เรื่องสั้น “ตลาดเช้า” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้นไทย "ตลาดเช้า" โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ดูเหมือนจะเป็นเวลาสองหรือสามปีมาแล้วที่ผมไม่ได้พบกับยุทธเลย แต่ผมก็ยังคงฝังใจอยู่กับเรื่องของเขา ราวกับว่านั่นคือความทรงจำของผมเอง อืม เรื่องของยุทธกับหญิงสาวคนนั้นเริ่มขึ้นตรงไหนกันแน่นะ อ้อ ใช่แล้ว เช้าวันนั้นเริ่มขึ้นตอนที่เธอเอ่ยถามว่า

“นี่ขนมอะไรคะ อายุทธ น่ากินจัง”

ในห้วงเวลานั้น สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ขนมหลากสีในถาดด้วยอาการกระตือรือร้นเหมือนเด็ก ๆ นั่นทำให้ยุทธอดยิ้มไม่ได้ พร้อมกับเผลอมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์อันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แล้วทันทีที่รู้สึกตัว เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังถาดขนมบนรถเข็น

“ขนมทรายน่ะเอื้อง บางคนก็เรียกว่าขนมขี้หนู” คำตอบของยุทธแทบจะเป็นเสียงกระซิบโดยไม่ตั้งใจ “ส่วนที่เห็นในถาดตรงนั้นคือขนมเหนียว ขนมด้วง นั่นช่อม่วงกับน้ำดอกไม้ เป็นขนมไทยดั้งเดิมของเรา แหม อาก็พูดยังกับเป็นคนขายซะเอง” กล่าวจบเขาก็ฝืนหัวเราะ แล้วตัดสินใจซื้อขนมพวกนั้นติดมือมาด้วย ความจริงเขาไม่ค่อยชอบการหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังเลย แต่วันนี้กลับทำเรื่องดังกล่าวได้โดยไม่หงุดหงิด จนตัวเขาเองก็ยังต้องนึกประหลาดใจ

ทั้งสองเดินปะปนไปกับชาวบ้านในตลาดเช้าของวัดกลางบางแก้วแห่งอำเภอนครชัยศรี รอบกายคึกคักด้วยเสียงเซ็งแซ่ มันก่อตัวขึ้นจากเสียงร้องชักชวนให้อุดหนุนสินค้าของคนค้าขาย ผสานไปกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ผู้ขับขี่หาทางแทรกผ่านคนเดินตลาดไปอย่างช้า ๆ และเสียงจากลำโพงของวัดซึ่งประกาศบอกบุญอยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อรวมกันเข้ากับภาพหมู่สงฆ์กำลังเดินประคองบาตรผ่านไปด้วยอาการสำรวม ภาพแม่บ้านนุ่งผ้าถุงในมือหิ้วตะกร้าใบใหญ่ ภาพเด็กนักเรียนสะพายเป้กึ่งเดินกึ่งวิ่งในมือถือไม้เสียบลูกชิ้นปิ้ง และภาพหมาวัดสองสามตัวทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับสอดส่ายสายตาหาของกิน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ยุทธรับรู้ได้ถึงความเป็นตลาดเช้าในต่างจังหวัด แต่ถึงที่สุดแล้วเขาก็ออกจะแน่ใจว่าตัวเองประทับใจเรื่องอื่นมากกกว่า

ในเวลาเดียวกัน เขาก็สงสัยว่าหญิงสาวผู้กำลังเดินเคียงข้างเป็นเพื่อนชมตลาดอยู่นั้น เธอจะชื่นชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนเขาหรือไม่ มันย่อมดูแตกต่างไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เธอคุ้นเคย ที่นี่ไม่เป็นระเบียบหรือสะอาดเท่า ทว่าเปล่งประกายของความมีชีวิตชีวามากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด เขาสรุปด้วยสายตาของคนเป็นจิตรกร

ครั้นผ่านแผงผักห้าหกเจ้าซึ่งกองขายอยู่กับพื้นมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เอื้องกับยุทธก็มาหยุดอยู่ตรงสะพานไม้แคบ ๆ สะพานดังกล่าวทอดยาวจากตลิ่งออกไปยังแม่น้ำนครชัยศรีอันกว้างใหญ่ แลเห็นดงไม้และเรือนริมน้ำสงบนิ่งอยู่ภายใต้สายหมอกเบาบางของปลายฤดูหนาว แม้จะเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้วก็ตาม มีเรือหางยาวร่วมสิบลำจอดรอขนถ่ายสินค้าอยู่บริเวณปลายสะพาน ข้าวของบนเรือกำลังถูกนำไปส่งให้แก่ร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปตามชุมชนริมคลองอันเป็นกิ่งก้านสาขาของแม่น้ำสายนี้

“อายุทธดูแม่น้ำสิคะ ทำไมภาพที่เห็นถึงได้สวยจับใจเอื้องเหลือเกิน”

ยามนั้นยุทธมองเห็นสีหน้าของหญิงสาวคล้ายกำลังเคลิ้มฝัน

“อายุทธน่าจะลองมาวาดรูปที่นี่ดูบ้างนะคะ ถ้าพงศ์เห็นรับรองต้องอยากถ่ายรูปเก็บไว้เหมือนกัน ว่าแต่…ทำยังไงเราสองคนถึงจะได้นั่งเรือเล่นในตอนเช้า ๆ ยังงี้ล่ะคะ เอื้องอยากเดินทางไปให้ถึงต้นน้ำจัง อายุทธว่ามันจะอยู่ไกลมากไหมคะ คงอยู่ไกลแน่ ๆ เลย บางที…บางทีอาจไม่มีใครเคยไปถึงที่นั่นก็เป็นได้”

ความปรารถนาของหญิงสาวคนหนึ่งได้ทำให้ชายคนหนึ่งตกอยู่ในอาการว้าวุ่นใจโดยที่เธอไม่มีทางรู้ตัว แน่นอน ยุทธบอกผมเองว่า เอื้องคงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของเขาหรอก ในตอนที่เขาพยายามมองหาเรือหางยาวรับจ้างสักลำหนึ่ง มองหาแล้วมองหาอีก ครั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีเรือรับจ้างแน่นอนแล้ว เขาก็ถึงกับนึกกลัวว่าเธอจะผิดหวัง เขาไม่อยากเห็นเธอผิดหวัง แต่แล้วเอื้องก็ส่งยิ้มมาให้เขาเป็นการปลอบใจ เธอสั่นหน้าเพื่อบอกว่าไม่ต้องการนั่งเรือเล่นอีกต่อไปแล้ว กิริยานั้นได้ทำให้เส้นผมยาวเคลียหลังไหล่ไหวส่ายไปมา ความรู้สึกอ่อนหวานคงวาบขึ้นในสายตาของยุทธอยู่นาน ระหว่างที่เขาเหม่อมองเรือนผมอันงดงามตรงหน้า เขาคิดว่าเส้นผมของเอื้องน่าจะมีสีดำมาก่อน แต่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีน้ำตาลตามสมัยนิยม อายุของเธอแค่ยี่สิบสองปี เพิ่งจะผ่านพ้นความเป็นนักศึกษามาได้ไม่นานนัก สาว ๆ ร่วมสมัยเดียวกันกับเธอแทบจะไม่มีใครไม่เปลี่ยนสีผม นี่ทำให้ยุทธอยากรู้ขึ้นมาว่า ใบหน้าเรียวยาวของเธอจะดูงดงามมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่นะ หากแม้นความนุ่มนิ่มน่าสัมผัสได้กลายเป็นสีดำดุจเดิม

ผมแน่ใจว่าตอนที่ยุทธคิดถึงเรื่องนี้ เขาคงอดยกมือลูบศีรษะตัวเองไม่ได้ เขาย่อมรู้สึกเศร้าใจ เมื่อระแวงว่าหญิงสาวจะสังเกตเห็นเส้นผมหงอกขาวของเขาหรือไม่ หลายปีมานี้เขารับรู้ว่ามันได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเองคร้านที่จะถอนออกให้หมด บางทีถ้าสามารถย้อนกลับไปเป็นหนุ่มได้สักหนึ่งวัน ไม่ใช่อายุห้าสิบปีตามความเป็นจริง ยุทธอาจยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีอยู่เพื่อการนี้ แต่จะเป็นหนุ่มเพื่ออะไรกันเล่า ผมลองถามตัวเอง เพราะผมรู้ว่ายุทธก็ทำเช่นเดียวกันในเช้าวันนั้น แน่นอน เขาย่อมรู้สึกกระดากอาย และไม่กล้าแม้แต่จะค้นหาคำตอบภายในใจออกมาตีแผ่ดู

พวกเขาสองคนยืนชมทัศนียภาพของแม่น้ำอยู่นาน นานเท่าที่ใจปรารถนา ก่อนเดินกลับขึ้นตลิ่งมุ่งหน้าไปทางแผงลอยด้านขวามือ ใกล้ ๆ แถวนั้นมีร้านกาแฟโบราณตั้งขายอยู่เจ้าหนึ่ง ชายชราผมขาวโพลนสองคนกำลังนั่งจิบกาแฟร้อนในแก้วใส ปากก็ส่งเสียงคุยจ้อถึงเรื่องปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมือง ยุทธรู้สึกเหม็นเบื่อคนแก่หรือไม่ก็ความแก่เต็มที จึงหันไปให้ความสนใจกับต้นลั่นทมขนาดใหญ่แทน มันขึ้นอยู่ทางด้านหลังร้านกาแฟ กิ่งก้านใบแผ่เป็นวงกว้างให้ร่มเงาแก่ทุกคน

“เอื้องอยากดื่มกาแฟมั้ย อาจะสั่งให้” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณค่ะ แต่เดี๋ยวเราไปไหว้พระกันก่อนได้ไหมคะ เอื้องอยากไหว้พระ…นะคะ” เอื้องทำน้ำเสียงออดอ้อน เขาเผยอปากยิ้ม จ้องมองเธอเต็มสองตา นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่เขากล้าทำเช่นนี้

เอื้องคงเป็นหญิงสาวที่ไม่นิยมกินอาหารมื้อเช้า ยุทธสันนิษฐานจากรูปร่างบอบบางจนเรียกได้ว่าผอมของเธอ ทรวงอกในเสื้อยืดคอกลมรัดรูปสีขาวแทบจะไม่มีร่องรอยนูนสูงให้เห็น ดูไปแล้วก็คล้ายเด็กผู้ชายอยู่ไม่น้อย เขาคิด ถ้าไม่ติดอยู่ตรงใบหน้าเล็กเรียวและเครื่องหน้าที่งดงามอ่อนหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ผิวแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อของเธอก็เต่งตึงเหลือเกิน หญิงสาวจึงกลายเป็นดอกไม้งามสะพรั่ง ขณะที่ยุทธผู้ซึ่งในเวลานั้นเปลี่ยนมาก้มลงมองปลายเท้าของเธออย่างอ่อนอกอ่อนใจ ด้วยรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงโรยลงไปทุกวินาที

“ไหว้พระก็ดีเหมือนกัน” เขาคล้อยตาม จิตใจยังไม่หายฟุ้งซ่าน

จากตำแหน่งที่ทั้งสองเดินอยู่ สามารถแลเห็นงานสถาปัตยกรรมอันงดงามของพระอุโบสถได้ชัดเจน ความงามลอยเด่นอยู่เหนือร่มกันแดดและหลังคาผ้าใบของบรรดาร้านรวง ยุทธเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยไปกับภาพที่เห็น จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเอื้องที่ชี้ชวนให้ดู “กระโจมแตร” อันเป็นศาลาโบราณทรงแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง มีแผ่นป้ายระบุว่าสร้างตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะผ่านกาลเวลามานับร้อยปีแต่ยังคงดูสง่างาม นี่คือข้อดีของวัตถุ เขารำพึงอยู่ในใจ ผิดกับเนื้อหนังของมนุษย์เช่นเขาที่ชราไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้ามันมีชีวิต มันจะเหงาและเศร้าหรือเปล่านะ ที่มีอายุยืนยาวเช่นนี้” เขาพึมพำออกมา

เอื้องมองหน้าเขา แล้วหัวเราะเสียงใส “อายุทธพูดยังกะคนแก่แน่ะ”

ยุทธสบตาหญิงสาว อยากรู้ว่าเธอจะเข้าใจถึงความชราได้มากน้อยสักเพียงไหน ชีวิตเธอเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เธอจึงไม่อาจเข้าใจได้ถึงความรู้สึกของชายวัยกลางคนตรงหน้า แต่หากเธอล่วงรู้อย่างลึกซึ้งล่ะ ยุทธเคยถามผม แล้วโดยไม่ต้องการคำตอบ เขาส่ายหน้าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้พร้อมกับเศร้าใจขึ้นมาอีก เศร้าเหมือนกับตอนที่กำลังเดินอยู่กับสาวสวยและผู้คนเต็มตลาด อย่างไรก็ตาม ผมสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างอันไร้เหตุผลของยุทธเสมอ หลังจากรับรู้เรื่องราวของเขาในเช้าวันนั้นแล้ว

สักครู่หนึ่งเอื้องกับยุทธก็เดินมาถึงกำแพงแก้ว เขาหยุดยืนตัวตรง ทอดสายตามองผ่านช่องประตูพระอุโบสถเข้าไปยังพระประธาน วินาทีนั้นองค์พระปฏิมากำลังเปล่งรัศมีสีทองวาววับอยู่ในเงาสลัว ดูงดงามราวกับอยู่พ้นไปอีกโลกหนึ่ง โลกอันห่างไกลซึ่งเต็มไปด้วยความสงบเย็น ช่างขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่คลาคล่ำด้วยมนุษย์ผู้มากความปรารถนา เขาคร่ำครวญอยู่ในใจ  ครั้นแล้วกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ ภาพแสงเทียนไหววิบ ๆ วับ ๆ และกลิ่นธูปหอมที่รวยรินมากับสายลม ก็ช่วยทำให้หัวใจของเขานิ่งลงได้บ้าง

“เข้าไปข้างในกันเถอะเอื้อง” ยุทธเอ่ยชวนหญิงสาว เขาแวะหยิบดอกไม้ธูปเทียนสองชุด โดยไม่ลืมหย่อนธนบัตรฉบับหนึ่งลงในตู้รับบริจาคค่าน้ำค่าไฟของทางวัด

ยามนั้นไม่มีใครอยู่ในพระอุโบสถเลย เหมือนต้องการเปิดโอกาสให้คนสองคนได้จุดธูปเทียนอธิษฐานกันตามลำพัง เมื่อกราบพระประธานเสร็จเรียบร้อย เอื้องก็ก้าวตามเขามาปิดทองคำเปลวลงบนพระอุระของพระพุทธรูปยืนสององค์ตรงหน้าพระประธาน ยุทธลอบมองเธอขณะปิดทอง พลันก็อยากรู้ขึ้นมาว่าหญิงสาวเคยไหว้พระกับชายหนุ่มคนใดมาก่อนหรือไม่ อาจเป็นใครสักคนที่เธอให้สิทธิ์ความเป็นคนรัก แต่ไม่น่าจะใช่พงศ์เทพหลานชายของเขา ผู้ซึ่งจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ตามมาสมทบที่ตลาด  ฤทธิ์เบียร์หลายขวดเมื่อคืนคงทำให้หลานชายไม่อยากรีบตื่น ยุทธคาดเดา

“เอื้องรู้สึกดีจังเลยค่ะอายุทธ ที่ได้มาไหว้พระที่นี่ ถ้ามีโอกาส…เราสองคนมาไหว้พระด้วยกันอีกนะคะ”

หัวใจของยุทธถึงกับสั่นไหวสะท้านไปกับคำพูดของเธอ ทว่าในความคิดของเขาแล้ว น้ำเสียงแจ่มใสของหญิงสาวช่างฟังดูเป็นธรรมชาติเสียจริง ไม่มีความหมายลึกเร้นซ่อนอยู่ในถ้อยคำแม้แต่น้อย หรือเพียงแค่พอให้เก็บเอาไปคิดสานต่อภายในใจ เขาพยายามเงี่ยหูฟังว่าเธอจะพูดอะไรอีก แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอหมุนตัวไปรอบ ๆ อย่างแช่มช้า เหมือนต้องการดูภายในพระอุโบสถอีกครั้งเป็นการร่ำลา

สักพักหนึ่งชายหญิงต่างวัยจึงเดินออกจากโลกแสนสงบ กลับคืนสู่โลกภายนอกอันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นับเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งสำหรับยุทธ ทว่าเมื่อพ้นจากตรงนั้นมาแล้ว เขาก็ดีใจที่สามารถมองเอื้องได้เต็มตามากขึ้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

“อายุทธคะ ทำไมเอื้องง่วงจังเลย สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย เราไปหากาแฟดื่มกันเถอะค่ะ” พูดยังไม่ทันจบดีหญิงสาวก็อดหาวไม่ได้ เธอรีบยกมือน้อย ๆ ขึ้นปิดปาก มองเห็นเพียงดวงตากลมสีดำกำลังส่งประกายยิ้มหวาน นั่นทำให้ยุทธแทบคลั่งใจตายเลยทีเดียว

ที่ร้านกาแฟเจ้าเดิม ทั้งสองได้ที่นั่งใต้ร่มเงาของต้นลั่นทมใหญ่ ใกล้กับชายชราสองคนซึ่งยุทธเคยเห็นก่อนหน้านี้ พวกเขายังคงคุยกันอย่างออกรส ทว่าเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ร่ำรวย มีการขัดคอกันบ้างแต่ไม่จริงจังอะไรนัก ดูเหมือนด้วยวัยขนาดนี้ ถ้าไม่ยอมลงให้กันก็อาจหาเพื่อนคุยไม่ได้เลย

เอื้องสั่งกาแฟร้อน ส่วนเขาขอเป็นกาแฟเย็น ขนมไทยในถุงพลาสติกถูกนำมาจัดเรียงใส่จานที่ขอยืมจากเจ้าของร้าน แวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขาเกิดอยากรู้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาอีกว่า ทำไมถึงไม่สั่งกาแฟร้อนเช่นเดียวกับเอื้อง เขาไม่คิดหรอกว่ามันจะเป็นคำถามไร้สาระ

“อร่อยดีค่ะ แปลกจัง ทำไมเอื้องไม่เคยกินขนมไทยพวกนี้มาก่อน แม่บ้านไม่เห็นซื้อมาให้ลองกินบ้างเลย เดี๋ยวกลับไปคราวนี้เอื้องต้องสั่งไว้แล้วละ” หญิงสาวใช้ไม้ไผ่เหลาปลายแหลมจิ้มขนมในจานใส่ปากอีกหลายชิ้นเหมือนคนหิว

“ขนมด้วงนี่ก็อร่อยค่ะ อายุทธลองชิมดูซีคะ”

ยุทธรับไม้จิ้มจากมือของเอื้องด้วยความรู้สึกอ่อนไหว เขาเล่าให้ผมฟังเช่นนั้น สายตาของเขาในขณะเล่าบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุขกับความทรงจำนั้น

“เป็นไงคะ อร่อยอย่างที่เอื้องว่ารึเปล่า”

เธอถามขึ้น หลังจากเขากลืนขนมลงท้องแล้ว  ภาพริมฝีปากแดงบาง ๆ ของเธอทำให้ภายในใจของเขาปั่นป่วนรวนเรยิ่งขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ

“อร่อยมาก….”

ยุทธต้องฝืนยิ้มโดยพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเอื้อง แม้รู้ดีว่าเธอไม่ได้คิดเช่นที่เขากำลังคิดอยู่ แน่นอน เขาบอกตัวเองในตอนนั้นว่า มันไม่อาจเป็นความจริง นี่คือความเศร้าในเช้าวันที่ดอกลั่นทมสีขาวเบ่งบานเกือบเต็มต้น ดอกอ่อน ๆ เกาะอยู่บนกิ่งสีเทาอมเขียว ขณะที่ดอกแก่ร่วงโรยอยู่เต็มพื้น ดูรกหูรกตาและถูกผู้คนเหยียบย่ำ

มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ไม่ใช่ของยุทธ เขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่เช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากใครสักคนต้องการจะติดต่อด้วย วิธีที่สะดวกก็คือส่งจดหมายถึงเขา นี่เป็นช่องทางการสื่อสารเก่าแก่ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีกไม่นานก็คงมีจุดจบเหมือนโทรเลข

“พงศ์เหรอ ฉันนั่งกินกาแฟอยู่กับอายุทธ ใช่แล้ว ใกล้ริมน้ำนั่นแหละ โอเค เดี๋ยวเจอกัน” เอื้องกดวางสายโทรศัพท์แล้วหันมาพูดกับยุทธ “ตอนนี้พงศ์อยู่ที่ลานจอดรถด้านหน้าค่ะ เห็นบอกว่าต้องรีบกลับเข้ากรุงเทพฯ ด่วน”

ยุทธใจหายวูบ เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาได้แต่มองแก้วกาแฟเย็นซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราว มันค่อย ๆ ไหลลงมานองอยู่บนพื้นโต๊ะ

“น่าเสียดายจังค่ะ อายุทธ ทีแรกคิดว่าจะได้กลับตอนเย็นซะอีก…” เอื้องยังพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว จนกระทั่งพงศ์เทพตามมาสมทบที่ร้านกาแฟ

“อายุทธครับ พ่อโทรมาบอกให้พงศ์รีบกลับบ้าน” หลานชายอธิบายขณะนั่งลงบนเก้าอี้หัวโล้นข้างหญิงสาว “บริษัทที่พงศ์เคยสัมภาษณ์งานช่างภาพเอาไว้น่ะครับ เขาให้พงศ์ไปทำงานด่วน แหม ดีใจจนบอกไม่ถูก พงศ์จะได้เลิกเป็นคนว่างงานเสียที ส่วนเอื้องไม่เป็นไรหรอกจริงมั้ย รายนี้พ่อเค้ารวย” หลายชายพูดจบก็หันไปยักคิ้วให้เอื้อง

ยุทธยิ้มให้กับคำพูดของพงศ์เทพ สายตาเฝ้ามองหนุ่มสาวตรงหน้า ใจที่เป็นกลางส่งเสียงพร่ำพูดว่า พวกเขาช่างดูเหมาะสมกันดีเหลือเกิน นี่คือครรลองของธรรมชาติ เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง ยุทธคิดพลางยิ้มเศร้า ๆ

“เอื้อง ก่อนเราจะออกจากบ้านพักของอายุทธมา เราเห็นว่ารีบ ก็เลยถือวิสาสะเข้าห้องเธอไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าให้แล้วนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปกลับมา ตอนนี้กระเป๋าอยู่ในรถแน่ะ”

คำพูดของพงศ์เทพทำให้แก้มของเอื้องกลายเป็นสีแดงระเรื่อยิ่งกว่ายามปกติ

“นี่…อย่าทำหน้าแบบนั้น แค่ชุดนอนแบบคุณหนูกับชั้นในสีชมพูที่ถอดทิ้งเอาไว้ มันก็เสื้อผ้าดี ๆ นั่นแหละ ไม่เห็นต้องคิดมาก”

เอื้องหลบสายตาของยุทธพลางยิ้มอย่างเขินอาย ยุทธบอกผมว่า เขาไม่เคยเข้าใจฉากนี้เลย ทำไมหญิงสาวต้องรู้สึกเขินอายต่อหน้าเขาด้วย ถ้าไม่มีเขานั่งอยู่ตรงนั้น เธอจะยังคงอายอยู่หรือไม่ ตอนนั้นผมนั่งนิ่งเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบให้เพื่อนแม้แต่คำเดียว

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ ยุทธร้องสั่งกาแฟร้อนให้หลานชาย พอได้มาพงศ์เทพก็รีบดื่มจนหมดถ้วยเหมือนไม่กลัวว่าปากจะพอง แล้วลุกขึ้นยืน ทำให้เขากับเอื้องต้องพลอยลุกตามไปด้วย ดูท่าทางหลานชายของเขาจะร้อนรนอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่กำลังจะได้ทำงานแรกในชีวิต

“ขับรถช้า ๆ หน่อย อย่าซิ่งให้มันมากนักล่ะ พ่อของพงศ์เคยบ่นให้อาฟังเสมอเวลาเจอกัน” เขาเตือนตามประสาผู้ใหญ่ เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถหน้าวัด

“เชื่อมือพงศ์เถอะ พงศ์กับเอื้องยังเด็กอยู่เลย เราต้องมีชีวิตต่อไปอีกยาวนานครับ” หลานชายของยุทธตอบด้วยสีหน้าทะเล้น ไม่รู้ทุกข์รู้โศก มีเพียงเขาที่รู้สึกสะทกสะท้อนใจไปกับคำพูดของหลานชาย นี่คือถ้อยคำซึ่งเต็มไปด้วยความจริงเหลือเกิน

ก่อนหนุ่มสาวจะก้าวขึ้นรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ที่พากันขับมาจากกรุงเทพฯ เอื้องขอให้พงศ์เทพใช้กล้องในโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเธอคู่กับยุทธ ท่ามกลางความรู้สึกกระดากเก้อเขินที่เกิดขึ้น เขาพยายามวางสีหน้าให้เป็นปกติ แต่มันก็เป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก

“เอื้องจะเอาไปอวดเพื่อนค่ะ อายุทธ ว่าครั้งหนึ่งเอื้องเคยได้มาเดินชมตลาดเช้ากับจิตรกรชื่อดัง” หญิงสาวพูดโดยไม่หันมาทางเขา สายตาจ้องมองภาพถ่ายบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างสนใจ แล้ววินาทีถัดมาเธอก็ช้อนตาขึ้นมองดูเขาด้วยรอยยิ้มสดใส

“อากลับบ้านพักเองได้แน่นะครับ ผมจะได้ไม่ต้องย้อนไปส่ง” พงศ์เทพถาม

“ไม่ต้องห่วง อาเดินกลับเองได้ แค่นี้เอง” ยุทธแสร้งทำเป็นร่าเริง “ว่าแต่อย่าลืมบอกพ่อพงศ์นะว่าอาคิดถึง ว่าง ๆ ให้มาเยี่ยมอาหน่อย เดี๋ยวอีกสักพัก คงราวสองเดือนหรืออาจจะไม่ถึงดี พออาเขียนภาพชุดตลาดท่านาเสร็จแล้ว อาคงย้ายไปเขียนรูปป่าทางภาคเหนือ เอาละ ไปได้แล้ว เดินทางกันดี ๆ”

เอื้องยกมือไหว้ยุทธแล้วก้าวขึ้นรถ เขามองตามราวกับไม่อยากให้คลาดสายตา เมื่อรถเก๋งแล่นจากไปได้สักพักหนึ่ง เขาก็เดินคอตกกลับบ้านพัก โดยใช้เส้นทางเดิมที่เคยเคียงคู่มาพร้อมหญิงสาวเมื่อตอนฟ้าสาง

ยามนั้น ความรู้สึกอยากวาดภาพได้แล่นขึ้นมาจับใจของยุทธ ผมแน่ใจว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ แม้ว่าภาพที่เขาต้องการวาดจะเป็นเพียงแค่ภาพตลาดเช้าก็ตาม  ทว่ามันก็เป็นภาพตลาดเช้าในความทรงจำของเขา ยุทธรู้สึกตัวว่าต้องเร่งวาดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ความชราจะมาล้อเล่นกับความทรงจำของเขาอย่างไร้ความปราณี และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในใจของเขากลายเป็นเพียงรูปเงาอันพร่าเลือน เขาสารภาพ…และผมเข้าใจ

เรื่องสั้นไทย "ตลาดเช้า" โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์
เรื่องสั้นไทย “ตลาดเช้า” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันที่ 25 ก.พ. – 3 มี.ค. พ.ศ. 2554

เว็บไซต์ nittayasan.com