เรื่องสั้น “ขุนข่าว” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น ขุนข่าว โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์

ฉายา “ขุนข่าว” ของเขาไม่ใช่ได้มาอย่างง่าย ๆ เลย  แน่นอน  นี่คือผลพวงอันเกิดจากความชื่นชอบ และความสนุกสนานไปกับการติดตามข่าวสารของเขา  ซึ่งอยู่ในขั้นเสพติดอย่างหนักมาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว ตอนแรก ๆ เขาก็ไม่ค่อยพอใจนักหรอกที่ถูกเรียกแบบนี้  เพราะมันมักจะมาพร้อมกับรอยยิ้มขบขัน  บางคนพยายามซ่อนรอยยิ้มที่ว่านี้ด้วยความเกรงใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องสาววัยห่างเกือบหนึ่งรอบ  ผู้เป็นญาติสนิทคนเดียวที่เขามีหลงเหลืออยู่  ทว่ามันก็ไม่เคยเป็นไปอย่างมิดชิดแม้สักครั้งเดียว  

แล้วยังไงล่ะ ในเวลาต่อมาหลังจากเริ่มคุ้นเคย  เขากลับชอบชื่อขุนข่าวเสียจนพูดได้ว่า  มันคือ “ความภาคภูมิใจ ภายใต้ความหลงใหลได้ปลื้มอย่างยิ่ง” ถึงขั้นนำไปใช้เป็นนามแฝงในโอกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ  เช่น ใช้เป็นชื่อสมาชิกตามเว็บไซต์ข่าวหลายแห่ง  หรือไม่ก็ใช้ตอนส่งเอสเอ็มเอสไปโผล่หน้าจอโทรทัศน์  เสียเงินครั้งละ 6 บาทบ้าง 3 บาทบ้าง  จนยากจะเชื่อได้ว่าวันหนึ่ง ความเป็น ”ขุนข่าว” จะทำให้เขาได้รู้จักกับความทุกข์แสนสาหัส  และต้องจดจำด้วยหัวใจไปชั่วชีวิต

อายุอานามของขุนข่าวนั้นราวสามสิบหกปี  รูปร่างออกจะเล็กและเตี้ยเมื่อเทียบกับชายไทยทั่วไป  ประกอบกับเข้าสังคมไม่เก่งจีบผู้หญิงก็ไม่เป็น  จึงทำให้เขายังครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา  โดยอาศัยอยู่ในทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเล็ก ๆ แห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง  

เขาอยู่ตามลำพัง  กิน นอน และทำงานอยู่แต่ในบ้าน  หลายปีมานี้ ด้วยความที่เบื่อหน่ายสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ   เขาจึงลาออกจากงานประจำมารับงานอิสระ  ส่วนน้องสาวย้ายไปทำงานในรีสอร์ทแห่งหนึ่งทางภาคใต้ประมาณสองปีแล้ว  แต่ก็มักจะหาเวลาพูดคุยกันทางโทรศัพท์อยู่เสมอ  อย่างไรก็ตาม  นั่นไม่ได้ทำให้ความคิดถึงที่เขามีต่อน้องสาวลดลงสักเท่าไรนัก  เขาจึงชดเชยด้วยการติดตามข่าวสารมากขึ้นเป็นสองเท่า  น่าแปลกที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้  แม้ว่าปริมาณงานออกแบบเขียนแบบ  ซึ่งรับมาทำที่บ้านจะค่อนข้างเต็มมือก็ตาม 

ตามปกติเขาจะตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า แล้วเริ่มต้นนั่งโต๊ะทำงานตอนเก้าโมง นั่นแสดงว่าเขาจะมีเวลาว่างอยู่ประมาณสามชั่วโมงในช่วงนี้  เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย  เขาจะรีบเดินออกไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่สอดอยู่ตรงประตูรั้วด้วยท่าทางเหมือนคนหิวกระหาย  แล้วนำมันกลับมานั่งอ่านบนโต๊ะกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย  ใช่  เขารู้สึกเอร็ดอร่อยในรสข่าวและรสข้าวไปพร้อมกัน  

ขุนข่าวบอกรับหนังสือพิมพ์ทุกวัน ๆ ละสามฉบับ  หลังจากน้องสาวไม่อยู่ก็ได้สั่งเพิ่มอีกสองฉบับ   ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างกับใครต่อใครว่า “เพื่อตรวจสอบข่าวครับ  บางทีหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวไม่ตรงกัน  ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองโง่  หรือไม่ทันเหตุการณ์หรอกครับ  ผมต้องรู้ความจริงทุกเรื่อง  ที่สำคัญจะตกข่าวใดข่าวหนึ่งไม่ได้โดยเด็ดขาด” 

เขาชอบอ่านข่าวไปอย่างช้า ๆ เหมือนการละเลียดอาหารอันโอชะ    ค่อย ๆ แทะเล็มตั้งแต่พาดหัวข่าวหน้าแรกไปจนถึงคอลัมน์ต่าง ๆ ด้านใน  ระหว่างนั้นเขาจะเปิดโทรทัศน์รายการข่าวภาคเช้าไปด้วย  โดยมีรีโมทคอลโทรลวางไว้ข้างกาย   เพื่อสลับช่องไปมาหากมีโฆษณา  ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คืออาหารจานใหญ่  เพราะถ้าไม่มีมันก็จะทำให้การบริโภคข่าวเสียรสชาติไปอย่างไม่น่าให้อภัย   ราวกับว่าแท้จริงแล้วข่าวพวกนั้นคืออาหารหลัก  ส่วนอาหารในจานเป็นเครื่องปรุงรสหรือน้ำจิ้มสำหรับเพิ่มความเอร็ดอร่อย

“เช้านี้ไม่ค่อยมีข่าวอะไรน่าสนใจเลยแฮะ” เขาพึมพำกับตัวเอง   ก่อนละสายตาจากจากหนังสือพิมพ์หันมาตักข้าวผัดปูใส่ปากเคี้ยว   วินาทีต่อมาความสนใจของเขาก็กลับมาอยู่ที่จอโทรทัศน์   เขามองนักเล่าข่าวด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก   หมอนั่นกับผู้ประกาศข่าวหญิงอีกคนหนึ่งกำลังพูดคุยจ้อ  อีกทั้งหยอกล้อกันจนเกินกว่าเหตุ  ทั้งสองแทบจะลืมข่าวเรือท่องเที่ยวล่มในทะเลอันดามันช่วงเช้าตรู่ที่เล่าค้างอยู่   แต่แล้วสักประเดี๋ยวหนึ่งฝ่ายหญิงก็หันมามองกล้องและทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาหน่อย  ส่วนฝ่ายชายยังมีร่องรอยของความระรื่นหลงเหลืออยู่บนใบหน้า

“เออ  เล่าต่อซีวะ นั่นแหละ  เอาภาพประกอบขึ้นด้วย  ให้ตายเถอะ” ขุนข่าวบ่นอย่างหงุดหงิด  หลังจากนั้นพอรู้ว่านักท่องเที่ยวในเรือดังกล่าว 40 คน  ตายไปห้าแล้ว  ที่เหลือยังไม่รู้ชะตากรรม  เขาจึงหยิบรีโมทคอลโทรลขึ้นมากดเปลี่ยนช่อง  ช่องใหม่นี้มีรายงานแตกต่างออกไป ผู้เสียชีวิตมีถึง 7 ศพ บาดเจ็บอีกหนึ่ง  นอกนั้นสูญหาย   

สองสามวินาทีต่อมาเขาก็หมดความสนใจข่าวนี้  มันช่างต่างจากข่าวเครื่องบินตกทางภาคเหนือเมื่อหลายวันก่อนอย่างเทียบไม่ติด  เขาคิด  ก่อนจะหันกลับมาอ่านคอลัมน์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในหน้าสามของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง  กำลังติดพันอยู่กับการอ่านก็บังเอิญให้ข้าวผัดในจานหมดลงเสียก่อน  ขุนข่าวรีบลุกเข้าครัวไปตักมาใหม่อย่างเสียอารมณ์

เสียงจากโทรทัศน์แจ้งว่ากำลังเข้าสู่ช่วงข่าวภาคเที่ยงวัน  ทำให้ขุนข่าวผละจากเครื่องคอมพิวเตอร์  แม้ว่าแบบห้องนอนของลูกค้าเพิ่งจะเขียนไปได้เพียงห้าสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น  เขาลุกไปที่โซฟาและรอดูข่าวอย่างใจจดใจจ่อ  ทั้ง ๆ ที่อดคิดไม่ได้ว่าคงไม่มีอะไรใหม่นัก  คนอ่านข่าวหรือเล่าข่าวคงนำเอาหนังสือพิมพ์กรอบเช้ามาพูดซ้ำเหมือนที่ทำอยู่บ่อย ๆ  ถ้ามีการสัมภาษณ์แหล่งข่าวสด ๆ ก็คงมีอะไรใหม่ให้รู้บ้างหรอก  นอกเหนือไปจากที่รู้มาบ้างแล้ว  เขาคิด  

ขณะนั้นมีเสียงสัญญาณเตือนสั้น ๆ ดังมาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง  เขารีบล้วงออกมากดอ่านข่าวสั้นด้วยความสนใจ   ที่จริงตอนกลางวันไม่ค่อยมีข่าวส่งมาบ่อยนัก  ต้องเลยช่วงเย็นไปแล้วจึงจะส่งเข้ามาถี่มากหน่อย  เขาสมัครเป็นสมาชิกข่าวเอสเอ็มเอสจากสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงสามแห่งด้วยกัน  

“ถูกอย่างนี้ไม่สมัครก็แย่แล้วครับ เวลาออกนอกบ้านรับรองไม่ตกข่าวแน่” เขาชอบแนะนำพวกคอข่าวด้วยกันอย่างนี้เสมอ   เขาทำไปด้วยความหวังดีโดยแท้

ข่าวสั้นที่ส่งมานอกจากเรื่อง “พรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นราคาลิตรละ 50 ส.ต. รีบเติมด่วน” ส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวเดิม ๆ อันแสนจะซ้ำซาก  เรื่องเรือท่องเที่ยวจมดีขึ้นมาหน่อย  มีการรายงานชื่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเข้ามาสองครั้ง  ทว่าก็ไร้ความหมายไปอย่างสิ้นเชิง  เพราะบนจอโทรทัศน์ตอนนี้มีรายชื่อมากกว่า  แถมมีภาพเคลื่อนไหวของเรือกู้ภัยขณะดำเนินการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอีกด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติให้ข่าวช่วงนี้ได้มากทีเดียว

ขุนข่าวลุกไปหยิบเอาอาหารกล่องจากตู้เย็นมาอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟ  แล้วนำกลับมานั่งกินแกล้มข่าวตามความเคยชิน  ครั้นเบื่อข่าวเรือล่มเขาก็เปลี่ยนไปดูข่าวช่องอื่น  มีอยู่ช่องหนึ่งกำลังเสนอข่าวการเมืองในประเทศ  เขาเคี้ยวอาหารพร้อมกับจ้องดูภาพในจอโทรทัศน์ไปด้วย  นักการเมืองหลายคนออกมาพูดเรื่องไร้สาระกันสนุกปาก   ใช่แล้ว   สนุกทั้งปากนักการเมืองและปากของเขาที่มีข้าวอยู่เต็ม  ถ้าคนไหนพูดน่าเบื่อขาดสีสันก็จะทำให้กลืนข้าวไม่ค่อยลงคอนัก  แต่พอบางคนโผล่ออกมาสำรากถ้อยคำเน่าเหม็นทั้งที่เป็นถึงรัฐมนตรี  เขาก็ถึงกับต้องตักข้าวกินเสียหลายคำติด ๆ กัน  ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความเมามันในเกมเหมือนเด็ก ๆ

ครั้นจบข่าวการเมือง ทางสถานีโทรทัศน์ก็ต่อด้วยข่าวอาชญากรรม 

“ช่างให้รสชาติแตกต่างกันดีเหลือเกิน” ขุนข่าวบอกตัวเอง  เขาเกิดความรู้สึกอยากโทรศัพท์ไปคุยกับน้องสาว  เพื่อเล่าข่าวนักท่องเที่ยวสาวชาวเยอรมันถูกฆ่าข่มขืนหมกป่าข้างวัด  เขาอยากถกกับน้องสาวถึงปัญหาการท่องเที่ยวของประเทศที่จะตามมา  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่หายเคืองน้องสาวที่พูดเหมือนอบรมสั่งสอนเขาทางโทรศัพท์เมื่อหลายวันก่อน                             

“พี่ชอบติดตามข่าว  หนูไม่ว่าอะไรหรอก  พี่ชอบมานานแล้ว  มันเป็นความสุขหรือความสนุกของพี่  แต่ในความคิดของหนูคนเราไม่ควรเสพข่าวสารราวกับว่ามันคือความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง  แต่คนเราควรอ่านและดูมันด้วยหัวใจค่ะ  พี่เคยคิดถึงหัวอกญาติพี่น้องของคนที่ตกเป็นข่าวบ้างหรือเปล่า” นั่นทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อย  

ข้าวราดแกงเขียวหวานในกล่องหมดอีกแล้ว ขุนข่าวคิดขณะผละจากหน้าจอโทรทัศน์เดินไปอุ่นอาหารกล่องมาเพิ่ม  ภาพของแหม่มสาวผมทองแสนสวยแต่โชคร้าย เลือนหายไปจากความสนใจของเขาอย่างรวดเร็ว

พอแดดร่มลมตกขุนข่าวก็ทำงานที่ค้างอยู่เสร็จสมบูรณ์  เขาเดินออกไปปากซอยเพื่อหาซื้อเบียร์สัก 2-3 ขวด  พรุ่งนี้เขารู้ดีว่าถ้านำงานไปส่งคงได้รับเงินค่าจ้างแน่นอน  นี่เองที่ทำให้เย็นวันนี้เหมาะแก่การฉลองเสียเหลือเกิน

ระหว่างทาง  คนรู้จักในซอยทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ต่างพากันส่งเสียงทักทายกันเกรียวกราวราวกับว่าเขาคือดาวเด่นประจำซอย

“พี่ขุนเข่า เอ๊ย ขุนข่าว  วันนี้มีข่าวอะไรสนุก ๆ มั่ง” เด็กวัยรุ่นท่าทางกวนอารมณ์คนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

ขุนข่าวพยักหน้าให้แต่ไม่ตอบ   ใจมัวแต่คิดถึงจอโทรทัศน์เหมือนไม่ได้เห็นมันมาทั้งวัน

“จะไปไหนล่ะ  กินข้าวรึยังขุนข่าว” ป้าคนหนึ่งทักทายอย่างอ่อนโยน

“ยังเลยครับ  ว่าจะไปปากซอยซื้อเบียร์มากินเรียกน้ำย่อยซักหน่อยครับ”

“ช่วงนี้ได้ข่าวเรื่องล่งเรื่องเลขบ้างรึเปล่า  รู้แล้วอย่าปิดกันเชียว  บอกป้ามั่ง  ขอซักงวดเหอะน่า  จนมานานแล้ว”

“ครับ” เขาพยักหน้ารับคำสั้น ๆ  และยิ้มพอเป็นพิธี  ก่อนเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น  เนื่องจากใกล้จะได้เวลาข่าวภาคเย็นทางโทรทัศน์เข้าไปทุกทีแล้ว

การได้นั่ง ๆ นอน ๆ ดูข่าวโทรทัศน์หลังจากทำงานเสร็จในช่วงเย็น  ช่างเป็นความรู้สึกสบายอารมณ์ที่ขุนข่าวโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง  เวลานี้เขามีแก้วเบียร์เย็นเฉียบอยู่ในมือ  บนโต๊ะเล็ก ๆ เบื้องหน้าก็มีกับแกล้มรสจัดของแม่ค้าเจ้าประจำวางอยู่ถึงสองจาน  เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย  สายตาจับจ้องภาพข่าวบนจอเขม็ง

“อยากจะบ้าตาย  ไม่มีข่าวใหม่ ๆ บ้างรึไง  ข่าวสงครามก็ได้  อเมริกาน่าจะบุกอิหร่านได้แล้วนะ” ขุนข่าวพึมพำกับตัวเองทันทีที่เห็นรายงานข่าวเรือล่มอีก  ยอดผู้เสียชีวิตซึ่งเพิ่มมากขึ้นไม่ได้ทำให้ความสนใจของเขาเพิ่มตามเลยแม้แต่น้อย  แม้ว่าผู้เคราะห์ร้ายส่วนหนึ่งจะเป็นคนไทยก็เถอะ  ที่เหลือมีทั้งฝรั่ง  จีน  ญี่ปุ่น  เขามองภาพนักท่องเที่ยวพวกนั้นซึ่งนอนตัวเปียกขาวซีด และกองก่ายกันไม่ผิดฝูงปลาในเรือของชาวประมงด้วยแววตาเฉยเมย  อดนึกสมน้ำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำที่พากันไปตายเพราะความที่มีเงินและอยากเที่ยวแท้ ๆ  เขาเองแทบจะไม่ได้ไปไหนเลย  อยากไปเยี่ยมน้องสาวก็ติดเรื่องงานเสมอ  แม้แต่ในช่วงเทศกาลก็ยังต้องอยู่เฝ้ากรุงเทพฯ ทั้งปีทั้งชาติ

จังหวะนั้นเองที่มีเสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  เขาคว้ามาดูหน้าจอ  ครั้นเห็นว่าเป็นหมายเลขที่ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนก็กดปุ่มปิดเสียงตัดรำคาญ  แล้วโยนมันไปตกบนโซฟาอีกตัวหนึ่งที่อยู่ติดกัน  จากนั้นก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มสองอึกใหญ่  สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์

ผู้ประกาศข่าวหญิงสามคนในชุดสวย ทรงผมทันสมัย   กำลังวิจารณ์ข่าวการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวไปต่าง ๆ นานา  พร้อมกับเรียกร้องให้ทางราชการรีบล้อมคอกไว้ก่อนที่วัวจะหายอีกครั้ง  จากนั้นก็มีการขึ้นชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมดรวม 30 ศพเป็นตัวอักษรวิ่ง   มันมากเสียจนผู้ที่หากินกับการท่องเที่ยวคงนึกเป็นห่วงภาพลักษณ์ของประเทศ  ถ้ามีคนตายน้อยนิดคงจะเป็นแค่ข่าวธรรมดา  แต่ก็รนหาที่กันเองแท้ ๆ  ขุนข่าวรำพึง

ครั้นแล้วโดยไม่ทันตั้งตัว  ชื่อและนามสกุลของผู้เสียชีวิตคนหนึ่ง  ซึ่งเขาเห็นอยู่ในจอและคุ้นเคยเป็นอย่างดี  ก็ทำให้มือข้างที่ถือแก้วเบียร์อ่อนปวกเปียกลงกะทันหัน  จนต้องปล่อยมันร่วงหล่นลงพื้นแตกกระจาย  ตัวของเขาเย็นวาบ  หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น  ริมฝีปากสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้

ขุนข่าวพึมพำเรียกชื่อน้องสาวซ้ำไปซ้ำมา  ข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งไม่เคยสร้างความสะเทือนใจใด ๆ ให้แก่เขามาก่อน  นอกจากความสนุกตื่นเต้น  ครั้งนี้ได้ทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตาออกมาเป็นครั้งแรก  และอีกเช่นกันที่มันก็เป็นครั้งแรกของเขาที่เข้าใจในคำพูดของน้องสาว  

“คนเราไม่ควรเสพข่าวสารราวกับว่ามันคือความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง  แต่คนเราควรอ่านและดูมันด้วยหัวใจ” น้ำเสียงนั้นยังดังแว่วอยู่ในโสตประสาทและความทรงจำของเขา

ขุนข่าวยกฝ่ามือขึ้นปิดหน้า  คอตก  และไม่พยายามที่จะกลั้นเสียงสะอื้น  ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งด้วยหัวใจตัวเอง .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน 2551

ใส่ความเห็น