เรื่องสั้นประจำสัปดาห์
อุตสาหะทรุดกายบึกบึนนั่งลงใต้ร่มเงาของต้นมะขามใหญ่ ถอนหายใจยาว สายตามองกวาดไปทั่วบริเวณลานหน้าบ้านเก่าแก่รกร้าง ความทรงจำบอกว่านี่คือถิ่นเกิดของเขา แดดเหลืองเรืองรองของยามบ่ายอาบไล้ทุกแห่งหน ลมเย็นพัดโชยมาจากท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว กลิ่นหอมแห่งชีวิตวัยเยาว์ฟุ้งกระจาย เสื้อโปโลแขนสั้นสีฟ้าอ่อนของเขาและชายกางเกงขายาวสีกากีที่เปียกน้ำหมาด ๆ พัดกระพือไปตามแรงลมนั้น อุตสาหะเริ่มรู้สึกหนาวจนร่างสะท้าน ขณะที่หัวใจก็ไหวสั่นปั่นป่วน เขาไม่แน่ใจนักว่ามันเกิดขึ้นเพราะต้องลมหนาว หรือเป็นด้วยสำนึกกลัวความผิดที่ได้ก่อไว้กันแน่ ชีวิตช่างมีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน
“ตอนนี้พวกมึงคงตามล่ากูให้วุ่น มือเราเปื้อนเลือดจริง ๆ ใช่ไหม รึว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน เหมือนชีวิตหลายสิบปีที่ผ่านมาอย่างเปลืองเปล่า” ชายวัยสามสิบห้ารำพึงดุจคนเพ้อ มุมปากกระตุกหลายครั้ง ดวงตาที่เคยคมเข้มหรี่ลงเหมือนสัตว์บาดเจ็บใกล้ตาย
เขาเหลือบดูทั่งเหล็กหนักอึ้งรูปทรงคล้ายเรือซึ่งวางอยู่ใกล้ตัว เขาเพิ่งงมขึ้นมาจากบ่อเลี้ยงปลานิลของพ่อ แน่นอน ทุกวันนี้ไม่มีปลาให้จับอีกแล้ว น้ำสีเขียวขุ่นงวดลงกว่าครึ่ง แต่ทั่งเหล็กที่เขาโยนทิ้งไว้ภายหลังเสร็จธุระเรื่องงานศพของพ่อยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่มีใครยุ่งกับมัน ส่วนเขาก็จากไปโดยไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย มรดกตกทอดอันเป็นผืนนาโดยรอบปล่อยให้เพื่อนบ้านเช่าทำกินเช่นเดียวกับที่ปู่และพ่อปฏิบัติกันมา ข้าวเปลือกอันเป็นส่วนแบ่งตามข้อตกลง ไม่แน่ชัดนักว่าจำนวนกี่เกวียน ถูกขายไปโดยที่เขาไม่เคยได้เห็น หรือแม้แต่จะให้ความสนใจ ผู้เช่าเพียงแค่โอนเงินเล็กน้อยเข้าบัญชีธนาคารอย่างสัตย์ซื่อ น่าขำยิ่งนัก บัญชีธนาคารซึ่งพอกพูนอยู่แล้วจากการรับราชการและทำธุรกิจในเมืองใหญ่ ช่วงเวลานั้นบ้านไม้ทรุดโทรมและผืนดินแห่งนี้ราวกับไม่มีตัวตน ไม่มีความหลังต่อกัน เขาหลงลืมพวกมันไปแล้วด้วยซ้ำ
ครั้นได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ในสภาพของเหยี่ยวปีกหัก หัวใจดวงซึ่งเคยผยองบังเกิดความเจ็บปวด เขาโผเผสิ้นเรี่ยวแรง จอดรถเก๋งคันโก้ตรงรั้วบ้านผุพัง ลังเลอยู่นานว่าจะเอาปืนพกลูกโม่กับโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วยหรือทิ้งไว้ในรถ แต่จะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ ในเมื่อวันแห่งความพินาศได้เดินทางมาถึงแล้ว เขาเลิกใส่ใจกับข้าวของนอกกาย ค่อย ๆ เปิดประตูก้าวลงจากรถในลักษณะไหล่ห่อคอตก หูแว่วเสียงแห่งความร้างว่างเปล่าของชีวิต ประตูหน้าต่างปิดตาย หยากไย่เกาะตรงชายคาและรางน้ำฝน โอ่งน้ำเหือดแห้งหลายใบแตกหัก แคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ เอียงกระเท่เร่ วัชพืชเลื้อยเกี่ยวกระหวัดไปตามตัวบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างต้อนรับเขาอย่างที่ควรจะเป็น สำหรับอดีตข้าราชการที่ถูกไล่ออกเนื่องจากพัวพันการทุจริต ย่อมไม่มีกองเกียรติยศตั้งแถวทำความเคารพ ไม่มีผู้คนปรบมือโห่ร้อง มีเพียงความเงียบ ความไร้ชีวิต และความพ่ายแพ้ที่อ้าแขนโอบกอดร่างของเขาไว้
แม้กระนั้นเขาก็ยังคงเห็นภาพชายชราร่างผอมบางแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ ท่อนบนเปลือยเผยให้เห็นผิวเกรียมแดด ท่อนล่างนุ่งผ้าขาวม้าตาหมากรุกแดงขาว เส้นผมและหนวดเคราของพ่อเป็นสีเทา พ่อนั่งอยู่ตรงแท่งหินกากเพชรใกล้โอ่งน้ำ ความทรงจำบอกว่าพ่อกำลังฝนก้อนเหล็กกับหินแท่งนั้น ก้อนเหล็กที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั่งใหญ่โต ท่าทางของพ่อเปี่ยมด้วยอาการกระตือรือร้น สายตาก็มุ่งมั่นเหลือเกิน กระทั่งแลเห็นเป้าหมายของชีวิตโลดเต้นอย่างชัดเจน ราวกับจะบอกให้รู้ว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาพ่อก็จะไม่ยอมวางมือ แต่ยังคงทุ่มเททำงานอันไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไร้คนสนใจ โลกทัศน์ของพ่อต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง มันทำให้เขาสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมจึงต้องเกิดมาในตระกูลคนฝนทั่งอันน่าอับอาย ความจริงถ้าพ่อไม่ชิงลาออกจากราชการเสียตั้งแต่วัยหนุ่ม ในบั้นปลายชีวิตพ่ออาจเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งสะสมเกียรติยศไว้มากมายจากตำแหน่งต่าง ๆ พ่อคงดูยิ่งใหญ่กว่านี้หากไม่ดำเนินตามรอยปู่ ทุกชีวิตย่อมไปได้สวยงาม หากไม่มัวเสียเวลากับการฝนทั่งให้กลายเป็นเข็ม
“อา…ทั้งหมดนี้คือความเชื่อของเราในอดีตซีนะ” อุตสาหะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีก
ตั้งแต่จำความได้ เขาก็เห็นพ่อนั่งฝนทั่งด้วยตะไบเหล็กและหินกากเพชรจนกลายเป็นภาพชินตา เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับร่างกายของเขาที่ใหญ่โตขึ้น ส่วนทั่งก้อนนั้นกลับเรียวเล็กลง พ่อแทบจะไม่เคยหยุดงานประจำนี้เลย เว้นเสียแต่เจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องไปธุระในตัวจังหวัด หลังลาออกจากราชการ พ่อเลี้ยงชีพด้วยการทำแปลงปลูกผักและขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้ข้างบ้าน ที่นาร่วมห้าสิบไร่ซึ่งตกทอดมาจากปู่ได้ปล่อยให้คนอื่นเช่าทำกิน แลกกับข้าวเปลือกปีละไม่กี่เกวียน แต่ก็พอกินพอขายเอาเงินมาใช้จ่ายจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหม่ ชีวิตของพ่อเป็นเช่นนี้ แม่ไม่กล้ามีปากเสียงหรือคาดคั้นเอาอะไรจากพ่อเลย นั่นทำให้เขาเกือบไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยม โชคดีที่พอมีความฉลาดอยู่บ้างจึงได้ทุนเรียนทุกปี กระทั่งสามารถคว้าใบปริญญาทางรัฐศาสตร์มาได้ แม้จะเป็นการเล่าเรียนชนิด“เรียนตามเพื่อน” ก็ตาม โลกนี้ไม่เคยมีความใฝ่ฝันใด ๆ สำหรับคนไร้จุดมุ่งหมายอย่างเขา ชีวิตก็แค่การล่องลอยไปตามกระแสน้ำ แต่ละวันสนใจอยู่กับการตอบสนองความคาดหวังของเพื่อนฝูง ครั้นสอบบรรจุครั้งแรกก็บังเอิญให้ติดอันดับต้น ๆ
“เป็นงานที่มั่นคงดีนะพ่อ อย่างน้อยก็มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง มีอะไรให้ทำจนกว่าจะอายุหกสิบ เผลอ ๆ ได้ตำแหน่งใหญ่โตถ้าเข้าถูกช่อง พ่อน่าจะรู้ดีนี่…”
ทว่าความสำเร็จในชีวิตไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นพ่อได้ เขารู้ดีว่าพ่อนึกถึงทั่งเหล็กที่มอบให้เขาตั้งแต่แรกเกิด อันเป็นธรรมเนียมในตระกูล มันถูกซุกทิ้งอยู่ใต้เตียง เขาไม่เคยแตะต้องแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ให้นั่งฝนมันเลย พ่อห่วงเขาเรื่องนี้มาโดยตลอดแม้กระทั่งในวันสุดท้าย
“จะไม่ทันการเอานะลูกเอ๋ย เราต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่เรี่ยวแรงยังดี ความมุ่งมั่นจริงจังจะทำให้มันกลายเป็นเข็มแห่งความภาคภูมิใจในชีวิต ความปีติรอลูกอยู่ที่นั่น รีบลงมือเถอะ เพราะธรรมชาติจะเรียกพละกำลังและลมหายใจของเราคืนกลับไปเมื่อไหร่ไม่มีทางรู้ ลงมือเสียวันนี้ โธ่ อุตสาหะเอ๋ย คุณค่าใดสำคัญกับชีวิตรู้บ้างไหม พ่อเป็นห่วงลูกมากนะ หากไม่มีเข็มใส่โลงศพตามธรรมเนียมของพวกเราก็ย่อมเสียแรงที่เกิดมา เจ้าอย่าได้จากโลกนี้ไปอย่างไร้ความมุ่งมั่นและเป้าหมายในชีวิตเลย”
นี่คือคำสั่งเสียก่อนสิ้นลม แน่นอน เขาไม่เคยแยแส พ่อตายไปพร้อมกับเป้าหมายอันเป็นความเชื่อ ความศรัทธา และอุดมคติแปลกประหลาด บัดนี้คนอย่างเขาต้องมาตั้งคำถามแก่ตัวเองว่า ที่ผ่านมานั้นเคยมีเป้าหมายแท้จริงในชีวิตหรือไม่ เขากำลังทำอะไรอยู่ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสนนี้
“เกียรติยศหรือเงินตรา” อุตสาหะพึมพำ เขาเชื่อว่าภายหลังได้เป็นข้าราชการ เขาก็เริ่มมีเป้าหมายในชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ตอนนี้มาทบทวนดูอีกทีก็รู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาเพียงแค่คอยตอบสนองความต้องการของผู้คนในสังคมเท่านั้น เพื่อที่จะได้รับการยอมรับ เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน และในที่สุดเกียรติยศหรือเงินทองก็จะถูกเฉลี่ยแบ่งปันกันถ้วนหน้า
ผลลัพธ์ของมันช่างหอมหวาน เขารู้ ทุกคนรู้ ใครไม่รู้บ้างล่ะ แต่ในยามนี้ เขาต้องประหลาดใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก มันหลั่งไหลเข้ามาโดยอัตโนมัติเสียมากกว่า ใช่ เขาชอบปฏิบัติตนตามอย่างพวกเพื่อน ๆ เสมอ ตั้งแต่เกาะกลุ่มเรียนสมัยอยู่ชั้นมัธยมแล้ว เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกศึกษาต่อในคณะเดียวกัน กลายเป็นคนไม่มีความคิดริเริ่ม มองไม่เห็นเป้าหมายแท้จริงของชีวิต ชีวิตซึ่งควรได้รับความปีติหลังจากทำงานแต่ละชิ้นเสร็จสิ้นลง เขาไม่เคยรู้เลยว่าเกิดมาเพื่ออะไร ไม่เคยเอ่ยถามหัวใจว่าต้องการเป็นหรือปรารถนาจะทำสิ่งใดในชีวิตอันแสนสั้นนี้ เขาเป็นแค่คน ๆ หนึ่งซึ่งเลื่อนไหลไปตามกระแสสังคม ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องง่าย ไม่เหงา ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ทำตามคนอื่นเท่านั้น
“น่าเสียดายเหลือเกิน ชีวิตที่ผ่านมาของเราไม่ใช่ชีวิตที่เป็นจริง จับต้องได้ แต่…ไม่เป็นความจริง” อุตสาหะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ
นานมาแล้ว ในวันซึ่งเขาเตรียมพร้อมจะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานตัวเข้ารับราชการ หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ รอฟังผลการสอบบรรจุอยู่กับบ้านเสียหลายเดือน พ่อได้ตักเตือน อีกทั้งพยายามเปลี่ยนใจเขาโดยบอกว่า
“มันไม่ให้อะไรแก่ชีวิตหรอกลูกเอ๋ย ยศศักดิ์เป็นแค่รสชาติเอร็ดอร่อยเพียงชั่วแล่น เหมือนฝันในคืนหนึ่งเท่านั้น ท่ามกลางสังคมแบบลูกน้องกับเจ้านายในระบบอุปถัมภ์ เราอาจต้องเสื่อมเกียรติโดยไม่ทันรู้ตัว หรือหากลูกเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับระบบได้ ลูกก็ต้องทนอยู่กับกองเอกสาร ทนอยู่กับงานที่อาจทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ เป็นเจ้าเป็นนาย มีลูกน้องคอยประจบเอาใจ แต่ยากจะนำความชื่นชมยินดีอันแท้จริงมาให้ นอกเสียจากว่าลูกต้องการทำงานนี้เพราะมันเป็นอุดมคติที่จะรับใช้ประชาชน แต่พ่อรู้ว่าไม่ใช่ ดังนั้นอย่าไปเลย สู้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ลูกควรอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับวิถีชีวิตของพวกเรา เชื่อพ่อเถอะ แล้วลูกจะได้รับผลแห่งความสุขในบั้นปลาย อันเกิดจากการฝนทั่งเหล็กให้กลายเป็นเข็ม”
“ถ้าวันหนึ่งผมอยากฝนทั่งให้เป็นเข็มขึ้นมาจริง ๆ ในกรณีที่มันได้กลายเป็นอุดมคติของผมไปแล้ว และเมื่ออยากให้มันเสร็จโดยเร็ว ผมก็คิดว่าผมหันไปใช้เครื่องฝนมอเตอร์ไฟฟ้าดีกว่า พ่อก็น่าจะลองใช้ดูบ้างนะ มันคงทำให้พ่อมีเข็มได้เป็นโหล ๆ” เขาโต้ตอบหลังจากทนฟังอยู่นาน ไม่ได้คิดเลยว่าคำพูดที่หลุดออกมาจะทำให้พ่อปวดร้าวใจหรือไม่ จริง ๆ แล้วพ่อคงไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากเป็นห่วงลูก นั่นคือหัวจิตหัวใจของคนเป็นพ่อ
หลายปีผ่านไป เวลาในชีวิตของเขาถูกพล่าผลาญด้วยเรื่องราวมากมาย ยามว่างจากงานบนโต๊ะ (แน่นอน เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารกองเป็นตั้ง ต้องอ่านและร่างขึ้นเป็นหนังสือราชการเสนอให้นายพิจารณาทุกวัน) หากไม่แวะร่วมวงเหล้าเฮฮากับเพื่อนข้าราชการในสโมสร เขาจะติดตามนายเป็นเงาตามตัว มีหน้าที่ชงกาแฟบ้าง ชงเหล้าบ้าง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือคอยจุดบุหรี่ให้ นอกเหนือจากการรับฟังคำพูดของนายเพื่อพยักหน้าเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม นี่อาจดูน่าสมเพชน่ารังเกียจแต่ใคร ๆ ก็ทำกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับการช่วยนายเลี้ยงไก่ชน หรือไม่ก็เสาะหาต้นไม้ พระเครื่อง และผู้หญิงมาให้นาย นายผู้หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาแทบจะทุกปี บำเหน็จรางวัลคือความดีความชอบ แค่สิบกว่าปีผ่านไปก็มีป้ายหัวหน้าฝ่ายติดหราบนประตูห้องทำงานส่วนตัว การจัดซื้อจัดจ้างหลายครั้งมีผลต่อตัวเลขในกระเป๋าของเขา มิหนำซ้ำธุรกิจส่วนตัวจากการสนับสนุนของนายและเพื่อนพ้องก็ดำเนินไปได้อย่างสวยงาม
นาน ๆ ครั้งเขาจึงจะกลับมาเยี่ยมพ่อ แต่ไม่เคยพาใครติดตามมาด้วย บ้านนอกคอกนาจะมีอะไรเล่านอกจากกลิ่นสาบของความล้าหลัง ภาพคนนั่งฝนทั่งให้เป็นเข็มย่อมเป็นเรื่องตลกอย่างไม่ต้องสงสัย เขาอับอายเกินกว่าจะชี้แจงว่าพ่อของเขาทำเรื่องบ้า ๆ นี้เพื่ออะไร มีคุณค่าใดแอบแฝงอยู่หรือ เสียงหัวเราะ เสียงซุบซิบนินทาคงเลื่องลือทั่วกรมเป็นแน่หากใครรู้เข้า ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขากล้าพานายกับเพื่อนร่วมงานมาบ้านก็คราวจัดงานศพ วันซึ่งความลับเรื่องคนฝนทั่งได้ตายไปพร้อมกับพ่อ เมื่อเขาวางเข็มเล็ก ๆ เล่มนั้นลงบนร่างไร้วิญญาณ ก่อนที่เปลวไฟจะลุกท่วม ท่ามกลางความโล่งใจของเขา ราวกับว่าปมด้อยในชีวิตได้ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก ยากแก่การตามมาหลอกหลอนได้อีก
“จบสิ้นกันทีกับตำนานของตระกูล ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครล่วงรู้…” เขากระซิบกับห่อเถ้าอังคารของพ่อบนเรือ ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเงี่ยหูฟัง มันล่องลอยหายไปดุจเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาโปรยลงในสายน้ำ
ชีวิตของอุตสาหะคล้ายจะเป็นอิสระมากขึ้นจากสายใยลึกลับที่เคยร้อยรัดเอาไว้ ความรักความหอมหวานก็ผ่านเข้ามาอย่างจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้ง ชายโสดได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นสามีของพนักงานธนาคารสาวสวย พิธีสมรสจัดกันในโรงแรมหรูหรากลางกรุง ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวคือผู้บังคับบัญชาระดับสูงซึ่งให้เกียรติเป็นเถ้าแก่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย (ใช่สิ ท่านเป็นฝ่ายรับจากเขามามากแล้ว) ญาติฝ่ายหญิงไม่มีใครถามถึงพ่อแม่แท้ ๆ ของเขา เป็นที่รู้กันดีว่าทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว
ระหว่างที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยพาสาวคนรักแต่ละรายมาเยี่ยมบ้านเกิดเลย กระทั่งเลิกรากันไปตามวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่ พ่อไม่เคยมีโอกาสละสองมือจากการฝนทั่งเพื่อเอื้อมมาอุ้มชูเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา พ่อถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะสร้างครอบครัวเสียที ตามประสาคนแก่อยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย เขาปฏิเสธทุกครั้งด้วยไม่ต้องการให้พ่อรับขวัญหลานด้วยทั่งเหล็กก้อนใหญ่
คิดถึงตรงนี้อุตสาหะก็อยากรู้เหลือเกิน เคยมีสักครั้งไหมที่เขาได้ทำความชื่นใจให้แก่พ่อบ้าง ทำให้สมกับที่นับตั้งแต่แม่จากโลกนี้ไป พ่อก็ไม่เคยหวนคืนสู่การมีชีวิตครอบครัวกับหญิงใดอีก เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะไม่มีใครสนใจผู้ชายประหลาดอย่างพ่อ หรือเป็นเพราะพ่อนั่นเองที่ไม่ต้องการ เพราะห่วงใยความรู้สึกของเขา บางทีอาจเป็นไปได้ว่าแม้แต่เรื่องราวความรักความใคร่ ก็ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของพ่อ มันไม่ใช่วิถีชีวิตที่ตอบสนองจิตวิญญาณ โลกนี้ไม่มีเรื่องราวอื่นใดสลักสำคัญ เว้นเสียก็แต่การฝนทั่งให้กลายเป็นเข็มเท่านั้น
เขาจำได้ดี สมัยเป็นเด็กอายุประมาณสิบขวบ แม่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนัก พ่อนำผักเสี้ยนมาแผ่กองตากแดดไว้บนลานหน้าบ้าน พร้อมกับสั่งให้เขาดูแลอย่าให้ถูกแดดเผาจนไหม้ เพราะพ่อจะนำไปดองใส่ไห แต่เขาเผลอหลับข้างโอ่งน้ำเย็น ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวและเปลวแดดไหวระริก กระทั่งพ่อมาปลุกให้ตื่นจากความฝันอันโลดโผนแสนสนุก แล้วชี้ให้ดูผักเสี้ยนที่เสียหาย จากนั้นพ่อก็แค่ยิ้มเศร้าพลางส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งฝนทั่งโดยไม่พูดอะไรอีก หากเป็นพ่อของเด็กคนอื่น เขามีหวังถูกตีจนตัวลายอย่างไม่ต้องสงสัย
มานึกดูแล้วอุตสาหะก็อยากกล่าวขอบคุณชีวิต ชีวิตที่ไม่ต้องมีลูกเหมือนคนอื่น ๆ เมียของเขาเป็นหมันและตายจากไปด้วยโรคมะเร็ง หลังใช้ชีวิตร่วมกันเพียงไม่กี่ปี เขาเคยคิดหาเมียใหม่อยู่เหมือนกัน ถ้าเพียงแต่จะไม่กระเด็นกระดอนออกมาจากเส้นทางราชการเสียก่อน ธุรกิจส่วนตัวก็ถูกหักหลังจากหุ้นส่วนคนมีสีในเวลาไล่เลี่ยกัน แน่นอน ทันทีที่ไร้อำนาจวาสนาคอยค้ำจุน ความพ่ายแพ้ช่างเป็นเรื่องน่าอับอาย ทำให้ต้องลบลี้หนีหน้าไม่อยากเข้าสังคม จำนวนมิตรสหายก็ทยอยลดลงตามจำนวนเงินที่ร่อยหรอ ปะหน้าใครเข้าก็พากันทำสีหน้าเหมือนกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
“ไอ้ระยำ พวกมึง…ใจพวกมึงมันมีค่าน้อยกว่าก้อนขี้หมาซะอีก” เขาคำรามด้วยความคับแค้น ทว่าเมื่อนึกได้ถึงความจริงของโลกก็พยายามระงับความรู้สึกเอาไว้ พยายามยิ้มออกมาประหนึ่งต้องการปลอบใจตัวเอง ถ้าเป็นพ่อ พ่อคงไม่ยี่หระต่อเรื่องพวกนี้ พลันก็สำนึกเสียใจที่ได้พลั้งมือฆ่าอดีตหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนด้วยแรงโทสะ เมื่อการทวงหนี้ไม่เกิดผล
โธ่เอ๋ย เพียงแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเดียวแท้ ๆ ชีวิตก็ต้องมาไร้ที่ยืน เขาคิด หูยังได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของผู้ตาย เสียงนั้นแตกพร่า เหงื่อเม็ดโป้งไหลเต็มใบหน้า มือที่ยกขึ้นพนมแต้ก็สั่นเทิ้ม
“ป่านนี้ลูกเมียของมันจะอยู่กันยังไง ไอ้พงศ์…มึงโกงกูทำไม กูเลยต้องยิง ตอนนี้มึงก็ตายเสียแล้ว แต่กูไม่ตั้งใจว่ะ”
เขาเอื้อมมือลูบไล้ผิวเย็นยะเยียบของทั่งเหล็ก คราบสนิมแดงผุกร่อนทั่วทุกตารางนิ้ว โสตประสาทแว่วเสียงเก่าแก่ลอยล่องมาในสายลม “จะไม่ทันการเอานะลูกเอ๋ย เราต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่เรี่ยวแรงยังดี ความมุ่งมั่นจริงจังจะทำให้มันกลายเป็นเข็มแห่งความภาคภูมิใจของชีวิต ความปีติรอลูกอยู่ที่นั่น รีบลงมือเถอะ …”
แวบหนึ่งของอารมณ์เศร้าสร้อย อุตสาหะรู้สึกราวกับว่านี่คือก้อนเหล็กผีสิง อยากอุ้มเอาไปโยนทิ้งในบ่อน้ำตามเดิม จากนั้นก็หวนกลับเข้าเมืองหลวง แต่เขาไม่ได้ขยับร่างกายเลย ยังคงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะขาม เวลานี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้รบตบมือกับชีวิตในเมืองใหญ่อีกแล้ว
“กลับไปให้โดนจับเข้าคุกงั้นเรอะ ถ้าจะตายก็ขอตายมันตรงนี้ ตรงบ้านเกิดของกูนี่แหละ เอ๊ะ หรือว่าเราจะลองหนีข้ามพรมแดนไปฝั่งโน้น รอให้เรื่องมันเงียบเสียก่อน ค่อยย้อนกลับไปจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ แต่…”
ความจริงที่นั่นก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว อุตสาหะบอกกับตัวเอง มันจบสิ้นลงอย่างแท้จริง ไร้ความผูกพันใด ๆ ให้คอยห่วงใย ผิดกับบ้านเกิด แม้จะรกเรื้อทรุดโทรมทว่าเป็นของจริง จับต้องได้ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่คุ้นเคย แม้ไม่ได้สวมใส่มานาน หากลงมือซักรีดให้เรียบร้อยก็สามารถสวมใส่ได้อีกครั้งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ว่าแต่คนอย่างเขายังจะมีโอกาสอีกหรือ
ลมเย็นจากท้องทุ่งพัดกระโชกแรง ต้นไม้รอบตัวพากันสะบัดกิ่งใบเกรียวกราว ใบมะขามมากมายปลิวว่อนไปไกล ก่อนจะพากันทิ้งตัวลงบนผืนดิน อุตสาหะจ้องมองทั่งเหล็กอีกครั้ง เผยอริมฝีปากยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกลายเป็นยิ้มกว้าง
“เราอาจขอเป็นคนฝนทั่งก็ได้ ใช่เลย ถ้าเพียงแต่มีเวลา มีความมุ่งมั่น เราก็สามารถทำงานชิ้นนี้ได้สำเร็จเหมือนพ่อ”
อุตสาหะลุกขึ้นยืน ก้มลงอุ้มทั่งเหล็กหนักอึ้งขึ้นแนบอก จากนั้นเดินตรงไปที่หินกากเพชร เขานั่งลงในตำแหน่งเดียวกับที่พ่อเคยนั่ง มีอาการเงอะงะเล็กน้อยยามคว้าตะไบมาถือไว้ เขาถามตัวเองว่าควรเริ่มต้นด้วยการฝนทั่งจากด้านบนดีไหม รอให้มันมีขนาดเล็กลงเสียก่อนจึงค่อยจับฝนบนแผ่นหิน อีกหน่อยมันก็จะมีขนาดเล็กลงกว่านี้ เบามือกว่าตอนนี้ ช่วงนั้นแหละที่จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับการปรับแต่งรูปทรง เขาบังเกิดความปรารถนาจะมีรอยยิ้มเช่นเดียวกับรอยยิ้มของพ่อยามทอดร่างนอนอยู่ในโลง พ่อคือมนุษย์ผู้สามารถยิ้มสมหวังได้ในวันสุดท้ายของชีวิต หมดลมหายใจโดยไม่รู้สึกติดค้างกับเรื่องราวใด ๆ อีก และโลกหลังความตายก็ไม่อาจทำให้พ่อหวั่นกลัวได้เลย
“นั่นคือเป้าหมายแท้จริงในชีวิตของคนเราใช่ไหมครับพ่อ เราควรทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะไร้ค่าในสายตาผู้คนสักเพียงไหนก็ตาม” เขาซบหน้าลงบนหัวเข่าน้ำตาซึม “แต่ผมไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว สายไปเสียแล้ว โธ่ พ่อครับ ผมกลัวเหลือเกิน”
ถึงตรงนี้เขารีบเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเหลียวมองไปรอบ ๆ ร่างสั่นเทิ้มเหมือนสัตว์ป่าได้กลิ่นอันตราย เกิดความลังเลว่าจะจัดการกับทั่งเหล็กอย่างไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจอุ้มไปที่รถเก๋ง ขณะกำลังจะวางลงกับพื้นเพื่อเปิดกระโปรงหลัง รถปิคอัพสีดำคันหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้วหยุดกะทันหัน เสียงเบรกไม่ทันจางหาย กระจกหน้าต่างติดฟิล์มดำด้านคนขับก็เลื่อนลงจนสุด เขามองเข้าไปข้างใน เห็นใบหน้าลูกน้องคนหนึ่งของพงศ์ มันยิ้มเหมือนกับที่เคยยิ้มให้เขาเสมอ แต่ครั้งนี้แววตาเหี้ยมเหลือเกิน ปืนพกเล็งตรงมาที่เขาบอกถึงความต้องการแท้จริง
กระสุนนัดแรกปะทะเข้ากับทั่งเหล็กตรงหน้าอกก่อนแฉลบลงพื้น อุตสาหะหันกลับเพื่อวิ่งหนี แต่ไม่ทันเสียแล้ว กระสุนนัดที่สองชำแรกเข้ากลางหลัง เขาสะดุ้งแขนกาง ทั่งเหล็กหลุดมือตกใส่หลังเท้า กระดูกแตกแต่ไร้ความเจ็บปวด เพราะวินาทีนั้นกระสุนนัดสุดท้ายได้ทะลวงเข้าท้ายทอยทะลุปากของอุตสาหะ ผู้กำลังเผยอยิ้มอย่างเศร้า ๆ .
พิมพ์ครั้งแรก สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ กันยายน 2553