เรื่องสั้นไทย “กำแพง” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย เรื่อง กำแพง โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน เฝ้าแต่ก่อกำแพงรอบบ้านสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนมองไม่เห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอก ผมแลเห็นเพียงกำแพงสีอิฐและหมู่เมฆบนท้องฟ้า จึงอดรนทนไม่ไหวต้องนำกล้องวงจรปิดไร้สายไปติดไว้บนหลังคาบ้านรอบทิศ เพื่อส่องดูโลกภายนอกจากหน้าจอโน้ตบุ๊กในยามที่มีเวลาว่าง ทว่าผมกลับเห็นแค่กำแพงบ้านหลังอื่นที่รายล้อมอยู่รอบบ้านของผมเท่านั้น

พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ที่ด้านหลังกำแพงสูงนั่นนะ พักหลังมานี้ ผมมักจะตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบใด ๆ แว่วมาให้เข้าใจ ผมต้องตรวจสอบโสตประสาทด้วยการเปิดเพลงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะมีก้อนอิฐหรือขวดเบียร์ลอยละลิ่วมากระทบหลังคาเป็นการตักเตือน ทว่า

เดี๋ยวนี้เปิดเข้าไปเถอะ มีพลังเสียงกี่วัตต์ก็ใส่เข้าไป ผลที่ตามมาจะมีเพียงความเงียบ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนผมชอบนะที่มันเป็นแบบนี้ เอ๊ะ หรือว่าผมจะไม่ชอบกันแน่ แต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นชอบ คำถามนี้ถ้ามีคำตอบก็คงดีไม่น้อย นานแค่ไหนแล้วที่ผมเคยได้ยินคำตอบ ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก

สิ่งเดียวที่ผมแน่ใจที่สุด เนื่องจากไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาตอบก็คือ ผมน่าจะอดตายภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนนี้ เพราะอาหารในตู้เย็นขนาดใหญ่ร่อยหรอลงไปมากแล้ว ครั้นต้องการสั่งเพิ่มกลับทำไม่ได้

มันไม่ใช่เพราะผมไม่มีเงิน ถ้าร้านค้ารับเป็นทองคำ ผมก็ยังพอมีให้ด้วยซ้ำ ปัญหามันอยู่ตรงที่ทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปสั่งเสบียงอาหารมาเพิ่ม มันกลับไม่ยอมเพิ่มอย่างที่ปรารถนา

“ฮัลโหล ร้านเปิดอยู่หรือเปล่าครับ”

“ใครโทร.มาแกล้งอีกแล้ว อย่าแกล้งกันเลยนะคะ ช่วงนี้ขายไม่ค่อยดีเลยค่ะ ลูกค้าไม่รู้หายไปไหนกันหมด”

“ผมอยากได้เนื้อวัว เอาสันในนะครับ สักสิบโล ข้าวสารสองกระสอบ พริกแห้งหอมกระเทียมอย่างละโล แล้วก็น้ำดื่มแบบขวดยี่สิบแพ็ค ส่งมาด่วนเลยนะครับ”

“อ๋อ จะแวะมาอุดหนุนหรือคะ ขอบคุณค่ะ แล้วพบกันนะคะ สวัสดี”

ผมได้แต่รอแล้วรอเล่า จนในที่สุดก็เบื่อที่จะโทรศัพท์ไปสั่งซื้ออะไรอีก เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดทุกร้าน ไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะรู้สึกอย่างไร แต่ผมชักจะไม่อยากใส่ใจอีกแล้ว ดูนั่นสิ แปลงผักสวนครัวและถั่วงาที่ลงแรงปลูกไว้บนพื้นที่ที่เคยเป็นสนามหญ้ากำลังงอกงามดี อย่างน้อยก็น่าจะพอยืดวันตายออกไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

และถึงจะทำใจไว้แล้วว่าอาจต้องอดตาย ผมก็ยังไม่อยากตายไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่ใครรับรู้ โชคดีที่ยุคนี้มีช่องทางการติดต่อระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ให้เลือกมากมาย ผมน่าจะบอกกล่าวแก่ใครสักคนหรือหลาย ๆ คน ทว่านั่นคงต้องเป็นยามว่าง หลังจากที่ก่อกำแพงด้านหลังบ้านให้สูงขึ้นไปอีกสักหน่อย อิฐมอญที่ซื้อตุนไว้พร้อมปูนยังเหลืออีกราวภูเขาย่อม ๆ ผมคงตายตาไม่หลับแน่ ถ้ากำแพงบ้านของผมเตี้ยกว่าของคนอื่น ผมคิดอย่างนั้นเอง หรืออาจจะเป็นตัวความคิดนั้น ที่ยืนยันกับผมมาโดยตลอด

“…” เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผมดังขึ้น ขณะนั่งก่อกำแพงเพิ่มเติม ผมไม่อยากรับสายแต่ก็รับ

“ว่าไงวะ โทร.มาทำไม”

“นี่คือเสียงจากระบบอัตโนมัติของพรรคเรารักทุกคนค่ะ การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเรารักทุกคนมีโปรโมชั่นพิเศษให้แก่ประชาชนผู้มีอุปการคุณเลือกดังนี้ หนึ่ง…ถ้าคุณเลือกทั้งแบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ คุณจ

ได้รับสิทธิพิเศษเป็นเงินปันผลจากโครงการเลี้ยงช้างต้องกินขี้ช้าง ด้วยอัตราขี้ช้างสิบเปอร์เซนต์ต่อปี ต่อค่าเฉลี่ยของผู้ลงคะแนนเลือกพรรคเราทั้งหมด…”

“มันก็ไม่เหนื่อยเท่าไรนักหรอกครับ กะอีแค่สร้างกำแพงแค่นี้ ว่าแต่คุณพอจะส่งอาหารมาให้บ้างได้หรือเปล่า ในตู้เย็นจะไม่มีอะไรให้กินแล้วนะโว้ย”

“หากลงคะแนนเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางพรรคจะสมนาคุณท่านด้วยบัตรทองคำขาวตามโครงการประกันสุขภาพค่ะ ทุกครั้งที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่คุณกำหนด นอกจากจะรักษาฟรีแล้ว คุณยังจะได้รับเงินค่าใช้บริการครั้งละหนึ่งพันบาททุกโรคด้วยค่ะ”

“ยังไงถ้ายังไม่ลืมกัน ก็รีบ ๆ จัดการส่งมาเลยนะ”

“โปรโมชั่นนี้มีระยะเวลาจำกัด ทางพรรคขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นสำหรับการเลือกตั้งในอีกสี่ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องประกาศให้้ทราบล่วงหน้า อย่าลืมไปใช้สิทธิและเลือกพรรคเรานะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากพรรคเรารักทุกคนค่ะ”

“เออ แล้วจะรอรับของอยู่ที่บ้านนี่แหละ กูไม่ได้ออกไปไหนนานแล้ว”

ผมได้แต่หวังว่าคราวนี้คงไม่พลาด เพื่อนคนนี้น่าจะส่งอาหารมาให้ตามที่รับปาก คิดได้อย่างนี้แล้วจึงปีนนั่งร้านติดกำแพงลงมา และกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่อย่างสบายใจ

เวลาผ่านไปเร็วบ้างช้าบ้าง ผมสังเกตดูอาการของนาฬิกามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันก็คงเหมือนคนเราที่บางทีขี้เกียจ บางที็ขยัน แต่เมื่อกลไกลรวนขึ้นมาก็เดินถอยหลังให้เห็นอยู่บ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากใส่ใจกับเวลามากนัก เพราะบางทีเวลาของผมอาจใกล้จะหมดลงแล้ว

เพราะเหตุนี้ผมจึงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ถ้าไม่มีอะไรจะกินและอดอยากจนตายขึ้นมาจริง ๆ จะต้องมีใครสักคนที่รับรู้ หรือหลาย ๆ คนได้ยิ่งดี คิดได้อย่างนี้แล้วจึงเดินไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นออนไลน์เข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเปิดโปรแกรมรับส่งข้อความที่คุ้นเคยขึ้นมา

โชคดีจริง ๆ ที่คนรักของผมกำลังอยู่ในสถานะออนไลน์อยู่พอดี ผมรีบพิมพ์ข้อความส่งไปด้วยความรัก

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานมีกิ๊กใหม่หรือยัง”

“ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือคะ คิดว่าตายอยู่หลังกำแพงนั่นแล้ว”“ผมพูดเล่นไปงั้นเอง คนอย่างคุณคงไม่มีใครสนใจหรอก”

“การตายไปอย่างว้าเหว่มันเป็นเรื่องทรมานนะคะ พี่น่าจะออกมาจากกำแพงนั่นเสียที”

“ผมเหรอ ยังไม่เคยคิดที่จะทรยศต่อความรักของเราแม้แต่ครั้งเดียว เวลาของผมหมดไปเพื่อสร้างสิ่งที่ท้าทายกาลเวลา เพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกันของมนุษยชาติ มันยิ่งใหญ่มากนะจะบอกให้”

“แค่ก้าวออกมาก็พ้นแล้ว ประตูบ้านพี่ยังไม่ได้ถูกปิดตายนี่นา”

“ท้าทายกาลเวลาแน่นอน ผมจะเขียนข้อความปรัชญาอันลึกซึ้งไว้บนกำแพงด้านนอก ใครที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ถ้าได้เห็นย่อมจะเข้าใจ และเกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ พวกเขาจะไม่มีวันลืมคนอย่างผม”

“แล้วพบกันนะคะ”

“เออ ทนไม่ได้ก็มีผัวใหม่ไป๊”

ผมรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาทันทีที่รับรู้ว่าคนรักไม่สนใจสิ่งที่ผมกำลังทำเพื่อส่วนรวมเลย แต่นั่นแหละนะ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้หญิงก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ กล่าวคือชอบใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล แม้ว่าผมอยากจะยอมรับว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่งดงาม ส่วนเหตุผลเป็นความจริงที่แห้งแล้งและด้านชา แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากจะใช้เหตุผลและเลือกมันในวาระสุดท้ายของชีวิต

คนรักของผมอยู่ในสถานะอ็อฟไลน์ไปเสียแล้ว ป่านนี้คงจะแอบนั่งร้องไห้อยู่มุมไหนสักมุมหนึ่งในโลกใบนี้ ผมไม่ควรเอามาเป็นอารมณ์ บางทีผมน่าจะส่งอีเมลไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เคยส่งอีเมลคุยกันเป็นประจำ เพิ่งจะมาห่างก็ตอนที่ทุกคนยุ่งกับการก่อกำแพงบ้านนั่นเอง

“เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ส่งข่าวถึงนายเลย นายเองก็เหมือนกัน เราสองคนน่าจะไม่ค่อยมีเวลาด้วยกันทั้งคู่ ฉันส่งเมลมาบอกนาย ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้ายหรือเกือบสุดท้ายว่า ฉันอาจอยู่ไม่ถึงช่วงเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าอย่างไรนายช่วยไปใช้สิทธิแทนฉันที เพื่อจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ และถ้านายคิดถึงฉันก็ส่งเมลมาหาเถิด ฉันจะตั้งระบบตอบอีเมลอัตโนมัติเอาไว้ นายจะได้คิดว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ หรือถ้าจะมาดูผลงานบนกำแพงของฉันแทนก็ได้เหมือนกันนะ เพราะกำแพงที่ฉันก่อไว้ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ฉันจะเขียนชื่อนายไว้ด้วย เอาไว้ตอนล่าง ๆ หน่อย เวลาสื่อมาถ่ายภาพไปเผยแพร่ (ถ้ายังมีคนสนใจสื่อกระแสหลักอยู่หรอกนะ) นายจะได้มีชื่อเสียง ทีนี้เงินทองก็จะไหลมาเทมาให้นายได้ใช้อย่างสบายใจ…ลาก่อนว่ะ (บอกเผื่อไว้เสียเลย)”

พอส่งอีเมลเสร็จเรียบร้อย ผมก็นอนเอกเขนกบนโซฟา จากตรงนี้ผมสามารถมองเห็นกำแพงบ้านตัวเองได้ถนัดตา มันสูงขึ้นไปในอากาศ และยิ่งใหญ่ไม่แพ้ต้นถั่วของแจ็คขี้ขโมย
กำลังชื่นชมกับผลงานของตัวเองอยู่นั้นเอง เสียงเตือนว่ามีอีเมลใหม่จากเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ดังขึ้น ผมบิดขี้เกียจแล้วลุกไปเปิดอ่าน

“อีเมลตอบอัตโนมัติจากเพื่อนเอ็ง ข้ารู้ว่าเอ็งต้องได้รับอีเมลตอบโดยอัตโนมัติจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของข้าเป็นครั้งที่ 54 คราวต่อไปจะเป็นครั้งที่ 55 เหลือเชื่อว่ะ เมื่อไหร่เอ็งจะรู้เสียทีว่าข้าน่ะไปสวรรค์นานแล้ว เอ็งน่าจะออกจากกำแพงก่อนจะตายในกำแพงอย่างที่ข้าเคยเป็น มันไม่เท่หรอกนะเพื่อน หากต้องจากโลกนี้ไปโดยมีกำแพงสี่ด้านเป็นสุสาน แค่นี้โว้ย หวังว่าเอ็งคงเข้าใจ และอย่าให้ระบบต้องตอบอีเมลของเอ็งเป็นครั้งที่ 55 ล่ะ หัดจำไว้บ้าง มีสติหน่อย”

เพื่อนของผมไม่เคยเปลี่ยน ผมนึกดีใจที่เพื่อนอยู่ดีมีสุข และกำลังจะแต่งงานมีครอบครัวกับหญิงที่เป็นรักครั้งแรกของมัน

คิดถึงเพื่อนรักแล้วผมก็นึกอยากจะตอบอีเมลกลับไป ทว่าต้องเปลี่ยนแผน เนื่องจากมีภาพสัญลักษณ์กะพริบเตือนว่าใครคนหนึ่งกำลังติดต่อเข้ามา ผมรีบคลิกเปิดอ่านโดยไม่รั้งรอ

“สวัสดีค่ะ ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ อยากคุยด้วย ที่นี่เหงาจัง”

“กำแพงของผมใกล้จะเสร็จแล้วครับ”

“ที่โน่นเหงาไหมคะ”

“เสร็จเมื่อไร ผมคงลาโลกนี้พอดี”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ใช่ไหมคะ”

“ผมเลยถือโอกาสอำลาเป็นการล่วงหน้าเลยแล้วกัน”

“ดีใจจังเลยที่มีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคน”

“ลาก่อนครับ”

ผมปิดโปรแกรมทั้งหมดและปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ บอกตัวเองว่าสิ่งที่ควรทำก็ได้ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะได้เวลากลับไปก่อกำแพงขั้นสุดท้ายให้เสร็จ แล้วเขียนข้อความสื่อสารให้โลกรับรู้ จากนั้นคงไม่เหลืออะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก

ถึงเวลานั้น บางทีผมอาจจะทำอาหารมื้อสุดท้าย แล้วนั่งกินอยู่คนเดียวในบ้านที่มีแต่กำแพงล้อมรอบ ก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความเข้าใจของคนที่ผมรู้จักและพวกเขารู้จักผม.


หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย   เดือนมีนาคม   พ.ศ.  2549