เรื่องสั้น “ครั้งหนึ่งในชีวิตของชายจรจัด” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น ครั้งหนึ่งในชีวิตของชายจรจัด โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์

ข่าวเรื่องไอ้ตึ๋งถูกหวยรางวัลที่ 1 แพร่สะพัดไปทั่วชุมชนแออัดริมคลองมอญ  ทุกคนต่างคิดว่าลาภลอยจากล็อตเตอรี่ที่ไอ้ตึ๋งเก็บได้ครั้งนี้  ย่อมเปลี่ยนฐานะของคนไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างมันให้กลายเป็นคุณตึ่งในชั่วพริบตา  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ถนนทุกสายจะมุ่งเข้าหาชายจรจัด  ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งคุ้นเคยและไม่เคยคุ้นล้วนอยากพูดคุยกับมัน

ช่วงเวลาดังกล่าว ณ ศาลาริมน้ำของชุมชนแออัด  ซึ่งส่วนหนึ่งใช้เป็นท่าเทียบเรือโดยสารหางยาว ไอ้ตึ๋งกำลังนั่งอยู่กลางวงชาวบ้านเหมือนไข่แดง ทุกคนห้อมล้อมเอาอกเอาใจราวกับมันเป็นดาราดังในจอโทรทัศน์ ถ้าตัวมันไม่ใช่คนหูตึงก็คงทนรำคาญเสียงสรรเสริญไม่ไหว   หรือถ้าไม่ใช่คนใบ้ก็อาจด่าคนเหล่านั้นด้วยความหมั่นไส้ที่รักใคร่มันเหลือเกิน  ผิดกับวันก่อน ๆ  ซึ่งไม่มีใครแยแสมันเลย  นอกจากเฮียฟู่ข้าราชการระดับ 3   ผู้ไม่เคยรังเกียจความยากไร้ใบ้บ้าของมัน  มิหนำซ้ำยังคอยให้ข้าวปลากินอยู่เป็นประจำ

“ไอ้ตึ๋ง เอ๊ย คุณตึ๋งคิดจะทำยังไงกับเงินสี่ล้านครับ” เจ้าเล็กคอกัญชาประจำท่าน้ำถามพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 

“แอะ แอะ…” ไอ้ตึ๋งส่งเสียง  ชี้นิ้วไปทางเฮียฟู่  

“ผมตกลงกับตึ๋งมันแล้ว มันต้องการให้ผมดูแลทุกอย่าง  จะเรียกว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของมันก็ได้ พอดีตึ๋งมันไม่มีบัตรประชาชนด้วย  เมื่อวานนี้ผมเลยต้องไปขึ้นรางวัลแทน  ถ้ามันอยากได้อะไรก็จะบอกผมอีกที” เฮียฟู่ชี้แจงกับชาวบ้านด้วยน้ำเสียงเนิบนาบโดยไม่วายทิ้งท้ายว่า “เฮ้อ งานนี้มีแต่เรื่องเข้าตัว  ผมน่ะไม่อยากยุ่งกับเงินของมันเลย  ให้ตายเถอะ” 

แล้วเฮียฟู่ก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้  จึงกล่าวต่อไปว่า “เกือบลืมไปเรื่องหนึ่งครับ  ผมขอแจ้งให้ทราบกันเสียตรงนี้เลย  คือว่า…ตึ๋งต้องการจะเลี้ยงทุกคนในชุมชนนี้  ใช่ครับ  เลี้ยงแบบอิ่มหมีพีมัน เหล้ายาปลาปิ้งเสิร์ฟไม่อั้น  ตั้งแต่เย็นนี้ยันเช้าโน่นแหละครับ  ผมเพิ่งไปเบิกเงินมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ  สั่งโต๊ะจีนที่ร้านเฮียหงวนไว้เรียบร้อยแล้วด้วย  อีกราวสามชั่วโมงมาฉลองความเป็นเศรษฐีใหม่ของตึ๋งมันหน่อย  อย่าลืมช่วยบอกต่อ ๆ กันด้วยครับ”

ไม่มีใครปฏิเสธ  ชาวบ้านพยักหน้ากันหงึกหงัก  หลายคนพยายามส่งยิ้มให้กับไอ้ตึ๋ง  มันเห็นถนัดตาแต่แกล้งทำนิ่งเฉย   

วันนี้ใครต่อใครล้วนถามหาแต่คุณตึ๋ง  ต่างจากวันก่อนที่มันเป็นได้แค่เครื่องรองรับอารมณ์  บางทีก็รองรับมือตีนของคนที่เห็นว่ามันเป็นเพียงเศษผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ  ทว่าตอนนี้โลกช่างสวยงามเหลือเกินสำหรับคนอย่างมัน

ก่อนหน้านี้ไอ้ตึ๋งเคยสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมตัวเองต้องเกิดมามีสภาพแบบนี้  มันอยากได้คำตอบจากพ่อแม่  แต่ก็ไม่รู้จะดั้นด้นไปถามที่ไหน  ตั้งแต่จำความได้มันก็เป็นเพียงเด็กกำพร้า  เมื่อหลายปีก่อนมันหนีออกจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง  เที่ยวร่อนเร่ไปตามถนนอันกว้างใหญ่  กระทั่งซมซานมาถึงสนามหลวง  มันปักหลักอยู่ที่นั่นเสียหลายปี  ครั้นถูกเทศกิจขับไล่ก็เปลี่ยนมาพักพิงแถวเชิงสะพานพุทธฯ ฝั่งธนบุรี  อาศัยนอนบนม้ายาวตรงทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา  ชีวิตในแต่ละวันวนเวียนอยู่กับการเก็บขยะขายแลกเศษเงินประทังความหิว  ไม่มีอนาคตใดให้หวัง  อันที่จริงแล้วมันไม่เคยรู้จักคำว่าความหวังด้วยซ้ำไป

กระทั่งวันหนึ่ง  หลังการเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายจนมาถึงชุมชนแห่งนี้  ไอ้ตึ๋งจึงได้พบกับเฮียฟู่ผู้เรียกมันว่า “ตึ๋ง” เป็นคนแรก  เฮียฟู่ซื้อข้าวผัดหมูจานใหญ่ให้มัน  แถมด้วยโอเลี้ยงแก้วใหญ่  มันนั่งยอง ๆ กินตรงศาลาท่าน้ำแห่งนี้ด้วยน้ำตา  รู้สึกว่าโลกยังมีคนเมตตามันอยู่  พระเจ้าไม่ได้โหดร้ายต่อมันจนเกินไปนัก

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ไอ้ตึ๋งก็ไม่เคยร่อนเร่ไปที่ไหนอีก  เฮียฟู่ซื้อข้าวให้มันกินเป็นประจำ   ความจริงฐานะของเฮียฟู่ไม่ค่อยดีนัก  เงินเดือนข้าราชการระดับ 3 หมดไปกับการกินเหล้ากับพรรคพวกซึ่งตั้งวงมั่วสุมกันแถวศาลาท่าน้ำทุกเย็น  คนที่มาเฮฮาด้วยส่วนใหญ่ก็อยู่ในชุมชนแห่งนี้  ไอ้ตึ๋งจะคอยรับหน้าที่วิ่งซื้อเหล้าซื้อน้ำแข็งเหมือนทาสที่ซื่อสัตย์ต่อนาย  เผลอ ๆ อาจได้ดื่มสักแก้วสองแก้ว  นี่หมายถึงถ้ามีเฮียฟู่อยู่ในวงด้วย  หากวันไหนเฮียฟู่ออกไปเที่ยวที่อื่นหรือนอนซมเพราะหมดทุนอยู่ในบ้าน  ก็ยากนักที่มันจะได้ซัดเหล้าให้ชื่นใจ  มิหนำซ้ำอาจถูกพวกขี้เมากลั่นแกล้งทุบตีเอาอีก  และบ่อยครั้งที่มันถูกบังคับให้สูบกัญชา  เพื่อแสดงความบ้าเพี้ยนดุจตัวตลกข้างวงเหล้า  จนมันแทบจะกลายเป็นคนติดกัญชา  วันไหนนึกอยากขึ้นมาก็ต้องคอยดักรอขาประจำแถวท่าน้ำ   ถ้าพอมีเงินจากการเก็บขวดพลาสติกขายสักสิบบาทยี่สิบบาทจ่ายสมทบทุนก็ไม่โดนเตะ  แต่ถ้ามามือเปล่าไม่พ้นถูกถีบกระเด็นออกมา  ถึงกระนั้นไอ้ตึ๋งก็ไม่เคยถือโกรธ   มันยอมรับสภาพตัวเองได้ว่าเป็นเพียงคนจร  เป็นคนนอกที่ขอเข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ ไม่มีบ้านคุ้มหัว ขาดญาติมิตร    ตามปกติถ้าไม่นอนตากยุงอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ  มันก็จะหลบไปซุกข้างกำแพงวัด  มันเคยชินเสียแล้วกับการหลับนอนเยี่ยงนี้  เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตที่แยกไม่ออก

แต่แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปราวกับสวรรค์เริ่มมองเห็นความมีอยู่ของมัน  เฮียฟู่หาซื้อเสื้อยืดกับกางเกงยีนให้มันหลายชุดแทนผ้าขี้ริ้วที่เคยสวมใส่  เฮียฟู่เตือนว่าต้องแต่งให้สมฐานะสักหน่อย  แม้จะไม่สามารถบดบังความกร้านเกรียมที่ชีวิตได้เคยมอบให้ก็ตาม  มันยังเป็นคนร่างเล็ก  ผิวดำเส้นผมหยิกหยอง  แก้มตอบ ตาลึกโหล  แขนขาเต็มไปด้วยแผลเป็น และเส้นเอ็นปูดโปน  

“อีกหน่อยคงดีขึ้นว่ะ” เฮียฟู่ให้กำลังใจ หลังจากพาไปตัดผมรองทรง  แถมโกนหนวดเคราเสียเรียบร้อย “สาว ๆ จะตอมมึงไอ้ตึ๋ง  เชื่อเฮียเถอะ เฮียเห็นโลกมามาก  แต่ต้องระวังไว้อย่าง  อย่ามือใหญ่ใจโต  พวกมันจะดูดเงินมึงจนหมด” 

หลายปีมานี้ไอ้ตึ๋งพอจะอ่านริมฝีปากของเฮียฟู่เข้าใจมากขึ้น  มันจึงบอกผู้มีพระคุณว่าตัวเองไม่เคยสนใจหญิงอื่นนอกจากชบา  คนงามประจำชุมชนคลองมอญ  แม้ชบาจะอายุมากกว่าหลายปีก็ตาม

“โอ๊ย  ชอบใครไม่ชอบ  ดันไปชอบนังชบา  เอาเถอะ  เฮียจะติดต่อให้มันมาคลายอารมณ์  สนุกแน่  มันคงเล่นด้วยหรอก  เพิ่งจะเจ๊งไพ่ไปเมื่อวานก่อน”

ไอ้ตึ๋งรู้ดีว่าเฮียฟู่ไม่พอใจนักที่มันสนใจผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่เพราะชบาเป็นแม่ม่ายลูกติดสองคน  แต่เป็นเพราะชบาชอบเล่นการพนันจนติดเป็นนิสัยต่างหาก  ถึงอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก  มันแอบชอบชบามาโดยตลอด  ตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรกด้วยซ้ำ  ทว่าก็ได้เแค่แอบมองด้วยความเจียมตัว  อย่างไรก็ตามนั่นเป็นอดีตไปแล้ว  ถึงแม้จะไม่เคยมั่งมีมาก่อน   มันก็รู้ดีว่าเงินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารของเฮียฟู่นั้น  มากพอจะทำอะไรได้หลายอย่าง  แม้แต่การซื้อหาความรักมาเป็นสมบัติส่วนตัวของมัน

งานเลี้ยงตอนเย็น  ไอ้ตึ๋งขอให้เฮียฟู่ชวนชบามาร่วมกินเลี้ยงด้วย  มันอยากให้หญิงสาวเห็นตัวเองในสภาพใหม่  เธอจะรู้สึกเช่นไรยามพบว่าทุกคนเอาอกเอาใจมันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  นอกจากนี้มันยังมีเรื่องใหม่อยากบอกเธอ  และอยากให้คนอื่นรับรู้ด้วย   ทุกคนจะต้องประหลาดใจ  เพราะก่อนหน้านี้ช่างเป็นเรื่องยากต่อการคิดฝันเสียเหลือเกิน  แต่เดี๋ยวนี้มันสามารถทำได้แล้ว  คิดไปคิดมาไอ้ตึ๋งก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้  พร้อมกับอยากให้ถึงตอนเย็นโดยเร็ว

ในที่สุด งานเลี้ยงใหญ่บริเวณศาลาท่าน้ำก็เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคัก  เสียงเพลงลูกทุ่งคุ้นหูเปิดให้สนั่นไปทั่วชุมชนแออัด  คนที่มาร่วมงานพากันเมียงมองโต๊ะจีนละลานตา  ซึ่งตั้งเรียงรายจากศาลาท่าน้ำล้นยาวออกไปถึงริมถนน  บรรดาแม่ค้ารถเข็นแถวนั้นต้องงดขายอาหารเย็น และเปลี่ยนมาร่วมฉลองแทน  

งานเลี้ยงล่วงเลยไปจนมืดค่ำ  แขกเหรื่อหญิงชายยังคงดื่มกินกันสนุกสนาน  เหล้าไม่เคยหมด อาหารเต็มโต๊ะอยู่ตลอดเวลา   เสียงเฮฮาดังไม่ขาดระยะ  ส่วนไอ้ตึ๋งนั่งยิ้มแต้ตาเยิ้มอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะ  โดยมีเฮียฟู่คอยประกบไว้ไม่ยอมห่าง  

“จะเอาอะไรรึ”

“แอะ แอะ อ๋า” มันชี้มือไปที่บ้านเรือนไทยริมน้ำหลังกะทัดรัด   เจ้าของย้ายออกไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว  และติดป้ายประกาศขายมาแรมปี

“ว่าไงนะ  จะซื้อบ้านหลังนั้น” 

ไอ้ตึ๋งพยักหน้า  อมยิ้ม  คนในโต๊ะส่งเสียงดังฮือฮา  มันจึงทำท่าล้วงกระเป๋าของเฮียฟู่  แล้วชี้ไปที่บ้านเรือนไทยหลังเดิมอีกครั้ง 

“คงแพงเอาเรื่องเว้ยตึ๋ง  เก็บเงินไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นดีกว่าว่ะ ตอนนี้ก็อยู่บ้านเฮียไปก่อน เฮียจะจัดห้องนอนให้อย่างดีเลย   อยากติดแอร์ด้วยไหมล่ะ” 

ไอ้ตึ๋งเห็นแบบนั้นก็นั่งคอตก  แต่แล้วต้องสะดุ้งสุด  เมื่อถูกเฮียฟู่ตบไหล่

“เอาก็เอาวะ อยากได้เดี๋ยวจะลองติดต่อเจ้าของให้ แต่ความจริงไม่น่าจะต้องซื้อเลยว่ะ  เงินมันได้มายากแต่ว่าหมดง่ายรู้มั้ย  อีกอย่างถ้าซื้อก็ต้องซื้อในนามของเฮีย  คนจะนินทาเอาได้  เฮียมีแต่เปลืองตัว…”

ข่าวการซื้อบ้านถูกถ่ายทอดไปทั่ว  หลายคนเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับมัน  บางคนพูดหวานราวกับมันเป็นญาติสุดที่รัก   ก่อนจบลงด้วยการเอ่ยปากขอเงินใช้  

“ตึ๋งมันไม่ใช่มูลนิธิการกุศลนะครับ   ขืนเอาไปคนละหมื่นสองหมื่น  ไม่กี่วันคงต้องไปเก็บขยะขายอีก  ส่วนเจ๊เบียบไปห่าง ๆ เลย  ขออะไรตั้งสามแสน”

ไอ้ตึ๋งเห็นคนที่มาขอเงินต่างพากันล่าถอยกลับไปอย่างผิดหวัง   มันบอกตัวเองว่าคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้เฮียฟู่ดูแลเรื่องการเงิน  

ยามนี้เหล้าขวดใหม่ถูกเปิดรินแจกจ่ายอีกครั้ง  สาวงามของไอ้ตึ๋งแวะเข้ามาทักทายถึงโต๊ะโดยไม่คาดฝัน

“ว่าไงจ๊ะ ตึ๋ง  หน้าตาดูมีความสุขเหลือเกินนี่”

มันหน้าแดงก่ำ  นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ชบาพูดจาจ๊ะจ๋า  ไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนแต่ก่อน

“นั่งก่อนสิ ชบา” เฮียฟู่เชื้อเชิญ “นั่งข้าง ๆ เศรษฐีใหม่นั่นแหละ”

เป็นอีกครั้งที่ไอ้ตึ๋งยิ้มหน้าบาน  เมื่อเห็นว่าชบานั่งลงแต่โดยดี   มิหนำซ้ำยังยกแก้วเหล้าส่งให้มันอีกด้วย 

“หมดแก้วเลยนะจ๊ะ ตึ๋ง”

ความสุขในค่ำคืนนี้ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ไอ้ตึ่งกำลังเมาเหล้าพร้อมกับเมารัก มันส่งภาษามือเรียกเฮียฟู่ไปคุยที่ตีนสะพานท่าน้ำห่างผู้คน

“มีอะไรอีกล่ะ ไอ้ตึ๋ง”

“แอะ แอะ” มันชะเง้อมองไปทางชบา

“ตกลงมึงเอาแน่เรอะ  เออ จะลองช่วยถามไถ่ให้แล้วกัน”

ไอ้ตึ๋งพยักหน้า  สักพักมันเห็นเฮียฟู่เดินหน้าตูมกลับมา  

“นังชบามันไม่ยอมให้มึงชิมมันเล่น ๆ แบบชั่วคราวว่ะ  มันขอสองแสนเป็นค่าสินสอด  เฮียว่าแพงไปนะ  ถ้ามึงต้องการมันจริง  เฮียว่าห้าหมื่นก็ดีถมเถไปแล้ว  ว่าไงนะ  มึงจะยอมจ่ายสองแสนเชียวรึ   โธ่  ไอ้ตึ๋ง  ผู้หญิงอย่างนังชบา…”

มันพยายามใช้มือล้วงกระเป๋าของเฮียฟู่ราวกับเด็กดื้อต้องการของเล่น

“มึงนี่ใช้เงินไม่ได้เรื่องเลย  เดี๋ยวซื้อบ้าน เดี๋ยวมีเมีย  แต่อย่างว่า ชีวิตมึงขาดมาตลอดนี่หว่า  โอเค เฮียจะจัดการให้”

ด้วยความซาบซึ้ง ไอ้ตึ๋งยกมือไหว้ท่วมหัว มันอยากตอบแทนเฮียฟู่ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ใหม่ ๆ สักคัน  แถมด้วยเงินอีกก้อน  รอให้เรื่องของชบาผ่านไปก่อนเถอะ  มันคิด  

หลายวันต่อมา  ชีวิตของไอ้ตึ๋งยังคงวนเวียนอยู่กับการดื่มกินที่ศาลาท่าน้ำกับมิตรสหายที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา   เมาหลับเมื่อไรนั่นแหละ  จึงจะมีคนหามมันไปส่งที่บ้านของเฮียฟู่

เช้านี้มันตื่นขึ้นมาล้างหน้าลวก ๆ  เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงยีนฟอกใหม่เอี่ยม   ก่อนจะเดินโซเซไปที่ศาลาท่าน้ำ  เจอเจ้าเล็กกำลังแอบพี้กัญชาอยู่ข้างศาลาพอดี  เจ้าเล็กทำท่ายื่นบ้องไม้ไผ่ให้แต่มันปฏิเสธ  

“ไม่เล่นเนื้อ งั้นเอาเหล้าดีมั้ยครับ คุณตึ๋ง” เจ้าเล็กถามพลางทำท่ายกแก้วกระดก “เอาเงินมาสิ  เดี๋ยวไปซื้อให้”

ไอ้ตึ๋งยกมือทั้งสองข้างขึ้นแบให้อีกฝ่ายเห็น

“ไม่เป็นไร  เซ็นร้านไว้ก่อนก็ได้ ระดับคุณตึ๋ง อยากกินอะไรเป็นต้องได้กิน”

มันหัวเราะ รีบไล่อีกฝ่ายให้ไปเอาเหล้า  แต่ยังไม่ทันได้แตะ  เฮียฟู่ก็เดินยิ้มร่ามาแต่ไกล

“เรียบร้อยว่ะตึ๋ง เฮียโดดงานไปคุยกับเจ้าของบ้านเรือนไทยแล้ว  ตกลงทำสัญญากันพรุ่งนี้  เขาขายหกแสนห้า เฉพาะตัวบ้านนะ  ปลูกมานานแล้วสภาพยังดี  ไม้สักทองทั้งหลัง  แต่ที่ดินยังต้องเช่าวัดต่อไปตามเดิม ดีแล้ว ประหยัดเงินได้เยอะเลย”

มันรีบยกมือไหว้เฮียฟู่  แล้วโผเข้าสวมกอด น้ำตาชุ่มใบหน้า 

“ส่วนเรื่องนังชบา  มันตอบโอเคถ้าได้สองแสน  แต่ขอเงินก่อนจะไปอยู่กับมึง”

ไอ้ตึ๋งผยักหน้ารับทันที  พร้อมกับชูสองนิ้วยิ้มหน้าบาน  ในความคิดของมัน  มันไม่ใส่ใจกับจำนวนเงินที่ต้องเสียไปเลย   ไม่ว่าจะเป็นค่าซื้อบ้าน  หรือส่วนที่ต้องจ่ายให้ชบา  แค่เงินสามารถทำให้มันมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนชาวบ้านก็พอแล้ว  มันอยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ เหลือเกิน วันที่มันจะมีบ้านหลังงาม  มีเมียสาวสวย  แต่ตอนนี้คงต้องจัดการเหล้าขวดนี้เสียก่อน  

สองวันต่อมา   ตกบ่ายไอ้ตึ๋งก็หอบเสื้อผ้าย้ายไปอยู่บ้านเรือนไทยริมน้ำเ  ฮียฟู่รับหน้าที่หาซื้อข้าวของจำเป็นและเครื่องเรือน  ส่วนมันได้แต่เดินสำรวจตัวบ้านอย่างมีความสุข  มันใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามฝาผนัง  ราวบันได ตลอดจนพื้นกระดาน  คล้ายกับจะให้หายสงสัยว่านี่เป็นเพียงความฝันหรือความจริงกันแน่

  “คืนนี้นังชบาจะย้ายมาอยู่กับมึงแล้วนะ พร้อมลูกอีกสอง  ทันใจดีมั้ยล่ะ ยังไงก็อย่าปรนเปรอชบามันมาก มันจะหลอกเอาหมดตัว  เฮียเตือนได้แค่นี้ ”

มันยกมือไหว้อย่างสำนักในบุญคุณ  ใจเร่งเวลาอยากให้ถึงคืนนี้เร็ว ๆ   มันจะขอเชยชมชบาให้สมใจ  แค่คิดก็แทบจะทนไม่ไหวเอาเสียแล้ว  อย่างนี้ต้องแก้ความฟุ้งซ่านด้วยเหล้าฝรั่งชั้นดีสักกรึ๊บสองกรึ๊บ  มันบอกตัวเอง  พลางเดินไปล้วงเอาเหล้าฝรั่งขวดใหม่ที่ซื้อตุนไว้ตั้งแต่เมื่อวานมาเปิดฝากระดกใส่ปาก  เฮียฟู่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนเดินจากไป  ทิ้งให้มันนั่งดื่มน้ำเมาอยู่ในบ้านเรือนไทยตามลำพัง

เหล้าหมดไปค่อนขวด  ไอ้ตึ๋งก็ฟุบหลับอยู่บนพื้นกระดานบ้าน  มารู้สึกตัวอีกทีก็ค่ำมืดแล้ว  ในความมึนเมาที่สร่างเพียงเล็กน้อย  มันเห็นเฮียฟู่นั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟาชุดรับแขก  อาจจะโกรธที่เห็นมันเมาเช้าเมาเย็นกระมัง  ไอ้ตึ๋งรู้สึกเช่นนั้นและอยากขอโทษ  

“ฟื้นแล้วรึ  ไอ้ตึ๋ง  เอ้อ  คือว่า…” 

มันเห็นเฮียฟู่มีท่าทีลังเลอึกอัก จะพูดต่อก็ไม่ยอมพูด  จึงลุกเดินไปนั่งกับพื้นแทบเท้าพร้อมกับปั้นหน้ายิ้มแฉ่ง   ใช้มือบีบนวดขาอีกฝ่ายอย่างประจบ

“ตึ๋งเอ๊ย  เฮียจะบอกมึงยังไงดี  เอาวะ  ความจริงต้องเป็นความจริง  ฟังให้ดี  นังชบามันหอบลูกกับเงินสองแสนหนีไปแล้ว  ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น  เห็นชาวบ้านว่ามันออกไปกับลูก  เฮียไปดูที่ห้องเช่า  ลองมองลอดรอยแตกตรงประตูเข้าไป  ให้ตาย  ในนั้นเหมือนระเบิดลงว่ะ  ข้าวของกระจุยกระจาย  มันคงหนีไปแล้ว”

“แอะ แอะ” ไอ้ตึ๋งรู้สึกราวกับถูกค้อนทุบกะโหลก  ครั้นตั้งสติได้ก็วิ่งอ้าวออกจากเรือนไทยตรงไปยังห้องเช่าของชบา  ที่บานประตูมีกุญแจคล้องอยู่  มันหมุนตัวมองหาแท่งเหล็กแข็ง ๆ จะงัดสายยูแต่ไม่พบ  จึงได้แต่ใช้กำปั้นชกประตูเสียงดังโครมคราม  พวกที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ หลายคนโผล่หน้าออกมาเตรียมจะด่า   ครั้นเห็นว่าเป็นใครก็ไม่กล้า  ป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาลูบหลังลูบไหล่มันเหมือนจะช่วยปลอบใจ

“ชบาคงหนีเอ็งไปแล้วจริง ๆ  ทำใจเถอะไอ้ตึ๋งเอ๊ย  ผู้หญิงยังมีอีกเยอะ  เอ็งมีเงินเสียอย่าง  เดี๋ยวก็หาใหม่ได้”

มันสิ้นเรี่ยวแรงทรุดลงนั่งยอง ๆ กับพื้น  น้ำตาไหลพราก   มันไม่อยากเชื่อว่าชบาจะทิ้งมันไปแบบนี้  ทำไมถึงไม่ยอมทำตามสัญญา  อยากได้เงินสองแสนบาทเฮียฟู่ก็เบิกให้แล้ว  ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้  ไอ้ตึ๋งคร่ำครวญอยู่ในใจ  พยายามปลอบใจตัวเองว่าชบาคงไปธุระ  อาจไปบอกญาติ ๆ ว่ากำลังเตรียมจะแต่งงานอยู่กินกับมันก็ได้  หรือถ้าชบาหนีจริง  มันก็จะให้เฮียฟู่จ้างคนออกตามหา  คิดได้อย่างนี้แล้ว  มันก็มีความหวังขึ้นมาอีก  สักครู่หนึ่งก็เดินกลับมาที่เรือนไทย   เฮียฟู่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม   สีหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด   พอเห็นมันเดินเข้าบ้านมาก็ร้องถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง  ไอ้ตึ๋งส่งภาษามือบอกเฮียฟู่ให้จ้างคนออกตามหาชบา  จะหมดเงินเท่าไรไม่ต้องสนใจ  

“อะไรกันวะ  ไอ้ตึ๋ง  นี่มึงจะหาเรื่องผลาญเงินไปถึงไหน  เพื่อผู้หญิงแบบนั้นน่ะรึ  มันไม่คุ้มค่าหรอก  หยุดบ้าได้แล้ว”

ภายในบ้านเงียบสนิทจนได้ยินเสียงน้ำในคลองไหลเชี่ยว

“แต่…เอาเถอะ  เรื่องของมึง  เรามาค่อย ๆ คิดอ่านกัน”  

ไอ้ตึ่งยิ้มออกมาได้เมื่อเฮียฟู่ยอมพูด 

“พรุ่งนี้ค่อยออกตามก็ยังทัน  ตอนนี้เรามานั่งกินเหล้าแก้กลุ้มกันดีกว่า  กินกันแค่สองคนนี่แหละ  เมื่อกี้เฮียออกไปซื้อมาอีกสองขวด  คืนนี้เมากันให้เต็มที่….” 

มันเดินเซื่อง ๆ ไปหยิบแก้วเปล่ามาสองใบ   

“ดื่มให้แก่ชีวิตใหม่ของมึง  ไอ้ตึ๋ง”

“อ๋า แอะ แอะ” มันยกแก้วขึ้นชนด้วยสีหน้าหมอง ๆ  จากนั้นไม่รอให้อีกฝ่ายพี่ชวนดื่มอีก  มันสาดเหล้าลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า  หวังแต่เพียงเมาหลับไป และทันทีที่ตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็ได้เห็นว่าชบากลับมาหามันแล้ว  เหล้าขวดที่สองพร่องไปไม่ถึงครึ่ง  ไอ้ตึ๋งก็เมาจนต้องเอนกายลงนอนกับพื้นกระดาน  สักพักหนึ่งมันรู้สึกเคลิ้ม ๆ คล้ายตกอยู่ในห้วงความฝัน   มันฝันว่าเฮียฟู่ประคองร่างของมันเดินไปยังหน้าต่างบ้านเพื่อรับลม  มันหรี่ตาอันเลอะเลือนดูสายน้ำในคลองมอญ ซึ่งกำลังไหลเชี่ยวกรากเนื่องจากเป็นช่วงเปิดประตูระบายน้ำ  

“ไอ้ตึ๋ง  มึงมันใช้เงินไม่เป็นว่ะ  ขืนมึงยังอยู่  ไม่นานเงินในธนาคารก็คงหมด  แต่มึงคงไม่เข้าใจ  ช่างมันเถอะ  เฮียขอโทษเรื่องนังชบาด้วย  ความจริงเฮียไล่มันไปด้วยเงินแค่ห้าหมื่นเท่านั้น  ผู้หญิงอย่างมันไม่เหมาะกับมึงหรอก  มึงอย่าเสียใจไปเลย  พรุ่งนี้ชาวบ้านก็จะรู้ข่าวว่ามึงโดดลงคลอง  เพราะเสียใจเรื่องชบาหนี   มึงไม่น่าเมามากเลย”

ไอ้ตึ๋งอ่านริมฝีปากของเฮียฟู่เข้าใจเช่นเคย  มันได้แต่ยิ้มเศร้า  ไม่พยายามแม้แต่จะดิ้นรนหลบหนี  ชั่วพริบตาเดียวร่างดำผอมเกร็งของมันก็ถูกอุ้มขึ้นพ้นขอบหน้าต่าง  

“ตูม”  

มันรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบของสายน้ำเชี่ยวยามราตรีอันมืดดำและเปล่าเปลี่ยว   ใจของมันประหวัดนึกเห็นภาพใบหน้าและรูปร่างของชบาที่แสนจะเย้ายวนความรู้สึก   มันถีบตัวแหวกว่าย  แต่ราวกับถูกจับตรึงไว้  ร่างของมันอ่อนปวกเปียกสิ้นกำลัง   พลันใบหน้าของชบาก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าของเฮียฟู่   มีรอยยิ้มเวทนาสงสารมันเจืออยู่จาง ๆ  ไอ้ตึ๋งยิ้มตอบชายผู้ตั้งชื่อให้  ก่อนจะจมหายไปในสายน้ำอย่างโดดเดี่ยว  เป็นความโดดเดี่ยวที่มันคุ้นเคยมาชั่วชีวิต .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ มกราคม 2553

ใส่ความเห็น