เรื่องสั้น “ลูกคนฝนทั่ง” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น ลูกคนฝนทั่ง โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นประจำสัปดาห์

อุตสาหะทรุดกายบึกบึนนั่งลงใต้ร่มเงาของต้นมะขามใหญ่  ถอนหายใจยาว  สายตามองกวาดไปทั่วบริเวณลานหน้าบ้านเก่าแก่รกร้าง  ความทรงจำบอกว่านี่คือถิ่นเกิดของเขา  แดดเหลืองเรืองรองของยามบ่ายอาบไล้ทุกแห่งหน  ลมเย็นพัดโชยมาจากท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว  กลิ่นหอมแห่งชีวิตวัยเยาว์ฟุ้งกระจาย  เสื้อโปโลแขนสั้นสีฟ้าอ่อนของเขาและชายกางเกงขายาวสีกากีที่เปียกน้ำหมาด ๆ พัดกระพือไปตามแรงลมนั้น  อุตสาหะเริ่มรู้สึกหนาวจนร่างสะท้าน  ขณะที่หัวใจก็ไหวสั่นปั่นป่วน  เขาไม่แน่ใจนักว่ามันเกิดขึ้นเพราะต้องลมหนาว  หรือเป็นด้วยสำนึกกลัวความผิดที่ได้ก่อไว้กันแน่  ชีวิตช่างมีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน

“ตอนนี้พวกมึงคงตามล่ากูให้วุ่น  มือเราเปื้อนเลือดจริง ๆ ใช่ไหม  รึว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน  เหมือนชีวิตหลายสิบปีที่ผ่านมาอย่างเปลืองเปล่า” ชายวัยสามสิบห้ารำพึงดุจคนเพ้อ  มุมปากกระตุกหลายครั้ง  ดวงตาที่เคยคมเข้มหรี่ลงเหมือนสัตว์บาดเจ็บใกล้ตาย

เขาเหลือบดูทั่งเหล็กหนักอึ้งรูปทรงคล้ายเรือซึ่งวางอยู่ใกล้ตัว  เขาเพิ่งงมขึ้นมาจากบ่อเลี้ยงปลานิลของพ่อ  แน่นอน  ทุกวันนี้ไม่มีปลาให้จับอีกแล้ว  น้ำสีเขียวขุ่นงวดลงกว่าครึ่ง  แต่ทั่งเหล็กที่เขาโยนทิ้งไว้ภายหลังเสร็จธุระเรื่องงานศพของพ่อยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม  ไม่มีใครยุ่งกับมัน  ส่วนเขาก็จากไปโดยไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย  มรดกตกทอดอันเป็นผืนนาโดยรอบปล่อยให้เพื่อนบ้านเช่าทำกินเช่นเดียวกับที่ปู่และพ่อปฏิบัติกันมา  ข้าวเปลือกอันเป็นส่วนแบ่งตามข้อตกลง  ไม่แน่ชัดนักว่าจำนวนกี่เกวียน  ถูกขายไปโดยที่เขาไม่เคยได้เห็น  หรือแม้แต่จะให้ความสนใจ  ผู้เช่าเพียงแค่โอนเงินเล็กน้อยเข้าบัญชีธนาคารอย่างสัตย์ซื่อ  น่าขำยิ่งนัก  บัญชีธนาคารซึ่งพอกพูนอยู่แล้วจากการรับราชการและทำธุรกิจในเมืองใหญ่   ช่วงเวลานั้นบ้านไม้ทรุดโทรมและผืนดินแห่งนี้ราวกับไม่มีตัวตน  ไม่มีความหลังต่อกัน  เขาหลงลืมพวกมันไปแล้วด้วยซ้ำ

ครั้นได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ในสภาพของเหยี่ยวปีกหัก หัวใจดวงซึ่งเคยผยองบังเกิดความเจ็บปวด เขาโผเผสิ้นเรี่ยวแรง  จอดรถเก๋งคันโก้ตรงรั้วบ้านผุพัง  ลังเลอยู่นานว่าจะเอาปืนพกลูกโม่กับโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วยหรือทิ้งไว้ในรถ แต่จะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ  ในเมื่อวันแห่งความพินาศได้เดินทางมาถึงแล้ว  เขาเลิกใส่ใจกับข้าวของนอกกาย  ค่อย ๆ เปิดประตูก้าวลงจากรถในลักษณะไหล่ห่อคอตก  หูแว่วเสียงแห่งความร้างว่างเปล่าของชีวิต  ประตูหน้าต่างปิดตาย  หยากไย่เกาะตรงชายคาและรางน้ำฝน  โอ่งน้ำเหือดแห้งหลายใบแตกหัก  แคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ เอียงกระเท่เร่  วัชพืชเลื้อยเกี่ยวกระหวัดไปตามตัวบ้าน  ทุกสิ่งทุกอย่างต้อนรับเขาอย่างที่ควรจะเป็น  สำหรับอดีตข้าราชการที่ถูกไล่ออกเนื่องจากพัวพันการทุจริต  ย่อมไม่มีกองเกียรติยศตั้งแถวทำความเคารพ  ไม่มีผู้คนปรบมือโห่ร้อง  มีเพียงความเงียบ  ความไร้ชีวิต  และความพ่ายแพ้ที่อ้าแขนโอบกอดร่างของเขาไว้

แม้กระนั้นเขาก็ยังคงเห็นภาพชายชราร่างผอมบางแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ  ท่อนบนเปลือยเผยให้เห็นผิวเกรียมแดด  ท่อนล่างนุ่งผ้าขาวม้าตาหมากรุกแดงขาว   เส้นผมและหนวดเคราของพ่อเป็นสีเทา  พ่อนั่งอยู่ตรงแท่งหินกากเพชรใกล้โอ่งน้ำ  ความทรงจำบอกว่าพ่อกำลังฝนก้อนเหล็กกับหินแท่งนั้น  ก้อนเหล็กที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั่งใหญ่โต ท่าทางของพ่อเปี่ยมด้วยอาการกระตือรือร้น  สายตาก็มุ่งมั่นเหลือเกิน กระทั่งแลเห็นเป้าหมายของชีวิตโลดเต้นอย่างชัดเจน  ราวกับจะบอกให้รู้ว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาพ่อก็จะไม่ยอมวางมือ  แต่ยังคงทุ่มเททำงานอันไร้สาระ  ไร้ประโยชน์  ไร้คนสนใจ  โลกทัศน์ของพ่อต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง  มันทำให้เขาสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมจึงต้องเกิดมาในตระกูลคนฝนทั่งอันน่าอับอาย   ความจริงถ้าพ่อไม่ชิงลาออกจากราชการเสียตั้งแต่วัยหนุ่ม ในบั้นปลายชีวิตพ่ออาจเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ผู้ซึ่งสะสมเกียรติยศไว้มากมายจากตำแหน่งต่าง ๆ  พ่อคงดูยิ่งใหญ่กว่านี้หากไม่ดำเนินตามรอยปู่  ทุกชีวิตย่อมไปได้สวยงาม  หากไม่มัวเสียเวลากับการฝนทั่งให้กลายเป็นเข็ม  

“อา…ทั้งหมดนี้คือความเชื่อของเราในอดีตซีนะ” อุตสาหะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีก

ตั้งแต่จำความได้  เขาก็เห็นพ่อนั่งฝนทั่งด้วยตะไบเหล็กและหินกากเพชรจนกลายเป็นภาพชินตา  เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับร่างกายของเขาที่ใหญ่โตขึ้น  ส่วนทั่งก้อนนั้นกลับเรียวเล็กลง   พ่อแทบจะไม่เคยหยุดงานประจำนี้เลย  เว้นเสียแต่เจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องไปธุระในตัวจังหวัด  หลังลาออกจากราชการ  พ่อเลี้ยงชีพด้วยการทำแปลงปลูกผักและขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้ข้างบ้าน   ที่นาร่วมห้าสิบไร่ซึ่งตกทอดมาจากปู่ได้ปล่อยให้คนอื่นเช่าทำกิน   แลกกับข้าวเปลือกปีละไม่กี่เกวียน   แต่ก็พอกินพอขายเอาเงินมาใช้จ่ายจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหม่   ชีวิตของพ่อเป็นเช่นนี้   แม่ไม่กล้ามีปากเสียงหรือคาดคั้นเอาอะไรจากพ่อเลย  นั่นทำให้เขาเกือบไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยม  โชคดีที่พอมีความฉลาดอยู่บ้างจึงได้ทุนเรียนทุกปี กระทั่งสามารถคว้าใบปริญญาทางรัฐศาสตร์มาได้  แม้จะเป็นการเล่าเรียนชนิด“เรียนตามเพื่อน” ก็ตาม   โลกนี้ไม่เคยมีความใฝ่ฝันใด ๆ สำหรับคนไร้จุดมุ่งหมายอย่างเขา  ชีวิตก็แค่การล่องลอยไปตามกระแสน้ำ  แต่ละวันสนใจอยู่กับการตอบสนองความคาดหวังของเพื่อนฝูง   ครั้นสอบบรรจุครั้งแรกก็บังเอิญให้ติดอันดับต้น ๆ 

“เป็นงานที่มั่นคงดีนะพ่อ  อย่างน้อยก็มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง  มีอะไรให้ทำจนกว่าจะอายุหกสิบ  เผลอ ๆ ได้ตำแหน่งใหญ่โตถ้าเข้าถูกช่อง  พ่อน่าจะรู้ดีนี่…”  

ทว่าความสำเร็จในชีวิตไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นพ่อได้  เขารู้ดีว่าพ่อนึกถึงทั่งเหล็กที่มอบให้เขาตั้งแต่แรกเกิด  อันเป็นธรรมเนียมในตระกูล  มันถูกซุกทิ้งอยู่ใต้เตียง เขาไม่เคยแตะต้องแม้แต่น้อย  อย่าว่าแต่ให้นั่งฝนมันเลย  พ่อห่วงเขาเรื่องนี้มาโดยตลอดแม้กระทั่งในวันสุดท้าย

“จะไม่ทันการเอานะลูกเอ๋ย  เราต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่เรี่ยวแรงยังดี  ความมุ่งมั่นจริงจังจะทำให้มันกลายเป็นเข็มแห่งความภาคภูมิใจในชีวิต ความปีติรอลูกอยู่ที่นั่น รีบลงมือเถอะ เพราะธรรมชาติจะเรียกพละกำลังและลมหายใจของเราคืนกลับไปเมื่อไหร่ไม่มีทางรู้  ลงมือเสียวันนี้   โธ่  อุตสาหะเอ๋ย  คุณค่าใดสำคัญกับชีวิตรู้บ้างไหม พ่อเป็นห่วงลูกมากนะ หากไม่มีเข็มใส่โลงศพตามธรรมเนียมของพวกเราก็ย่อมเสียแรงที่เกิดมา  เจ้าอย่าได้จากโลกนี้ไปอย่างไร้ความมุ่งมั่นและเป้าหมายในชีวิตเลย” 

นี่คือคำสั่งเสียก่อนสิ้นลม  แน่นอน  เขาไม่เคยแยแส  พ่อตายไปพร้อมกับเป้าหมายอันเป็นความเชื่อ  ความศรัทธา และอุดมคติแปลกประหลาด  บัดนี้คนอย่างเขาต้องมาตั้งคำถามแก่ตัวเองว่า  ที่ผ่านมานั้นเคยมีเป้าหมายแท้จริงในชีวิตหรือไม่  เขากำลังทำอะไรอยู่ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสนนี้

“เกียรติยศหรือเงินตรา” อุตสาหะพึมพำ เขาเชื่อว่าภายหลังได้เป็นข้าราชการ  เขาก็เริ่มมีเป้าหมายในชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ  ตอนนี้มาทบทวนดูอีกทีก็รู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  เขาเพียงแค่คอยตอบสนองความต้องการของผู้คนในสังคมเท่านั้น  เพื่อที่จะได้รับการยอมรับ เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน และในที่สุดเกียรติยศหรือเงินทองก็จะถูกเฉลี่ยแบ่งปันกันถ้วนหน้า

ผลลัพธ์ของมันช่างหอมหวาน  เขารู้  ทุกคนรู้  ใครไม่รู้บ้างล่ะ  แต่ในยามนี้  เขาต้องประหลาดใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก  มันหลั่งไหลเข้ามาโดยอัตโนมัติเสียมากกว่า  ใช่   เขาชอบปฏิบัติตนตามอย่างพวกเพื่อน ๆ เสมอ  ตั้งแต่เกาะกลุ่มเรียนสมัยอยู่ชั้นมัธยมแล้ว  เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกศึกษาต่อในคณะเดียวกัน  กลายเป็นคนไม่มีความคิดริเริ่ม  มองไม่เห็นเป้าหมายแท้จริงของชีวิต  ชีวิตซึ่งควรได้รับความปีติหลังจากทำงานแต่ละชิ้นเสร็จสิ้นลง  เขาไม่เคยรู้เลยว่าเกิดมาเพื่ออะไร  ไม่เคยเอ่ยถามหัวใจว่าต้องการเป็นหรือปรารถนาจะทำสิ่งใดในชีวิตอันแสนสั้นนี้  เขาเป็นแค่คน ๆ หนึ่งซึ่งเลื่อนไหลไปตามกระแสสังคม  ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องง่าย  ไม่เหงา  ไม่ยุ่งยาก  เพียงแค่ทำตามคนอื่นเท่านั้น

“น่าเสียดายเหลือเกิน  ชีวิตที่ผ่านมาของเราไม่ใช่ชีวิตที่เป็นจริง  จับต้องได้ แต่…ไม่เป็นความจริง” อุตสาหะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ 

นานมาแล้ว  ในวันซึ่งเขาเตรียมพร้อมจะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานตัวเข้ารับราชการ  หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ รอฟังผลการสอบบรรจุอยู่กับบ้านเสียหลายเดือน  พ่อได้ตักเตือน  อีกทั้งพยายามเปลี่ยนใจเขาโดยบอกว่า 

“มันไม่ให้อะไรแก่ชีวิตหรอกลูกเอ๋ย  ยศศักดิ์เป็นแค่รสชาติเอร็ดอร่อยเพียงชั่วแล่น  เหมือนฝันในคืนหนึ่งเท่านั้น  ท่ามกลางสังคมแบบลูกน้องกับเจ้านายในระบบอุปถัมภ์  เราอาจต้องเสื่อมเกียรติโดยไม่ทันรู้ตัว  หรือหากลูกเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับระบบได้  ลูกก็ต้องทนอยู่กับกองเอกสาร  ทนอยู่กับงานที่อาจทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ  เป็นเจ้าเป็นนาย  มีลูกน้องคอยประจบเอาใจ  แต่ยากจะนำความชื่นชมยินดีอันแท้จริงมาให้ นอกเสียจากว่าลูกต้องการทำงานนี้เพราะมันเป็นอุดมคติที่จะรับใช้ประชาชน  แต่พ่อรู้ว่าไม่ใช่   ดังนั้นอย่าไปเลย  สู้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก  ลูกควรอยู่กับธรรมชาติ  อยู่กับวิถีชีวิตของพวกเรา  เชื่อพ่อเถอะ  แล้วลูกจะได้รับผลแห่งความสุขในบั้นปลาย  อันเกิดจากการฝนทั่งเหล็กให้กลายเป็นเข็ม”  

“ถ้าวันหนึ่งผมอยากฝนทั่งให้เป็นเข็มขึ้นมาจริง ๆ  ในกรณีที่มันได้กลายเป็นอุดมคติของผมไปแล้ว  และเมื่ออยากให้มันเสร็จโดยเร็ว  ผมก็คิดว่าผมหันไปใช้เครื่องฝนมอเตอร์ไฟฟ้าดีกว่า  พ่อก็น่าจะลองใช้ดูบ้างนะ  มันคงทำให้พ่อมีเข็มได้เป็นโหล ๆ” เขาโต้ตอบหลังจากทนฟังอยู่นาน  ไม่ได้คิดเลยว่าคำพูดที่หลุดออกมาจะทำให้พ่อปวดร้าวใจหรือไม่   จริง ๆ แล้วพ่อคงไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากเป็นห่วงลูก  นั่นคือหัวจิตหัวใจของคนเป็นพ่อ

หลายปีผ่านไป  เวลาในชีวิตของเขาถูกพล่าผลาญด้วยเรื่องราวมากมาย  ยามว่างจากงานบนโต๊ะ (แน่นอน  เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารกองเป็นตั้ง  ต้องอ่านและร่างขึ้นเป็นหนังสือราชการเสนอให้นายพิจารณาทุกวัน) หากไม่แวะร่วมวงเหล้าเฮฮากับเพื่อนข้าราชการในสโมสร  เขาจะติดตามนายเป็นเงาตามตัว  มีหน้าที่ชงกาแฟบ้าง  ชงเหล้าบ้าง  แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือคอยจุดบุหรี่ให้  นอกเหนือจากการรับฟังคำพูดของนายเพื่อพยักหน้าเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม  นี่อาจดูน่าสมเพชน่ารังเกียจแต่ใคร ๆ ก็ทำกัน 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกิน  เมื่อเทียบกับการช่วยนายเลี้ยงไก่ชน  หรือไม่ก็เสาะหาต้นไม้  พระเครื่อง  และผู้หญิงมาให้นาย  นายผู้หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาแทบจะทุกปี  บำเหน็จรางวัลคือความดีความชอบ  แค่สิบกว่าปีผ่านไปก็มีป้ายหัวหน้าฝ่ายติดหราบนประตูห้องทำงานส่วนตัว   การจัดซื้อจัดจ้างหลายครั้งมีผลต่อตัวเลขในกระเป๋าของเขา   มิหนำซ้ำธุรกิจส่วนตัวจากการสนับสนุนของนายและเพื่อนพ้องก็ดำเนินไปได้อย่างสวยงาม   

นาน ๆ ครั้งเขาจึงจะกลับมาเยี่ยมพ่อ  แต่ไม่เคยพาใครติดตามมาด้วย  บ้านนอกคอกนาจะมีอะไรเล่านอกจากกลิ่นสาบของความล้าหลัง  ภาพคนนั่งฝนทั่งให้เป็นเข็มย่อมเป็นเรื่องตลกอย่างไม่ต้องสงสัย  เขาอับอายเกินกว่าจะชี้แจงว่าพ่อของเขาทำเรื่องบ้า ๆ นี้เพื่ออะไร  มีคุณค่าใดแอบแฝงอยู่หรือ  เสียงหัวเราะ เสียงซุบซิบนินทาคงเลื่องลือทั่วกรมเป็นแน่หากใครรู้เข้า  ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขากล้าพานายกับเพื่อนร่วมงานมาบ้านก็คราวจัดงานศพ  วันซึ่งความลับเรื่องคนฝนทั่งได้ตายไปพร้อมกับพ่อ  เมื่อเขาวางเข็มเล็ก ๆ เล่มนั้นลงบนร่างไร้วิญญาณ  ก่อนที่เปลวไฟจะลุกท่วม  ท่ามกลางความโล่งใจของเขา  ราวกับว่าปมด้อยในชีวิตได้ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก  ยากแก่การตามมาหลอกหลอนได้อีก

“จบสิ้นกันทีกับตำนานของตระกูล  ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครล่วงรู้…” เขากระซิบกับห่อเถ้าอังคารของพ่อบนเรือ  ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเงี่ยหูฟัง มันล่องลอยหายไปดุจเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาโปรยลงในสายน้ำ

ชีวิตของอุตสาหะคล้ายจะเป็นอิสระมากขึ้นจากสายใยลึกลับที่เคยร้อยรัดเอาไว้   ความรักความหอมหวานก็ผ่านเข้ามาอย่างจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้ง  ชายโสดได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นสามีของพนักงานธนาคารสาวสวย  พิธีสมรสจัดกันในโรงแรมหรูหรากลางกรุง  ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวคือผู้บังคับบัญชาระดับสูงซึ่งให้เกียรติเป็นเถ้าแก่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย (ใช่สิ ท่านเป็นฝ่ายรับจากเขามามากแล้ว) ญาติฝ่ายหญิงไม่มีใครถามถึงพ่อแม่แท้ ๆ ของเขา  เป็นที่รู้กันดีว่าทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว  

ระหว่างที่พ่อยังมีชีวิตอยู่  เขาไม่เคยพาสาวคนรักแต่ละรายมาเยี่ยมบ้านเกิดเลย  กระทั่งเลิกรากันไปตามวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่  พ่อไม่เคยมีโอกาสละสองมือจากการฝนทั่งเพื่อเอื้อมมาอุ้มชูเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา  พ่อถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะสร้างครอบครัวเสียที  ตามประสาคนแก่อยากเห็นหน้าหลานก่อนตาย   เขาปฏิเสธทุกครั้งด้วยไม่ต้องการให้พ่อรับขวัญหลานด้วยทั่งเหล็กก้อนใหญ่ 

คิดถึงตรงนี้อุตสาหะก็อยากรู้เหลือเกิน  เคยมีสักครั้งไหมที่เขาได้ทำความชื่นใจให้แก่พ่อบ้าง  ทำให้สมกับที่นับตั้งแต่แม่จากโลกนี้ไป  พ่อก็ไม่เคยหวนคืนสู่การมีชีวิตครอบครัวกับหญิงใดอีก   เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะไม่มีใครสนใจผู้ชายประหลาดอย่างพ่อ  หรือเป็นเพราะพ่อนั่นเองที่ไม่ต้องการ  เพราะห่วงใยความรู้สึกของเขา   บางทีอาจเป็นไปได้ว่าแม้แต่เรื่องราวความรักความใคร่  ก็ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของพ่อ  มันไม่ใช่วิถีชีวิตที่ตอบสนองจิตวิญญาณ   โลกนี้ไม่มีเรื่องราวอื่นใดสลักสำคัญ  เว้นเสียก็แต่การฝนทั่งให้กลายเป็นเข็มเท่านั้น     

เขาจำได้ดี  สมัยเป็นเด็กอายุประมาณสิบขวบ  แม่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนัก  พ่อนำผักเสี้ยนมาแผ่กองตากแดดไว้บนลานหน้าบ้าน  พร้อมกับสั่งให้เขาดูแลอย่าให้ถูกแดดเผาจนไหม้  เพราะพ่อจะนำไปดองใส่ไห  แต่เขาเผลอหลับข้างโอ่งน้ำเย็น  ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวและเปลวแดดไหวระริก  กระทั่งพ่อมาปลุกให้ตื่นจากความฝันอันโลดโผนแสนสนุก  แล้วชี้ให้ดูผักเสี้ยนที่เสียหาย  จากนั้นพ่อก็แค่ยิ้มเศร้าพลางส่ายหน้า  ก่อนจะกลับไปนั่งฝนทั่งโดยไม่พูดอะไรอีก  หากเป็นพ่อของเด็กคนอื่น  เขามีหวังถูกตีจนตัวลายอย่างไม่ต้องสงสัย

มานึกดูแล้วอุตสาหะก็อยากกล่าวขอบคุณชีวิต  ชีวิตที่ไม่ต้องมีลูกเหมือนคนอื่น ๆ  เมียของเขาเป็นหมันและตายจากไปด้วยโรคมะเร็ง  หลังใช้ชีวิตร่วมกันเพียงไม่กี่ปี   เขาเคยคิดหาเมียใหม่อยู่เหมือนกัน  ถ้าเพียงแต่จะไม่กระเด็นกระดอนออกมาจากเส้นทางราชการเสียก่อน  ธุรกิจส่วนตัวก็ถูกหักหลังจากหุ้นส่วนคนมีสีในเวลาไล่เลี่ยกัน  แน่นอน  ทันทีที่ไร้อำนาจวาสนาคอยค้ำจุน  ความพ่ายแพ้ช่างเป็นเรื่องน่าอับอาย   ทำให้ต้องลบลี้หนีหน้าไม่อยากเข้าสังคม  จำนวนมิตรสหายก็ทยอยลดลงตามจำนวนเงินที่ร่อยหรอ  ปะหน้าใครเข้าก็พากันทำสีหน้าเหมือนกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ  

“ไอ้ระยำ  พวกมึง…ใจพวกมึงมันมีค่าน้อยกว่าก้อนขี้หมาซะอีก” เขาคำรามด้วยความคับแค้น  ทว่าเมื่อนึกได้ถึงความจริงของโลกก็พยายามระงับความรู้สึกเอาไว้  พยายามยิ้มออกมาประหนึ่งต้องการปลอบใจตัวเอง  ถ้าเป็นพ่อ  พ่อคงไม่ยี่หระต่อเรื่องพวกนี้  พลันก็สำนึกเสียใจที่ได้พลั้งมือฆ่าอดีตหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนด้วยแรงโทสะ  เมื่อการทวงหนี้ไม่เกิดผล

โธ่เอ๋ย  เพียงแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเดียวแท้ ๆ  ชีวิตก็ต้องมาไร้ที่ยืน  เขาคิด  หูยังได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของผู้ตาย  เสียงนั้นแตกพร่า  เหงื่อเม็ดโป้งไหลเต็มใบหน้า  มือที่ยกขึ้นพนมแต้ก็สั่นเทิ้ม  

“ป่านนี้ลูกเมียของมันจะอยู่กันยังไง  ไอ้พงศ์…มึงโกงกูทำไม  กูเลยต้องยิง  ตอนนี้มึงก็ตายเสียแล้ว  แต่กูไม่ตั้งใจว่ะ”

เขาเอื้อมมือลูบไล้ผิวเย็นยะเยียบของทั่งเหล็ก  คราบสนิมแดงผุกร่อนทั่วทุกตารางนิ้ว  โสตประสาทแว่วเสียงเก่าแก่ลอยล่องมาในสายลม “จะไม่ทันการเอานะลูกเอ๋ย  เราต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่เรี่ยวแรงยังดี  ความมุ่งมั่นจริงจังจะทำให้มันกลายเป็นเข็มแห่งความภาคภูมิใจของชีวิต  ความปีติรอลูกอยู่ที่นั่น  รีบลงมือเถอะ …”  

แวบหนึ่งของอารมณ์เศร้าสร้อย  อุตสาหะรู้สึกราวกับว่านี่คือก้อนเหล็กผีสิง  อยากอุ้มเอาไปโยนทิ้งในบ่อน้ำตามเดิม  จากนั้นก็หวนกลับเข้าเมืองหลวง  แต่เขาไม่ได้ขยับร่างกายเลย  ยังคงนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะขาม  เวลานี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้รบตบมือกับชีวิตในเมืองใหญ่อีกแล้ว

“กลับไปให้โดนจับเข้าคุกงั้นเรอะ  ถ้าจะตายก็ขอตายมันตรงนี้  ตรงบ้านเกิดของกูนี่แหละ  เอ๊ะ หรือว่าเราจะลองหนีข้ามพรมแดนไปฝั่งโน้น รอให้เรื่องมันเงียบเสียก่อน ค่อยย้อนกลับไปจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ  แต่…”  

ความจริงที่นั่นก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว  อุตสาหะบอกกับตัวเอง  มันจบสิ้นลงอย่างแท้จริง  ไร้ความผูกพันใด ๆ ให้คอยห่วงใย   ผิดกับบ้านเกิด  แม้จะรกเรื้อทรุดโทรมทว่าเป็นของจริง  จับต้องได้  และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต  ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่คุ้นเคย  แม้ไม่ได้สวมใส่มานาน  หากลงมือซักรีดให้เรียบร้อยก็สามารถสวมใส่ได้อีกครั้งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ  ว่าแต่คนอย่างเขายังจะมีโอกาสอีกหรือ  

ลมเย็นจากท้องทุ่งพัดกระโชกแรง  ต้นไม้รอบตัวพากันสะบัดกิ่งใบเกรียวกราว  ใบมะขามมากมายปลิวว่อนไปไกล  ก่อนจะพากันทิ้งตัวลงบนผืนดิน  อุตสาหะจ้องมองทั่งเหล็กอีกครั้ง  เผยอริมฝีปากยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกลายเป็นยิ้มกว้าง 

“เราอาจขอเป็นคนฝนทั่งก็ได้  ใช่เลย  ถ้าเพียงแต่มีเวลา  มีความมุ่งมั่น  เราก็สามารถทำงานชิ้นนี้ได้สำเร็จเหมือนพ่อ”

อุตสาหะลุกขึ้นยืน ก้มลงอุ้มทั่งเหล็กหนักอึ้งขึ้นแนบอก  จากนั้นเดินตรงไปที่หินกากเพชร  เขานั่งลงในตำแหน่งเดียวกับที่พ่อเคยนั่ง  มีอาการเงอะงะเล็กน้อยยามคว้าตะไบมาถือไว้  เขาถามตัวเองว่าควรเริ่มต้นด้วยการฝนทั่งจากด้านบนดีไหม  รอให้มันมีขนาดเล็กลงเสียก่อนจึงค่อยจับฝนบนแผ่นหิน  อีกหน่อยมันก็จะมีขนาดเล็กลงกว่านี้  เบามือกว่าตอนนี้  ช่วงนั้นแหละที่จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับการปรับแต่งรูปทรง  เขาบังเกิดความปรารถนาจะมีรอยยิ้มเช่นเดียวกับรอยยิ้มของพ่อยามทอดร่างนอนอยู่ในโลง   พ่อคือมนุษย์ผู้สามารถยิ้มสมหวังได้ในวันสุดท้ายของชีวิต  หมดลมหายใจโดยไม่รู้สึกติดค้างกับเรื่องราวใด ๆ อีก  และโลกหลังความตายก็ไม่อาจทำให้พ่อหวั่นกลัวได้เลย  

“นั่นคือเป้าหมายแท้จริงในชีวิตของคนเราใช่ไหมครับพ่อ  เราควรทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง  ไม่ว่าเรื่องนั้นจะไร้ค่าในสายตาผู้คนสักเพียงไหนก็ตาม” เขาซบหน้าลงบนหัวเข่าน้ำตาซึม “แต่ผมไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว  สายไปเสียแล้ว  โธ่  พ่อครับ  ผมกลัวเหลือเกิน” 

ถึงตรงนี้เขารีบเงยหน้าขึ้น  พร้อมกับเหลียวมองไปรอบ ๆ  ร่างสั่นเทิ้มเหมือนสัตว์ป่าได้กลิ่นอันตราย  เกิดความลังเลว่าจะจัดการกับทั่งเหล็กอย่างไรดี  สุดท้ายก็ตัดสินใจอุ้มไปที่รถเก๋ง  ขณะกำลังจะวางลงกับพื้นเพื่อเปิดกระโปรงหลัง  รถปิคอัพสีดำคันหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้วหยุดกะทันหัน  เสียงเบรกไม่ทันจางหาย  กระจกหน้าต่างติดฟิล์มดำด้านคนขับก็เลื่อนลงจนสุด  เขามองเข้าไปข้างใน  เห็นใบหน้าลูกน้องคนหนึ่งของพงศ์   มันยิ้มเหมือนกับที่เคยยิ้มให้เขาเสมอ  แต่ครั้งนี้แววตาเหี้ยมเหลือเกิน  ปืนพกเล็งตรงมาที่เขาบอกถึงความต้องการแท้จริง

กระสุนนัดแรกปะทะเข้ากับทั่งเหล็กตรงหน้าอกก่อนแฉลบลงพื้น  อุตสาหะหันกลับเพื่อวิ่งหนี  แต่ไม่ทันเสียแล้ว  กระสุนนัดที่สองชำแรกเข้ากลางหลัง  เขาสะดุ้งแขนกาง ทั่งเหล็กหลุดมือตกใส่หลังเท้า  กระดูกแตกแต่ไร้ความเจ็บปวด  เพราะวินาทีนั้นกระสุนนัดสุดท้ายได้ทะลวงเข้าท้ายทอยทะลุปากของอุตสาหะ  ผู้กำลังเผยอยิ้มอย่างเศร้า ๆ .

พิมพ์ครั้งแรก สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ กันยายน 2553

ใส่ความเห็น