห้งเหือดนานแล้วใช่ไหม ด้วยเคยหลั่งออกมานับครั้งไม่ถ้วน หรือว่าแท้ที่จริงแล้วมันกำลังรินไหลอยู่ในห้วงฝันร้าย ความฝันที่ผมไม่อาจเดินทางเข้าไปถึงเพื่อช่วยเหลือเธอออกมาได้ ผมจนใจเหลือเกิน จนใจอย่างแท้จริง ภายในอกเต็มล้นด้วยความรวดร้าวนานา ทุก ๆ วันที่ได้พบกันในโลกภายนอกนี้ ในระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ผมไม่เคยอุทิศตนเพื่อความสุขของเธอเลยแม้สักครั้งเดียว ผมอยากให้มันเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ผมหมายถึงโอกาส ขอแค่ครั้งเดียวเพื่อตอบแทนหญิงสาวผู้นี้ 

“ไม่เป็นไรหรอกนะ นาสตาเซีย...” ผมพึมพำผะแผ่วเป็นถ้อยคำออกมา ทว่าเสียงพึมพำนั้นก็อึกอักติดขัดอยู่ในลำคอเหมือนเต็มไปด้วยผงทรายร้อน ๆ นี่คงเป็นรสชาติเริ่มต้นของชีวิตในนรก แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะตายลงง่าย ๆ มันไม่สะดวกถึงขนาดนั้นหรอกสำหรับคนชั่วช้า เวลานี้ผมแค่ปรารถนาจะบอกเธอว่า ผมกำลังจะจากที่นี่ไป จากไปไกลตามวิถีทางของชายคนหนึ่ง เมื่อเธอตื่นขึ้นและไม่เห็นใบหน้าของผม ชั่ววูบแรกคงมีแต่ความตกใจ หลังจากนั้นเธอก็จะประหลาดใจ ผมคาดเดา แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ สุดท้ายเมื่อเธอยอมรับมันได้ โชคชะตาย่อมจะคืนความสุขให้แก่ชีวิตของเธอเอง ยิ้มสิ ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน ถูกต้องแล้ว จงมีชีวิตอยู่โดยปราศจากคนเช่นผมเถิด คนชั่วผู้ไม่เคยรักเธอเลย

“นาสตาเซีย...”

เสียงกุก ๆ กัก ๆ ที่ดังอยู่นอกห้องทำให้ผมสะดุ้ง ใจสั่นไหว พยายามเงี่ยหูฟัง ประสาทหูจดจ่อรอคอยเสียงนั้นอีกครั้ง เสียงอันอาจเป็นอาณัติสัญญาณของใครคนหนึ่ง ผู้จะพาผมไปสู่ความปลอดโปร่งราวกับได้ติดปีกเป็นอิสระจากความเลวร้ายทั้งปวง แล้วโบยบินท่องไปภายใต้ท้องฟ้าแห่งความหวัง แต่แล้วผมก็รับรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่เสียงฝีเท้าคนเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างเร่งรีบเท่านั้น ดูเหมือนข้างนอกฝนกำลังโปรยปรายลงมา จมูกของผมได้กลิ่นหอมบางเบาของไอดินและความชื้นบาง ๆ 

พลันกระแสลมก็พัดกรรโชกแรง ก่อให้เกิดเสียงดังวู้ ๆ หวิว ๆ ขึ้น ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้ระเบียงหลังห้องโบกสะบัดกิ่งใบเสียดส่ายกัน เสียงนั่นดังคล้ายเหล่าภูติพรายแห่งความทุกข์กำลังร่ำร้องหวนไห้ ส่วนเงาจากกิ่งก้านของต้นไม้บริเวณสวนหย่อมด้านหน้าห้องนั้นเล่า พวกมันพากันไหวส่ายไปมาอยู่บนบานกระจกหน้าต่างขุ่นมัว อันเป็นตำแหน่งซึ่งสว่างมากที่สุดของห้องพัก เวลานี้แสงจากท้องฟ้ากำลังมืดลงทุกที ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยเงาดำดูหนักอึ้ง ผมรับรู้พลางทอดถอนใจ ใกล้จะพลบค่ำแล้ว ทว่าคนดูแลอพาร์ทเมนท์ไม่ยอมเปิดไฟตามทางเสียที ความมืดสลัวทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของนาสตาเซียได้เลือนรางกว่าเมื่อนาทีก่อน มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ หรือบางที ผมคิด เธออาจไร้ชีวิตตั้งแต่เมื่อได้พบคนอย่างผม รักผม และทิ้งอนาคตอันสดใสไปก็เพราะผม ที่ผ่านมามันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม ผมอดถามตัวเองไม่ได้ ทั้งที่รู้ความจริงอยู่เต็มอก

“ยกโทษให้ผมด้วย นี่ไม่ใช่คำขอร้อง แต่ผมจะชดใช้ด้วยการไปจากที่นี่ ไปจากบางกระเบา ไปจากนครชัยศรี ไปจากคุณ เราจะไม่พบกันอีก ลาก่อน นาสตาเซีย...”

20.37 น.
5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
ตำบลบางกระเบา

ผมคือนักเขียน และนักเขียนบางคนก็มักจะมีเรื่องเล่าที่อยากให้ใครสักคนเข้าใจในความนัยบางประการ ซึ่ง...

คิดไปก็เปล่าประโยชน์ เวลานี้สิ่งที่ผมน่าจะทำมากกว่าการคิดฟุ้งซ่านก็คือ ผมควรตัดหูตัวเองขณะที่ฝนกำลังตกพรำ ๆ อยู่นี่แหละ ก่อนจะเสียบมันไว้กับปลายเหล็กบนรั้ว แล้วค่อยส่งลูกตะกั่วเข้าขมับไปตุงอยู่ในหัว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนและตายจากโลกนี้ไปเสียที เพื่อลืมความเลวทรามทั้งหมดที่ผมได้ก่อขึ้นมา ทว่านี่กลับเป็นแผนการที่ผมยังไม่กล้าลงมือทำให้สำเร็จ ตามประสาคนชอบฟูมฟายแต่ขี้ขลาด ทำได้ก็เพียงพร่ำบ่นก่นด่าตัวเอง ราวกับกำลังสารภาพบาปต่อหน้านักบวชทุศีลในกระจกเงา ซึ่งไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น เพราะยังไม่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง 

เมื่อสองปีก่อนผมเขียนนวนิยายเรื่องแรกจบลงหลังจากค้างคาอยู่นาน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่าจะไม่สามารถเขียนต่อให้จบแล้วด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ภาพอดีตอันห่างไกลก็แจ่มชัดขึ้นทันทีที่หันกลับไปมองดูอย่างตั้งใจ สุดท้ายผมสามารถเขียนเรื่องดังกล่าวจบลงได้ในเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น 

ยามนี้เมื่อได้กลับมายืนอยู่ท่ามกลางฉากในนวนิยายของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ภายในหัวใจของผมก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเหลือเกิน ทั้งสุขและเศร้า ผมอยากจะมีความสุขกับนาทีนี้ แต่เรื่องราวหนหลังกลับเจ็บปวดเกินกว่าที่จะฝืนใจให้เป็นสุขเนิ่นนานได้ มันสายเกินไปที่คนอย่างผมจะได้รับรู้ถึงรสชาติของความสุขอีกครั้งหนึ่งกระมัง จริงสินะ ผมควรแบกรับน้ำหนักอันแสนสาหัสของความทุกข์มากกว่า นี่นับเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง และจะไม่โทษใครเลย หากชีวิตของผมต้องเป็นเช่นนั้น

เชียงใหม่
พ.ศ. 2537

ทันทีที่เรียนจบมาวิทยาลัย ผมก็เริ่มต้นทำงานให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร ครั้นเวลาผ่านไปได้ราวปีเศษ ด้วยความเบื่อหน่ายบรรยากาศในสำนักงาน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ  เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ อาหารกล่อง รวมไปถึงต้นฉบับนวนิยายของนักเขียนหลายคน ที่ผมอยากใช้ต่างกระดาษชำระเช็ดอาเจียนของผม (หากมันจะพุ่งออกมา) โลกประจำวันและบรรดาสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมรู้สึกราวกับติดอยู่บนเกาะร้างอัปลักษณ์ตามลำพัง  

สุดท้ายเมื่อทนไม่ได้จึงตัดสินใจลาออกโดยไม่ลังเล แม้จะได้รับคำทัดทานจากใครหลายคน 
ในเวลาต่อมา ผมบอกคืนห้องเช่ารายเดือน แล้วเนรเทศตัวเองออกจากเมืองหลวง โดยหิ้วกระเป๋าเดินทางมุ่งหน้าไปขออาศัยอยู่กับคนรักที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจว่าจะยึดอาชีพเป็นนักเขียนอิสระ ผมหวังใช้เวลาแต่ละวันขีดเขียนบทความส่งไปลงตามนิตยสารต่าง ๆ เหมือนที่เคยทำในสมัยยังเรียนหนังสืออยู่

ในห้วงเวลานั้น ผมฝันไว้ไกลแสนไกล ฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีนวนิยายชั้นดีตีพิมพ์ในนิตยสารให้จงได้ หรือไม่ก็อาจจะพิมพ์ออกมาเป็นเล่มเลย ปกอ่อนหรือปกแข็งดีล่ะ แต่ชีวิตนักเขียนอิสระก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมเคยหวัง แม้ว่าผมแทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย นอกจากค่าเหล้า เบียร์ บุหรี่   และอาหารบางมื้อ (ในส่วนของค่าอพาร์ทเมนท์ รวมถึงค่าน้ำและค่าไฟ อดีตคนรักของผมเป็นผู้รับผิดชอบ) แต่รายได้จากการเขียนบทความก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี เพราะไม่ใช่ว่ามันจะขายได้ทุกเรื่อง ต่อให้เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาดี ๆ และถ้อยคำคม ๆ ขนาดว่าบรรณาธิการอาจจะใช้มันต่างมีดโกนหนวดได้ก็ตาม บางเรื่องต้องเสียเวลาและแรงสมองไปโดยไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา นอกจากความผิดหวังและหยาดน้ำตา (แน่นอน หลายครั้งที่ผมรักการหลั่งน้ำตา อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ตาย ตอนที่ยังสามารถร้องไห้ออกมาได้นี่เอง) 

ที่เลวร้ายจริง ๆ ก็คือ ขณะนั้นผมยังไม่อาจเริ่มต้นนวนิยายเรื่องแรกได้ตามใจต้องการ เวลาของผมหมดไปกับการเขียนบทความหาเงิน สมองมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการครุ่นคิดถึงหัวข้อหรือประเด็นใหม่ ๆ จนไม่มีเวลาจะจินตนาการถึงงานเขียนที่งดงามแก่หัวใจของผม ผมย้ายจากเกาะร้างมาอยู่ในกับดักบนแผ่นดินอื่น ชีวิตคือการตกลงในหลุมกับดักขนาดใหญ่ มันช่างลึกและมืดมน ผมพยายามตะเกียกตะกายหลบหนีด้วยการดื่มเหล้าจนเมามาย เพื่อหวังจะลืมความทุกข์ใจในแต่ละคืน หาไม่แล้วก็ยากที่จะนอนหลับ แล้วถ้าไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ผมก็มักจะเขียนหนังสือไม่ไหว

นานวันเข้า ผู้หญิงของผมคงจะหมดศรัทธาในตัวผมกระมัง เธอมองไม่เห็นอนาคต ไม่เห็นฝั่งหรือเส้นชัยในชีวิตของผม เรื่องแต่งงานตามที่เธอหวังไว้เมื่อครั้งเรียนจบใหม่ ๆ ไม่ต้องพูดถึง ในที่สุดหลังจากดันทุรังอยู่กันได้หนึ่งปีเศษ เธอก็เอ่ยปากไล่ให้ผมกลับกรุงเทพฯ กลับไปทำงานประจำ   เผื่อว่าชีวิตของผมจะดีขึ้น หากได้ลองพึ่งพาตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว

ผมจำได้ว่าเธอขี่รถมอเตอร์ไซค์มาส่งผมพร้อมกระเป๋าเดินทางที่สถานีขนส่ง และเมื่อผมขึ้นไปนั่งประจำที่ เราก็ได้แต่สบตากันผ่านกระจกหน้าต่างรถโดยสารอยู่นาน สีหน้าและแววตาของเธอแลดูเศร้า แต่ผมก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ทั้งหมดนี้เป็นความต้องการของเธอมิใช่หรือ 

ครั้นรถโดยสารเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ผมได้แต่ยิ้ม พร้อมกันนั้นก็โบกมือให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย

กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2538

ผมเดินทางกลับมากรุงเทพฯ และได้ทำความรู้จักมักคุ้นกับเพื่อนใหม่คอเดียวกันหลายคน พวกเขาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันไม่ต่างไปจากผม ในวันว่าง เพื่อนกลุ่มนี้มักจะมาชวนผมออกจากห้องเช่า   เพื่อไปพบปะพูดคุยกับนักเขียนรุ่นพี่ตามงานเปิดตัวหนังสือ หรือไม่ก็ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานวรรณกรรม ซึ่งมักจัดขึ้นอยู่เนือง ๆ โดยองค์กรต่าง ๆ  

จะว่าไปแล้วผมเป็นคนค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยชอบพบปะคนแปลกหน้าสักเท่าไรนัก แต่การได้ออกไปพูดคุยกับคนอื่นก็ช่วยลดความรู้สึกซ้ำซากจำเจในห้องเช่าเล็ก ๆ กลางชุมชนแออัดได้บ้าง ที่สำคัญมันทำให้ผมรับรู้เรื่องราวความเป็นไปในวงการนักเขียนร่วมสมัยมากขึ้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้จักและจดจำชื่อของผมได้เช่นกัน แม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะจำชื่อของผมได้ดีกว่าผลงานของผมก็ตามที แต่ในเวลานั้นผมไม่นึกอายเลย ผมรู้สึกดีไม่น้อยที่มีตัวตนมากกว่าเดิม เมื่อนักเขียนรุ่นพี่มองเห็นและเริ่มจำผมได้ พวกเขาทักทายผมอย่างเป็นกันเอง ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะรู้จักผมผ่านการแนะนำตัวของเพื่อน ๆ ที่มีชั่วโมงบินสูงกว่าผม หรือไม่ก็เป็นเพราะเพื่อนบางคนชวนผมไปนั่งดื่มเหล้าเฮฮากันในวันได้รับค่าเรื่อง จากคนที่เคยรู้สึกแปลกหน้าในวงเหล้า เผลอไม่นานก็สนิทสนมราวกับพี่น้องคลานตามกันมา 

อย่างไรก็ตาม ฝีมือในการเขียนหนังสือและความสำเร็จของผมก็ยังคงอยู่ห่างไกลเช่นเดิม แต่ผมรู้ดีว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องไปให้ถึงเป้าหมาย และนั่นก็คือจุดเด่นของผม

“เฮ้ย   เจี๊ยบ   มึงรู้จักพี่เอ๋ย   คันธิยา…นักเขียนสาวสวยหรือยัง”

“สวยเสยอะไรกันยะ   จะชมทั้งทีให้มันจริงใจหน่อยเถอะ   เดี๋ยวก็ไม่เลี้ยงเหล้าเลย”

นักเขียนสาวคนดังเอ่ยเสียงแสร้งดุแต่ยิ้มหน้าบาน ระหว่างนั้นก็ยกมือรับไหว้ผมไปด้วย

“นี่เจี๊ยบ   เพื่อนผมเอง   เป็นนักเขียนเหมือนกัน   ความจริงมันอยากเป็นกวีด้วย   แต่ผมว่ามันเหมาะที่จะเป็นนักเขียนอย่างเดียวมากกว่า”

เรื่องราวระหว่างเธอกับผมเริ่มต้นในงานมอบรางวัลแก่นักเขียนที่ชนะการประกวดหนังสือยอดเยี่ยมประจำปีรายการหนึ่ง   เพื่อนกวีซึ่งพอมีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นใหม่เป็นเจ้ากี้เจ้าการแนะนำให้เรารู้จักกัน

“เป็นนักเขียนหรือคะ   อ้อ   ขอโทษด้วยที่ถามค่ะ   ทุกวันนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่นักเขียน   จนแทบจะทำความรู้จักไม่ทันเลยล่ะค่ะ”   เธอพูดจายิ้มแย้มด้วยท่าทางเปิดเผย

“จดไว้เลยครับ   พี่เอ๋ย   นักเขียนหนุ่มสุดหล่อไฟแรงผู้นี้ นามปากกาของเขาคือ  ‘อัตตา  ลำนำปฐม’   คลื่นลูกใหม่ที่เรามักจะได้เห็นผลงานเรื่องสั้นและบทกวีของเขาอยู่เนือง ๆ   ตามหน้านิตยสารชั้นนำหลายฉบับ   เน้นว่าชั้นนำนะครับ   เพราะต่อให้มันหิวโซยังไง   มันก็ยังคงเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับตีพิมพ์งานของมันเสมอ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”   ผมรีบโบกมือห้ามเพื่อนขณะสบตากับนักเขียนรุ่นพี่   “ผมกำลังหัดเขียนอยู่ครับ   ยังต้องเรียนรู้และรับฟังคำแนะนำอีกมาก   ถนนสายนี้สำหรับผมมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”   ผมพยายามถ่อมตัว   หดร่างให้เล็กที่สุด ภายในใจจดจำเรื่องเล่าของแม่อึ่งอ่างได้เป็นอย่างดี   ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง   ผมจะรู้ตัวว่าผมเก่งกว่าที่พูดออกไปก็ตาม   อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่   ในวงการนี้ไม่ชื่นชอบคนขี้โม้โอ้อวดสักเท่าใดนัก   ผมยังไม่อยากให้ใครนินทาว่าเป็นคนจำพวกระฆังที่ชอบตีตัวเอง

“ดวงตาช่างคิดช่างฝันของคุณดูเหมือนคนมีของนะคะ ว่าง ๆ ส่งเรื่องของคุณมาให้พี่อ่านบ้างสิ”

“จะให้ผมส่งไปที่ไหนหรือครับ”

“ที่นิตยสาร…”   เธอเอ่ยชื่อนิตยสารรายปักษ์เก่าแก่ฉบับหนึ่ง   “พี่ทำงานประจำเป็นฝ่ายศิลป์อยู่ที่นั่น   กะว่ารวยก่อนค่อยออกมาเขียนหนังสืออย่างเดียว   นั่นแหละค่ะ   ความฝันของพี่เลย   ตอนนี้ถ้าไม่ทำงานควบก็อยู่สบาย ๆ ได้ยาก   แต่งานเขียนหนังสือถือว่าเป็นงานหลักนะคะ   ส่วนงานประจำเป็นงานรอง” พูดจบเธอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ

“ได้ครับ”   ผมรับปากอย่างไม่จริงจังอะไรนัก

จากนั้นเธอขอตัวไปทักทายแขกที่มาในงาน   ส่วนผมติดตามเพื่อนกวีไปทำความรู้จักกับนักเขียนคนอื่น ๆ
ต้องบอกตามตรงว่าตอนนั้นผมแทบจะลืมเธอไปในทันที ด้วยคิดว่าบทสนทนาระหว่างเราเป็นเพียงเรื่องราวไม่สลักสำคัญอะไร   แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักตามแบบฉบับสาวลูกครึ่งก็ตาม   นั่นอาจเป็นเพราะชื่อเสียงและแนวทางการเขียนของเธอไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมเลย   ผมไม่สนใจจะเขียนหนังสือตามแนวทางของเธอ   แม้ว่ามันจะทำเงินได้ดีกว่าก็ตาม   แต่ในความเป็นจริงแล้ว   ผมเคยลองคิดดู   หากให้ผมเขียนเหมือนที่เธอเขียน   มันก็อาจจะขายไม่ได้ง่าย ๆ   หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คงขายไม่ออกเลย   แล้วนั่นย่อมจะทำให้ผมเจ็บปวดมากกว่าเดิม   แน่ละ   มันย่อมเจ็บปวดเสมอก็ตรงที่ก่อนหน้านั้น ผมจะต้องทนทรมานอ่านต้นฉบับหลายต่อหลายครั้งเพื่อทบทวนแก้ไขให้มันดูดีขึ้น 

ทว่าสุดท้ายแล้วเธอก็เดินกลับเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมจนได้   ราวกับว่าเรื่องระหว่างเราได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว โดยนักเขียนและปากกาของเขา   ที่ผมและใคร ๆ มองไม่เห็น

เย็นวันหนึ่ง   ขณะที่ผมกำลังผุดลุกผุดนั่งด้วยความทุรนทุรายอยู่กับกลิ่นมาม่ารสต้มยำกุ้งของคนข้างห้อง   เนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว   นอกจากน้ำประปาหลายขวดใหญ่ จู่ ๆ ไอ้เอกเพื่อนกวีก็แวะมาหาที่ห้องพักเพื่อชวนออกไปข้างนอก มันบอกว่าพี่เอ๋ยจะเลี้ยงเหล้าผม   ผมพยายามนึกถึงนามปากกาและใบหน้าของเธอ   ในความคิดของผมซึ่งกำลังหิวจนตาลาย รู้สึกว่านี่ช่างเป็นข่าวดีเหลือเกิน   แต่ความจริงยังมีข่าวดีกว่านั้นรอผมอยู่

พี่เอ๋ยนัดเจอที่ร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งย่านเสาชิงช้า เมื่อตอนที่เราไปถึงนั้นเธอมานั่งได้สักพักหนึ่งแล้ว   อาหารถูกสั่งมาสองสามอย่างพร้อมด้วยเหล้าไทยขวดใหญ่   ดูเหมือนว่าพี่เอ๋ยจะดื่มล่วงหน้าไปก่อนหลายแก้ว   ผมมองดูด้วยความรู้สึกทึ่ง ท่าทางของเธอไม่มีเค้าว่าจะเป็นนักดื่มเลย

“ชงเหล้าตามสบายนะ   ใครอยากผสมอะไรก็จัดการเอาเอง   ไม่ใช่แฟน   พี่ไม่ทำให้หรอก”เจ้าภาพพูดยิ้ม ๆ   ก่อนจะคว้าบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบด้วยท่าทางสบายอารมณ์

ผมซึ่งในเวลานั้นอยากจะซัดหอยแครงลวกกับไก่ตอนบนโต๊ะเต็มแก่   แต่ก็ต้องพยายามระงับความหิวอย่างหนัก   โชคดีที่ไอ้เอกเป็นฝ่ายผสมเหล้าอย่างชำนิชำนาญ   ถ้าให้ผมทำก็คงมือสั่นจนหกเรี่ยราดให้ขายขี้หน้าแน่ ๆ

“ขอดื่มให้กับความสำเร็จของอัตตา   ลำนำปฐม”   พี่เอ๋ยชูแก้วและเอ่ยขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“ความสำเร็จเรื่องอะไรหรือครับ”   ผมถามอย่างงง ๆ

“วันนี้พี่ได้อ่านเรื่องสั้นของเจี๊ยบแล้ว   พอดีตอนสายนั่งจัดหน้านิตยสาร   เลยเจอเรื่องสั้นของเจี๊ยบพอดี   นามปากกาของเธอพี่จำได้แม่นเลยนะ   แล้วรู้ไหมว่าภาพประกอบเรื่องสั้นประจำฉบับนี้น่ะออกมาสวยเชียว   มันจะวางแผงเดือนหน้านี้แหละ   แล้วยังไงล่ะ   พี่ก็เลยถือโอกาสอ่านจนจบ   พูดตรง ๆ พี่ชอบนะ   เรื่องมันใหม่สด   แล้วก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์   แถมยังร่วมสมัยดีอีกด้วย”

“พี่เอ๋ยเลยโทรศัพท์มาหากูตอนกลางวันให้ชวนมึงมากินเหล้านี่ไง   กูก็คันปากอยากบอกตั้งแต่ที่ห้องแล้ว   แต่พี่เอ๋ยอยากให้มึงประหลาดใจเล่น”   ไอ้เอกพูดพลางใช้มือหยิบไก่ตอนชิ้นโตใส่ปากเคี้ยวหนุบหนับ

“มันเป็นธรรมเนียมของพี่น่ะ   ถ้างานเขียนได้ตีพิมพ์ก็ต้องฉลอง   แล้วพี่ก็อยากมอบธรรมเนียมนี้ให้เจี๊ยบด้วย   มันเป็นสิ่งเดียวที่พี่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ   เอ้า…ดื่มอีก   แด่…มิตรภาพของพวกเรา”

“ขอบคุณมากครับ   ผมจะไม่ลืมวันนี้เลย”   ผมกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจจนแทบจะลืมความหิวไปชั่วขณะ

“ชนแก้ว…”

คืนนั้นเราสามคนไปดื่มเหล้าต่อกันที่ร้านอาหารอีสานในซอยรางน้ำย่านพญาไท   ท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนานและมีแต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้คนในแวดวงนักเขียน   หลายครั้งเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างจริงจัง   จริงจังเหมือนกับเสียงชนแก้วที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 

กว่าจะได้เวลาปิดร้าน   พวกเราก็เมามายกันถ้วนหน้า ไอ้เอกขอตัวนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านก่อนที่จะหลับอยู่ข้างถนนแถวนั้น   ส่วนผมอาสาเดินไปส่งพี่เอ๋ยที่ห้องพัก   หลังจากรับรู้ว่าเธออาศัยอยู่ในซอยแห่งหนึ่งไม่ไกลจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมากนัก ที่สำคัญผมเห็นว่าดึกแล้ว   และอีกฝ่ายก็เมาเกินกว่าจะกลับห้องพักตามลำพังด้วย

ผมเดินคู่ไปกับพี่เอ๋ย   เราต่างจุดบุหรี่สูบคนละมวนโดยไม่ได้พูดคุยกันเลย   ไม่นานนักผมก็สังเกตเห็นว่าพี่เอ๋ยกำลังร้องไห้อยู่เงียบ ๆ   ผมสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา   นั่นคงเป็นเพราะผมไม่กล้ารบกวน   คนเราควรมีสิทธิร้องไห้ตามลำพัง   ผมบอกตัวเองเช่นนั้น

เมื่อถึงห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสาม   พี่เอ๋ยล้วงกุญแจห้องออกมาไขเข้าประตูได้สำเร็จ   หลังจากงมหารูกุญแจอยู่นาน   เธอรีบเปิดเครื่องปรับอากาศ   ก่อนจะล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าบนเตียง แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว

ยามนั้นผมเหมือนคนเซ่อซ่ายืนอยู่ตรงปลายเตียงของเธอ   ใจหนึ่งคิดจะเดินออกไปจากห้อง   แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินติดกระเป๋าเป็นค่ารถโดยสารเลย   ผมจึงตัดสินใจหันกลับไปกดล็อกลูกบิดประตูอย่างเบามือ 

ในความมืดสลัวของห้องพัก   ผมยืนมองดูร่างของพี่เอ๋ยที่กำลังหลับไม่รู้เรื่อง   อดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้   จากนั้นล้มตัวลงนอนแถวปลายเตียงโดยไม่มีพิธีรีตองใด ๆ   ทว่ายังไม่ทันไรผมก็ต้องผุดลุกขึ้นนั่ง   มันนานมาแล้วที่ผมไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศอย่างนี้   ผมรู้สึกว่าอากาศในห้องเย็นลงมากจนเกือบจะเรียกได้ว่าหนาว   สายตาอดมองไปทางพี่เอ๋ยไม่ได้   ผมเห็นเธอนอนขดตัวเอามือซุกไว้ที่หว่างขาเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง   จึงลุกขึ้นคว้าผ้าห่มบนเตียงออกมาคลี่คลุมร่างของพี่เอ๋ย   เรียบร้อยดีแล้วจึงล้มตัวลงนอนตรงปลายเตียงตามเดิม   ก่อนจะหลับไปอย่างไม่ยากเย็นนักด้วยความมึนเมา   ไม่ใช่ด้วยความหิวโหยเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา

นครชัยศรี
พ.ศ. 2538

“พี่ควรจะเลิกกับเขาให้เด็ดขาดดีไหม เจี๊ยบ”

“แล้วพี่เอ๋ยยังรักเขาอยู่หรือเปล่าล่ะ”

“สำหรับพี่แล้ว เรื่องระหว่างเขากับพี่ เป็นได้เพียงแค่ความเจ็บปวดรวดร้าวเท่านั้น...”

“ผมเข้าใจครับ ผมเห็นพี่เอ๋ยแอบร้องไห้เสมอ แม้ในเวลาที่คนเราควรมีความสุข”

“เธอคิดว่าพี่จะทำได้หรือ พี่หมายถึง...มีความสุขน่ะ”

“พี่เอ๋ยรู้จักนครชัยศรีไหมครับ ผมเคยคิดจะย้ายไปเขียนหนังสือที่นั่น ผมอยากให้พี่ไปกับผมด้วย...”

“...”

ไม่กี่เดือนหลังจากรู้จักกัน   สนิทสนมกัน   ต่างรับรู้ถึงปัญหาในชีวิตของกันและกัน   เราสองคนก็อพยพโยกย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่ตำบลบางกระเบา   อำเภอนครชัยศรี

พี่เอ๋ยชอบตลาดท่านามาก   ผมจึงหาบ้านเช่าไม่ไกลจากตัวตลาดมากนัก   กะว่าสามารถเดินเท้าไปถึงได้อย่างสบายในยามที่พี่เอ๋ยต้องการเดินเล่น   แม้ว่าเอาเข้าจริงแล้ว   เธอจะไม่ค่อยมีเวลาออกจากบ้านไปไหนสักเท่าไรนัก   เนื่องจากเมื่อไม่ได้ทำงานประจำแล้ว   ก็ต้องนั่งปั่นต้นฉบับนวนิยายหามรุ่งหามค่ำเสมอ ส่วนผมตื่นและนอนไม่ค่อยเป็นเวลา   สุดแต่ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่เพียงเครื่องเดียวจะว่างตอนไหน

ความขยันของพี่เอ๋ยทำให้ผมมีไฟในการเขียนพลุ่งพล่านเป็นพัก ๆ   ผมจึงพยายามเริ่มต้นเขียนนวนิยายเรื่องแรกในชีวิต ทว่ามันก็เป็นไปอย่างสะเปะสะปะเต็มที  จากเรื่องแนววิทยาศาสตร์เปลี่ยนเป็นการเมือง   แล้วกลายเป็นเรื่องสยองขวัญ บางครั้งก็ดูเหมือนจะออกแนวสืบสวนสอบสวน   ผมพยายามเริ่มต้นบทแรก   แต่สุดท้ายก็ต้องลบทิ้งทุกครั้งไป   โชคดีที่งานเขียนสารคดี   เรื่องสั้น   และบทกวีของผมยังคงได้ตีพิมพ์ในนิตยสารอยู่บ้าง   มันเป็นเหมือนบ่อน้ำน้อย ๆ ที่ผมได้อาศัยดื่มกินพอให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง   ทำให้ไม่ลืมว่าตัวเองยังคงเป็นนักเขียนอยู่   และทำให้คนในวงการรับรู้ว่า   “อัตตา ลำนำปฐม   ยังไม่ตาย

พี่เอ๋ยดูมีความสุขขึ้นมาก   นับตั้งแต่ลาออกจากงานประจำแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่   เธอเลิกร้องไห้หลังจากเมามาย   ดูเหมือนเธอจะสามารถทิ้งความหลังไว้ที่กรุงเทพฯ ได้สำเร็จ   ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนุ่มใหญ่ผู้มีครอบครัวแล้วคนนั้นจบลงอย่างที่ควรจะเป็น   ผมไม่อยากกล่าวว่าเพราะผมมอบชีวิตใหม่ให้แก่เธอ   เพราะน่าจะเป็นเธอมากกว่าที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ผม   เธอทำให้ผมยังคงใช้ชีวิตนักเขียนอิสระได้อย่างที่ปรารถนา ด้วยการทุ่มเทเวลาเขียนนวนิยายหาเลี้ยงผม   ถูกต้อง   ค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านเช่า   ล้วนเป็นเธอคนเดียวที่แบกรับเอาไว้ด้วยสองบ่าน้อย ๆ อันน่าสงสาร

“พี่ไม่ต้องการอะไรจากเธอหรอกนะเจี๊ยบ   นอกจากความซื่อสัตย์   อีกอย่างหนึ่งก็คือ   หวังว่าเธอจะสร้างสรรค์นวนิยายเรื่องแรกได้สำเร็จ   แค่นี้พี่ก็มีความสุขมากแล้ว”

พี่เอ๋ยเคยกล่าวไว้ในวันแรกที่เราย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บางกระเบา   ผมได้แต่กอดและจูบเธอแทนคำสัญญา

ผมจำได้ว่าตัวเองใช้เวลาตลอดทั้งปีนั้นมุ่งมั่นอยู่กับการเขียนหนังสือ   เพื่อจะเรียนรู้ว่าถนนสายนี้จะใช้เพียงความรักในงานเขียนอย่างเดียวยังไม่พอ   แต่ต้องมีความมุ่งมั่นและความคิดที่จะพัฒนางานเขียนตลอดเวลาอีกด้วย   ผมไม่อาจจมปรักอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ หรือประสบการณ์เดิม ๆ ได้นานนัก   หาไม่แล้วก็จะนำพาเรื่องราวต่าง ๆ วนเวียนย่ำอยู่กับที่โดยไม่รู้ตัว   ซึ่งย่อมจะกลายเป็นการทำซ้ำรอยเดิมอย่างไม่น่าให้อภัย

ดูเหมือนว่าความปรารถนาที่ยากแก่การจะไปให้ถึงนี้ทำให้ผมเป็นทุกข์ใจ   จนต้องหาทางหลบหนีจากมันด้วยการดื่มเหล้าหนักมากขึ้น   

ในความมึนเมาผมมักจะได้พบกับความสุข ผมชอบความรู้สึกในขณะฝันถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ   มันง่ายกว่าการลงมือทำจริงมากมายนัก   ผมประทับใจในความเพลิดเพลินที่ว่านี้   จนต้องเอ่ยปากขอเงินจากพี่เอ๋ยไปซื้อเหล้าอยู่เสมอ   

หากเธอไม่ยอมเพราะเป็นห่วงสุขภาพของผม   ผมก็จะไปซื้อเชื่อตามร้านค้าต่าง ๆ ในละแวกนั้น   ซึ่งโดยมากเจ้าของร้านมักไม่ขัดข้อง   เพราะรู้ดีว่าพี่เอ๋ยจะจ่ายให้เองยามไปทวงถามถึงบ้านเช่า   หรือในเวลาที่พี่เอ๋ยเดินผ่านร้านค้า   แต่ก็ใช่ว่าพี่เอ๋ยจะมีเงินติดตัวทุกครั้ง  

ผมรู้เรื่องนี้ดี   ทว่ากลับไม่เคยใส่ใจกังวล   ได้แต่คิดว่าสักวันหนึ่งผมจะชดเชยให้เธออย่างคุ้มค่า   แค่ต้องรอให้ถึงวันแห่งความสำเร็จของผมเสียก่อนเท่านั้น

สะพานรวมเมฆ
พ.ศ. 2541

“พี่เอ๋ยควรจะได้เจอคนที่ดีกับพี่เอ๋ยมากกว่าผมนะครับ” 

ผมกล่าวเรื่องนี้แก่เธอในเย็นวันหนึ่งของปลายปีที่ผ่านมา เธอน่าจะรู้ว่าความจริงแล้วผมหมายถึงใคร เขาเหมาะสมกับเธออย่างยิ่ง เพียงแต่เขาพบเธอช้าเกินไปเท่านั้น ความรักเป็นเช่นนี้เสมอ คำพูดของผมทำให้เราสองคนทะเลาะกันเหมือนเดิม จากนั้นผมก็หลบเลี่ยงด้วยการออกมาเดินเล่นแถวตลาดท่านา

แม้ว่าตอนนั้นผมจะย้ายมาอยู่นครชัยศรีได้ราวสองปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่เดินเตร็ดเตร่แถวตลาดท่านา ผมก็ไม่เคยคิดจะเดินขึ้นไปบนสะพานรวมเมฆเลยสักครั้งเดียว ทว่าในเย็นวันดังกล่าวคงเป็นด้วยความกลัดกลุ้มกระมัง จึงทำให้ผมเดินอย่างคนใจลอยขึ้นไปหยุดอยู่กลางสะพาน จากนั้นเหม่อมองแม่น้ำนครชัยศรีด้วยความรู้สึกมากมาย ภายในใจอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า ถ้าเพียงแต่ผมกระโดดลงไปในน้ำที่เอ่อท้นเต็มตลิ่งและกำลังไหลเชี่ยวกราก ปัญหาทุกประการในชีวิตจะจบสิ้นลงหรือไม่ การมีลูกในสภาพยากจนของนักเขียนหลักลอยน่าจะไม่เป็นผลดีกับทุกคน เด็กที่กำลังเกิดมาดูโลกอาจชี้นำให้ผมต้องเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำเงินได้ หรืออย่างเลวร้ายที่สุดผมก็คงต้องหางานประจำทำเพื่อความมั่นคง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมหวาดกลัวและชิงชังที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด การมีลูกย่อมจะทำให้พี่เอ๋ยพบกับความยากลำบากเป็นทวีคูณ หากวันใดวันหนึ่งต้องเลิกราจากผมไป เธอจะไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้โดยง่าย มันไม่เหมือนกับการเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว 

หลายปีที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เอ๋ยดีเกินไปสำหรับผู้ชายอย่างผม ผมควรหาทางไปจากเธอเสียที ผมเกาะกินชีวิตเธอมานานพอแรงแล้ว แต่จะด้วยเหตุผลใดเล่า ผมไม่ใช่คนใจร้ายถึงขั้นจะกล้าบอกลาใคร แล้วหิ้วกระเป๋าจากมาอย่างง่าย ๆ ผมขี้ขลาดตาขาวเกินกว่าที่จะทำอะไรเช่นนั้น ถ้าผมต้องการคืนอิสระให้แก่เธอ ผมจะต้องใช้วิธีหนีหน้าเพียงประการเดียวอย่างนั้นหรือ ใช่สิ  มันจะทำให้ผมไม่ต้องเห็นเธอร้องไห้ และไม่ทำให้ผมใจอ่อนลง หลังจากนั้นหลายเดือนผ่านไปผมก็คงลืมเธอ เช่นเดียวกับที่เธอก็จะลืมผมไปเอง ผมควรเชื่อเช่นนั้น โดยเฉพาะถ้าเธอมีผู้ชายแสนดีสักคนหนึ่งคอยดูแล และเป็นกำลังใจให้เธอด้วยความรักอันแท้จริง ความรักซึ่งยังคงมีอยู่ในโลกใบนี้  ผมรู้ว่ามันยังมีอยู่จริงก็จากการได้เห็นสายตาของชายคนนั้น ชายผู้เริ่มเป็นฝ่ายมาหาผมถึงบ้านเช่า เขาเหมาะสมแล้วที่จะคอยอยู่เป็นคู่ชีวิตของเธอ

บนสะพานรวมเมฆเมื่อปลายปีก่อนนี้เอง ผมได้พบทางออกอันน่าบัดซบ มันคงเป็นโชคชะตาของเธอกับผม 

“สโรชา” คือหญิงสาวที่ผมได้พบบนสะพาน เธอกลายเป็นกุญแจพาผมออกไปจากปัญหาทั้งหมด แต่การออกไปจากปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็วนัก 

ใช้เวลานานราวสองเดือนทีเดียว ผมถึงได้ดำเนินเรื่องให้เป็นไปตามที่ต้องการ เมื่อผมหาเงินพอเป็นค่าทำแท้งครั้งแรกได้ ผมก็พาพี่เอ๋ยไปยังคลินิกวางแผนครอบครัวแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้เธอจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ก็ไม่อาจขัดขืนต่อคำสั่งของผม ราวกับว่าผมเป็นเจ้าชีวิตของเธอ ผมไม่ได้บอกเธอหรอกว่า “ผมแค่อยากให้พี่เอ๋ยมีความสุข” 

หลังจากกลับมาถึงบ้านเช่าที่บางกระเบาได้เพียงวันเดียวเธอก็ล้มป่วยลง และเมื่อผมบอกเรื่องอาการป่วยนี้แก่พี่เซียน ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงเป็นใยเธอมาก ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมต้องการโดยไม่ต้องวางแผนคนเดียวทั้งหมด ทว่ากว่าจะอำลาจากชีวิตของเธอมาได้จริง ๆ กลับต้องรอจนถึงวันทำแท้งครั้งที่สองอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง

ในวันที่พายุฝนพัดกระหน่ำมืดมัว   ผมวิ่งขึ้นสะพานรวมเมฆไปพบกับสโรชาตามที่ได้นัดหมายกันไว้   ผมจำได้ว่ากอดเธอและร้องไห้ ผมกอดเธอแน่นมากราวกับว่าเธอคือหลักยึดเดียวที่ผมเหลืออยู่ จากนั้นเราก็พากันเดินทางไปยังกระท่อมบนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน   โลกเล็ก ๆ ของเราที่เพื่อนชาวเขาของผมได้จัดเตรียมไว้ให้

ดูเหมือนชีวิตจะดำเนินไปอย่างที่ผมหวัง   แต่แล้วชีวิตก็เล่นงานผมอย่างน่าสะใจ   นั่นคือทำให้หัวใจของผมไม่มีความสุข มันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งพี่เอ๋ยมาอย่างโหดร้าย   แม้จะบอกตัวเองเสมอว่า   คนอย่างพี่เอ๋ยควรได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับพี่เซียนมากกว่า   ผู้ชายที่รักเธออย่างแท้จริงโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ   มิหนำซ้ำยังมีอาชีพมั่นคงพร้อมบ้านเป็นหลักเป็นฐาน เหมาะสมที่ผู้หญิงดี ๆ จะได้ไว้เป็นคู่ชีวิต

แล้วด้วยความคิดทำนองนี้นี่เอง   ที่ในเวลาต่อมาทำให้ผมต้องการปลดปล่อยสโรชาด้วยเช่นกัน   ผมไม่ควรผูกพันเธอไว้นานเกินแก้ไข   อีกทั้งไม่ควรปล่อยให้ชีวิตของเธอสูญเปล่าไปกับคนเลวอย่างผม   เธอยังสาวและสวย   เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยมีความสัมพันธ์ด้วย   อีกทั้งยังนับเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน   เธอไม่ควรเกลือกกลั้วกับผู้ชายอย่างผมนานเกินไป 

ผมจึงคิดหาวิธีปั่นหัวให้เธอโกรธ   ผมรู้นิสัยเธอดี   วันหนึ่งเธอจึงแทงผมด้วยมีดปอกผลไม้เต็มแรง   ผมแทบจะหัวเราะให้กับความเป็นคนใจเด็ดของเธอ   เธอแทงเข้าตรงหน้าท้องของผมเหมือนแทงหยวกกล้วยยังไงยังงั้น   ผมรู้สึกสะใจกับความเจ็บปวดจนถึงขนาดต้องเผลอยิ้มออกมาเลยนั่นแหละ   และพยายามที่จะไม่ขำออกมาให้เป็นเรื่องผิดสังเกต

คืนนั้นผมคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้วด้วยซ้ำ   แน่นอน ตายไปอย่างขบขันในชีวิตของตัวเอง   ซึ่งน่าจะเป็นการตายอย่างมีความสุขท่ามกลางดงดอย   แต่ผีห่าซาตานกลับแกล้งทำให้ผมรอดมาได้   ไม่อาจไปสบายเหมือนอย่างที่หวัง   เพื่อนชาวเขานั่นเองเป็นคนพาผมไปหาหมออนามัย   ก่อนจะถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลในเมือง

หลายคืนหลังจากนั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องนอนร้องไห้คนเดียวเสมอ   เมื่อเพื่อนชาวเขาเล่าให้ฟังว่ากระท่อมบนดอยถูกสโรชาเผาทิ้งไปแล้ว   มีคนเห็นเธอที่ตีนดอยในตอนเช้ากำลังว่าจ้างรถสองแถวให้ไปส่งในตัวเมือง 

ผมร้องไห้เงียบ ๆ ให้กับการจากไปตามทางของเธอ ทางที่ผมบังคับให้เธอเลือกเอง   ตอนนั้นผมสามารถร้องไห้ได้อย่างเต็มที่แล้ว   เพราะแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็นเข้า   จริง ๆ นะ   ผมไม่ต้องการคำปลอบโยนและความหวังใด ๆ   มันไม่มีความหมายอีกเลยนับตั้งแต่นั้น

กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2542

“ไอ้เจี๊ยบ ถ้ามึงทำตัวแบบนี้ มึงก็ไสหัวออกไปจากบ้านกูได้แล้วว่ะ”

“แล้วมึงจะให้กูไปอยู่ไหน”

“เรื่องของมึงสิ มาถามกูทำไม กูไม่ใช่แฟนมึงนี่หว่า”

“กูขอเวลาเขียนนิยายให้จบก่อนได้ไหมวะ เอก”

“แน่ใจรึว่ามึงจะเขียนได้ เอางี้ดีกว่า มึงต้องการเวลาเท่าไหร่”

“สองเดือน...”

ในห้วงเวลาดังกล่าว   ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อปลายปีก่อนผมยังเอาแต่นอนอ่านหนังสือกองโตที่ไอ้เอกซื้อสะสมไว้เต็มบ้านอยู่เลย   ตอนนั้นผมใช้วิธีอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ลืมปัญหาและเรื่องราวต่าง ๆ   แต่ก็จำได้ว่าหลังจากเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลที่จังหวัดน่านจนอาการค่อยยังชั่วแล้ว   ผมจึงแจ้งข่าวให้เพื่อนรู้   ไอ้เอกถึงกับรีบกุลีกุจอหารถยนต์ขับมารับผมถึงโรงพยาบาล   จากนั้นก็พาผมกลับไปนอนพักฟื้นอยู่ที่บ้านของมันจนร่างกายแข็งแรงดี

บางคืนที่ผมนอนไม่หลับ   ผมพยายามเริ่มต้นเขียนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง   และนั่นก็คือการเขียนนวนิยายเรื่องแรกที่ผมจำบทเริ่มต้นได้จนขึ้นใจ   ผมพยายามมานานแต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที   แค่จะเขียนให้เกินสองหน้ากระดาษก็ยังทำไม่ได้ เพียงขึ้นต้นผมก็ไปต่อไม่เป็นเสียแล้ว   แม้จะมีโครงเรื่องกำหนดไว้อย่างชัดเจน   มันคงเป็นปัญหาทางด้านจิตใจของผมกระมัง ราวกับว่าผมกลัวที่จะเขียนออกไป   กลัวมันจะไม่ดีพอ   และกลัวจะกลายเป็นความล้มเหลว   เมื่อได้เทใจเขียนจนสุดความสามารถแล้ว

ความกลัวของผมกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้   บรรดาเพื่อนนักเขียนที่มาเยี่ยมเยียนต่างก็พยายามช่วยพูดให้กำลังใจ   แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น   ผมอาจสามารถเขียนงานขนาดสั้น ๆ ได้   บางครั้งผมยังเขียนบทกวีออกมา   แล้วไอ้เอกช่วยพิมพ์ต้นฉบับส่งประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศ   ทว่าโลกภายในของผมยังคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น   ห้วงเวลานั้นผมคิดว่าชีวิตนักเขียนของผมได้จบลงแล้ว   แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือหลังจากอ่านหนังสือในบ้านแทบจะหมดทุกเล่ม   ผมก็หันมาดื่มเหล้าเมาทุกวันแทน   จากหนอนหนังสือกลับกลายเป็นหนอนสุราเหมือนสมัยอยู่บางกระเบา   สร้างความอิดหนาระอาใจให้กับไอ้เอกเป็นอย่างยิ่ง   ในที่สุดมันถึงกับเอ่ยปากไล่ผมออกจากบ้านเพราะหมดความอดทน   นั่นเองที่สะกิดใจผม   จนถึงกับอ้อนวอนขอเวลาเพื่อนรักเพื่อเขียนนวนิยายให้จบเสียก่อน

ไม่มีใครรู้ว่าผมจะทำได้สำเร็จแม้แต่ตัวผมเอง   อย่างไรก็ตาม   ผมเขียนนวนิยายเรื่อง   “นาสตาเซีย”   ร่างแรกเสร็จทันกำหนดเวลาพอดี   เมื่อขัดเกลาแก้ไขหลายรอบจนพอใจแล้วก็ส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์ที่ผมเคยทำงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษร มิตรภาพที่เคยมีต่อกันอยู่บ้างทำให้ทุกคนในสำนักพิมพ์ดีอกดีใจกันยกใหญ่   และเมื่อบรรณาธิการได้อ่าน   “นาสตาเซีย”   จบลง ชีวิตนักเขียนนวนิยายของผมก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเหมือนดังที่ฝันไว้

เวลานั้นผมควรจะเดินยกเข่าสูง   พร้อมกับลอยหน้าลอยตาเฉิบ ๆ ออกจากบ้านของเพื่อนไปตามท้องถนน   พลางร้องเพลงสนุกสนานคึกคักราวกับว่าโลกนี้เป็นของผมแล้ว   แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรมากนัก   ทีแรกผมยังจินตนาการว่ามันจะให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งได้ตีพิมพ์งานเขียนครั้งแรกในหน้านิตยสารเสียอีก   บางทีอาจเป็นเพราะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นวนิยาย   แต่เป็นคำสารภาพความผิดของผม   หรือที่จริงก็คือ “ความบาป”   ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนจะไม่มีวันให้อภัย   แม้แต่ดวงวิญญาณของผมเอง   ถูกต้อง   มันไม่ควรเป็นหนังสือสำหรับจำหน่ายแก่นักอ่านทั่วไป   ทว่าควรเป็นหนังสือแจกในงานศพของผมมากกว่า   ผมรู้สึกเช่นนั้น

20.45 น.
5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
ตำบลบางกระเบา

เสียงเปิดประตูทำให้ผมมองลอดช่องว่างบนรั้วบ้านเข้าไปและแลเห็นบานประตูเลื่อนเปิดกว้าง   ก่อนที่ร่างอันคุ้นตาจะก้าวออกมา เป็นพี่เอ๋ยนั่นเอง เธอเดินกางร่มหิ้วถุงขยะสีดำกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ผมรีบหลบเข้าไปยืนอยู่ภายใต้เงามืดของต้นเฟื่องฟ้า สักพักหนึ่งก็เห็นเธอเปิดประตูรั้ว แล้วนำถุงดังกล่าวมาทิ้งลงในถังขยะหน้าบ้าน 

วินาทีนั้นเองที่ผมอยากจะตรงเข้าไปทักทายพร้อมกับกอดเธอไว้ เธอจะประหลาดใจมากน้อยแค่ไหนกันนะ เมื่อแลเห็นผมยืนอยู่ต่อหน้าเธอ เธอคงจะไม่ตกใจหรือหลงคิดว่าผมเป็นภูตผี แต่เธอจะดีใจเหมือนเช่นที่ผมเป็นอยู่หรือไม่ และเธอจะหลั่งน้ำตาออกมาเหมือนกับที่ผมกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจนัก 

สุดท้าย ผมก็ปล่อยให้เธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ในเงามืด สักพักหนึ่งผมก็ตั้งสติได้ เวลานั้นฝนหยุดตกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปอีก ผมเป็นเพียงคนแปลกหน้าของที่นี่จริง ๆ ได้แต่หยิบหนังสือเรื่อง “นาสตาเซีย” ออกมาจากกระเป๋าสะพาย มองชื่อหนังสือและชื่อนักเขียนอีกครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูสดใหม่ มันเพิ่งจะออกจากโรงพิมพ์มาได้เพียงไม่กี่วัน   

ผมจัดการเสียบหนังสือไว้กับช่องว่างบนบานประตูรั้ว ผมแค่อยากให้เธอรู้ว่าผมเขียนนวนิยายเรื่องแรกจบลงแล้วอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าจะใช้เวลานานอยู่สักหน่อยก็ตาม ใช่ นานหลายปีเลยทีเดียว   ผมคิดด้วยความประหลาดใจไม่หาย

บัดนี้ผมควรจากไปได้แล้ว บางทีผมอาจกลับเข้ากรุงเทพฯ หรือไม่ก็เดินทางไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ตัวผมเพียงลำพัง โดยไม่จำเป็นต้องสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนอีก ทุกความสัมพันธ์ควรเป็นไปอย่างฉาบฉวย หากทำได้เช่นนี้แล้วก็คงจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะผมอีก

ครั้นเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ผมก็ชะงักฝีเท้าไว้ จากนั้นอดใจไม่ได้ที่จะเดินย้อนกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งหนึ่ง ผมมองไปยังหน้าต่างและแสงไฟสลัวหลังผ้าม่าน สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ส่ายหน้าช้า ๆ พลางดึงหนังสือซึ่งบนปกมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่กลับมา ผมบรรจงเช็ดมันจนแห้งด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพายไว้ตามเดิม  

ผมยิ้มให้กับการกระทำของตัวเอง ก่อนจะก้าวไปบนทางที่เปียกแฉะและเต็มไปด้วยแสงสะท้อนของไฟถนน

หมายเหตุ พิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ปี 2559 สี่ตอนจบ

ใส่ความเห็น