บนชะง่อนผา ผมยืนตัวตรงอุ้มซากของจิตไว้ด้วยสองแขน ลมทะเลกระโชกแรงทำให้ร่างของจิตและตัวผมเอง ถึงกับโงนเงนสั่นไหวไปตามกระแสลมนั้น ด้านล่างลึกลงไปเป็นโขดหินและฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวกระแทกโชดหินดังครืน ๆ เมื่อมองไกลออกไปจนสุดสายตาก็แลเห็นเพียงท้องน้ำแห่งห้วงมหาสมุทรสีน้ำเงินอันสงบงาม ซึ่งบัดนี้บริเวณเส้นขอบฟ้ากำลังดูอ่อนจางรางเลือนไปในความขมุกขมัว แม้กระนั้นแสงสุดท้ายของยามเย็นก็ยังอ่อนหวานละมุนละไม ทว่ากลับซ่อนเร้นไว้ด้วยความเศร้าสร้อยบางประการของชีวิต ครั้นเวลาได้ก้าวข้ามรอยต่อของวันและคืนไปแล้ว บรรยากาศรอบกายกลับแลน่ากลัวเหมือนความตายซึ่งยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชีวิตมนุษย์เรา
ผมก้มมองใบหน้าผุพังและเบ้าตากลวงโบ๋ของจิตนิ่งนาน แลเห็นชีวิตตัวเองเคลื่อนไหวอยู่ในเบ้าตานั้น ความทรงจำมากมายได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตลอดมา มีบ้างที่ลืมเลือนไป ครั้นถึงวันดีคืนดีก็กลับจำได้อีก ในอดีตถ้าเป็นความทรงจำงดงามผมก็จะมีความสุข แต่หากเป็นความทรงจำอันทุกข์เศร้า ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรวดร้าวได้เลย อย่างเช่นเรื่องราวในวันนั้น…
.
.
.
เช้าวันนั้นเริ่มต้นเหมือนเช้าวันอื่น ๆ ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่มืดสลัวแห้งผากและอบอ้าว งัวเงียลุกจากเตียงแล้วสะบัดผงฝุ่นดำออกจากเสื้อผ้าผมเผ้า รวมถึงสั่งมันออกทางรูจมูก เพื่อที่จะทำให้หายใจหายคอได้สะดวกขึ้น การกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ผมทำลงไปโดยอัตโนมัติราวกับว่าผมได้กลายเป็นคนที่นี่ตั้งแต่กำเนิด หรือไม่ก็พักพิงมายาวนานตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าเพิ่งจะสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่ ๆ
ความรู้สึกบอกว่าอากาศร้อนตั้งแต่เช้า ข้างนอกนั่นแสงแดดแผดเปรี้ยงไม่ต่างจากกลางวัน ผมรีบล้างหน้าด้วยน้ำในโอ่งหินที่ค่อนข้างอุ่น จากนั้นก็เดินย่ำฝุ่นตัดตัวบ้านจากประตูหลังโผล่มายังประตูหน้า ผ่านภรรยาของผมซึ่งกำลังนั่งทอผ้าอยู่หน้าบ้าน โดยอาศัยร่มเงาจากหลังคากันสาดและเงาของต้นมะยมลูกดกทำให้เธอนั่งทอผ้าได้ทั้งวัน อย่างไรก็ตาม เสียงตีกี่ดัง “ตึง ต๊อก ตึง” ระยะหลัง ๆ มานี้มักจะทำให้ผมประสาทเสียอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะไม่ได้ส่งเสียงรบกวนโสตประสาทอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่หยุดแวะทักทายเธอ ตอนที่ผมสวมหน้ากากกรองฝุ่นและขึ้นคร่อมอานจักรยานนั้น เธอดึงหน้ากากของเธอลงมาห้อยอยู่ใต้คาง และกำลังอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างหนึ่ง ดูเหมือนสีหน้าเธอไม่สู้ดีนัก ทว่าผมไม่ใส่ใจ อาจเป็นได้ว่าเธอจะชวนผมดื่มน้ำชาด้วยกัน แต่ผมก็ขี่จักรยานคันที่พาผมมาสู่เมืองนี้ออกมาเสียก่อน
ผมขี่จักรยานสีเขียวออกไปสู่โลกเล็ก ๆ ของผม…
.
.
.
บนเส้นทางดินลูกรังอันปกคลุมด้วยฝุ่นสีดำ ยางล้อจักรยานหมุนวนรอบแล้วรอบเล่า ท่ามกลางเสียงดอกยางและก้อนดินแข็งบดเบียดกัน อีกทั้งเสียงกึงกังดังรบกวนจากสภาพของจักรยานที่ไม่ค่อยแน่นหนาแข็งแรงนัก มันทำให้ผมต้องเสียเวลาเงี่ยหูฟังอยู่เป็นประจำ สักพักหนึ่งผมก็หยุดให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้ ได้แต่ปล่อยให้ลมร้อนพัดพาผงฝุ่นดำปะทะเข้ากับหน้ากากและเสื้อผ้า ก่อนที่จะไหลผ่านไปตามซอกคอ ซอกแขน และทะลุเส้นใยฝ้ายจนสัมผัสเข้ากับเนื้อหนัง พลางคิดคำนึงอยู่ในใจว่า “อย่างน้อยนี่ก็คือความเบิกบานที่ได้อยู่กับตัวเอง บนถนนสายหนึ่งที่ไม่มีผู้คนให้เห็นหน้าเลย” มันช่างเต็มไปด้วยความว่างเปล่าร้างชีวิตมนุษย์ สองข้างทางเป็นท้องนาที่ผ่านการเก็บเกี่ยวมานานแล้ว บัดนี้กลายเป็นว่ามีต้นหญ้าที่ใบเปื้อนฝุ่นดำขึ้นอยู่เต็ม เพิงพักตามท้องนาซึ่งปลูกไว้มองเห็นอยู่ตรงนั้นตรงโน้นก็เงียบเหงาและผุพัง เหมือนไม่มีใครคิดจะใช้งานพวกมันอีกแล้ว ฝูงควายห้าหกตัวพากันยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่กลางทุ่ง ต่างจากวัวสีน้ำตาลหลายตัวที่ยืนเคี้ยวหญ้าและอาบแดดไปพร้อมกันอย่างสบายใจ หากมองจนสุดสายตาก็จะเห็นอาคารสุสานของชาวบ้าน อันมีรูปทรงโค้งเหมือนหลังเต่าเป็นสีดำทะมึนด้วยผงฝุ่นที่ทับถมมายาวนาน ส่วนบริเวณที่ไร้ฝุ่นปกคลุมก็แลดูขาวกระจ่างตัดกับท้องฟ้าสีครามเข้ม
ผมถีบจักรยานสีเขียวไปตามถนนสายดังกล่าวไกลออกไป ไกลออกไป และไกลออกไป จนกระทั่งถึงทางโค้งหักศอกซึ่งเป็นทางออกของเมืองนี้ก็เลี้ยวกลับ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจนึกอยากรู้อยากเห็นว่าหนทางข้างหน้าจะมีสภาพอย่างไร ด้วยเป็นคนละถนนกับทางเข้าที่ผมใช้เดินทางมาสู่ที่นี่ ผมได้แต่สงสัยว่ามันจะมีฝุ่นดำมากขึ้นหรือน้อยลง แต่ทุกครั้งที่ผมขี่จักรยานมาถึงจุดนี้ ผมก็มักจะมีอาการหายใจไม่ค่อยออกจนอยากถอดหน้ากากขว้างทิ้งไปเสียให้พ้น ๆ ที่สำคัญคือรู้สึกกระหายน้ำอย่างหนัก เหงื่อก็มักไหลโทรมกายจนสิ้นเรี่ยวแรงเสมอ ทั้งหมดนี้ได้บงการให้ร่างกายและจิตใจของผมบอกตัวเองว่า เส้นทางข้างหน้าไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีสิ่งใดที่น่าปรารถนา ลำคออันแห้งผากจนรู้สึกได้ถึงความสากคายของผงฝุ่นเร่งเร้าให้หาน้ำดื่มเย็นฉ่ำมากกว่า เรื่องราวอื่นล้วนไม่มีความหมาย พวกมันไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจ ที่ผ่านมาผมชอบคิดถึงและพึมพำถ้อยคำเหล่านี้เสมอ ดั่งเป็นบทสวดของสาวกผู้ภักดีในลัทธิใดลัทธิหนึ่งเลยทีเดียว
ขากลับ ผมขี่จักรยานมาด้วยอาการเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เหมือนคนเกียจคร้าน อีกเพียงห้ากิโลเมตรก็จะถึงบ้านของไลลาแล้ว เวลานี้แดดกำลังแรงจัด จนรู้สึกว่าอีกไม่นานเมืองนี้จะกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำเหมือนฝุ่นพวกนั้น ผมได้แต่กัดฟันบังคับจักรยานไปตามทางฝุ่น จนมาถึงถนนราดยางซึ่งกำลังละลายเยิ้มเหนียวผสมกับฝุ่นดำจำนวนมาก ผมถอนหายใจพร้อมกับก้มหน้าก้มตาขี่จักรยานย่ำลงไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง มันมักจะเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยหลาบจำ ลมและฝุ่นที่พ่นออกมาทางรูจมูกแม้จะสวมหน้ากากแล้วก็ตาม ทำให้ผมรู้สึกรำคาญความร้อนระอุของอากาศรอบ ๆ ตัว รวมถึงการที่เหงื่อเม็ดโตพากันผุดออกมาตามรูขุมขนบนใบหน้า ซอกคอ และแผ่นหลัง ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่มากขึ้น ทว่าข้อดีก็คือมันช่วยชะล้างเอาผงฝุ่นตามผิวหนังให้ไหลออกไปด้วย และต่อมาก็ทำให้อุณหภูมิในร่างกายของผมลดลง
ในห้วงเวลานั้น ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่าตัวเองใช้เวลาขี่จักรยานมานานแค่ไหน ครั้นเมื่อหลังคาบ้านของภรรยาปรากฎให้เห็น ผมจึงค่อยยิ้มออกมา อันที่จริงผมไม่ได้ยิ้มเพราะเห็นหลังคาบ้าน แต่เป็นเพราะระลึกได้ถึงเรื่องราวบางประการมากกว่า หลังจากที่เคยหลงลืมว่าผมมาทำอะไรในเมืองนี้อยู่นาน ความฝันเมื่อตอนเช้ามืดนั่นเองที่ช่วยขับเอาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ซ่อนเร้นภายในใจของผมออกมา ได้แต่หวังว่าผมจะไม่ลืมวัตถุประสงค์นั้นอีก แล้วอะไรกันเล่า ที่ทำให้ผมลืมเรื่องสำคัญไปได้นานถึงเพียงนี้ ราวกับว่ามันไม่เคยดำรงอยู่ภายในใจของผมมาก่อนเลย
ผมพยายามคิดทบทวน…
.
.
.
วันแรกที่ผมขี่จักรยานสีเขียวเดินทางมาถึงเมืองอันเต็มไปด้วยฝุ่นดำนี้ มันเป็นวันร้อนระอุเหมือนขุมนรกอย่างที่มักชอบเปรียบเปรยกัน ทุกซอกทุกมุมของตัวเมือง บ้านช่อง ซอกซอย ใบไม้ใบหญ้า อันที่จริงแทบจะทุกหนทุกแห่ง พวกมันล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นดำจับเขลอะ ชาวบ้านเมื่อถอดหน้ากากออกก็จะพบว่าตามผมเผ้า ใบหน้า หรือรูจมูก ต่างก็ขะมุกขะมอมด้วยฝุ่นดำไม่ผิดกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยชินกับมันเหมือนปลาที่คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ผิดกับผมที่แทบจะขาดใจตายเพราะฝุ่นพวกนี้
ตรงร่มเงาข้างร้านค้า ผมแลเห็นพวกเด็ก ๆ สวมหน้ากากท่าทางซุกซน พวกเขาพากันกอบผงฝุ่นดำบนพื้นขว้างใส่กันอย่างสนุกสนาน และนั่นก็ทำให้ผมหวนคิดถึงวัยเด็กขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมเองก็เคยแกล้งน้องสาวอย่างนี้มาก่อนเหมือนกัน
มีหลายสิ่งหลายอย่างในเมืองนี้ที่ทำให้ผมประหลาดใจได้อยู่เสมอ บางครั้งถึงกับงงงวย แต่ผมก็เลือกปักหลักอยู่ที่นี่เพื่อหาข่าวสำคัญ นั่นก็หลังจากที่ผมสามารถหาหน้ากากเป็นของตัวเองได้แล้ว ผมติดตามเรื่องนี้มานานมาก และจะปล่อยให้คว้าน้ำเหลวไม่ได้อีกเด็ดขาด ทว่าเมื่อผมพบไลลา หญิงสาวผู้ทำให้หัวใจของผมสั่นไหวได้ทุกครั้ง ยามเมื่อเธอมายืนอยู่เบื้องหน้า แล้วถอดหน้ากากของเธอออก ก่อนจะโปรยเสน่ห์ด้วยความช่างพูดช่างเจรจาของเธอ คำพูดซึ่งทำให้ผู้ชายทุกคนหลงใหล ผมเคยคิดตามประสาคนหนุ่มอ่อนต่อโลกว่า ถ้าได้ตัวเธอมาครอบครองก็จะมีความสุข ผมจึงเลือกเธอเป็นเจ้าสาว แต่เมื่อมาย้อนคิดดูผมก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก มีเหตุผลอื่นหรือไม่ที่ทำให้ผมเลือกเธอ หลายครั้งไลลาทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นฝ่ายเลือกผมเองเสียมากกว่า เพราะเธอเองก็ได้รอคอยคนแปลกหน้าอย่างผมมาตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีในชีวิตของเธอเช่นกัน
ในวันแต่งงาน นอกจากหน้ากากเจ้าบ่าวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษแล้ว ผมยังได้สวมเสื้อแขนยาวสีขาวเป็นมันวาวซึ่งดูมีราคาอยู่ไม่น้อย (ใครก็รู้ว่าการทอผ้าสีขาวในเมืองนี้เป็นเรื่องยุ่งยากขนาดไหน) คอปกตั้ง ชายเสื้อยาวคลุมเหนือบริเวณเข่าของกางเกงขายาว ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าทอผืนเดียวกัน มันเป็นน้ำพักน้ำแรงจากฝีมืออันละเอียดอ่อนของไลลา เธอเป็นหญิงงามที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้ามาตั้งแต่เริ่มเป็นเด็กสาวแล้ว เธอเคยเล่าว่า เธอเรียนรู้ศาสตร์นี้มาจากแม่ของเธอที่สืบทอดวิชามาจากยาย และยายของเธอก็รับเอาความสามารถ รวมถึงกลเม็ดเคล็ดลับเกี่ยวกับศาสตร์นี้มาจากทวดอีกทอดหนึ่ง เธอว่าเรื่องมันนานมาแล้วนับเป็นศตวรรษ ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงถ้อยคำที่เล่าสืบกันมาเท่านั้น
ตระกูลของเธอเป็นตระกูลเก่าแก่อันดับต้น ๆ ของเมืองนี้ สามารถสืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไปได้หลายชั่วคนเลยทีเดียว และหากร่างของเหล่าบรรพบุรุษที่นอนอยู่ในสุสานปรากฏแก่สายตา เธอก็จะนึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก สุสานดังกล่าว ผมเคยเห็นมันอยู่ไกลลิบ ๆ ทางท้ายที่ดินผืนใหญ่ของพ่อตา ซึ่งใช้เป็นแหล่งผลิตข้าวและพืชไร่ประเภทต่าง ๆ ด้วยแรงงานของเหล่าบรรดาทาส (ภายหลังได้กลายเป็นคนงานกินค่าแรงไปหมดแล้ว)
ถ้อยคำเล่าขานพรั่งพรูออกมามากมายราวกับนิทานก่อนนอน ผมยิ้มให้แก่เรื่องราวจากปากจิ้มลิ้มช่างพูดของไลลา สำหรับผมแล้วนี่เป็นเพียงแค่เรื่องปรัมปรา ที่มักจ
เล่าสู่กันฟังภายในครอบครัวของชาวชนบท สิ่งที่ผมประทับใจยิ่งกว่ากลับเป็นดวงตายาวรีสีดำเหมือนฝุ่นของเธอ ซึ่งแลดูเป็นประกายเมื่อเล่าขานถึงตำนานของถิ่นนี้ นั่นทำให้ผมอดใจก้มหน้าลงไปจุมพิตเธอไม่ได้ รสจูบอันอ่อนหวานซ่านซึ้งยากแก่การลบเลือนไปจากใจนั้น ทำให้ผมตระหนักถึงความพิเศษของชีวิตสมรสอย่างเต็มเปี่ยม อาจเป็นไปได้ว่าด้วยรสชาตินี้เอง จึงได้ทำให้ผมหลงลืมเรื่องสำคัญมาโดยตลอด
ณ โมงยามแห่งการมาเยือนนั้น เท่าที่ผมจำได้ก็คือ ในฐานะชายพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้า ผมไม่มีสิ่งใดมอบแด่เธอ นอกจากร่างกายที่แข็งแรงและรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวา สิ่งสำคัญคือ…ทำอย่างไรก็ได้ให้เจ้าสาวมีความสุข ตามที่พ่อแม่ของเธอกำชับไว้ในคืนส่งตัว
.
.
.
แล้วคืนวันก็ผันผ่านไปเช่นที่มันเคยเป็นมาในประวัติศาสตร์หรือในนิทาน เรื่องราวมากมายผ่านมาและจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงกระโตกกระตากให้เรารู้ นอกจากในวันที่มีใครบางคนสะดุดหยุดคิดและตกใจกับการผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ผมเองก็เช่นกัน อาจจะเคยถามตัวเองว่า มาทำอะไรในเมืองอันร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยฝุ่นดำแห่งนี้ แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบใดผุดโผล่ขึ้นมา ด้วยวิถีชีวิตในเมืองฝุ่นมีสภาพตามรูปแบบที่มันต้องการให้เป็นไป กล่าวคือหลังแต่งงาน ผมได้รับมอบหมายจากพ่อตาให้ทำหน้าที่คอยปัดฝุ่นที่มาเกาะข้าวของเครื่องใช้ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง ตลอดจนซอกมุม หรือตามร่องรูต่าง ๆ สถานที่ซึ่งฝุ่นดำมักจะฉวยโอกาสเข้าไปยึดเป็นที่พักพิง ผมมีไม้ขนไก่ด้ามหนึ่ง อันเป็นอาวุธประจำกายที่ผมเที่ยวได้ถือตบ ๆ ปัด ๆ ไปทั่ว ตั้งแต่ประตูหน้าบ้าน ห้องรับแขก จนถึงประตูห้องครัวท้ายบ้าน เมื่อได้เวลาอาหารก็กินข้าว ข้าวที่แม้จะพยายามหุงอย่างไรก็ยังคงมีฝุ่นดำปนเปื้อนให้เห็นอยู่เสมอ แต่นานวันเข้าผมก็เคยชินและคุ้นเคยกับมันเหมือนผู้คนทั่วไปในเมืองนี้ หลายครั้งยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า ฝุ่นดำทำให้อาหารแต่ละจานมีลักษณะเฉพาะถิ่น พวกชาวบ้านบอกว่าถ้าไม่มีฝุ่น ข้าวก็จะไม่อร่อยอีกต่อไป
“ชิมดูสิ สัมผัสได้ไหม ว่ามันมีรสหวานเจืออยู่จาง ๆ” ทุกคนในเมืองล้วนยืนยันเช่นนั้น
ชีวิตของผมซึ่งแต่เดิมไม่เคยมีระเบียบแบบแผนมาก่อนก็เปลี่ยนแปลงไป เหมือนคนเคยสวมเสื้อกลับตะเข็บ แล้วอย่างทันทีทันใดก็สะดุ้งรู้ตัว รีบถอดออกมาสวมเสียใหม่ให้เหมือนชาวบ้าน ผมกลายเป็นคนตื่นและหลับนอนเป็นเวลา กินและทำงานไปตามวิถีแห่งพระอาทิตย์ กล่าวคือเช้าตื่นขึ้นมาก็ผ่าฟืน กินข้าว สายหน่อยจึงปั่นจักรยานไปรอบเมือง บ่ายปัดฝุ่นในบ้าน เย็นตักน้ำใส่ตุ่มหิน ครั้นตกค่ำ เมื่อเมืองนี้เริ่มเข้าสู่ห้วงยามแห่งนิทรา ผมก็อาบน้ำประแป้งเข้าห้องนอนกอดแนบร่างอันบอบบางของไลลา ต่างหายใจรดใส่กัน ยิ้มหัวให้กันในความมืด โลกที่มีเพียงแสงดาวระยิบระยับปรากฏให้เห็นทางช่องหน้าต่างติดกระจก และเสียงแมลงกลางคืนก็ร้องระงมชวนวังเวงใจทำให้ง่วงนอน ระหว่างนั้นจะมีเรื่องราวอยู่สองประการที่ผมชอบหวนนึกถึงอยู่เสมอ ประการแรกคือผมมักจะอดระแวงไม่ได้ว่ากำลังมีผงฝุ่นดำร่วงหล่นลงบนร่าง คิดไปต่าง ๆ นานาว่าฝุ่นมากมายกำลังเข้าปาก จมูก และรูหูของผม แม้ว่าจะอยู่ภายในห้องที่ปิดผนึกกันฝุ่นไว้ทุกด้านแล้วก็ตาม ประการที่สอง โดยไม่รู้สาเหตุ มันมักจะมีเสียงคำถามดังขึ้นในหัวว่าผมมาทำอะไรอยู่ในเมืองนี้ การเดินทางได้ยุติลงดื้อ ๆ เพราะการแต่งงานกับสาวชาวบ้านใช่ไหม ความรักทำให้หลายสิ่งหลายอย่างหยุดลง แต่มันก็เป็นการหยุดสนิทที่มีคุณค่าแก่หัวใจของเรามิใช่หรือ หากผมพอจะหาคำตอบได้ มันก็คือคำตอบเก่า ๆ เหมือนที่ทุกคนเคยรับรู้
แล้วจู่ ๆ ในวันนั้นเอง วันที่เหมือนวันปกติธรรมดา วันที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากแค่อากาศร้อนจัดและยางบนถนนใกล้จะละลาย ขณะนั่งอยู่บนอานจักรยานกับความเหนื่อยล้า อย่างฉับพลันผมก็นึกออกว่า เหตุผลกลใดชักนำให้ผมมาเยือนเมืองนี้ ความฝันในตอนกลางคืนเพิ่งจะปรากฎภาพชัดเจนในยามตื่น ทำให้เรื่องราวกระจ่างขึ้นโดยไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว มันแจ่มชัดราวกับมองดูเส้นลายมือตัวเองด้วยแว่นขยายขนาดใหญ่เลยทีเดียว ความทรงจำทั้งมวลได้ทำให้ผมหมดความสนใจในเมืองอันเต็มไปด้วยฝุ่นดำนี้ ท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้า ไม่มีสิ่งที่ผมตามหา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมีความหมายอีกแล้ว เว้นเสียก็แต่ไลลาที่ผมจะต้องพาเธอออกเดินทางไปด้วยกัน เพื่อกระทำภารกิจแห่งชีวิตให้สำเร็จ
ผมยิ้มลิงโลด รีบถีบจักรยานให้เร็วขึ้น เมื่อแลเห็นหลังคาบ้านของไลลาโผล่พ้นแนวต้นไม้
.
.
.
“จิต” คือน้องสาวของผม
ตอนที่ผมอายุได้สิบขวบ จิตเพิ่งจะเข้าโรงเรียนอนุบาล ถูกต้อง อายุของเราห่างกันหลายปีทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางบ้านไว้ใจให้จิตขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนกับผมทุกเช้า เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นภาระของเด็กซุกชนอย่างผมในเวลานั้น คิดดูเถอะ ผมต้องรอให้จิตสวมชุดนักเรียนและกินอาหารจนเสร็จเรียบร้อยในตอนเช้าเสมอ ก่อนจะจูงมือพาเดินไปรอรถโดยสารประจำทาง ครั้นถึงเวลาเลิกเรียนก็ต้องพาน้องสาวกลับบ้านพร้อมกัน ที่จะปลีกตัวหาเรื่องเถลไถลเหมือนแต่ก่อนนั้นทำไม่ได้เลยแม้สักวันเดียว ผมรู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมชั้นหลายคน พวกเขามักจะชวนกันขี่จักรยานไปหาจับแมลงทับตามป่าละเมาะริมทางรถไฟแทบทุกเย็น ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะแวะกระโดดลงคลองหลังโรงเรียนเลิกด้วยซ้ำ นับตั้งแต่จิตกลายเป็นเงาของผม
เพราะเหตุนี้กระมัง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมจึงหาเรื่องแกล้งน้องสาวเล่นเป็นการเยียวยาสภาพจิตใจอยู่เสมอ ครั้งแรกเลยคือวันที่ผมใช้เงินซื้อขนมในร้านค้าหน้าโรงเรียนจนเกลี้ยงกระเป๋า ไม่เหลือแม้สักเก๊เดียวสำหรับเป็นค่ารถโดยสารกลับบ้าน ผมจึงได้แต่แบมือออกตรงหน้าจิต พลางเอ่ยปากขอเงินแกมบังคับด้วยน้ำเสียงเอาจริง ผมรู้ดีว่าจิตมีเงินค่าขนมเหลือเพื่อนำไปหยอดกระปุกที่บ้านเสมอ แต่จิตกลับปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมให้เงินนั้นแก่ผม แม้ผมจะยอมลงทุนอ้อนวอนแล้วก็ตาม ผมจึงลงโทษจิตด้วยการพาเธอเดินกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปหลายกิโลเมตร ระหว่างทางก็มักจะหาเรื่องแกล้งจิตด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา อย่างเช่นวิ่งหนีแล้วปล่อยให้จิตยืนร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวบ้างละ บางครั้งก็ทำเป็นรี ๆ รอ ๆ เพื่อเดินตามหลัง จากนั้นผมจะกระโดดเข้าไปแอบอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง เมื่อจิตหันมาไม่เห็นผม เธอจะทำหน้าเหรอหรา ดวงตากลมดำไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างคนขาดที่พึ่งพิงเธอไม่มีทางกลับบ้านได้เองด้วยเธอยังเด็กเกินไป จากนั้นจิตก็จะเริ่มต้นร้องไห้จนน้ำตากลบเบ้า ผมทำเช่นนี้อยู่นานเลยทีเดียว ทำแทบทุกวันเหมือนเห็นเป็นของสนุก จวบจนกระทั่งเมื่อจิตรู้จักฟ้องผู้ใหญ่เป็น ความลับระหว่างจิตกับผมจึงถูกเปิดเผยออกมา เหมือนเวลาเราแบมือที่กำขนมซึ่งขโมยมาจากร้านค้า เพื่อให้แม่มองเห็นความชั่วร้ายแบบเด็ก ๆ ของเรานั่นแหละ
เรื่องน่าประหลาดใจก็คือ จิตเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกลงโทษ มันช่างเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งยังไม่เคยรู้จักการนอนอยู่ในความมืดตามลำพังมาก่อน ยังไม่เคยได้ลองลิ้มชิมรสชาติของการถูกทอดทิ้งให้อยู่กับคนแปลกหน้านานข้ามวันข้ามคืน แล้วที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การไม่รู้เรื่องเลยว่าจะถูกพาเดินทางไปยังเมืองไกล เพื่อที่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เธอจะต้องยืนมองพ่อกับแม่เดินกลับไปขึ้นรถเก๋ง ก่อนจะพากันขับรถลับสายตาหายไปทางประตูใหญ่ของโรงเรียนอันเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอ จากนั้นก็ดำรงชีวิตในแต่ละวันอยู่ได้ด้วยคำสัญญา คำสัญญาที่พ่อกับแม่บอกว่า อีกไม่นานจะมารับกลับไปอยู่บ้านหลังเดิม
โรงเรียนประจำดังกล่าวอยู่ไกลมากเสียจนเด็กอย่างผมในเวลานั้นก็ยังยากที่จะจินตนาการถึง จิตจะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อโรงเรียนปิดภาคการศึกษาในฤดูร้อนเพียงปีละครั้งเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมกับน้องสาวห่างเหินกันไม่ต่างจากคนแปลกหน้า ในเวลาต่อมาเราเลยไม่พูดจากันแม้แต่ในเรื่องสำคัญ ถ้าจำเป็นจริง ๆ เราก็จะพูดผ่านคนอื่น ผมเองไม่ยี่หระในเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว ถึงกับเคยรู้สึกดีที่ได้เป็นอิสระจากความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ซึ่งมีอยู่หรือเกิดขึ้นเพราะบังเอิญเกิดในครอบครัวเดียวกัน ต่างคนต่างอยู่นับเป็นเรื่องวิเศษ จะไม่มีใครมาคอยกวนใจเหมือนพี่น้องบ้านอื่นที่มักจะแย่งของเล่นกัน หรือไม่ก็ชอบแอบมาวุ่นวายกับข้าวของส่วนตัวชวนให้หงุดหงิดใจ
จวบจนกระทั่งเริ่มเป็นผู้ใหญ่ อยู่ดี ๆ เรื่องราวของน้องสาวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในความฝันของผม ยามตื่นผมมักจะคิดทบทวน ผมครุ่นคิดในห้องนอนอย่างเงียบ ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น แล้วอย่างฉับพลันก็กลายเป็นจริงเป็นจังอย่างน่าเศร้า นานหลายปีทีเดียวที่ผมสะสมความรู้สึกผิดนี้จนเป็นรูปเป็นร่าง จากไม่เคยมีตัวตนก็กลายเป็นมีตัวตนให้จับต้องได้ มันทำให้ผมต้องการเยียวยาน้องสาว จิตน่าจะมีวัยเด็กน่าประทับใจเหมือนเด็กคนอื่น ถ้าเพียงแต่เธอจะมีพี่ชายแสนดีเหมือนอย่างผู้คนในครอบครัวอื่น แต่ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทำตามที่ใจคิด เพราะเมื่อผมต้องการพบเธอ จิตก็หายตัวไปจากบ้านเสียแล้ว เธอหนีไปโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ไม่มีจดหมายอำลา หรือแม้กระทั่งข้อความตำหนิติเตียน คนในบ้านรู้ว่าเธอไม่ได้ฆ่าตัวตายก็จากกระเป๋าเดินทางที่เธอหอบไปด้วย ซึ่งนั่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีความหวัง อย่างน้อยจิตก็ยังมีชีวิตอยู่
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมจึงออกเดินทางตามหาน้องสาว จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ด้วยรถจักรยานสีเขียวของจิตนั่นเอง ผมขี่จักรยานไกลออกไป ไกลจากบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยทิ้งพ่อแม่ไว้ทางเบื้องหลัง ปล่อยให้พวกท่านอยู่กับความหวังว่าจะได้พบหรือได้ข่าวของลูกสาวผู้น่าสงสารอีกครั้งหนึ่ง
หลายปีหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย แต่ยังคงเดินทางมุ่งไปข้างหน้า ด้วยตระหนักว่าเวลาของมนุษย์อย่างเรา ๆ นั้นสั้นนัก เวลาของผมจึงหมดไปกับการเฝ้าติดตามค้นหาเบาะแสของน้องสาวที่หายตัวไป เพื่ออะไรอย่างนั้นหรือ ก็เพื่อพาเธอกลับบ้านน่ะสิ ผมปรารถนาจะรักษาหัวใจของเธอ จากนั้นก็จะดูแลเธอให้ดีเพื่อเป็นการไถ่โทษ โดยหวังว่าเธอจะอภัยให้ในท้ายที่สุด
.
.
.
ท่ามกลางเสียงดนตรีแช่มช้าอ้อยสร้อยฟังดูเศร้า ๆ ภาพที่เห็นตรงกลางบ้านแทบจะทำให้ขาแข้งของผมอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นเลยทีเดียว พ่อตากับแม่ยายของผมยืนร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ขณะจ้องมองร่างของไลลาที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงไม้
“ไลลาเป็นอะไรไปครับพ่อ” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น ๆ
“ไลลา…ตายแล้ว”
“ไลลาตายแล้ว” ผมทวนคำด้วยเสียงสูง
“ใช่ ไลลาตายแล้ว”
“เกิดอะไรกับไลลา เมื่อเช้าผมยังเห็น…”
“มันตายเพราะเพิ่งรู้ความจริงน่ะสิ” พ่อตาจ้องมองผมด้วยสายตาแสดงความเจ็บปวด “มันเพิ่งรู้ว่าเจ้าไม่ได้รักมันเลย”
“…” ผมรู้สึกงงงันไปกับคำพูดนั้น
“เป็นเพราะเจ้าละเมอออกมาเองเมื่อตอนเช้ามืด บอกว่าเจ้ารักผู้หญิงคนนั้นมากที่สุด และเจ้าต้องตามหาตัวหล่อนให้พบ เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดไป”
ไม่น่าเลย ไลลาไม่ได้ตายเพราะความจริง แต่เธอตายเพราะความไม่จริงต่างหากเล่า ผมบอกตัวเอง รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไลลาลูกของเราจึงถอดหน้ากากออก ปล่อยให้ผงฝุ่นดำท่วมท้นบนใบหน้าอันงดงามของเธอ เธอสิ้นใจตรงโน้นแน่ะ ตรงเครื่องทอผ้าที่เธอรักมากนั่นแหละ แต่ถึงอย่างไรก็ยังน้อยกว่าที่รักเจ้า ไอ้ลูกเขย” พ่อตาของผมกล่าวพลางส่ายหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาไปมา ในมือถือหน้ากากไว้ไม่ยอมสวม
ผมพยายามจับต้นชนปลาย นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า แล้วก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น ในเวลานั้นถ้าเพียงแต่ผมหยุดพูดคุยกับเธอ ในตอนที่เธอทำท่าเหมือนจะเรียก เราก็คงได้คุยกันและเข้าใจได้ว่าผมฝันถึงใคร เรื่องราวคงไม่จบลงเช่นนี้ ความเอาจริงเอาจังกับความรักของเธอได้ทำให้เธอจบชีวิตลงอย่างไร้สาระ ไม่มีหนทางใดให้เธอแก้ตัวอีกแล้ว มันเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเราสองคนจะไม่ได้พบกันอีก ผมคิดด้วยความสลดใจ
ในเวลานี้ สิ่งสำคัญประการแรกก็คือ ต้องจัดการกับศพของไลลาให้เรียบร้อยเสียก่อน ผมพยายามทำใจให้นิ่งสงบ บอกกับตัวเองว่า นี่คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วอย่างที่ผมรู้มานานก็คือ มันเป็นธรรมเนียมของเมืองนี้ ที่ผู้เป็นสามีจะต้องอุ้มศพภรรยาเข้าไปเก็บไว้ในสุสานประจำตระกูลแต่เพียงลำพัง ก่อนที่ดวงตะวันจะตกดิน ในกรณีที่สามีเสียชีวิต ภรรยาก็เพียงแต่เดินตามขบวนแห่ศพของสามีเข้าไปในสุสานโดยไม่กลับออกมาเท่านั้น
.
.
.
ร่างแน่งน้อยเบาหวิวของไลลาถูกผมอุ้มพาเดินลุยฝุ่นดำมุ่งหน้าไปยังสุสาน และแม้ว่าจะต้องเดินไปตามคันนาเป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมง นั่นก็มิได้ทำให้สามีอย่างผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย กลับอยากให้เส้นทางนั้นทอดยาวไกลที่สุด เพื่อจะเดินอุ้มร่างเธอไปนานเท่านาน ทว่าทุกเส้นทางย่อมมีที่สิ้นสุดเสมอ ผมเดินจนถึงสุสานของตระกูล ซึ่งตั้งอยู่ท้ายไร่ข้าวโพดถัดจากนาข้าวออกไปเล็กน้อย ตัวสุสานเป็นอาคารโค้งแข็งแรง มีสันฐานคล้ายกระดองเต่า และบนหลังคามีปล่องระบายอากาศเหมือนสุสานของชาวบ้านตระกูลอื่น ๆ อาคารทั้งหลังถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐก่อถือปูนที่ครั้งหนึ่งเคยทาสีขาวเอาไว้ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นสีฝุ่นดำที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น
ประตูทางเข้าสุสานเป็นแผ่นหินหนาหนักถูกเปิดออกด้วยกลไกง่าย ๆ ตามคำแนะนำของพ่อตา และนั่นก็ทำให้ฝุ่นดำร่วงกราวลงมาจนฟุ้งตลบ ผมก้าวเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า จมูกภายใต้หน้ากากเริ่มได้กลิ่นอับเหมือนอยู่ในถ้ำ ขณะที่สายตาสอดส่ายสำรวจไปทั่วบริเวณ เมื่อแลเห็นเตียงวางเรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบก็เข้าใจได้ทันที เตียงพวกนี้มีทั้งที่ถูกครอบครองแล้ว ทว่าก็ยังมีอีกมากที่ไร้เจ้าของ ผมเลือกเตียงว่างขนาดพอเหมาะกับร่างของไลลาตามธรรมเนียม เตียงหินว่างเปล่ามีเพียงฝุ่นดำเกาะหนาเป็นคืบทำหน้าที่ไม่ต่างจากผ้าคลุม ผมใช้สองมือกอบฝุ่นบนพื้นขึ้นมาโปรยลงบนใบหน้าและร่างไร้ชีวิตของเธอ เป็นอันว่าพิธีศพเสร็จสิ้นลงอย่างเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการขอโทษเธอ ผมจึงไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ยังคงเที่ยวกอบผงฝุ่นตามพื้นมาโรยลงบนร่างของภรรยาต่อไป นี่คือรูปแบบการแสดงความรักต่อผู้ตายของชาวเมืองนี้ ฝุ่นดำมากมายจะดูดความชื้นออกไปจากศพอันจะทำให้เนื้อหนังไม่เน่าเปื่อย ร่างไม่เน่าเปื่อยจะกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรัก พวกคนหนุ่มสาวจะทำเรื่องราวนี้ด้วยความกระตือรือร้น หากเป็นในห้วงเวลาที่ไฟรักยังคงลุกโชนสว่างไสว
ผมโกยฝุ่นไม่ยอมหยุด กระทั่งมือข้างหนึ่งกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างที่จมอยู่ใต้ฝุ่นดำ ผมค่อย ๆ ควานลงไปในฝุ่นนั้น และสัมผัสได้ถึงความหยุ่นนิ่มแต่แห้งผาก ทีแรกผมสะดุ้งหดมือกลับมาด้วยความตกใจกลัว ทว่าหลังจากเรียกสติกลับคืนมาได้ก็นั่งลงคุกเข่า พลางปัดฝุ่นออกจากสิ่งนั้นอย่างช้า ๆ แล้วทันทีที่ฝุ่นดำถูกปัดหายไปจนเกือบหมด ใบหน้าอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นให้ผมได้เห็นเธออีกครั้งหนึ่ง
“จิต…” ผมครางออกมา แต่ร่างของน้องสาวตรงหน้าไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ เธอคงตายมานานมากแล้ว ผมหันไปมองเตียงหินที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่พบร่างน้องสาว ก็เห็นร่างอันคาดเดาได้ว่าเป็นผู้ชายนอนอยู่ใต้กองฝุ่นเช่นกัน ผมค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด นั่นทำให้ผมอดยิ้มอย่างเศร้าใจไม่ได้ แท้ที่จริงแล้ว ผมเป็นเพียงผู้เดินตามรอยจิตที่สูญหายมาเท่านั้น
ผมตัดสินใจอุ้มร่างของจิตเดินออกจากสุสานตรงกลับไปที่บ้าน พ่อตากับแม่ยายเมื่อเห็นว่าผมกระทำสิ่งใดลงไปก็ถึงกับยกมือปิดปากอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นก็ห้ามปรามไม่ให้ผมทำอะไรแผลง ๆ เช่นนั้น ทั้งสองคนพยายามแย่งจิตไปจากผม ผมจำต้องใช้หัวไหล่กระแทกร่างชราทั้งสองจนกระเด็นกระดอน เวลานี้ผมไม่แยแสต่อทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้อีกแล้ว ด้วยไม่มีไลลา ผมจึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกของเธออีก บางทีอาจจะต้องขอบคุณในความตายของเธอด้วยซ้ำ เพราะความตายของเธอจึงทำให้ผมได้พบจิตอีกครั้ง
ผมจับร่างของน้องสาวมัดไว้บนตะแกรงหลังในลักษณะของคนนั่งซ้อนท้ายจักรยาน พยายามผูกรั้งร่างแห้ง ๆ ผุ ๆ ด้วยเชือกปอ ทำให้ดูเหมือนกับว่าจิตกำลังนั่งอยู่ด้วยอารมณ์เบิกบาน จากนั้นก็ขึ้นคร่อมอานและออกแรงถีบบันไดจักรยานให้ล้อหมุน ชีวิตเริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงทางโค้งหักศอกในตำแหน่งที่ผมเคยเลี้ยวกลับเสมอ ผมก็ถอดหน้ากากขว้างออกไปไกล แล้วเร่งความเร็วจนทิ้งเมืองฝุ่นไว้ทางเบื้องหลัง
เป็นเวลานานมากแล้ว นานจนจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน ที่ผมพาร่างน้องสาวตระเวนไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อหาทางชุบชีวิตและความทรงจำของเธอ ทว่ามีแค่จักรยานเก่าโทรมที่ได้รับการซ่อมแซม รวมถึงเปลี่ยนอะไหล่นับครั้งไม่ถ้วน จนบัดนี้ไม่เหลือชิ้นส่วนเดิมเลยแม้สักชิ้นเดียว
ในแต่ละวันผมสัญญากับตัวเองเสมอว่าจะไม่ทอดทิ้งจิตอีก แม้ว่ามันจะเป็นภาระอันมากด้วยความยากลำบาก หลายต่อหลายครั้งยังนำมาซึ่งการดูหมิ่นถิ่นแคลนอีกด้วย ไม่มีใครอยากต้อนรับคนเร่ร่อนยากจนเข็ญใจ ผู้ซึ่งทรัพย์สมบัติในชีวิตมีเพียงซากศพผุพังและจักรยานเก่า ๆ เท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไปกับคำครหาของชาวบ้าน ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินทางต่อไปบนเส้นทางที่ผมได้เลือกแล้ว
จวบจนกระทั่งการเดินทางอันยาวไกลได้บรรลุถึงชะง่อนผาแห่งนี้ หลังการพักผ่อนผ่านไปเจ็ดวันเจ็ดคืน พลันความคิดอย่างใหม่ก็อุบัติขึ้น จากความลังเลก็เปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ สายลมแห่งห้วงยามอาทิตย์อัสดงได้ทำให้หัวใจของผมเยือกเย็นลงกว่าในวัยหนุ่ม วินาทีที่ผมโยนร่างของน้องสาวลงสู่ท้องทะเลนับเป็นการตัดสินใจอันรอบคอบ เธอเดินทางมากับผมนานเกินไปแล้ว สายน้ำเบื้องล่างจะพาเธอเดินทางต่อไปตามวิถีทางของเธอ จวบจนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ ที่จะกลายเป็นไอและเมฆหมอกบนท้องฟ้าสูงลิ่วโน่น
ท้ายที่สุด ผมได้ละทิ้งจักรยานไว้บนชะง่อนผา จากนั้นค่อย ๆ เดินไปอีกเส้นทางหนึ่งด้วยใจสงบ รู้สึกเบาสบายขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้บางขณะที่เผลอสติจะหลงคิดไปว่าตัวเองกำลังขี่จักรยาน และจิตยังคงซ้อนท้ายร่วมทางมาด้วยกัน ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ความพลั้งเผลอชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น.