เรื่องสั้นไทย “เรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเขา” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเขา โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

“นักเขียนควรมีความชื่นชมในผลงานของเขา เป็นรางวัลของตนเอง”

วิลเลียม ซอมเมอร์เซท มอห์ม เคยเขียนประโยคอันมีท่วงทำนองปลุกปลอบใจนี้ไว้ในนวนิยายเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขาได้คัดลอกถ้อยคำดังกล่าวลงบนผนังปูนในห้องเช่าด้วยลายมือตัวโต ๆ ตั้งแต่ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ แน่นอน เขามักจะยืนอ่านด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมพลังอยู่เสมอ ราวกับว่านี่คือคาถาศักดิ์สิทธิ์สำหรับสวดภาวนายามที่เขาอาจนึกท้อแท้ใจ

ใช่ เขายอมรับว่าหลายต่อหลายครั้งที่ตัวเองท้อแท้ใจกับการเขียนเรื่องสั้นแนวการเมืองซึ่งเขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตอันหอมหวานที่ไม่เคยหวนคืนกลับมาให้ชื่นชมอีก ระยะหลัง ๆ มานี้เรื่องสั้นแนวการเมืองของเขาถูกปฏิเสธจากบรรณาธิการอย่างไร้ความเห็นอกเห็นใจเสมอ

เขาละสายตาจากข้อความดังกล่าว แล้วก้าวเนิบ ๆ ตรงไปยังมุมห้อง ท่ามกลางกลิ่นเหม็นสาบอับชื้น และอากาศที่ร้อนอบอ้าวคล้ายฝนกำลังจะตก เขาทรุดร่างอันผ่ายผอมเอนหลังลงบนฟูกเก่าคร่ำ ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลยตลอดช่วงเย็น นอกจากเดินวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้องพักเหมือนคนบ้า จนเวลาผ่านพ้นยามค่ำมานานแล้ว

หลายครั้งเขาได้ยินเสียงเพื่อนข้างห้องถกเถียงกันดังแว่วมาอยู่เป็นระยะ ๆ ประเด็นที่พูดคุยนั้นไม่พ้นเรื่องการประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมบนท้องถนน เรื่องความแข็งกร้าวและความดื้อหัวชนฝาของนักการเมืองซีกรัฐบาล เขาได้ยินข่าวลือว่าจะมีการปะทะกันถึงขั้นนองเลือดแต่ก็ไม่อยากใส่ใจ เพราะทุกวันนี้ตัวเองก็มีเรื่องให้ต้องขบคิดจนหัวกบาลแทบจะระเบิดอยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ตอนหัวค่ำ เขานั่งจ้องมองจอคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ข้อความลงไปสักประโยคหนึ่ง ครั้นแล้วก็ลบมันทิ้งไปอย่างไม่สบอารมณ์ เวลาล่วงเลยอย่างสูญเปล่า และเขายังไม่สามารถเขียนอะไรออกมาเป็นเรื่องราวได้ นอกจากจมอยู่ในห้วงความคิดอันสับสน

“เรื่องนี้ไม่ผ่าน ขอโทษ ผมไม่อยากพูดว่ามันใช้ไม่ได้” บรรณาธิการผู้คุ้นเคยกันดีแจ้งข่าวร้ายอันซ้ำซากทางโทรศัพท์เมื่อตอนเย็น

“ความจริงมันก็พอใช้ได้หรอกนะ ทั้งสำนวนแล้วก็กลวิธีการเล่าเรื่อง แต่มันเก่าไปแล้ว ผมหมายถึงเนื้อหากับมุมมองในเรื่องของคุณน่ะ คราวก่อนผมก็แนะนำไปแล้วไง ว่าให้ลองคิดหาอะไรใหม่ ๆ มาเขียนบ้าง หรือว่าจินตนาการของคุณตีบตัน…”

นึกถึงเรื่องนี้แล้วนักเขียนผู้ล้มเหลวก็ต้องเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากไว้ด้วยความเคยชิน ใจหนึ่งปรารถนาจะนอนหลับรวดเดียวให้ถึงเช้า เพื่อที่วันพรุ่งนี้เขาจะได้ตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส แล้วมีแรงใจแรงกายเขียนหนังสือต่อไป พรุ่งนี้อาจเป็นวันอันยอดเยี่ยมสำหรับเรื่องสั้นดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ทว่าคำพูดของบรรณาธิการคนนั้นก็ยังคงก้องอยู่ในความคิดราวกับต้องการบีบคั้นให้เขาแสวงหาคำตอบออกมา เป็นคำตอบต่อข้อสงสัยว่ามันจริงล่ะหรือ ที่จินตนาการของเขาได้เดินทางมาถึงจุดตีบตันตามข้อสังเกตดังกล่าว บางทีเวลาเจ็ดปีนับจากเรื่องสั้นเรื่องแรกได้รับการตีพิมพ์จนถึงวันนี้ มันอาจรีดเค้นเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากหัวสมองของเขาจนหมดสิ้นแล้วก็เป็นได้ ถ้าเป็นความจริง เขาก็ควรลาจากโลกนี้ไปเหมือนฉลามที่ว่ายน้ำไม่ไหวจนจมน้ำตายอย่างน่าสังเวช

“เป็นไปไม่ได้” เขาคิด และรับรู้ความจริงข้อนี้ด้วยหัวใจ เขายังคงเชื่อมั่นว่าเรื่องสั้นแนวการเมืองที่ตัวเองเขียนออกมาเป็นผลพวงจากจินตนาการโดยแท้ แม้จะอิงความจริงเป็นหลักไว้มากพอไม่ให้ซวนเซก็ตาม แล้วเพราะเหตุใดกันเล่าเรื่องสั้นแต่ละเรื่องถึง “ไม่ผ่าน”

“มันคงอยู่ที่เนื้อหาตามที่บก.ว่านั่นล่ะมั้ง” เขาพึมพำออกมาพร้อมกับหลับตาลง สักพักหนึ่งก็รู้สึกรำคาญความเหนียวเหนอะหนะตรงแผ่นหลัง อากาศร้อนทำให้เหงื่อซึมออกมาจนเสื้อยืดเปียกชื้น เขาพลิกตัวเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง จึงมองเห็นต้นฉบับเรื่องสั้นกองอยู่อย่างตำตาตำใจ มันตั้งอยู่ใกล้หัวนอน เขาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเปื้อนหมึกในความคิดของบรรณาธิการ มาพลิกอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง พยายามไม่เข้าข้างตัวเองเหมือนที่นักเขียนหลายคนชอบทำกัน

เรื่องสั้นทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันสิบสองเรื่อง มากพอจะรวมเล่มเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กได้ น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจอยากพิมพ์ให้ เขาคิดด้วยความสมเพชและขบขันชีวิตตัวเองไปพร้อมกัน วาทะของนักประพันธ์ใหญ่อย่างมอห์มไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ของเขาแช่มชื่นขึ้นเหมือนครั้งแรก ๆ ที่อ่านด้วยความประทับใจ อย่างไรก็ตาม เขายังชื่นชมในผลงานที่ตัวเองเขียนไว้ไม่เสื่อมคลาย แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ถ้าผลงานเหล่านี้ไม่ได้รับการเผยแพร่ ไม่มีใครได้อ่าน ไม่มีใครจดจำ นับเป็นจุดจบของนักเขียนวัยเพิ่งพ้นเบญจเพสคนหนึ่งโดยแท้

คืนนี้คงเป็นคืนที่ยาวนานหากแม้นนอนไม่หลับ ชายหนุ่มคิด ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นนั่งในท่าขัดสมาธิ แล้วพลิกอ่านเรื่องสั้นในมืออย่างช้า ๆ

หลังจากพวกมันผ่านการขัดเกลามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรราวกับเป็นใบหน้าของคนรักในความทรงจำ หญิงสาวแสนน่ารักผู้ทอดทิ้งเขาไปเสียแล้ว เพราะความยากจนตามขนบของเรื่องแนวนี้ เธอเคยบอกว่าชอบผลงานของเขา หลายเรื่องเป็นเรื่องสั้นที่ดี อย่างเช่นเรื่อง “หัวใจนักการเมือง” เรื่องนี้เธอปรบมือให้ทันทีที่อ่านจบ เธอชอบเพราะเขาเล่าถึงนักการเมืองไร้หัวใจ จึงสามารถทำเรื่องเลวทรามต่อพี่น้องประชาชนได้โดยไม่ละอายต่อความผิดบาป ตอนจบประชาชนพากันเสียสละหัวใจให้นักการเมืองด้วยความปรารถนาดี เพื่อที่จะได้มีหัวใจเหมือนชาวบ้านบ้าง แต่พวกมันกลับกลืนกินหัวใจอันใสซื่อทุกดวงด้วยความเอร็ดอร่อย และร่ำร้องขอกินเรื่อยมาราวกับเป็นสิทธิอันชอบธรรมไปเสียแล้ว

“ล้าสมัยชิบ…” เขาพึมพำออกมาเมื่ออ่านถึงบรรทัดสุดท้าย ในที่สุดก็รู้ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ได้ตีพิมพ์ เรื่องราวเกี่ยวกับความชั่วร้ายของนักการเมือง ช่างเป็นความสามัญดาษดื่นของเรื่องสั้นในท้องตลาดจริง ๆ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยนักการเมืองก็ต้องชั่วช้าอยู่แล้ว นักอ่านทั้งหลายสามารถพบเรื่องเหล่านี้ได้บนหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่มีรสชาติใหม่ ๆ ให้ขบคิด หรือแม้แต่จะให้ความสะเทือนใจ เขาตัดสินใจฉีกเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“จอมเผด็จการรัฐสภา” คือต้นฉบับเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาขยำเป็นก้อนทันที หลังอ่านทบทวนไปได้เพียงครึ่งเรื่อง มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเอาเสียเลย ทั้งเรื่องเล่าแต่ความขัดแย้งในจิตใจของนักการเมืองชราคนหนึ่ง ซึ่งต้องการทำความดีเพื่อบ้านเมืองในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่แล้วเป็นเพราะตนเติบโตขึ้นมาบนถนนการเมืองด้วยระบบอุปถัมภ์ จนกระทั่งได้เป็นหัวหน้าพรรค และเมื่อมีโอกาสครองเสียงข้างมากในรัฐสภา จึงต้องสนับสนุนการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่เหล่านายทุนของพรรค แม้กฎหมายนั้นจะทำให้ประชาชนขมขื่นก็ตาม

โชคดีที่ไม่มีใครเอาไปพิมพ์ เขาคิดอย่างโล่งอก หาไม่แล้วคนอ่านคงรู้สึกผิดหวัง มิหนำซ้ำจะจดจำนามปากกาของเขาไว้ในฐานะของนักเขียนไร้คุณภาพคนหนึ่ง ซึ่งความจริงอาจเป็นอยู่แล้วด้วยซ้ำ เขาไม่อยากหาเหตุผลมาแก้ต่างแทนตัวเองในเรื่องนี้อีก

เมื่อทนอ่านจนครบทุกเรื่องและฉีกผลงานทั้งหมดทิ้งด้วยความอดสูใจ เขาก็สรุปได้เป็นครั้งแรกว่า เพราะความซ้ำซาก ความเก่าคร่ำของเนื้อหาในเรื่อง พวกมันจึงได้รับการปฏิเสธจากบรรณาธิการผู้ต้องการความแปลกใหม่ ผลงานทุกเรื่องของเขาในระยะหลัง ๆ ล้วนวนเวียนอยู่แต่เรื่องความชั่วร้ายของผู้คนในแวดวงการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต การใช้อำนาจเกินเลย การเล่นพรรคเล่นพวก การตลบตะแลง การซื้อเสียง หรือแม้แต่ปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองในลักษณะต่าง ๆ

ทุกแง่มุมที่ว่ามานี้ พวกนักประพันธ์เมื่อหลายสิบปีก่อน บางทีอาจจะเป็นร้อยปีมาแล้วด้วยซ้ำ ต่างก็นำมาเล่าขานและตั้งคำถาม จนบัดนี้เหลือแต่ความชืดชา หลายคนเขียนตามความจริง หลายคนเขียนเสียดสี หลายคนคนเขียนยั่วเย้าแกมตลก และหลายคนเขียนให้ผู้อ่านร่ำไห้สงสารประเทศชาติ ทว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ไม่ต่างจากการพายเรือในอ่างน้ำเน่าทางการเมืองนั่นเอง

“ห่ะ แล้วกูจะเขียนอะไรได้อีกวะ” เขาสบถพลางดึงทึ้งเส้นผมสกปรกเหมือนคนเป็นโรคประสาท แต่ด้วยดวงตาเศร้าสร้อยอันปราศจากแววขุ่นขวาง จึงทำให้รู้ว่านักเขียนอย่างเขายังคงมีสติดีอยู่

ครั้นเวลาผ่านไปครู่หนึ่งนักเขียนหนุ่มก็สงบลงจนเป็นปกติ ความเศร้าเลือนหายไปโดยมีอาการครุ่นคิดอย่างมีความหวังเข้ามาแทนที่ ทันใดนั้นเขาเหลือบตาดูนาฬิกาบนผนังห้อง ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแทบจะเป็นการกระโจน พร้อมกับตรงรี่ไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะตัวเล็กกลางห้อง เขารีบกดปุ่มเปิดเครื่องและนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอาการกระตือรือร้น ไฟวรรณกรรมกำลังลุกโชนอยู่ในหัวใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างรอให้เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมใช้งาน ใบหน้าของเขาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ก็จะไม่ให้เขามีความสุขและความหวังขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไรเล่า อยู่ดี ๆ ท่ามกลางความสิ้นหวัง เขาพลันตระหนักว่า แท้จริงแล้วเขายังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเขียนเรื่องสั้น อายุของเขายังน้อย และคืนนี้ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า ช่วงเวลาอันสงบเงียบเช่นนี้ย่อมเหมาะแก่การเขียนหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญเขาน่าจะสามารถเร่งเร้าจินตนาการให้เปล่งพลังแห่งการสร้างสรรค์ จนออกมาเป็นเรื่องสั้นได้สักเรื่องหนึ่ง และบางที ใช่ บางทีมันอาจกลายเป็นเรื่องสั้นแนวการเมืองที่ดีที่สุดของเขา

“กูจะต้องเอาชนะบรรณาธิการให้จงได้” เขาคำรามออกมา ก่อนจะกระโดดเข้าสู่ห้วงจินตนาการอันไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่แน่ใจหรอกว่าจะเขียนเรื่องอะไร และมันจะออกมาดีเยี่ยมสักแค่ไหน จนกว่าเขาจะพาตัวเองเดินทางไปจนถึงบรรทัดสุดท้ายของเรื่องสั้นเรื่องใหม่แล้วนั่นแหละ

เขายืนลังเลอยู่หน้าประตูสำนักงานนานหลายอึดใจ ความรู้สึกอ่อนล้าจากการนั่งพิมพ์ต้นฉบับเรื่องสั้นจนถึงเช้าโดยไม่หยุดพักทำให้เขาอยากหลับไปตลอดทั้งวัน ทว่าด้วยความต้องการจะอวดผลงานเรื่องใหม่ตามประสานักเขียนหนุ่มใจร้อน ก็ทำให้เขาล้มตัวลงนอนไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องนำต้นฉบับมายื่นแก่บรรณาธิการด้วยตัวเอง แทนที่จะส่งทางไปรษณีย์เหมือนเช่นทุกครั้ง

“นั่งก่อนสิ” บรรณาธิการสูงวัยเอ่ยขึ้น หลังจากเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือพิมพ์บนโต๊ะทำงาน

เขายกมือไหว้ แต่ไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ตามคำเชิญ รีบยื่นต้นฉบับให้ด้วยรอยยิ้มเขินอายเล็กน้อย ทว่าในความเขินอาย ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและความหวัง

“เรื่องสั้นเรื่องใหม่ของผมเองครับ เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อเช้า แก้ไปหลายรอบเลยครับ ผมคิดว่า…” พูดไม่ทันจ

บรรณาธิการก็คว้าต้นฉบับไปพลิกดูเสียก่อน นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่ายาวนานเหลือเกิน เขาหวังจะได้รับคำชมเชย คำสรรเสริญ คำยกย่อง และได้รับคำตอบรับว่าจะตีพิมพ์ในเร็ววันนี้

“เฮ้อ…“ บรรณาธิการถอนหายใจเมื่ออ่านจบ แล้วโยนต้นฉบับคืนให้ “ผมผิดหวังในตัวคุณจริง ๆ นี่หรือที่คุณเรียกมันว่าเรื่องสั้น ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสั้นตรงไหน นอกจากคุณเขียนให้มันสั้นไม่กี่หน้า ทั้งเรื่องไม่มีความขัดแย้งอะไรเลย คุณเอาแต่เล่าถึงความสามัคคีระหว่างนักการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ความสามัคคีที่ทุกคนพากันขานรับ การปรองดองระหว่างความดีกับความชั่ว บ้านเมืองเต็มไปด้วยสันติภาพ เพราะนักการเมืองทั้งดีชั่วกับประชาชนต่างกอดคอรักใคร่กันได้อย่างเหลือเชื่อ แล้วอยู่ดี ๆ ตอนจบประเทศของเราก็กลายเป็นแดนศิวิไลซ์ ให้ตายเถอะ คุณเขียนมันออกมาได้ยังไง ผมอยากจะบ้าตายจริง ๆ มันจะทำให้ชื่อของคุณตกต่ำรู้ไหมถ้าผมพิมพ์ให้ ผมไม่ต้องการอย่างนั้น”

หัวใจของเขาปวดร้าวไปกับทุกถ้อยคำของบรรณาธิการ

“นี่…ไงครับ” เขาพยายามอ้าปากกล่าวแก้ตัวเสียงสั่นและตะกุกตะกัก “เรื่องสั้นการเมืองเนื้อหาใหม่ของผม เท่าที่รู้มันไม่เคยมีมาก่อนเลยนะครับ มันใหม่อย่างที่บ.ก.ต้องการไงครับ ผมตั้งใจเขียนทั้งคืน แล้วก็ปริ้นต์ออกมาให้ดู ผมคิดว่า….”

บรรณาธิการยกมือขึ้นโบกพลางส่ายหน้า

“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาเป็นว่าผมขอตัวทำงานก่อน ไว้คุณเขียนเรื่องที่ดีที่สุดได้เมื่อไหร่ ค่อยส่งมาให้ผมพิจารณาก็แล้วกัน”

เขาออกจากห้องของบรรณาธิการด้วยอาการคล้ายคนถูกจับโยนจนหกคะเมนตีลังกา ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ความฝันแท้งเสียตั้งแต่เพิ่งเริ่มต้น เขาพร่ำพูดอยู่คนเดียว มีอาการออกไปทางเลื่อนลอย ทำให้คนที่เดินอยู่แถวนั้นพากันมองด้วยความหวาดระแวง

“เรื่องที่ดีที่สุดของผม…ก็คงเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตนั่นแหละ” เขานึกเสียดายที่ไม่ได้บอกบรรณาธิการไปตามนี้ ความเกรงใจทำให้เขาได้แต่กล่าวออกไปอย่างเชื่อง ๆ ว่า “ผมจะกลับมาพร้อมกับเรื่องสั้นการเมืองเรื่องใหม่ครับ”

ตอนนี้ถ้าเขาหวนเข้าไปในสำนักงานอีกครั้งก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย เขาอาจกลายเป็นคนหน้าด้านหน้าทนในสายตาของผู้อาวุโสกว่า เขาจึงก้าวเท้าเดินเซซังไปตามบาทวิถี ท่ามกลางแสงแดดยามสายซึ่งร้อนแรงผิดกับวันธรรมดาในฤดูฝน

ขณะนั้นเส้นทางที่เคยคับคั่งด้วยยวดยานได้กลายเป็นถนนว่าง ๆ ผู้คนบนบาทวิถีรวมทั้งเขา ต่างพากันเดินลงไปบนท้องถนนโดยมิได้นัดหมาย ไม่นานนักรอบ ๆ ตัวเขาก็แออัดด้วยฝูงชน ซึ่งหันมามองสบตากันอย่างต้องการค้นหาคำตอบ เด็กเล็ก ๆ เริ่มร้องไห้กระจองอแงทำให้พ่อแม่ต้องช่วยกันอุ้มขึ้นปลอบโยน มีประชาชนหลายคนพยายามกลับขึ้นไปบนบาทวิถีอีกครั้ง แต่ไม่อาจแทรกผ่านคลื่นมนุษย์ได้

เสียงครางของเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแว่วมาทางหัวถนน นักเขียนหนุ่มรีบเขย่งเท้าเพื่อชะเง้อมอง จึงเห็นว่ามันคือเสียงจากขบวนรถบรรทุกประดับธงชาติ พร้อมด้วยคนกลุ่มใหญ่เดินตามหลัง ต่างใช้สีทาหน้าไม่ผิดคนป่าเตรียมตัวทำสงครามระหว่างเผ่า พวกที่ยืนอยู่บนรถกำลังตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียง มันเป็นถ้อยคำกึกก้องแต่สับสนคลุมเครือ ทำให้เขาไม่อาจเข้าใจความหมายที่แท้จริง

ในเวลาต่อมา เขาพบว่าอีกด้านหนึ่งของถนนมีขบวนรถบรรทุกติดธงชาติเช่นเดียวกัน กลุ่มคนที่เดินตามหลังทาใบหน้าด้วยสีหนาเตอะ ทว่าแตกต่างออกไปจากพวกแรก ที่น่าตระหนกก็คือ บัดนี้ขบวนรถพวกนั้นกำลังเคลื่อนตรงรี่เข้ามา โดยไม่ใส่ใจกับผู้คนจำนวนมากซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง

“พี่น้องเอ๋ย ไม่มีเวลาอีกแล้วสำหรับการนิ่งเฉย รีบตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป ก้าวออกมาอยู่กับฝ่ายเราเถิด เราคือตัวแทนของความถูกต้องชอบธรรม พี่น้อง…”

เสียงจากเครื่องขยายเสียงของขบวนรถสองฝ่ายประกาศออกมาเหมือน ๆ กัน จนไม่อาจแยกแยะได้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร หรือฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ฝูงชนบนท้องถนนตัวสั่นงันงกและอยู่ในสภาพอลหม่าน คนส่วนใหญ่รีบเบียดเสียดแหวกทางเพื่อไปให้พ้นจากบริเวณนั้น แต่นั่นกลับทำให้คนแก่และเด็ก หรือแม้กระทั่งหนุ่มสาวซวนเซล้มลง มีเสียงหวีดร้องดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ หลายคนตะโกนขอความช่วยเหลือพร้อมกับร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว

เขากัดฟันจนกรามนูนปูดโปน รีบม้วนต้นฉบับที่ถูกปฏิเสธในอุ้งมือชื้นเหงื่อ หัวสมองกำลังหมุนติ้ว เพราะพยายามคิดหาทางหลุดรอดออกไปจากวงล้อม ซึ่งกลายเป็นกับดักขนาดใหญ่ มันแข็งแรง แถมยังไร้ทางออกสำหรับทุกชีวิตที่พลัดหลงเข้ามา

ครั้นเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง คนส่วนใหญ่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เนื่องจากรถบรรทุกทั้งสองฟากหยุดรอดูสถานการณ์ แต่แล้วเสียงคำรามของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะทะยานเข้าใส่ประชาชนกลางท้องถนนอย่างบ้าคลั่ง ฝูงชนวิ่งเตลิดเพื่อเอาชีวิตรอด ต่างพากันเหยียบย่ำไปบนร่างของคนที่ล้มลง ด้วยความตกใจและกังวล นักเขียนหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายหนีเช่นกัน 

“จะตายตอนนี้ไม่ได้” เขาบอกตัวเอง เขายังมีภาระต้องเขียนเรื่องสั้นการเมืองดี ๆ ออกมาอีก แต่การวิ่งเข้าตะลุมบอนกันของคนสองกลุ่มก็ทำให้เขารู้สึกสยองเข้าไปถึงหัวใจ เสียงแตกหักของกะโหลก ซี่โครง และแขนขาของผู้เคราะห์ร้าย ปนเปไปกับเสียงคำรามจากรถบรรทุก ซึ่งกำลังแล่นไล่ทับประชาชนด้วยอาการไม่ต่างจากเด็กเกเรใช้นิ้วบดขยี้มดปลวก

ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทำให้แม้คนสติเข้มแข็งที่สุดก็ยังอาจวิปลาสเอาง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม เขาถือเอาโอกาสนี้จดจำทุกสิ่งไว้ในฐานะวัตถุดิบสำหรับเขียนหนังสือ นั่นทำให้เขาอยู่ในอาการคล้ายเหม่อลอยจนวิ่งไปสะดุดร่างของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง เมือกเลือดและมันสมองของบรรดาศพเหล่านี้ทำให้เขาลื่นไถลล้มลง

ชั่วขณะที่พยายามพลิกตัวหลบเท้าฝูงชน แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ทว่าในห้วงเวลาคับขัน เขายังยิ้มออกมาได้ เมื่อเรื่องสั้นเรื่องใหม่สว่างวาบเข้ามาในห้วงสติอันเลอะเลือน

ยามนั้นเขานึกถึงถ้อยคำอำลาบรรณาธิการในสำนักงานเมื่อก่อนหน้านี้ เขาไม่ใช่หรือที่ประกาศออกไปว่า “ผมจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเรื่องสั้นการเมืองเรื่องใหม่ครับ”

แน่นอน มันจะต้องเป็นเรื่องสั้นที่ดีที่สุด นักเขียนหนุ่มตั้งความหวังด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย ก่อนที่รถบรรทุกติดเครื่องเสียงคันหนึ่งจะแล่นทับร่างของเขาไปอย่างคึกคะนอง.

หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์  เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเขา โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์
เรื่องสั้นเรื่องใหม่ของเขา โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เว็บไซต์ nittayasan.com