อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์
เสียงเอะอะแห่งความสุขที่ระเบียงหน้าบ้าน แต่เป็นความทุกข์ประการหนึ่งของมาลีเงียบหายไปได้สักพักใหญ่แล้ว นางกระชับกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กไว้แนบอก ขณะใช้มืออีกข้างค่อย ๆ ผลักบานประตูออกไป นางพยายามย่างแต่ละก้าวให้เงียบที่สุด คราวนี้นางบอกตัวเองว่า จะต้องทำให้สำเร็จ ไม่มีสิ่งใดจะมาหยุดยั้งความตั้งใจของนางได้อีก
นางเหลียวมองบ้านเช่าที่อยู่มาหลายสิบปีโดยไม่เคยมีอะไรดีขึ้น แล้วก็ต้องเผยอยิ้มเมื่อคิดได้ว่า หลังจากอายุย่างเข้า 59 ปี ชีวิตใหม่ของนางกำลังจะเริ่มต้น พอกันทีกับชีวิตบัดซบที่เต็มไปด้วยความขื่นขม ความสุขราวกับเพื่อนที่ชอบเล่นซ่อนหาและนางเล่นแพ้ทุกครั้ง ไม่เคยหาความสุขนั้นพบแม้สักครั้งเดียว ภาพของลูกผัวที่นอนสลบไสลอยู่ข้างขวดเหล้าและจานอาหารบนพื้นระเบียง หลังจากร่ำสุราอย่างหนักตั้งแต่เมื่อพลบค่ำ ทำให้นางส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ แทบจะไม่มีวันใดที่นางสามารถพ้นไปจากภาพเหล่านี้ เอาเถอะ นางบอกตัวเอง ผ่านคืนนี้ไปแล้วฉันก็จะเป็นอิสระ
นางมองหาทางเดินผ่านระเบียงบ้านไปสู่บันได แต่ไม่อาจทำได้ถ้าไม่ก้าวข้ามร่างของลูกชายและผัวที่ขวางทางอยู่ ช่างมันเถอะ นางนึก มันก็ไม่ต่างจากการเดินข้ามหมาข้างถนนสองตัว เพียงแค่ข้ามพ้นแล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ นางก็จะไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอีกต่อไป แวบหนึ่งใจนางหวนคิดอาลัยบ้านที่อาศัยอยู่มานาน แม้ว่ามันจะไม่เคยเป็นบ้านแห่งความสุข ถึงอย่างไรนางก็ยังอดใจหายไม่ได้ เท้าที่กำลังยกขึ้นกลับชะงักลง นางมองผัวเฒ่าผู้หลงลืมว่านางก็มีหัวใจ ผัวของนางกำลังส่งเสียงกรน น้ำลายไหลย้อยออกจากปากผ่านฟันซึ่งเหลือเพียงไม่กี่ซี่ หน้าผากนั้นเถิกกว้างเป็นมันด้วยคราบเหงื่อ ผมเผ้าบาง ๆ มองดูเป็นสีขาวมอ ๆ แล้วนางก็จ้องดูลูกชายวัยหนุ่มที่นอนคุดคู้และยิ้มมุมปากเหมือนกำลังฝันดี บางขณะที่เขาขยับตัวแล้วยกมือตบยุงทำให้นางสะดุ้ง เกรงว่าลูกชายจะตื่นขึ้นมาส่งเสียงเอะอะจนผัวของนางตื่น
ทำไมชีวิตของฉันถึงได้พบกับเรื่องเช่นนี้มาชั่วชีวิต นางครุ่นคิดจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตานั้นหมอง รู้สึกว่าชีวิตช่างเต็มไปด้วยรสขมของพิษร้าย ตั้งแต่วัยเด็กแล้วมันก็ดำเนินมาเช่นนี้ ไม่เคยมีอะไรแตกต่างออกไป พ่อของนางชอบออกไปแสวงหาความสุขกับเพื่อนหมู่บ้านอื่น ทั้ง ๆ ที่พ่อก็อายุมากแล้ว พ่อเปลี่ยนเป็นคนละคนหลังจากแม่ตายเพราะความป่วยไข้ ปล่อยให้นางในวัยแปดขวบอยู่เพียงลำพังในกระท่อมอันมืดสลัว ท่ามกลางเสียงลมวู่หวิว เสียงนกกลางคืนร้องดังแสก ๆ พ่อมักจะหายไปคราวละหลายวัน กว่าจะกลับมาอีกครั้งก็มีสภาพไม่ต่างจากสัตว์บาดเจ็บ ไม่มีเงินติดตัว ไม่มีความอิ่มหนำในกระท่อม นางรอดตายจากความหิวโหยด้วยผลตะขบและมะขามอ่อน บางครั้งก็ได้ข้าวปลาจากเพื่อนบ้านมากินบ้าง พวกเขาเจือจานด้วยความเป็นห่วงสงสาร ผิดกับพ่อที่ไม่เคยรู้เลยว่าความสงสารนั้นมีความสำคัญต่อเด็กผู้หญิงอย่างนางเช่นไร
ชีวิตในวันคืนเหล่านั้นยาวนานราวกับไร้วันจบสิ้น ไม่นานนักพ่อก็ตายตามแม่ไป เช้าวันนั้นนางตื่นขึ้นมาหลังจากนอนร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ มาทั้งคืน นางดีใจเมื่อเห็นพ่อนอนอยู่ใกล้ ๆ พ่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วสินะ นางรู้สึกอุ่นใจ ครั้นคลานเข้าหาพ่อ นางก็พบว่าร่างของพ่อเย็นชืด มีมดเดินเข้าออกจากรูจมูกของพ่อ พ่อตายแล้ว นางรับรู้ด้วยสัญชาตญาณ นางได้แต่ร่ำไห้อยู่ข้างศพพ่อ จนกระทั่งเพื่อนบ้านผ่านมารู้เรื่องเข้า นั่นคือวันที่นางกับพ่อต้องพลัดพรากจากกันชั่วชีวิต
พี่ชายคนโตซึ่งอายุห่างกันมากได้รับนางไปอยู่ด้วย หลังพิธีศพของพ่อเสร็จสิ้นลงอย่างเรียบง่าย บ้านของพี่ชายมีสมาชิกหลายคนด้วยกัน ดูอบอุ่นเหลือเกินในความคิดของเด็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดถนัด บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยเสียงด่าทอระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้ และเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ซึ่งก็คือหลานของนางนั่นเอง พวกเขาถูกตีเมื่อพี่สะใภ้หงุดหงิด พี่สะใภ้เองก็ร้องโอดโอยเมื่อโดนพี่ชายของนางทุบตีขณะมึนเมาครองสติไม่อยู่ หลายครั้งนางเองก็ไม่พ้นต้องร้องโหยหวนเมื่อกลายเป็นผู้ถูกลงโทษบ้าง ทั้งจากพี่ชายและพี่สะใภ้ ยามที่พวกเขารู้สึกว่านางขวางหูขวางตาอยู่ในบ้าน
เวลาในชีวิตของนางผ่านไป หนังสือไม่ได้เรียนทั้ง ๆ ที่นางอยากจะไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นใจจะขาด นางอิจฉาเด็กข้างบ้านที่ได้แต่งชุดนักเรียน เสื้อขาวกระโปรงสีน้ำเงินดูสวยงามน่าสวมใส่ยิ่งนัก น่าเสียดายที่นางไม่เคยมีโอกาสสวมใส่ในเวลานั้น ได้แต่เบือนหน้ามองไปทางอื่นทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น ยามเมื่อเด็กนักเรียนแต่ละคนเดินผ่านหน้าบ้านไป
ชีวิตของนางเป็นเช่นนี้อยู่นานถึงสองปี บางครั้งนึกอยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้ นางไม่มีหนทางเอาเสียเลย จนกระทั่งพี่สาวคนรองรู้ข่าว ตอนนั้นนางอายุย่างสิบเอ็ดปีแล้ว
“ฉันจะเอานังมาลีไปอยู่กรุงเทพฯ ขืนปล่อยไว้กับพี่ มันคงโง่เป็นควาย หรือไม่ก็ถูกตีตาย”
พี่ชายไม่ขัดขวางแถมขอบใจเสียยกใหญ่ นางจึงมีโอกาสเดินทางอีกครั้งด้วยใจตื่นเต้นสนุกสนานตามประสาเด็ก นางเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงเทพฯ มาบ้างจากผู้ใหญ่และเพื่อนเด็กบางคน ในความคิดของนางมันเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ไม่ต่างไปจากสวนสนุกตามงานวัด บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใด นางสามารถไปจากบ้านของพี่ชายเสียที
ที่กรุงเทพฯ นางได้เข้าเรียนชั้นประถมฯ พร้อมกับลูกของพี่สาว นางขยันเรียนด้วยความสุข นั่นเป็นความสุขเพียงไม่กี่ช่วงกี่ตอนในชีวิตอันยาวนานของนาง ทว่าความสุขก็แสนสั้นเหลือเกิน เมื่อนางเรียนจบชั้น ป. 4 แต่พี่สาวไม่ยอมให้เรียนต่อ
“หยั่งแกน่ะ เรียนแค่อ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว“
“มาลีอยากเรียนต่อ…”
“เอาเถอะ ฉันว่าจะให้แกไปเรียนเสริมสวย แกโตพอจะเรียนได้แล้ว มีวิชาช่างติดตัวดีกว่านั่งขีดเขียน ฉันคงเลี้ยงแกตลอดไปไม่ได้หรอก ลูกผัวฉันก็มี พวกมันล้างผลาญยังกับฉันพิมพ์แบงค์ได้เอง”
คำว่า “ช่างเสริมสวย” ทำให้นางสงบลงได้ ตอนนั้นนางเริ่มจะเป็นสาวแล้ว เริ่มสนใจเรื่องความงามตามประสาผู้หญิง นางเคยเดินผ่านร้านเสริมสวยตรงปากซอยเข้าบ้าน และเกิดความยินดีที่จะได้ทำงานแบบผู้หญิงโต ๆ พวกนั้นบ้าง ทุกวันที่เดินไปเรียนเสริมสวย ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ แม้โรงเรียนจะอยู่ไกลจนทำให้รู้สึกเหนื่อยบ้างก็ตาม นางตั้งใจเรียนด้วยความขยันขันแข็ง ดังนั้นเมื่อเรียนจบหลักสูตร ทางโรงเรียนจึงให้เป็นผู้ช่วยอาจารย์ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางสามารถหาเงินใช้ได้เอง นับเป็นความภาคภูมิใจของนางอย่างล้นเหลือ
“เออ ให้มันได้หยั่งงี้เหอะ นังมาลี” พี่สาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อนางส่งเงินเดือน ๆ แรกให้ และก็ทำเช่นนั้นเรื่อยมา ความจริงแล้วนางแทบจะไม่รู้จักการใช้เงิน นางกินอยู่กับพี่สาว นางเดินไปโรงเรียนเสริมสวยและกินอาหารกับพวกอาจารย์ นาน ๆ ครั้งหรอกที่จะแบมือขอเงินซื้อเสื้อผ้าบ้าง แต่นั่นก็แทบจะพูดได้ว่านานทีปีหน ชีวิตของนางช่วงนั้นน่าจะพอพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ราบเรียบและทุกข์น้อยที่สุด ไม่น่าแปลกนักหรอกที่มันไม่ยืนยาว ชีวิตมนุษย์อย่างนางเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง มันเริ่มต้นเมื่อนางมีโอกาสได้รู้จักกับทหารเรือรูปงามคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของอาจารย์ นับแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตก็เดินทางเข้าสู่ความพลิกผันครั้งใหญ่
ทหารหนุ่มคนนั้นคอยมาดักรอทุกค่ำเพื่อเดินเป็นเพื่อนนาง เขาไม่เคยแสดงให้เห็นความเบื่อหน่ายระหว่างเส้นทางจากโรงเรียนเสริมสวยกลับไปบ้านพี่สาว เขาทำให้นางหัวเราะ ทำให้หัวใจของนางพองโต บางครั้งก็ทำให้เขินอายเมื่อเขาชมว่านางน่ารักเหลือเกิน เมื่อนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนที่โรงเรียนเสริมสวยฟัง พวกเขาก็พากันพูดล้อว่านางกำลังมีความรัก….ความรักงั้นหรือ นางเริ่มฝันและเชื่อมั่นว่านั่นคือความรักอย่างแท้จริง เพราะมันทำให้นางรู้จักความสุข ความสุขมักจะเริ่มต้นเมื่อเขาพานางไปดูภาพยนตร์ในวันหยุด หรือไม่ก็ไปหาอาหารอร่อย ๆ ที่นางไม่เคยลิ้มลองมาก่อน นางเริ่มหายใจเข้าออกเป็นชายหนุ่มในเครื่องแบบอันสง่างาม จนกระทั่งค่ำวันหนึ่งเขามาดักรอรับเหมือนเคย บอกว่าจะพาไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง นางลังเลในตอนแรกเนื่องจากไม่ได้แจ้งพี่สาว แต่ด้วยหัวใจของวัยสาวและแววตาออดอ้อนของชายหนุ่ม นางจึงใจอ่อนยอมไปกับเขาในที่สุด
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้ชายส่งเสียงเฮฮา พวกเขาดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่าแล้วก็พากันเมามาย เมาเหมือนกับพ่อและพี่ชายของนางนั่นเอง นางเพิ่งรู้ว่าในวงเหล้ามีความสนุกสนานครื้นเครง มิน่าพ่อจึงได้ทอดทิ้งนางไปบ่อย ๆ นางอยากมีความสุขอย่างพ่อบ้าง มันทำให้นางไม่ขัดขืนเมื่อเขาชวนให้ลองดื่มเหล้า เขายืนยันด้วยรอยยิ้มว่านี่เป็นเครื่องดื่มแห่งความเบิกบาน นางเชื่อและเมามายไปกับความสนุกเช่นนักดื่มทั้งหลาย กระแสของความรื่นเริงราวกับสายน้ำในลำธารที่อาบไล้ไปทั่วหัวใจของนาง
และคืนนั้น เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงนางก็ไม่ได้กลับบ้าน มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องนอนแสนประหลาด ห้องที่เต็มไปด้วยกระจกรอบด้านไม่คุ้นตา ร่างของนางเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับทหารหนุ่ม นางร้องไห้ออกมาเบา ๆ เมื่อเข้าใจในเวลาต่อมาว่าเกิดอะไรขึ้น นางนึกกลัวพี่สาว หวาดหวั่นอะไรไปร้อยแปด แต่ลึกลงไปแล้ว นางสัมผัสได้ถึความหอมหวานของชีวิตและความรัก เขาตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับปลอบโยนด้วยคำพูดไพเราะและรสจูบอันซาบซึ้ง
เมื่อเขาพานางไปส่งที่บ้านตอนเช้าตรู่ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ไปทำงาน นางพบว่าพี่สาวกำลังรอคอยอยู่แล้วด้วยแววตาเคร่งเครียด พี่สาวด่าทอทหารหนุ่มด้วยคำพูดหยาบคายอย่างที่สุด ทั้งขู่ว่าจะนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของเขา
“อย่านะครับ มันจะมีผลกับงานของผม เอาเถอะ ผมก็ชายชาติทหาร ผมยอมรับผิดชอบทุกอย่าง”
เรื่องยุติเมื่อเขามาสู่ขอนางพร้อมด้วยเงินสินสอดก้อนหนึ่ง เงินนั้นทำให้พี่สาวยิ้มหน้าบาน นางรู้สึกโล่งอกแต่แล้วก็เริ่มหวาดกลัวในความเปลี่ยนแปลง เมื่อรับรู้ว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขา
“จะไปกลัวอะไรวะนังมาลี ไปอยู่กับผัวแก แล้วแกจะมีความสุข….”
นางหอบข้าวของส่วนตัวอันน้อยนิดไปอยู่กับเขาหลังเกิดเรื่องได้ไม่กี่วัน ก็บ้านที่นางกำลังยืนอยู่นี่แหละ นี่คือบ้านที่นางฝากชีวิตพักพิงมายาวนานที่สุด นานจนสามารถเรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร นางมีลูกกับเขาสามคน แม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เคยขาดเพราะความเป็นนักเลงสุราของเขา ลูกคนโตและคนรองเป็นผู้หญิงซึ่งพากันแต่งงานแยกย้ายออกไปหมดแล้ว นานครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมเมื่อมีปัญหาให้นางช่วยแก้ไข ลูกคนเล็กเป็นชาย เรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ไม่เคยทำงานเป็นเรื่องเป็นราว วัน ๆ เอาแต่เมาสนุกอยู่กับเพื่อนฝูง บางครั้งก็นั่งดื่มตามลำพังพลางฝันหวานถึงความร่ำรวยในชีวิต ถ้าคืนไหนผัวของนางหิ้วเหล้ากลับมาดื่มที่บ้านเช่นคืนนี้ พ่อวัย 66 กับลูกชายอายุ 35 ก็จะตั้งวงสรวลเสเฮฮากันอย่างมีความสุข
“จะกินเข้าไปให้มันได้อะไร เงินทองก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว มีแต่หนี้สินท่วมหัว…”
นางเคยต่อว่าทั้งสองคน แต่เมื่อเหตุการณ์จบลงด้วยการถูกลงโทษจากผัว ผัวที่แม้จะเกษียณอายุมาหลายปีแล้ว ก็ยังคงมีเรี่ยวแรงมากพอจะกระหน่ำฝ่ามือลงบนใบหน้าของนางเสมอ สมัยก่อนตอนที่ยังสาว ๆ เขาเพียงดุด่าเวลานางขัดใจด้วยคำหยาบคายเท่านั้น นานครั้งหรอกจึงจะลงมือบ้างเพื่อสั่งสอนนางให้เข็ดหลาบ ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะในเวลาต่อมานางเรียนรู้ที่จะเงียบ และกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งมวลเก็บซ่อนไว้ในอกลึก ๆ แทน
แน่นอน มันพากันสุมอยู่ราวกับกองเพลิง คอยแผดเผาใจให้ระทมทุกข์ ไม่มีใครทำให้ใจของนางเย็นชื่นได้ ไม่ว่าผัวขี้เมาหรือลูกเต้า เวลาใครขาดเงินก็ต้องมาแบมือขอแกมบังคับเอาจากนาง ลำพังเงินเดือนข้าราชการหรือเงินบำนาญที่ผัวของนางได้รับในแต่ละเดือนเคยพอเสียที่ไหนกัน นางมักจะต้องแบกหน้าไปขอกู้ยืมจากชาวบ้านด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 20 ถ้ามักคุ้นหน่อยก็พอจะถูกลงบ้าง ภาวะเช่นนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไปแต่ไม่เคยสลัดได้พ้น หลายครั้งนางคิดถึงความตาย ด้วยคิดว่าความตายอาจเป็นคำตอบสำหรับชีวิตของนาง เลือดที่หลั่งออกมาอาจช่วยชำระล้างความทุกข์ให้หมดไปได้ ลมหายใจที่หยุดลงคงทำให้นางลืมความเจ็บปวดอันยาวนาน แต่นางก็ไม่เคยมีความกล้าหาญพอ
มีเพียงคืนนี้ที่นางเลิกคิดถึงความตาย แต่คิดถึงการเดินทาง นับเป็นการเดินทางอีกครั้งหลังจากหยุดไปหลายสิบปี นางไม่รู้หรอกว่าออกจากบ้านแล้วจะเร่ร่อนไปแห่งหนใด ถึงลำบากทุกข์ยากแค่ไหนนางก็ยังคิดว่า มันไม่น่าจะเกินกว่าที่เคยได้รับจากคนในบ้านหลังนี้
นางตัดสินใจแล้ว มองลูกผัวที่ขวางทางอีกครั้ง วินาทีต่อมาก็ยกเท้าขึ้นเพื่อก้าวข้ามไปตามความตั้งใจเดิม ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อเห็นลูกชายลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย พร้อมกับพูดเสียงแหบเครือว่า “แม่…หิวน้ำ…ขอน้ำกินหน่อย” น้ำเสียงยังคงแสดงให้เห็นถึงความมึนเมาไม่สร่างซา
นางพยายามไม่สนใจ รีบเดินข้ามร่างลูกชายตรงไปที่บันไดระเบียง ครั้นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงขอน้ำกินดังขึ้นอีก นางหันไปมองสบตาแดงก่ำและอ่อนล้าของลูกชาย สุดท้ายก็ต้องเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมายื่นให้ ลูกชายของนางรับไปดื่มด้วยความกระหายจนเกือบหมดขวด จากนั้นก็ถามว่า “แม่จะไปไหนเหรอ….” นางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณ แต่ผัวของนางรู้สึกตัวเสียแล้ว เพียงแค่ยังไม่ลืมตาเท่านั้น
“หนวกหูจริงโว้ย เออ ทำไมมันร้อนชิบเป๋งหยั่งงี้วะ เฮ้ย มาลี…ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวหน่อย ร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว เร็วหน่อย”
นี่เป็นคำพูดที่คุ้นหูเหลือเกิน นางวางกระเป๋าลง เดินคอตกไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่ราวตากผ้าริมระเบียง นางจุ่มมันลงในอ่างน้ำแล้วบิดจนหมาด จากนั้นนำมาเช็ดตัวให้ผัวซึ่งยังนอนนิ่งอยู่บนพื้น ขณะที่ลูกชายลุกเดินโซเซเข้าไปนอนต่อข้างใน
“มาลี…แกนี่เป็นเมียที่ดีจริง ๆ” ผัวของนางพูดด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ พอเช็ดตัวเสร็จก็สั่งให้นางประคองเข้าไปนอนในบ้าน นางทำตามอย่างว่าง่าย แล้วกลับมาปิดประตูลงกลอน ปิดไฟ
นางล้มตัวลงนอนในความมืดที่มีเพียงเสียงกรนแข่งกันของลูกผัว พร้อมกับทอดถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ชีวิตนางทำได้แค่นั้น .
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน กันยายน 2552