เรื่องสั้น “บ่วงชีวิต” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์ (ฉบับภาษาไทย)

เรื่องสั้น บ่วงชีวิต โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์

เสียงเอะอะแห่งความสุขที่ระเบียงหน้าบ้าน  แต่เป็นความทุกข์ประการหนึ่งของมาลีเงียบหายไปได้สักพักใหญ่แล้ว  นางกระชับกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กไว้แนบอก  ขณะใช้มืออีกข้างค่อย ๆ ผลักบานประตูออกไป  นางพยายามย่างแต่ละก้าวให้เงียบที่สุด  คราวนี้นางบอกตัวเองว่า  จะต้องทำให้สำเร็จ  ไม่มีสิ่งใดจะมาหยุดยั้งความตั้งใจของนางได้อีก

 นางเหลียวมองบ้านเช่าที่อยู่มาหลายสิบปีโดยไม่เคยมีอะไรดีขึ้น  แล้วก็ต้องเผยอยิ้มเมื่อคิดได้ว่า  หลังจากอายุย่างเข้า 59 ปี   ชีวิตใหม่ของนางกำลังจะเริ่มต้น  พอกันทีกับชีวิตบัดซบที่เต็มไปด้วยความขื่นขม  ความสุขราวกับเพื่อนที่ชอบเล่นซ่อนหาและนางเล่นแพ้ทุกครั้ง  ไม่เคยหาความสุขนั้นพบแม้สักครั้งเดียว  ภาพของลูกผัวที่นอนสลบไสลอยู่ข้างขวดเหล้าและจานอาหารบนพื้นระเบียง  หลังจากร่ำสุราอย่างหนักตั้งแต่เมื่อพลบค่ำ  ทำให้นางส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ  แทบจะไม่มีวันใดที่นางสามารถพ้นไปจากภาพเหล่านี้  เอาเถอะ  นางบอกตัวเอง  ผ่านคืนนี้ไปแล้วฉันก็จะเป็นอิสระ  

นางมองหาทางเดินผ่านระเบียงบ้านไปสู่บันได  แต่ไม่อาจทำได้ถ้าไม่ก้าวข้ามร่างของลูกชายและผัวที่ขวางทางอยู่  ช่างมันเถอะ นางนึก  มันก็ไม่ต่างจากการเดินข้ามหมาข้างถนนสองตัว  เพียงแค่ข้ามพ้นแล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้  นางก็จะไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอีกต่อไป  แวบหนึ่งใจนางหวนคิดอาลัยบ้านที่อาศัยอยู่มานาน  แม้ว่ามันจะไม่เคยเป็นบ้านแห่งความสุข ถึงอย่างไรนางก็ยังอดใจหายไม่ได้  เท้าที่กำลังยกขึ้นกลับชะงักลง  นางมองผัวเฒ่าผู้หลงลืมว่านางก็มีหัวใจ  ผัวของนางกำลังส่งเสียงกรน  น้ำลายไหลย้อยออกจากปากผ่านฟันซึ่งเหลือเพียงไม่กี่ซี่  หน้าผากนั้นเถิกกว้างเป็นมันด้วยคราบเหงื่อ  ผมเผ้าบาง ๆ มองดูเป็นสีขาวมอ ๆ  แล้วนางก็จ้องดูลูกชายวัยหนุ่มที่นอนคุดคู้และยิ้มมุมปากเหมือนกำลังฝันดี บางขณะที่เขาขยับตัวแล้วยกมือตบยุงทำให้นางสะดุ้ง เกรงว่าลูกชายจะตื่นขึ้นมาส่งเสียงเอะอะจนผัวของนางตื่น

ทำไมชีวิตของฉันถึงได้พบกับเรื่องเช่นนี้มาชั่วชีวิต นางครุ่นคิดจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตานั้นหมอง  รู้สึกว่าชีวิตช่างเต็มไปด้วยรสขมของพิษร้าย  ตั้งแต่วัยเด็กแล้วมันก็ดำเนินมาเช่นนี้   ไม่เคยมีอะไรแตกต่างออกไป   พ่อของนางชอบออกไปแสวงหาความสุขกับเพื่อนหมู่บ้านอื่น  ทั้ง ๆ ที่พ่อก็อายุมากแล้ว  พ่อเปลี่ยนเป็นคนละคนหลังจากแม่ตายเพราะความป่วยไข้  ปล่อยให้นางในวัยแปดขวบอยู่เพียงลำพังในกระท่อมอันมืดสลัว  ท่ามกลางเสียงลมวู่หวิว  เสียงนกกลางคืนร้องดังแสก ๆ  พ่อมักจะหายไปคราวละหลายวัน  กว่าจะกลับมาอีกครั้งก็มีสภาพไม่ต่างจากสัตว์บาดเจ็บ  ไม่มีเงินติดตัว  ไม่มีความอิ่มหนำในกระท่อม   นางรอดตายจากความหิวโหยด้วยผลตะขบและมะขามอ่อน  บางครั้งก็ได้ข้าวปลาจากเพื่อนบ้านมากินบ้าง   พวกเขาเจือจานด้วยความเป็นห่วงสงสาร  ผิดกับพ่อที่ไม่เคยรู้เลยว่าความสงสารนั้นมีความสำคัญต่อเด็กผู้หญิงอย่างนางเช่นไร  

ชีวิตในวันคืนเหล่านั้นยาวนานราวกับไร้วันจบสิ้น   ไม่นานนักพ่อก็ตายตามแม่ไป  เช้าวันนั้นนางตื่นขึ้นมาหลังจากนอนร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ มาทั้งคืน  นางดีใจเมื่อเห็นพ่อนอนอยู่ใกล้ ๆ  พ่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วสินะ  นางรู้สึกอุ่นใจ  ครั้นคลานเข้าหาพ่อ  นางก็พบว่าร่างของพ่อเย็นชืด  มีมดเดินเข้าออกจากรูจมูกของพ่อ  พ่อตายแล้ว  นางรับรู้ด้วยสัญชาตญาณ  นางได้แต่ร่ำไห้อยู่ข้างศพพ่อ  จนกระทั่งเพื่อนบ้านผ่านมารู้เรื่องเข้า  นั่นคือวันที่นางกับพ่อต้องพลัดพรากจากกันชั่วชีวิต 

พี่ชายคนโตซึ่งอายุห่างกันมากได้รับนางไปอยู่ด้วย  หลังพิธีศพของพ่อเสร็จสิ้นลงอย่างเรียบง่าย  บ้านของพี่ชายมีสมาชิกหลายคนด้วยกัน  ดูอบอุ่นเหลือเกินในความคิดของเด็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด   แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดถนัด  บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยเสียงด่าทอระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้  และเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ  ซึ่งก็คือหลานของนางนั่นเอง  พวกเขาถูกตีเมื่อพี่สะใภ้หงุดหงิด  พี่สะใภ้เองก็ร้องโอดโอยเมื่อโดนพี่ชายของนางทุบตีขณะมึนเมาครองสติไม่อยู่  หลายครั้งนางเองก็ไม่พ้นต้องร้องโหยหวนเมื่อกลายเป็นผู้ถูกลงโทษบ้าง  ทั้งจากพี่ชายและพี่สะใภ้  ยามที่พวกเขารู้สึกว่านางขวางหูขวางตาอยู่ในบ้าน

 เวลาในชีวิตของนางผ่านไป  หนังสือไม่ได้เรียนทั้ง ๆ ที่นางอยากจะไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นใจจะขาด  นางอิจฉาเด็กข้างบ้านที่ได้แต่งชุดนักเรียน   เสื้อขาวกระโปรงสีน้ำเงินดูสวยงามน่าสวมใส่ยิ่งนัก  น่าเสียดายที่นางไม่เคยมีโอกาสสวมใส่ในเวลานั้น  ได้แต่เบือนหน้ามองไปทางอื่นทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น ยามเมื่อเด็กนักเรียนแต่ละคนเดินผ่านหน้าบ้านไป

ชีวิตของนางเป็นเช่นนี้อยู่นานถึงสองปี   บางครั้งนึกอยากหนีไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้   นางไม่มีหนทางเอาเสียเลย  จนกระทั่งพี่สาวคนรองรู้ข่าว   ตอนนั้นนางอายุย่างสิบเอ็ดปีแล้ว            

“ฉันจะเอานังมาลีไปอยู่กรุงเทพฯ  ขืนปล่อยไว้กับพี่ มันคงโง่เป็นควาย  หรือไม่ก็ถูกตีตาย”

พี่ชายไม่ขัดขวางแถมขอบใจเสียยกใหญ่  นางจึงมีโอกาสเดินทางอีกครั้งด้วยใจตื่นเต้นสนุกสนานตามประสาเด็ก  นางเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงเทพฯ มาบ้างจากผู้ใหญ่และเพื่อนเด็กบางคน  ในความคิดของนางมันเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ไม่ต่างไปจากสวนสนุกตามงานวัด  บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  เหนือสิ่งอื่นใด  นางสามารถไปจากบ้านของพี่ชายเสียที  

ที่กรุงเทพฯ นางได้เข้าเรียนชั้นประถมฯ พร้อมกับลูกของพี่สาว  นางขยันเรียนด้วยความสุข  นั่นเป็นความสุขเพียงไม่กี่ช่วงกี่ตอนในชีวิตอันยาวนานของนาง  ทว่าความสุขก็แสนสั้นเหลือเกิน  เมื่อนางเรียนจบชั้น ป. 4 แต่พี่สาวไม่ยอมให้เรียนต่อ

“หยั่งแกน่ะ  เรียนแค่อ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว“

“มาลีอยากเรียนต่อ…”

“เอาเถอะ  ฉันว่าจะให้แกไปเรียนเสริมสวย  แกโตพอจะเรียนได้แล้ว  มีวิชาช่างติดตัวดีกว่านั่งขีดเขียน  ฉันคงเลี้ยงแกตลอดไปไม่ได้หรอก  ลูกผัวฉันก็มี  พวกมันล้างผลาญยังกับฉันพิมพ์แบงค์ได้เอง”

คำว่า “ช่างเสริมสวย” ทำให้นางสงบลงได้   ตอนนั้นนางเริ่มจะเป็นสาวแล้ว  เริ่มสนใจเรื่องความงามตามประสาผู้หญิง  นางเคยเดินผ่านร้านเสริมสวยตรงปากซอยเข้าบ้าน  และเกิดความยินดีที่จะได้ทำงานแบบผู้หญิงโต ๆ พวกนั้นบ้าง  ทุกวันที่เดินไปเรียนเสริมสวย  ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ  แม้โรงเรียนจะอยู่ไกลจนทำให้รู้สึกเหนื่อยบ้างก็ตาม  นางตั้งใจเรียนด้วยความขยันขันแข็ง  ดังนั้นเมื่อเรียนจบหลักสูตร  ทางโรงเรียนจึงให้เป็นผู้ช่วยอาจารย์  และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางสามารถหาเงินใช้ได้เอง  นับเป็นความภาคภูมิใจของนางอย่างล้นเหลือ

“เออ  ให้มันได้หยั่งงี้เหอะ นังมาลี” พี่สาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อนางส่งเงินเดือน ๆ แรกให้  และก็ทำเช่นนั้นเรื่อยมา  ความจริงแล้วนางแทบจะไม่รู้จักการใช้เงิน  นางกินอยู่กับพี่สาว  นางเดินไปโรงเรียนเสริมสวยและกินอาหารกับพวกอาจารย์  นาน ๆ ครั้งหรอกที่จะแบมือขอเงินซื้อเสื้อผ้าบ้าง  แต่นั่นก็แทบจะพูดได้ว่านานทีปีหน  ชีวิตของนางช่วงนั้นน่าจะพอพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ราบเรียบและทุกข์น้อยที่สุด   ไม่น่าแปลกนักหรอกที่มันไม่ยืนยาว  ชีวิตมนุษย์อย่างนางเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง  มันเริ่มต้นเมื่อนางมีโอกาสได้รู้จักกับทหารเรือรูปงามคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของอาจารย์  นับแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตก็เดินทางเข้าสู่ความพลิกผันครั้งใหญ่   

ทหารหนุ่มคนนั้นคอยมาดักรอทุกค่ำเพื่อเดินเป็นเพื่อนนาง   เขาไม่เคยแสดงให้เห็นความเบื่อหน่ายระหว่างเส้นทางจากโรงเรียนเสริมสวยกลับไปบ้านพี่สาว  เขาทำให้นางหัวเราะ  ทำให้หัวใจของนางพองโต  บางครั้งก็ทำให้เขินอายเมื่อเขาชมว่านางน่ารักเหลือเกิน  เมื่อนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนที่โรงเรียนเสริมสวยฟัง  พวกเขาก็พากันพูดล้อว่านางกำลังมีความรัก….ความรักงั้นหรือ  นางเริ่มฝันและเชื่อมั่นว่านั่นคือความรักอย่างแท้จริง  เพราะมันทำให้นางรู้จักความสุข   ความสุขมักจะเริ่มต้นเมื่อเขาพานางไปดูภาพยนตร์ในวันหยุด  หรือไม่ก็ไปหาอาหารอร่อย ๆ ที่นางไม่เคยลิ้มลองมาก่อน  นางเริ่มหายใจเข้าออกเป็นชายหนุ่มในเครื่องแบบอันสง่างาม  จนกระทั่งค่ำวันหนึ่งเขามาดักรอรับเหมือนเคย  บอกว่าจะพาไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง  นางลังเลในตอนแรกเนื่องจากไม่ได้แจ้งพี่สาว  แต่ด้วยหัวใจของวัยสาวและแววตาออดอ้อนของชายหนุ่ม  นางจึงใจอ่อนยอมไปกับเขาในที่สุด

งานเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้ชายส่งเสียงเฮฮา  พวกเขาดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่าแล้วก็พากันเมามาย  เมาเหมือนกับพ่อและพี่ชายของนางนั่นเอง  นางเพิ่งรู้ว่าในวงเหล้ามีความสนุกสนานครื้นเครง  มิน่าพ่อจึงได้ทอดทิ้งนางไปบ่อย ๆ   นางอยากมีความสุขอย่างพ่อบ้าง  มันทำให้นางไม่ขัดขืนเมื่อเขาชวนให้ลองดื่มเหล้า  เขายืนยันด้วยรอยยิ้มว่านี่เป็นเครื่องดื่มแห่งความเบิกบาน  นางเชื่อและเมามายไปกับความสนุกเช่นนักดื่มทั้งหลาย  กระแสของความรื่นเริงราวกับสายน้ำในลำธารที่อาบไล้ไปทั่วหัวใจของนาง  

และคืนนั้น  เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงนางก็ไม่ได้กลับบ้าน   มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องนอนแสนประหลาด  ห้องที่เต็มไปด้วยกระจกรอบด้านไม่คุ้นตา  ร่างของนางเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับทหารหนุ่ม   นางร้องไห้ออกมาเบา ๆ เมื่อเข้าใจในเวลาต่อมาว่าเกิดอะไรขึ้น  นางนึกกลัวพี่สาว  หวาดหวั่นอะไรไปร้อยแปด  แต่ลึกลงไปแล้ว  นางสัมผัสได้ถึความหอมหวานของชีวิตและความรัก เขาตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม  พร้อมกับปลอบโยนด้วยคำพูดไพเราะและรสจูบอันซาบซึ้ง

เมื่อเขาพานางไปส่งที่บ้านตอนเช้าตรู่  เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ไปทำงาน  นางพบว่าพี่สาวกำลังรอคอยอยู่แล้วด้วยแววตาเคร่งเครียด  พี่สาวด่าทอทหารหนุ่มด้วยคำพูดหยาบคายอย่างที่สุด  ทั้งขู่ว่าจะนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของเขา

“อย่านะครับ  มันจะมีผลกับงานของผม  เอาเถอะ  ผมก็ชายชาติทหาร  ผมยอมรับผิดชอบทุกอย่าง”

เรื่องยุติเมื่อเขามาสู่ขอนางพร้อมด้วยเงินสินสอดก้อนหนึ่ง  เงินนั้นทำให้พี่สาวยิ้มหน้าบาน  นางรู้สึกโล่งอกแต่แล้วก็เริ่มหวาดกลัวในความเปลี่ยนแปลง  เมื่อรับรู้ว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขา

“จะไปกลัวอะไรวะนังมาลี   ไปอยู่กับผัวแก  แล้วแกจะมีความสุข….”

นางหอบข้าวของส่วนตัวอันน้อยนิดไปอยู่กับเขาหลังเกิดเรื่องได้ไม่กี่วัน  ก็บ้านที่นางกำลังยืนอยู่นี่แหละ  นี่คือบ้านที่นางฝากชีวิตพักพิงมายาวนานที่สุด  นานจนสามารถเรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร  นางมีลูกกับเขาสามคน  แม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เคยขาดเพราะความเป็นนักเลงสุราของเขา  ลูกคนโตและคนรองเป็นผู้หญิงซึ่งพากันแต่งงานแยกย้ายออกไปหมดแล้ว  นานครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมเมื่อมีปัญหาให้นางช่วยแก้ไข ลูกคนเล็กเป็นชาย เรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ไม่เคยทำงานเป็นเรื่องเป็นราว  วัน ๆ เอาแต่เมาสนุกอยู่กับเพื่อนฝูง  บางครั้งก็นั่งดื่มตามลำพังพลางฝันหวานถึงความร่ำรวยในชีวิต  ถ้าคืนไหนผัวของนางหิ้วเหล้ากลับมาดื่มที่บ้านเช่นคืนนี้   พ่อวัย 66 กับลูกชายอายุ 35 ก็จะตั้งวงสรวลเสเฮฮากันอย่างมีความสุข   

“จะกินเข้าไปให้มันได้อะไร  เงินทองก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว  มีแต่หนี้สินท่วมหัว…”

นางเคยต่อว่าทั้งสองคน  แต่เมื่อเหตุการณ์จบลงด้วยการถูกลงโทษจากผัว  ผัวที่แม้จะเกษียณอายุมาหลายปีแล้ว  ก็ยังคงมีเรี่ยวแรงมากพอจะกระหน่ำฝ่ามือลงบนใบหน้าของนางเสมอ  สมัยก่อนตอนที่ยังสาว ๆ  เขาเพียงดุด่าเวลานางขัดใจด้วยคำหยาบคายเท่านั้น  นานครั้งหรอกจึงจะลงมือบ้างเพื่อสั่งสอนนางให้เข็ดหลาบ  ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นมากกว่านี้  ถ้าไม่ใช่เพราะในเวลาต่อมานางเรียนรู้ที่จะเงียบ  และกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งมวลเก็บซ่อนไว้ในอกลึก ๆ แทน  

แน่นอน  มันพากันสุมอยู่ราวกับกองเพลิง  คอยแผดเผาใจให้ระทมทุกข์   ไม่มีใครทำให้ใจของนางเย็นชื่นได้   ไม่ว่าผัวขี้เมาหรือลูกเต้า  เวลาใครขาดเงินก็ต้องมาแบมือขอแกมบังคับเอาจากนาง  ลำพังเงินเดือนข้าราชการหรือเงินบำนาญที่ผัวของนางได้รับในแต่ละเดือนเคยพอเสียที่ไหนกัน  นางมักจะต้องแบกหน้าไปขอกู้ยืมจากชาวบ้านด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 20  ถ้ามักคุ้นหน่อยก็พอจะถูกลงบ้าง  ภาวะเช่นนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไปแต่ไม่เคยสลัดได้พ้น  หลายครั้งนางคิดถึงความตาย  ด้วยคิดว่าความตายอาจเป็นคำตอบสำหรับชีวิตของนาง  เลือดที่หลั่งออกมาอาจช่วยชำระล้างความทุกข์ให้หมดไปได้  ลมหายใจที่หยุดลงคงทำให้นางลืมความเจ็บปวดอันยาวนาน   แต่นางก็ไม่เคยมีความกล้าหาญพอ

มีเพียงคืนนี้ที่นางเลิกคิดถึงความตาย  แต่คิดถึงการเดินทาง  นับเป็นการเดินทางอีกครั้งหลังจากหยุดไปหลายสิบปี  นางไม่รู้หรอกว่าออกจากบ้านแล้วจะเร่ร่อนไปแห่งหนใด  ถึงลำบากทุกข์ยากแค่ไหนนางก็ยังคิดว่า  มันไม่น่าจะเกินกว่าที่เคยได้รับจากคนในบ้านหลังนี้

นางตัดสินใจแล้ว  มองลูกผัวที่ขวางทางอีกครั้ง  วินาทีต่อมาก็ยกเท้าขึ้นเพื่อก้าวข้ามไปตามความตั้งใจเดิม  ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อเห็นลูกชายลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย  พร้อมกับพูดเสียงแหบเครือว่า  “แม่…หิวน้ำ…ขอน้ำกินหน่อย” น้ำเสียงยังคงแสดงให้เห็นถึงความมึนเมาไม่สร่างซา

นางพยายามไม่สนใจ  รีบเดินข้ามร่างลูกชายตรงไปที่บันไดระเบียง  ครั้นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงขอน้ำกินดังขึ้นอีก  นางหันไปมองสบตาแดงก่ำและอ่อนล้าของลูกชาย  สุดท้ายก็ต้องเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมายื่นให้  ลูกชายของนางรับไปดื่มด้วยความกระหายจนเกือบหมดขวด  จากนั้นก็ถามว่า “แม่จะไปไหนเหรอ….” นางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณ  แต่ผัวของนางรู้สึกตัวเสียแล้ว  เพียงแค่ยังไม่ลืมตาเท่านั้น 

“หนวกหูจริงโว้ย เออ ทำไมมันร้อนชิบเป๋งหยั่งงี้วะ เฮ้ย   มาลี…ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวหน่อย ร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว เร็วหน่อย”

นี่เป็นคำพูดที่คุ้นหูเหลือเกิน  นางวางกระเป๋าลง  เดินคอตกไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่ราวตากผ้าริมระเบียง  นางจุ่มมันลงในอ่างน้ำแล้วบิดจนหมาด  จากนั้นนำมาเช็ดตัวให้ผัวซึ่งยังนอนนิ่งอยู่บนพื้น  ขณะที่ลูกชายลุกเดินโซเซเข้าไปนอนต่อข้างใน 

“มาลี…แกนี่เป็นเมียที่ดีจริง ๆ” ผัวของนางพูดด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ  พอเช็ดตัวเสร็จก็สั่งให้นางประคองเข้าไปนอนในบ้าน   นางทำตามอย่างว่าง่าย  แล้วกลับมาปิดประตูลงกลอน  ปิดไฟ   

นางล้มตัวลงนอนในความมืดที่มีเพียงเสียงกรนแข่งกันของลูกผัว  พร้อมกับทอดถอนหายใจอย่างหนักหน่วง  ชีวิตนางทำได้แค่นั้น .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน กันยายน 2552

ใส่ความเห็น