เรื่องสั้น “อย่าเรียกผมว่าวีรบุรุษ” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น อย่าเรียกผมว่าวีรบุรุษ โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

เช้าวันนี้ผมกำลังรอการมาเยือนของเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความอึดอัดคับข้องใจ  อาจจะถึงขั้นเรียกได้ว่ามันคือ “ความฟุ้งซ่านของคนวัยทอง” ก็เป็นได้  ใจหนึ่งผมอยากโทรศัพท์ไปบอกยกเลิกการนัดพบครั้งนี้   แต่นั่นแหละ  ผมพอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของ “ผู้ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในวัยซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน” เช่นเขาได้เป็นอย่างดี  แม้ดูเหมือนว่าผมจะหลงลืมความรู้สึกนึกคิดที่ว่านั้นไปนานแสนนานแล้วก็ตาม  ด้วยเหตุนี้เอง  ผมจึงไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง  อย่างน้อยก็จนกว่าเราสองคนจะได้พูดคุยกันและเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว

เวลาคงผ่านไปราวห้าหรือสิบนาทีกว่าผมจะสามารถเลิกคิดถึงเรื่องของเด็กหนุ่มได้   นั่นหมายความว่าผมต้องใช้ความพยายามอยู่พอสมควร  แน่ละ  คนเราก็มักเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ  เรา (หรือแค่ผมเพียงคนเดียว) มักคิดอะไรได้มากมาย   รวมถึงรู้สึกไปต่าง ๆ นานา   หากแม้นได้เผชิญหน้ากับเงาในอดีตของตัวเอง  เงาซึ่งวิ่งไล่ตามมาทัน  ในวันที่เราแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ   ความรู้สึกดังกล่าวทำให้ผมออกจะเศร้าใจ  จึงสะบัดหน้าไปมาเพื่อตั้งสติ  แล้วพยายามใส่ใจกับ “งานวันหยุดของพ่อบ้าน” ตรงหน้า  

มันไม่มีอะไรมากนักหรอก  นอกจากล้างรถยนต์คันใหม่ให้สะอาดเอี่ยมอ่อง  เตรียมพร้อมสำหรับการพาครอบครัวออกไปนั่งกินลมในช่วงเวลาแดดร่มลมตก  แน่นอนว่าจะต้องแวะหาอาหารอร่อย ๆ กินกันด้วย  อาจจะเป็นที่สวนอาหารมีระดับย่านชานเมือง  หรือไม่ก็เลยไปถึงร้านอาหารริมทะเล  ซึ่งมีบรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ

ใช่แล้ว  วันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้  คนที่รักครอบครัวอย่างผมจะพลาดการเอาใจลูกเมียไปได้อย่างไรกัน  มันกลายเป็นหน้าที่ซึ่งเกิดจากความรักมานาน และผมก็ไม่เคยเบื่อหน่าย  เพราะมันคือความสุขอันเรียบง่ายที่พอจะหาได้ในยุคนี้

พูดถึงครอบครัวของผมแล้ว  ผมอยากจะบอกว่าเราเป็นครอบครัวเล็ก ๆ  มีกันอยู่แค่สามคน  คือตัวผมเองกับเมียซึ่งยังสาวอยู่  รูปร่างหน้าตาพอจะอวดชาวบ้านได้สบาย ๆ  อีกคนหนึ่งก็คือลูกชาย  แกอายุได้เพียงสามขวบกว่าแล้ว  และติดผมมากเสียจนเมียมักจะบ่นด้วยรอยยิ้มเสมอ ๆ  นับได้ว่าเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อยใช่ไหมครับ  

นอกจากนี้  ครอบครัวของผมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ผู้คนในสังคมศิวิไลซ์ปรารถนา  เราได้มาด้วยการทำงานอย่างหนักของผมเพียงคนเดียว   เมียรักคอยทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก   ส่วนลูกชายที่ผมภาคภูมิใจก็เล่นสนุกอยู่ภายในบ้าน  แต่อีกหน่อยพอเข้าโรงเรียนแล้วก็ต้องมีหน้าที่เรียนให้ได้คะแนนสูง ๆ  เก่งและฉลาดกว่าลูกชาวบ้าน  นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ

ทุกวันในชีวิตของผมจึงหมดไปกับเรื่องครอบครัวและการงาน  จนกระทั่งผมนึกไม่ออกว่าพอจะมีเวลาเหลือให้กับใครหรืออะไรได้อีก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำขอร้องของเด็กหนุ่มที่เกริ่นไว้เมื่อวานตอนคุยโทรศัพท์กัน

ในที่สุด  ผมก็ล้างรถเก๋งคันงามเสร็จเรียบร้อย  ด้วยความอยู่เฉยไม่เป็น หรือเพราะรักเมียก็เป็นได้  ผมจึงเข้าไปช่วยเธอซักเสื้อผ้า  โชคดีที่ลูกน้อยกำลังนั่งดูหนังการ์ตูนทางโทรทัศน์ตาแป๋ว   ไม่สนใจหรือเรียกร้องให้ผมพาขี่คอเดินเล่นไปรอบ ๆ บ้านเหมือนบางช่วงบางเวลา  ผมยืนมองลูกอยู่นานก่อนจะผละไปที่เครื่องซักผ้า  แล้วก็คิดว่าบ้านหลังใหญ่ของผมช่างอบอวลไปด้วยความสุข  แม้จะมีภาระหนักในการผ่อนส่งด้วยเงินก้อนโตทุก ๆ เดือนแก่ธนาคาร  เหมือนกับที่ผมต้องผ่อนค่างวดให้บริษัทสินเชื่อรถยนต์นั่นเอง   

ผมบอกตัวเองว่าอีกไม่นานก็คงเป็นอิสระ  จะได้หายใจคล่องเสียที  สมัยก่อนผมรังเกียจการเป็นหนี้อย่างที่สุด  แต่เพื่อครอบครัวแล้ว  หากไม่ทำเช่นนี้  ผมคงไม่สามารถตั้งหลักได้เลย  ผู้คนสมัยนี้ไม่สามารถปฏิเสธการเป็นหนี้เพื่อก่อร่างสร้างตัว  มันได้กลายเป็นมาตรฐานของสังคมเราไปเสียแล้ว   ใครต่อใครล้วนต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง  เป็นเจ้าของรถเก๋งคันงาม  ไหนจะเครื่องเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าดี ๆ ประดับบ้านอีกล่ะ  จากนั้นยังต้องสะสมเงินทองไว้ให้ลูกหลานใช้ต่อไปในอนาคต  จะได้ไม่เหนื่อยเหมือนคนรุ่นเรา  อย่างไรก็ตาม  มันออกจะเป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อย  เพราะค่าครองชีพแพงขึ้นทุกวัน  อีกทั้งสังคมยังกำหนดให้เราต้องมีรายจ่ายมากมายที่บางครั้งคิดไม่ถึง  ก็เงินที่จ่ายไปเพื่อรักษาสายสัมพันธ์ของผู้คนรอบข้างเอาไว้นั่นแหละ  และบ่อยครั้งที่จ่ายไปเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  

นี่คือความจริง  ผมยอมรับ  เพราะผมไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้   แต่จะต้องมีพรรคพวกไว้คอยเกื้อหนุนค้ำจุน   ขณะเดียวกันหลังจากที่พวกเขาช่วยเหลือผม  ถ้ามีโอกาสผมก็ต้องตอบแทนพวกเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้  เพราะเราได้กลายเป็นพวกเดียวกันไปเสียแล้ว  ต้องลากต้องจูงกันไปจนกว่าจะถึงบันไดขั้นสูงสุดทางสังคม  ไม่ว่าภายในจิตใจจะรู้สึกชอบหรือไม่ก็ตาม  และแน่นอนว่าต่อให้มันไม่ชอบธรรมอย่างไร  แต่เพื่อทดแทนน้ำใจหรือบุญคุณ  เราก็ต้องก้มหน้าตอบแทนกันไปจนกว่ามิตรจะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู  นั่นแหละบุญคุณจึงจะถูกลบล้างให้หมดไปราวกับมันไม่เคยอยู่ในใจของพวกเรามาก่อน  ซึ่งออกจะฟังดูน่าเศร้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว

ความคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทำให้ผมอดถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ได้  ทันใดนั้นเองเสียงกริ่งไฟฟ้าก็ดังขึ้น  ผมชะเง้อมองจากลานซักล้างด้านหลังบ้าน  แลเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว (ทำจากอัลลอยด์หรูหราเชียวนะครับ)  

ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยพบหน้าเขามาก่อน  แต่ผมก็มั่นใจอย่างไม่มีข้อสงสัยว่าต้องใช่เขาแน่ ๆ  จะเป็นใครไปไม่ได้เลย  นอกจากเด็กหนุ่มที่โทรศัพท์มาขอนัดพบผมเมื่อวานนี้นั่นเอง

ขณะที่เมียของผมทำท่าจะผละจากการตากเสื้อผ้าเพื่อเดินไปหน้าบ้าน  ผมรีบรั้งแขนเธอไว้  บอกเสียงเบาว่าคนที่มาหาเป็นแขกของผมเอง  จากนั้นผมก็เดินอย่างเนือย ๆ ไปต้อนรับเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะพยายามมองลอดช่องลูกกรงประตูเข้ามาตลอดเวลาด้วยท่าทางกระสับกระส่าย “สวัสดีครับ  พี่” เด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้เมื่อเห็นผมเดินมาเปิดประตูให้  ผมยกมือรับไหว้ก่อนจะพาเขาไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนสีขาว  ซึ่งตั้งเป็นชุดล้อมรอบโต๊ะกลมตรงมุมหนึ่งของสนามหญ้าหน้าบ้าน

“นั่งก่อน  ตามสบายนะ  แล้วค่อยคุยกัน” 

ผมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน  พร้อมกับถือโอกาสพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้า  

แล้วผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้  เขาทำให้ผมคิดถึงตัวเองในวัยหนุ่มได้จริง ๆ   ผมเคยไว้ผมยาวเป็นกระเซิงเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้  แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปอน ๆ สวมรองเท้าแตะทำจากยางรถยนต์เก่า ๆ  นอกจากนี้ยังมีย่ามสะพายติดตัวไว้ตลอดเวลา  ทุกครั้งที่เดินทางไปไหนมาไหน  และหากให้ผมทาย  ผมเชื่อว่าในย่ามของเขาคงต้องมีหนังสืออยู่สักเล่มสองเล่มอย่างแน่นอน  ซึ่งไม่น่าจะพ้นไปจากเรื่องสังคม  การเมือง  วรรณกรรม  หรือไม่ก็ปรัชญา

“ผมคงไม่ได้มารบกวนพี่หรอกนะครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทางเกรงใจ “พอดีผมค่อนข้างร้อนใจเลยต้องรีบนัดพี่วันนี้เลย  ก่อนที่มันจะสาย….”

“ไว้ก่อนก็ได้  ไม่ต้องรีบร้อน  กินอะไรมารึยังล่ะ” 

ผมขัดจังหวะการพูดของเขาด้วยความเป็นห่วง  เพราะใบหน้าของเขาซีดเผือดและดูโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด  อีกทั้งแววตาของของเขาก็ดูเศร้าเหลือเกิน  

“เอ้อ…ความจริงผมไม่ได้กินข้าวมาเกือบสองวันแล้วละครับ  นอกจากกาแฟกับ…น้ำก๊อกรองท้อง” เด็กหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอาย ๆ พลางพูดต่อไปว่า “แต่ช่างมันเถอะครับ  ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

ในเวลานั้นผมไม่ได้สนใจคำขอของเขาเลยแม้แต่น้อย  แต่ลุกเดินเข้าไปในตัวบ้าน  รีบเปิดตู้เย็นหยิบพิซซ่าในกล่องกระดาษมาอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟ  ก่อนจะยกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าเขาพร้อมด้วยน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่ง 

“กินก่อนเถอะ  ดูท่าทางคุณจะหิวนะ  ไม่ต้องอายหรอก  ผมเคยหิวมาก่อน  หิวเหมือนคุณนี่แหละ”  ผมพยายามคะยั้นคะยอให้เขากิน  ซึ่งหลังจากคลายความเหนียมอาย  เด็กหนุ่มจึงลงมือกินพิซซ่าถาดนั้นจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว  พอตบท้ายด้วยน้ำอัดลมก็ดูมีสีหน้าดีขึ้น

“ขอบคุณมากครับ  ขอบคุณพี่จริง ๆ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  พร้อมกับยกมือไหว้แทบท่วมหัว 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า  อย่าเกรงใจเลย  บอกแล้วไงล่ะ  ผมก็เคยหิวมาก่อนเหมือนกัน ใครบ้างล่ะที่จะไม่เคยหิว ถ้ายังกินอุดมการณ์อยู่แบบนี้” พูดจบผมก็หัวเราะ  แต่เป็นไปอย่างแห้งแล้งและเยาะหยัน  เพราะขำในมุขตลกสุดฝืดฝืนของตัวเอง “โอเค  เรามาเริ่มคุยกันเลยแล้วกัน”

“ครับพี่  ก็อย่างที่ผม  เอ้อ  ผม…ได้บอกพี่ไว้ตั้งแต่ตอนที่คุยกันทางโทรศัพท์  จริง ๆ นะครับ  ผมจนปัญญาจริง ๆ  ผมไม่รู้จะไปพึ่งพาใครได้อีก  พี่เป็นความหวังสุดท้ายของผม  พี่ต้องเชื่อผมนะครับ”

ผมถอนหายใจดังเฮือกอย่างลืมตัวเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา  นานมาแล้วที่ผมไม่ปรารถนาจะให้ใครมาตั้งความหวังอะไรกับผมอีก  นอกจากสมาชิกในครอบครัวของผมเท่านั้น

“ทำไมคุณไม่ลองไปหาคนอื่น ๆ ดูบ้าง อย่างเช่น….” ผมเอ่ยชื่อคนที่เคยมีชื่อเสียงหลายคนเป็นการแนะนำ  ลืมนึกไปว่าเมื่อวานนี้ผมได้บอกเด็กหนุ่มไปแล้ว

เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ อย่างหม่นหมอง  นัยน์ตาเรียวเล็กของเขาดูค่อนข้างเศร้า  และขนตาดำสั้น ๆ ก็เหมือนจะเปียกชื้นจากหยาดน้ำใสที่คลอเบ้าตาอยู่ 

“ผมไปมาหมดแล้วครับ” น้ำเสียงของเขาสั่นเหมือนคนกลั้นสะอื้น “พวกนั้นล้วนแล้วแต่เคยเป็นตำนานมาก่อนทั้งสิ้น  แต่….” ถึงตรงนี้เขาก็หยุดพูดแล้วก้มหน้าลงอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง  สักครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวต่อไปว่า “แต่พวกเขาพากันปฏิเสธ ไม่มีใครยอมรับปากช่วยเหลือ  พวกเขาอ้างว่าไม่มีเวลา  แล้วก็มีภาระมากมาย  หลายคนหัวเราะเยาะ  เมื่อผมชวนพวกเขามาเป็นผู้นำ  ครับ  เป็นผู้นำไปกอบกู้สังคมให้พ้นจากหายนะ  ผมคิดว่าพวกเขาพากันมองว่าการช่วยเหลือสังคม  ช่วยเหลือประเทศชาติให้พ้นจากความมืดมนและความทุกข์ยากคือเรื่องไร้สาระ   วันนี้ผมจึงเหลือแต่พี่เพียงคนเดียว  คนเดียวเท่านั้นจริง ๆ”

กล่าวจบเขาก็จ้องมองผมด้วยดวงตาเศร้า ๆ ของเขา  ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ  ผมจะไปทำอะไรได้  ยุคสมัยเปลี่ยนไปหมดแล้ว  ผมต้องการจะบอกเด็กหนุ่มอย่างนั้น  แต่ก็นิ่งเฉยเสีย  พอดีเมียของผมโผล่หน้าออกมาจากทางหน้าต่างชั้นล่างเพื่อบอกว่าเพื่อนที่ชื่อ…..โทรศัพท์มาหา  ผมจึงขอตัวไปรับสาย  

เรื่องที่คุยกันไม่มีอะไรมาก  มันเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เพื่อนเก่าคนนี้เคยเอ่ยปากชวนมาแล้วหลายครั้ง  นั่นคือขอให้ผมเข้าไปช่วยงานพรรคการเมืองซึ่งเพื่อนเป็นแกนนำอยู่   ผมได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้จนอีกฝ่ายบอกว่าจะโทรศัพท์มาฟังคำตอบในวันพรุ่งนี้  จากนั้นก็วางสายไป  

เพื่อนคนนี้สนิทสนมกับผมมานานตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา   เราเคยแลกหนังสือ “ปกแดง” กันอ่านบ่อย ๆ และทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันอย่างเข้มข้น  จนอาจพูดได้ว่าเราสองคนมีส่วนร่วมกับเพื่อน ๆ อีกมากมาย  ในการเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองบ้านเรา  มันน่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยสำหรับคนบางคน  แต่สำหรับผม  ผมเบื่ออดีตพวกนี้เหลือเกิน  และไม่อยากพูดถึงมันอีก

“ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้รอ” ผมรีบบอกเด็กหนุ่มเมื่อกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม  และยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรออกมา   ผมก็เอ่ยขึ้นว่า “สำหรับเรื่องของคุณนั้น  ผม…ผมคงช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้จริง ๆ  คุณน่าจะลองไปหาคนอื่นที่เหลือนะ  อาจจะมีซักคนที่….”

“ผมบอกพี่แล้วไงครับ  ไม่มีแล้ว” เด็กหนุ่มขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ “พี่เป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายที่ผมตามหา  ถ้าพี่ไม่ช่วย  ผมคงไม่เป็นอะไรมากนักหรอกครับ  แต่บ้านเมืองของเรา  สังคมของเราจะอยู่กันยังไง   ถ้าไม่มีใครยอมเสียสละยื่นมือเข้ามากอบกู้  ที่ผ่านมามีแต่พวกเข้ามากอบโกย  สังคมเราต้องการวีรบุรุษที่แท้จริงนะครับ”  

พูดจบเด็กหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้   พร้อมกับจ้องผมอย่างเรียกร้องขอความเสียสละ

“ผมเสียใจ….” ผมพูดได้สั้น ๆ แค่นี้  แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับเขา  ผมคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจถึงความจำเป็นของผม   จะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าผมรับปากเด็กหนุ่มคนนี้  จะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าผมสละเวลาทั้งหมดเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้นำให้แก่ประชาชน  บางที  ผมอาจปลุกเร้าให้คนเหล่านั้นหลุดพ้นจากสิ่งมอมเมาต่าง ๆ  และหันมามองโลกด้วยสายตาแห่งอุดมคติอันเปี่ยมไปด้วยพลัง  อีกทั้งงดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด  เพราะมนุษย์ที่แท้จริงต้องมีอุดมคติ  ทุกวินาทีของชีวิตต้องดำรงอยู่เพื่ออุดมการณ์ และอุดมการณ์ก็คือความสง่างามของปัญญาชน (โอ้  ให้ตายเถอะ  ผมพอจะจำความรู้สึกพวกนี้ได้บ้างหรอกน่า  สหายเอ๋ย) 

ผมอาจจะสามารถทำให้พวกเขายอมสละชีวิตเพื่อสังคมที่ดีกว่าได้  แต่….ใช่แล้ว  ลูกเมียของผมเล่าจะอยู่กันอย่างไร  บ้านหลังงามคงถูกธนาคารยึดไปขายทอดตลาด   รถยนต์คันใหม่ของผมก็จะมีชะตากรรมเหมือน ๆ กัน  จะมีใครมาร่วมรับรู้กับผมหรือว่า  ทั้งผมและลูกเมียนั้นก้นบางเกินกว่าจะนั่งรถเมล์โทรม ๆ ได้อีกแล้ว   ผมควรบอกเด็กหนุ่มตามตรง  เพื่อที่จะเป็นฝ่ายขอความเห็นใจจากเขามากกว่า

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็น  สีหน้าของผมคงทำให้เขาเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด  เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน  ขาทั้งสองสั่นเล็กน้อยราวกับสิ้นเรี่ยวแรง  เขามองผมด้วยแววตาที่อ่อนแสงลงอย่างมาก  ทำให้ผมอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้  อย่างน้อยเขาก็คือเงาในอดีตของผม

“ผมมารบกวนเวลาของพี่มากแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเครือยิ่งกว่าเดิม  และฟังดูแผ่วเบาราวกับคนป่วยไข้ “ผมคงต้องไปแล้วครับ  ไปตามทางที่ผมได้เลือกไว้” พูดจบเขาก็ยกมือไหว้ผมอย่างนอบน้อม  ไม่ได้มีอาการโกรธแค้นหรือขัดเคืองใจแม้แต่น้อย  

ครั้นแล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ครั้งหนึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสถานการณ์  หรืออะไรที่สร้างให้พวกพี่เป็นวีรบุรุษ  ผมเกิดไม่ทัน  แต่อย่างน้อยถึงวันนี้  ผมในฐานะเด็กรุ่นหลังก็ยังมองว่าพี่เป็นวีรบุรุษของผม  ครับ พี่ยังเป็นวีรบุรุษของผมเสมอ  ผมจะขอยึดพี่เป็นต้นแบบของผมตลอดไป”

คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ผมสะเทือนใจ   อีกทั้งขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก  หัวใจเหมือนจะตีบตัน  และเจ็บปวดไปกับคำพูดนั้น

“ลาก่อนครับพี่   ลาก่อนครับ….วีรบุรุษของผม” 

เด็กหนุ่มกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย  ก่อนจะก้าวตรงไปที่ประตูอัลลอยด์  

วินาทีนั้นเอง  ผมรีบร้องเรียกเขา  แต่เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใด  อย่างไรก็ตาม  ผมยังคงต้องการพูดออกไป  ผมปรารถนาจะให้เขาได้ยิน

“ได้โปรดเถอะ….ถ้าเราได้พบกันอีก  อย่า…อย่าเรียกว่าผมว่าวีรบุรุษอีกเลย” เสียงของผมดังขึ้นราวกับต้องการจะบอกแก่เด็กหนุ่มและตัวเองไปพร้อมกัน  แน่นอน ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้เป็นวีรบุรุษมานานแล้ว  และไม่มีวันกลับมาเป็นได้  โลกของผมเปลี่ยนไป  อุดมการณ์และตำนานเก่า ๆ เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าบนหน้าผากของผมเท่านั้น

ขณะที่เจ้าความขมขื่นกำลังจะเอ่อขึ้นมาท่วมดวงตา  ผมก็หันไปเห็นลูกน้อยเดินเข้ามาหา  แกร้องเรียกให้อุ้ม  ผมได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกขมขื่นนั้นไว้  ก่อนจะแสร้งเผยอยิ้มอย่างสดใส  พยายามคิดว่านี่คือความถูกต้องแล้ว   ผมพยายามหาเหตุผลให้แก่การกระทำของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง  และดูเหมือนว่ามันจะสำเร็จเสมอ .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน มีนาคม 2551

ใส่ความเห็น