มุมเรื่องสั้นไทย
ช่างซ่อมลิ้นชักเริ่มรู้สึกว่าเส้นทางกลับบ้านช่างยาวไกลเกินกว่าที่ใจอยากให้เป็น ถ้าพื้นถนนราบเรียบ เขาก็อยากจะลากขาเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่จนใจที่มันขรุขระสิ้นดี มิหนำซ้ำนายกเทศมนตรียังไม่เคยคิดจะจัดการซ่อมแซมให้ดีขึ้น ด้วยกำลังวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหามากมายที่รุมเร้าอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาเล็ก ๆ อย่างถนนที่เขาใช้เดินกลับบ้านทุกวันจึงต้องรอคอยไปก่อน บางทีปัญหาเรื่องนี้นายกเทศมนตรีอาจจะลืมแล้วก็เป็นได้ สมองก้อนเล็ก ๆ มีเพียงไม่กี่เซลล์อย่างนั้น จะจุเรื่องราวอะไรได้สักกี่มากน้อยกันล่ะ ช่างซ่อมลิ้นชักเดินไปบ่นไป
เขาขยับสายสะพายกระเป๋าเครื่องมือช่างซึ่งทำท่าจะลื่นไหลหลุดจากบ่าให้เข้าที่อีกครั้ง ไหล่ของเขาลู่ลงไปทุกขณะในทุกย่างก้าว ได้แต่คิดว่ากรรมใดหนอที่ทำให้เขาต้องมาประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมลิ้นชักอยู่ในเมืองนี้ เพราะขณะที่ชาวเมืองเข้านอนกันหมดแล้ว เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการงานอันยุ่งเหยิง โชคยังดีที่คืนนี้ไม่ต้องเลิกงานดึกนัก ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าจนนึกอิจฉาเงาตัวเองที่เกิดจากแสงจันทร์ มันทอดยาวออกไปไกลบนถนนเบื้องหน้า และมีโอกาสได้นอนราบกับพื้นถนน ขณะที่เจ้าของร่างต้องเดินโงนเงนอยู่คนเดียว
แย่ยิ่งกว่านั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เขารู้สึกว่านอกจากจะเหนื่อยแล้ว กระเพาะอาหารก็พลันปั่นป่วนด้วยความหิว จะมีใครสักคนเข้าใจถึงหัวอกช่างซ่อมลิ้นชักอย่างเขาบ้างไหมเล่า ที่ผ่านมาก็เห็นมีแต่ชาวบ้านกลุ่มเดียวที่ให้กำลังใจ นอกนั้นล้วนแล้วแต่เห็นว่า เขาเป็นคนจำพวกที่ชอบเข้าไปวุ่นวายกับลิ้นชักของใครต่อใครอยู่เสมอ
คนที่มีความคิดเช่นนี้ มองไปทางไหนก็เห็น ได้ยินเสียงทิศใดก็รู้ ถ้าจะให้ไล่เรียงกันตามลำดับก็ต้องว่ากันตั้งแต่นายกเทศมนตรีกันเลยทีเดียวเชียว เพราะมนุษย์ผู้นี้ดูจะมีปัญหากับลิ้นชักมากที่สุด จนเขาต้องหาเวลาไปซ่อมให้เป็นประจำ โดยมากมักจะซ่อมตอนกลางวัน แต่ก็มีที่ซ่อมเลยเถิดไปจนถึงตอนกลางคืนในบางครั้ง
แม้กระทั่งวันนี้ ทั้ง ๆ ที่เขามีตารางงานซ่อมลิ้นชักให้นักบวชรายหนึ่ง แต่ก็ต้องขอเลื่อนออกไปก่อน ด้วยรู้ข่าวมาว่านายกเทศมนตรีเปิดลิ้นชักเก็บหนังสือสำคัญไม่ออก เมื่อเขาไปดูให้กลับพบว่า ปัญหาเกิดจากลิ้นชักนั้นมีบัญชีรับส่วย ซึ่งเป็นสมุดปกแข็งวางอยู่ด้านบนสุดภายในลิ้นชัก เมื่อปกแข็งนี้อ้าหรือเผยอขึ้น จึงไปงัดกับขอบของตู้ลิ้นชัก ด้วยเหตุนี้ หากคิดจะดึงลิ้นชักออกตรง ๆ จึงเป็นเรื่องยาก มีเพียงช่างซ่อมลิ้นชักอย่างเขาที่รู้วิธี ว่าเพียงแค่ใช้เครื่องมืออันมีลักษณะยาวและแบนกดปกสมุดเล่มนั้นลง ลิ้นชักของนายกเทศมันตรีก็สามารถเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก เขาจึงจัดระเบียบลิ้นชักเสียใหม่ โดยรื้อข้าวของทั้งหมดออกมากองกับพื้น ก่อนจะจัดวางเรียงลงไปอีกครั้งให้เป็นหมวดหมู่ ทีนี้จะหยิบจะใช้ก็ง่าย หากหายก็รู้ มิหนำซ้ำยังดูงามตา ทั้งนี้เขาต้องบอกให้นายกเทศมนตรีหัดโยนข้าวของบางอย่างทิ้งไปเสียบ้าง จำพวกช้อนกาแฟเก่า ๆ รองเท้าแตะที่เหลืออยู่ข้างเดียว สมบัติชาวบ้านที่ยึดมาเป็นสมบัติส่วนตัว ปึกจดหมายขอความช่วยเหลือของญาติพี่น้อง หนังสือวรรณกรรมที่มีไว้เพื่อแนะนำให้คนอื่นอ่านแต่ตัวเองไม่เคยเข้าใจ หรือหนังสือประเภทปลุกใจเสือป่าที่ท่านใช้อ่านคลายเครียดยามมีอารมณ์ เพื่อให้ลิ้นชักโล่งและจัดระเบียบได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่างซ่อมลิ้นชักเลี่ยงที่จะไม่แนะนำว่า สำหรับสมุดบัญชีรับส่วยของท่านควรเก็บไว้ในที่ลับกว่านี้ อาจจะเป็นในกางเกงลิงของท่าน หรือไม่ก็ในถังชักโครกที่ไม่มีใครใช้งานแล้ว ตรงไหนก็ได้ เอาที่สบายใจ แต่ไม่ใช่ยัดใส่ไว้ในลิ้นชักอย่างที่เป็นอยู่ เขาไม่ยอมแนะนำตามจรรยาบรรณของช่างซ่อมลิ้นชัก นั่นอาจเป็นเพราะว่า เขาไม่อยากทำให้นายกเทศมนตรีฉลาดขึ้นนั่นเอง
หลังจากเสร็จเรื่องของนายกเทศมนตรีแล้ว จริง ๆ เขาต้องไปซ่อมลิ้นชักให้นักบวชชื่อดังตามกำหนดการเดิม เพียงแต่เขาเห็นว่ามันเลยเวลาไปมาก จึงขอเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทน แม้นักบวชดังกล่าวเกรงว่าจะไม่ทันกับหมายจับที่ออกมาแล้ว ท่านอยากรีบจัดระเบียบลิ้นชักของท่านโดยเร็ว ก่อนที่จะมีปัญหากับหัวหน้าตำรวจเมืองนี้ จนเป็นเรื่องอื้อฉาวมากขึ้น
เหตุที่เขาต้องปฏิเสธอย่างไร้น้ำใจก็เพราะว่า เกิดกรณีเร่งด่วนขึ้นมาอีกรายหนึ่ง แล้วคงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากเขาจะต้องพลาดการซ่อมลิ้นชักให้กับหัวหน้าตำรวจประจำเมืองนี้ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่า “หัวหน้ายาม” นั่นเอง
สมัยที่ช่างซ่อมลิ้นชักยังตัวกระเปี๊ยกอยู่นั้น เวลาใครถามว่าโตขึ้นมาอยากเป็นอะไร เขาจะต้องบอกเสียงดังฟังชัดเสมอว่า “หนูจะเป็นยาม หนูอยากเป็นยาม ตีเหล็กดังแก๊ง ๆ ตอนกลางคืน”
นั่นเป็นเพราะเขาชอบเครื่องแบบสุดเท่ของตำรวจเมืองนี้มาก มันดูเข้มแข็งดี ครั้นเติบโตขึ้น ชีวิตกลับพลิกผันไม่ได้ทำตามที่ฝันไว้ อาจเป็นด้วยร่างกายของเขาไปค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไรนัก ทว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเขาไม่หลอกตัวเอง เขาก็อยากบอกว่า ตอนนี้เขาชอบเป็นช่างซ่อมลิ้นชักมากที่สุด เพราะจะมีอาชีพไหนอีกเล่า ที่สามารถสอดรู้สอดเห็นว่าในลิ้นชักของผู้คนเมืองนี้ใส่อะไรไว้บ้าง แถมยังมีสิทธิเข้าไปดูแลจัดระเบียบ หรือรื้อข้าวของในนั้นทิ้งเสียก็ได้ โดยไม่มีใครอยากจะตอแยด้วย ยกเว้นแต่คนที่เหลืออดจริง ๆ ก็อาจตะโกนด่าลอย ๆ ในยามที่เขาเดินผ่าน หรือบางทีก็ด่าฝากคนรู้จักมาบ้าง ซึ่งเขามักจะให้อภัยเสมอกับคนที่มีปัญหาเรื่องลิ้นชักเหล่านี้ มีน้อยรายเหลือเกินที่เขาจะจดชื่อไว้ชำระแค้นในภายหลัง ด้วยการเอาเรื่องราวเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างในลิ้นชักของคนผู้นั้นมาโพนทะนาในสังคม แน่นอน ในเมืองที่นิยมและศรัทธาต่อการซุบซิบนินทาอย่างสนุกสนานนี้ หัวข้อสนทนายอดนิยมย่อมหนีไม่พ้นไปจากเรื่องลิ้นชักของชาวบ้าน ถ้าเป็นลิ้นชักของคนดังด้วยแล้วก็ยิ่งวิเศษเข้าไปใหญ่
ในกรณีของหัวหน้าตำรวจประจำเมือง ซึ่งเคยทุบตีเขาโดยใช้กระบองที่ชาวเมืองซื้อให้ไว้สู้กับขโมย ในสมัยที่เขายังเป็นเพียงช่างซ่อมลิ้นชักฝึกหัด แล้วริอ่านไปซ่อมลิ้นชักให้แก่ญาติคนหนึ่งของหัวหน้าตำรวจประจำเมือง ตอนนั้นเขาซ่อมไปรื้อไป แล้วคงเพราะเผลอบ่นไปด้วยว่า “ลิ้นชักญาติตำรวจอะไรก็ไม่รู้ ช่างรกเสียจริง” นั่นทำให้เจ้าของลิ้นชักไม่พอใจ จนนำเรื่องไปฟ้องหัวหน้าตำรวจประจำเมือง แล้วเป็นด้วยนิสัยของหัวหน้าตำรวจประจำเมือง ซึ่งมักจะหัวร้อนฉ่าเวลาได้ยินคนพูดจาไม่เข้าหู หรือกระทำในสิ่งที่กระทบกับอัตตาตนเอง นี่เป็นเหตุให้เขาถูกทำโทษ และเขาย่อมจำได้ไม่เคยลืม แต่เพื่อความแน่นอน เขาจึงจดความแค้นนี้ใส่ไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็ก กระทั่งกลายเป็นนิสัยติดตัวเรื่อยมา
และวันนี้ เมื่อมีโอกาสไปซ่อมลิ้นชักให้แก่หัวหน้าตำรวจประจำเมืองเป็นครัั้งแรก (หลังจากที่รอมานาน) เขาจึงพยายามจับผิดข้าวของทุกชิ้นที่พบอยู่ในลิ้นชัก แอบโยนทิ้งไปบ้างก็มี เจออะไรที่ส่อเค้าว่าจะเป็นหลักฐานแสดงความไม่โปร่งใส หรือพบทรัพย์สินชาวบ้านในลิ้นชัก ก็รีบบันทึกไว้เป็นหลักฐานเผื่อจะมีประโยชน์ในภายหลัง ที่แน่ ๆ ก็คือ เขาพยายามจัดระเบียบลิ้นชักให้มั่วมากที่สุด แต่ก็สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายที่สุดเช่นกัน ไม่ตกรางเหมือนที่ผ่านมา จึงมองดูเหมือนมีระเบียบ ทว่าความจริงคือไร้ระเบียบ คราวนี้หากหาอะไรไม่เจอจนมีปัญหากับชาวเมือง จะมาโทษช่างซ่อมลิ้นชักอย่างเขาไม่ได้หรอกนะ เขาแจ้งไปเช่นนั้นโดยพยายามไม่หัวเราะ
หลังจากนั้น เขาเห็นว่ายังมีเวลาเหลือพอสำหรับลูกค้ารายย่อยอยู่บ้าง จึงเจียดเวลาไปซ่อมลิ้นชักให้ผัวเมียคู่หนึ่งกับลูก ๆ หลังจากรู้มาว่า ลิ้นชักของคนในบ้านนี้ใช้ไม่สะดวก มักจะตกรางหรือติดขัดอยู่เป็นประจำ บางทีก็หาของที่ต้องการใช้ไม่พบ เมื่อเขาลองสำรวจดูจึงพบที่มาของปัญหาซึ่งก็เหมือนกับทุกรายที่ผ่านมา กล่าวคือ ในลิ้นชักของแต่ละคนมีข้าวของมากเกินไป ไม่มีความเป็นระเบียบเอาเสียเลย สิ่งที่ควรใส่ลิ้นชักบนกลับไปอยู่ในลิ้นชักล่าง สิ่งที่ควรอยู่ในลิ้นชักล่างดันไปอยู่ในลิ้นชักบน
เมื่อเขาแนะนำให้จัดระเบียบใหม่ ทั้งผัวและเมียพากันหวังว่าจะหาของที่ต้องการได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ประเภทหาไม้แขวนเสื้อไม่พบ ทั้ง ๆ ที่จำได้ว่าเคยเก็บไว้ดีแล้วคงไม่เกิดขึ้นอีก แต่ที่เกือบจะทำให้เขาถูกพวกลูก ๆ ของผัวเมียคู่นี้กระโดดกัดหู ก็ตอนที่เขาเปิดลิ้นชักของพวกเด็ก ๆ ออกมาดู แล้วพบว่าลิ้นชักของเด็กผู้ชายมีเสื้อผ้าผู้หญิงซ่อนอยู่ ในขณะที่ลิ้นชักของเด็กผู้หญิงเต็มไปด้วยจดหมายรักจากพวกเด็กหนุ่ม พอเขาจะโยนส่วนเกินพวกนี้ทิ้งไปก็ได้รับการต่อต้าน และไม่อนุญาตให้เขาซ่อมลิ้นชักอีก จึงพอเห็นวี่แววว่า อีกไม่นานลิ้นชักในบ้านนี้คงจะกลับมาเปิดไม่ออกอีกครั้งหนึ่ง แต่เด็ก ๆ พวกนั้นก็พากันยืนกรานขอให้ปล่อยมันไว้เช่นนั้น เพราะมันเป็นธรรมชาติของลิ้นชักของพวกเขา ไม่ใช่ลิ้นชักของช่างซ่อมลิ้นชัก ในที่สุดเขาต้องล่าถอยออกมา โดยทำบันทึกไว้ว่า หากมีโอกาสจะต้องกลับไปซ่อมลิ้นชักของเด็กพวกนี้ให้จงได้ แม้จะต้องซ่อมอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ตาม
ลูกค้ารายสุดท้ายของวันนี้เป็นลิ้นชักของนักแสดงกลางแจ้งคนหนึ่ง ซึ่งเขาพบว่าแอบใช้ลิ้นชักร่วมกันกับนักกายกรรมหญิงที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ลิ้นชักแทบจะปริแตก เพราะรองรับปริมาณเครื่องทรงต่าง ๆ ไม่ไหว และเหมือนเช่นเคย ทั้งสองคนบอกว่าเป็นความพอใจส่วนตัว มิหนำซ้ำยังขอให้เขารับปากว่าจะไม่นำไปเล่าให้ใครฟัง แต่เขาก็ไม่ได้รับปากอย่างจริงจังนัก เพราะกรณีการใช้ลิ้นชักร่วมกันอย่างลับ ๆ นี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เขาน่าจะนำไปเป็นกรณีศึกษาแก่ผู้มีปัญหาเรื่องลิ้นชัก ตลอดจนพวกที่ชอบสนใจว่าลิ้นชักของเพื่อนบ้านมีอะไรอยู่บ้าง ข้อมูลเหล่านี้มักจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองได้เสมอ ตราบใดที่ยังมีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นอยู่ในสังคม บางทีเขาอาจจะต้องใส่สีตีไข่เพิ่มลงไปอีกสักเล็กน้อย เพื่อให้เรื่องราวดูสนุกสนานมากขึ้น จะมีใครสักกี่คนที่จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด พวกนั้นต้องการเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้นเอง
ชีวิตของช่างซ่อมลิ้นชักวนเวียนอยู่กับการทำงานหนักตามที่ได้เล่ามานี้โดยไม่มีวันหยุด เขาต้องทนเหน็ดเหนื่อยกับการเดินเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ทุกวันติดต่อกันปีแล้วปีเล่า
ดูอย่างวันนี้เถอะ จนมืดค่ำแล้วข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้อง เงินค่าตอบแทนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นอาชีพที่คนให้ความนับถืออยู่บ้าง บางทีอาจถึงขั้นที่เรียกได้ว่าอยู่แถวหน้าของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ เพราะจะมีอาชีพไหนอีกเล่า ที่สามารถเข้าไปวุ่นวายกับลิ้นชักของชาวบ้านได้ตามใจชอบ เพราะลิ้นชักของใคร ใครก็ย่อมหวงด้วยกันทั้งนั้น
ช่างซ่อมลิ้นชักคิดแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อแลเห็นบ้านหลังน้อยรอเขาเป็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ไม่ไกลแล้ว หากขืนไกลมากไปกว่านี้ เขาคงต้องลงทุนคลานสี่ตีนอย่างแน่นอน เพราะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงจวนเจียนจะหมดอยู่รอมร่อ
เขาพยายามกัดฟันเดินจนถึงบ้าน รีบเปิดประตูเข้าไปและจุดตะเกียงจนแสงส่องสว่างไปทั่วห้อง จากนั้นปลดสายสะพายกระเป๋าเครื่องมือออกจากบ่าเพื่อนำไปเก็บไว้ในลิ้นชัก แต่เขาก็ต้องประหลาดใจสุดขีด เมื่อเปิดลิ้นชักออกมาแล้วพบว่าไม่มีที่ว่างสำหรับวางกระเป๋าเครื่องมือ ทั้ง ๆ ที่เมื่อตอนเช้าเขายังหยิบมันออกมาจากลิ้นชักได้ และแน่ใจถึงขนาดว่า มันมีที่ว่างเหลือพอสำหรับใส่หมาของนายกเทศมนตรี หรือแม้แต่ควายของหัวหน้าตำรวจประจำเมืองได้ทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ ช่างซ่อมลิ้นจึงชักพยายามยัดกระเป๋าใบนั้นลงไปด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็รู้สึกทั้งหิวทั้งเหนื่อย แต่กระเป๋าเจ้าปัญหาไม่ยอมลงไปในลิ้นชัก และถึงยัดลงก็คงปิดลิ้นชักไม่ได้อยู่ดี
ในเวลาต่อมา ความหิวที่ก่อตัวขึ้นก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขารีบรื้อลิ้นชักค้นหาอาหารสำเร็จรูปที่เก็บไว้หลายห่อ จำได้ว่ามันอยู่ด้านในลึก ๆ อย่างแน่นอน
แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาควานมือไปทั่วลิ้นชักแต่กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการ เขาลองเปลี่ยนไปเปิดลิ้นชักอื่นดูบ้างก็พบว่าบางลิ้นชักเปิดไม่ออก ที่พอเปิดได้ก็ไม่มีอาหารเลย มีเพียงเปลือกกล้วยดำ ๆ ถุงเท้าที่ยังไม่ได้ซัก และเศษขยะหลายชนิดเต็มอยู่ไปหมด
ด้วยความโมโห ช่างซ่อมลิ้นชักจึงหันไปล้วงเอาค้อนปอนด์ออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือ แล้วหวดมันเข้าใส่ลิ้นชักทุกใบจนพังพินาศ ก่อนจะหมดแรงฟุบหน้าลงร้องไห้กับพื้นห้องด้วยหัวใจสลาย
หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จุดประกายวรรรณกรรม เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548
เว็บไซต์ nittayasan.com