อ่านเรื่องสั้นไทยประจำสัปดาห์
ฉันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วนะ มันคุ้มค่าอย่างนั้นหรือ ฉันควรอยู่หรือจากไปเสียที…
เขาถามตัวเอง ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างบานเดียวในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในสังคม แต่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจับตามองดูจากระยะไกลราวกับเกิดมาเพื่อเป็นผู้สังเกตการณ์ หลายครั้งที่เขามักจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่ได้ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดเลย มีเพียงเปลือกตาซึ่งกะพริบเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่แสดงว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าเพียงแต่ประตูห้องนี้ไม่ได้ถูกปิดตายไว้ด้วยฝีมือของใครสักคนหนึ่ง เขาก็อาจจะลุกเดินออกไปไหนต่อไหนบ้าง ดังนั้นทางออกจากห้องซึ่งเขาเป็นผู้เลือกเองนี้ จึงมีแค่ทางช่องหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ตลอดเวลาเท่านั้น แต่มันก็สูงและอันตรายเกินกว่าที่คนแก่อ่อนแออย่างเขาจะเสี่ยงปีนออกไปโดยไม่มีเหตุผล
ห้องของเขาอยู่สูงจากพื้นโลกยิ่งกว่าชั้นบนสุดของอาคารเบิร์จดูไบหลายเท่านัก มันจึงเป็นหอคอยแห่งชะตากรรมที่มนุษย์อย่างเขาต้องยอมรับ เพราะเขาเองเป็นผู้เลือกวิถีชีวิตแบบนี้ ทว่าบางครั้งเขาก็อยากจะทำอะไรแหวกแนวออกไปจากชีวิตประจำวัน ใช่แล้ว ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเรี่ยวแรงเสี่ยงปีนออกทางหน้าต่าง เขาก็อาจได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาไว้หลายประการ แต่เขารู้ด้วยสามัญสำนึกว่าตัวเองยังเป็นแค่คนธรรมดา เขายังเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ จริงอยู่ที่เขาไม่กลัวเกรงต่อความตายอันอาจเกิดขึ้นจากการเสี่ยงภัยตามนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งยังหนุ่มแน่น ทว่าป่วยการเปล่าที่จะทำอะไรโง่ ๆ เช่นนั้น เรี่ยวแรงกำลังของเขามีน้อยเกินกว่าจะกระทำเรื่องราวยิ่งใหญ่ หรือกระทำในสิ่งซึ่งจะท้าทายโชคชะตาจนโลกได้ยิน เหมือนกับที่ในบางยุคบางสมัยเคยมีผู้ทำสำเร็จมาแล้ว อันที่จริงเขาก็กำลังรอคอยช่วงเวลาแห่งความสำเร็จอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งหมดนี้ทำให้เขาต้องหมกมุ่นทำงานอยู่ภายในห้อง เวลาพักผ่อนคือการนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอยเฝ้ามองโลกผ่านทางหน้าต่าง แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปตามวิถีทางของมัน
มีแต่ความหวังเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความหวังอันเลื่อนลอยก็ตาม สิ่งที่ว่านี้ราวกับเงาของก้อนเมฆที่กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่บนพื้นโลก สมัยเป็นเด็ก เขาเคยพยายามวิ่งไล่คว้าจับเงาเมฆพวกนั้น แต่ก็ไม่เคยทำได้สมใจปรารถนาสักครั้งเดียว ประสบการณ์ชีวิตสอนเขาว่าหลายสิ่งหลายอย่างในโลกมนุษย์ มีตัวตนให้เราเห็น ให้เรารับรู้ ทว่าไม่อาจครอบครองมันได้เลย เช่นเดียวกับลูกชายผู้ซึ่งเขาอยากได้ไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่นานมาแล้ว นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้พบหน้าลูกเลย เขาพยายามส่งจดหมายถึงแกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบกลับมา ลูกชายมีตัวตนอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ ทว่าเขาไม่สามารถจับต้องแกได้ ไม่สามารถรับรู้ถึงเรื่องราวของแก ถ้าเพียงแต่เขายอมออกจากห้องนี้โดยไม่ต้องรอให้บินได้ ละทิ้งห้องที่เขาเลือกแล้ว และยอมลงทุนเดิมพันด้วยชีวิต ยอมเสียสละทุกสิ่งนานัปการ จนรอดชีวิตซมซานไปหาลูกชายได้ เขาอยากรู้นัก แกจะวิ่งหนีพ่อผู้ให้กำเนิดดุจเดียวกับเงาของก้อนเมฆเหล่านั้นไหมนะ แกจะทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าต่อหน้าพ่ออย่างเขาหรือเปล่า ถ้าลูกทำเช่นนั้นเขาก็แทบจะไม่เหลืออะไรอีก และสถานภาพของเขาภายในห้องหลังหน้าต่างบานนี้ก็จะไม่มีความหมายใด ๆ มันเป็นเช่นนั้นใช่ไหม เขาตั้งคำถามด้วยความไม่แน่ใจนัก
เขาถอนหายใจยาว เท้าแขนข้างขวาลงบนขอบหน้าต่าง ก่อนจะเกยคางลงบนแขนอีกทีหนึ่ง มันเป็นท่าที่เขาชอบใช้ตอนรู้สึกเกียจคร้านจากการงาน สายตาทอดยาวไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างที่เคยทำตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ห้องนี้ใหม่ ๆ เขามองเห็นเรือกสวนไร่นาเป็นทิวสีเขียวอมครามอยู่ฟากหนึ่งทางซ้ายมือ ขณะที่ทางขวานั้นเป็นอาคารสูงเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกดูคล้ายเมืองจำลอง แต่ในความเป็นจริงมีมนุษย์มากมายอาศัยหรือทำงานอยู่จำนวนนับล้านไม่ผิดกับมดปลวกในรังใหญ่ และหากพวกนั้นมองย้อนกลับมายังห้องนี้ ก็จะไม่มีวันเห็นหน้าต่างของเขา พวกนั้นไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอย่างเขานั่งอยู่ที่นี่ ในโลกของผู้คนดังกล่าวและในโลกของเขา ต่างก็ไม่เคยมีตัวตนแก่กันและกัน ใครจะมีความสุขหรือความทุกข์ก็ไม่มีวันทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว มีเพียงคนที่เขาผูกพันด้วยเท่านั้นจึงจะทำให้เขาหัวเราะหรือร่ำไห้ได้ ทว่าคนที่เขาผูกพันด้วยต่างพากันห่างหายไปตามเหตุผลของแต่ละคน ด้วยความจำเป็นบ้าง ด้วยกฎของธรรมชาติบ้าง หลายคนออกไปจากชีวิตเพราะความเลวทรามของเขา สักวันหนึ่งเขารู้ตัวดีว่าอาจจะไม่เหลือใครเลย เพราะเขาติดกับดักชีวิตอยู่ในห้องนี้ มันเป็นห้องที่เขาเลือกเองแล้วจะโทษใครได้เล่า ใช่ จริงสินะ เขาไม่มีวันกล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองได้ทำลงไปเพื่อห้องนี้ เขาภูมิใจในห้องนี้เป็นที่สุด และบางครั้งก็สงสัยว่าประตูที่ปิดตายไว้คงเป็นฝีมือของเขาเองนั่นแหละ แต่มันนานมาแล้ว นานมากเหลือเกิน เขาจึงหลงลืมไป ไม่แน่นะ สักวันหนึ่งเขาอาจลุกจากเก้าอี้ตัวนี้และเดินไปที่ประตู จากนั้นเพียงแค่จับลูกบิดหมุน ประตูก็จะเปิดอย่างง่ายดายให้ก้าวออกไป เพื่อให้โลกภายนอกได้รับรู้ ได้ยิน และได้เห็นว่าคนอย่างเขายังคงมีเลือดเนื้ออยู่ แต่แน่นอน เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันจะทำอะไรเช่นนั้น ทางออกของเขามีเพียง…หน้าต่าง
แล้วอะไรกันเล่าที่เขาต้องการอย่างแท้จริง การได้ครอบครองห้องนี้มิใช่หรือคือสุดยอดปรารถนา เขาสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อย้ายมาอยู่ภายในห้องที่มีแค่หน้าต่างบานเดียวนี้ นี่เป็นห้องที่เขาสามารถสร้างสรรค์งานแห่งชีวิตได้ตามใจชอบ แม้ว่าความโดดเดี่ยวจะกดทับร่างของเขาไว้ตลอดเวลาก็ตาม หลายครั้งหลายหนเขาทุกข์สุขไปกับเรื่องราวมากมาย เรื่องราวที่ไม่อาจบอกเล่าให้ผู้อื่นรับรู้หรือเข้าใจ เพราะการเป็นนายตัวเองคือฐานะสูงสุดของเขา ห้องนี้มอบความสูงส่งให้แก่เขา มันจะเป็นของเขาตลอดไปถ้าไม่หนีไปไหน ไม่ละทิ้งกลางคันจนกว่าจะบรรลุ มันเป็นกฎที่ไม่อาจปฏิเสธ แต่หากวันใดเขากับเงาของตัวเองเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา คลุ้มคลั่งด้วยแรงปรารถนาที่ห้องนี้ไม่อาจตอบสนอง ทางออกก็คือช่องหน้าต่างที่เปิดรอตลอดเวลา มันทำหน้าที่เสมือนรูระบายไอน้ำของกาต้มน้ำ เป็นช่องระบายความกดดันต่าง ๆ ทว่าเขาก็ยังไม่เคยคิดจะลองใช้มันอย่างจริงจังเสียที นอกจากนาน ๆ ครั้งจึงจะเขียนข้อความลงบนแผ่นกระดาษ เขียนเล่าเรื่องราวภายในห้องนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้ จากนั้นก็พับกระดาษดังกล่าวให้เป็นเครื่องบิน แล้วร่อนมันออกไปทางหน้าต่าง หวังให้ถึงมือของใครสักคนหนึ่ง คนที่เมื่อได้อ่านทุกถ้อยคำแล้วจะเข้าใจ แม้เขาจะคิดอยู่เสมอว่าบรรดาคนที่เก็บได้คงฉีกเครื่องบินกระดาษออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมกับหัวเราะเยาะหยันไปต่าง ๆ นานา คนแปลกหน้าย่อมไม่อาจเข้าใจคนแปลกหน้าฉันใด เขากับคนพวกนั้นที่ไม่เคยรับรู้ถึงความมีตัวตนอยู่ระหว่างกัน ย่อมยากจะเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามสื่อสาร
ลูกชายของเขาอาจจะเป็นกรณีเดียวกันนี้ แกได้ห่างเหินเขาไปนานมากเหลือเกิน กระทั่งได้กลายเป็นคนแปลกหน้าราวกับอยู่คนละโลกเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีแค่ความห่างไกลเท่านั้นที่ขวางกั้นคนสองคนเอาไว้ เขามักสงสัยว่า ถ้าลูกชายคิดถึงเขา แกจะยอมลงทุนปีนขึ้นมาหาเขาทางหน้าต่างนี้ไหม แน่นอน วิธีเดียวที่จะเข้าถึงตัวเขาได้ก็มีเพียงทางช่องหน้าต่างนี้เท่านั้น ช่องทางเดียวที่จะเข้าถึงชีวิตของเขา ทุกวันนี้ไม่เคยเว้นแม้แต่วันเดียวที่เขาต้องถามตัวเอง บางครั้งถามในใจ บางครั้งถามออกมาดัง ๆ ว่าเขามาทำบ้าอะไรอยู่ในห้องนี้ มันคุ้มค่าแล้วหรือกับการแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต แต่ทำไมจะไม่คุ้มค่าล่ะ เขารีบหาเหตุผลให้แก่ตัวเอง มันต้องมีอะไรดี ๆ อยู่บ้างหรอกน่า ไม่อย่างนั้นจะมีคนมากมายพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ในห้องลักษณะนี้หรือ ต่อให้มันเป็นห้องที่ไม่มีหน้าต่างสักบาน คนพวกนั้นก็ยังยินดียอมรับ เขาเองก็เช่นเดียวกัน โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ห้องของเขายังมีหน้าต่างบานหนึ่ง เป็นหน้าต่างที่เปิดอยู่ตลอดเวลา เขาน่าจะดีใจและมีความสุข ทว่าอะไรกันเล่าที่ทำให้เขาไร้สุข ความอยากอันไม่เคยรู้จักพอเยี่ยงมนุษย์สามัญอย่างนั้นหรือ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไปภายในห้องนี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ หาไม่แล้วเขาก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าบนกระจกเงาของตัวเองไปเสียเท่านั้น ซึ่งนั่นย่อมจะทำให้โลกของเขาสลายลงไปในทันที การลงทุนจะมีค่าเป็นศูนย์
แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ยากจะยอมรับได้เสียแล้ว แต่น่าประหลาดใจที่ความคิดมากมายในหัว ไม่ได้ทำให้เขายุ่งจนลืมคิดถึงลูกชายคนเดียวเลย ลูกยังคงเป็นลมหายใจของเขาอยู่ดี ป่านนี้แกคงเติบโตสูงใหญ่กว่าภาพที่เขาได้บันทึกไว้ในความทรงจำ อายุของแกเท่าไหร่กันนะ เขาจินตนาการเห็นภาพชายหนุ่ม ร่างกายอุดมด้วยมัดกล้ามและหนวดเครา ตอนนี้ถ้าลูกรู้เส้นทาง แกก็อาจจะพยายามปีนขึ้นมาหาเขา หรือไม่ก็ปรารถนาที่จะได้อยู่ในห้องแบบนี้เช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิด ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร จะส่งเสริมหรือห้ามปรามดีล่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนผู้ใหญ่บอกเด็กว่าอย่าดื่มเหล้า เหล้าไม่ดีต่อร่างกาย ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเหล้าก็ทำให้มนุษย์เราผ่านช่วงเวลาทุกข์ทรมานไปได้เหมือนกัน แม้จะชั่วคราวก็ตาม และเพราะคิดเช่นนี้แหละ เขาถึงรู้สึกตัวว่าไม่มีอะไรจะสั่งสอนลูกชายเลย ที่จริงเขาไม่แน่ใจว่าจะพูดกับลูกรู้เรื่องเหมือนตอนที่แกยังตัวเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ถ้าเขาปีนออกไปจากห้องนี้ และยอมเดินไปตามท้องถนน ท่ามกลางผู้คนคราคร่ำ เขากับลูกชายอาจเดินสวนกันโดยไม่กล่าวคำทักทาย เพราะต่างก็จดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ ซึ่งนั่นน่าจะดีกว่าจดจำได้ดี แต่ไม่พูดจาทักทายกัน เนื่องจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีบาดแผลอยู่ในหัวใจ บาดแผลที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วกลับไม่เยียวยารักษา
อย่างไรก็ตาม มันคงไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่เขายังเลือกที่จะอยู่ในห้องนี้ต่อไป การเดินบนดินและมีลมหายใจอยู่ภายนอกห้องนี้จะทำให้เขาเป็นเพียงใบไม้ที่หมุนกลิ้งไปมารอวันเปื่อยยุ่ยผุพัง เขารู้ตัวตั้งแต่เยาว์วัยแล้วว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นเช่นนั้น เขาจึงต้องทนอยู่ในห้องต่อไป เว้นเสียแต่เขาจะบินได้ การอยู่ในห้องนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขายืนยาว ความจริงเขาไม่ถึงกับเหิมเกริมถึงขนาดจะขอเป็นอมตะหรอก แต่ผิดด้วยหรือที่เขาจะขอดำรงอยู่ยาวนานกว่าผู้คนสามัญทั่วไป
ฉันเคยให้สัญญาว่าจะไม่เดินบนดิน แต่…โอ้ ชีวิตหนอ เจ้าต้องเลือกแล้ว ดูสิ ยามนี้ตะวันสีเลือดคล้อยต่ำลงมาก ช่างงดงามจับใจที่กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว…
ดวงอาทิตย์กำลังจมหายไปทางเบื้องหลังกลุ่มอาคารสูงที่มองเห็นเลือนรางอยู่ในฝุ่นควันของมหานครกว้างใหญ่ อีกไม่นานความมืดจะมาทักทายเขา ดวงจันทร์และดวงดาวจะสะท้อนแสงอยู่ในดวงตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง พวกมันคงกล่าวสวัสดีเช่นเคย แล้วถ้าไม่ใช่เล่า หากกลายเป็น “ลาก่อน” เขาอาจจะตื่นกลัวยิ่งขึ้นไปอีก แต่ทำไมล่ะ ทั้ง ๆ ที่่เขาเคยนึกชิงชังห้องนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าพอถึงเวลาต้องเลือก กลับไม่กล้าจากไป เขาเคยคิดว่ายังไม่พร้อม เขาปรารถนาลมหายใจสำหรับวันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป มนุษย์อื่นก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน ต่อให้เป็นทุกข์แสนสาหัสเพียงใด ก็ไม่มีใครอยากถูกประคองร่างไปผูกเข้ากับหลักประหาร แม้ว่าเพิ่งจะเอาปากกระบอกปืนจ่อขมับตัวเองก็ตาม มนุษย์ที่สามารถทำลายชีวิตตนได้เป็นเพียงแค่คนวิกลจริตไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ในคนปกติ พวกเขาจะทำลายสิ่งที่ตัวเองรักมากที่สุดได้อย่างไรกันเล่า
พอชายชราคิดสรุปได้เช่นนี้ก็เป็นจังหวะที่แสงสุดท้ายของวันหายลับไป ม่านดำทะมึนคลี่คลุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ภายในห้อง ห้องที่เขาหวังว่ามันจะอยู่เหนือกาลเวลา แม้เพียงไม่กี่ร้อยปี แต่หากได้เท่านั้นจริงก็นับว่าดีมากแล้ว
นี่ช่างเป็นค่ำคืนที่แปลกเหลือเกิน…
บัดนี้หัวใจของเขาขมขื่น ปวดร้าวทรมานเป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด เสียงเลือดฉีดซ่านจากหัวใจไปทั่วร่างดังอยู่ในโสตประสาทของเขา เสียงซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงสะอื้น นี่คงเป็นคืนที่เขารู้สึกอ้างว้างยิ่งกว่าทุกคืนในชีวิต เขารู้สึกอยากล้มตัวลงนอนกับพื้นห้อง แต่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ต่อไป ท่ามกลางกระแสความคิดที่ท่วมท้นความรู้สึก
ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันมืดดำ อาคารทุกหลังแลเห็นเป็นเพียงเงา ๆ ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่าง เขาคิดถึงลูกชายขึ้นมาอีกแล้ว เวลานี้แกอาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่นะ ลูกจะได้รับจดหมายฉบับล่าสุดหรือเปล่า มันเป็นจดหมายที่เขาเขียนด้วยความรัก คิดแล้วเขาก็รู้สึกเศร้าใจที่ไม่อาจรับรู้เรื่องราวของลูกเลย
ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกถึงงานแห่งชีวิตขึ้นมา จะมีประโยชน์อันใดเล่าที่จะมัวทรมานอยู่ในห้องนี้เพื่อมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เครื่องเล่นฆ่าเวลาชนิดหนึ่งของมนุษย์เท่านั้นเอง เครื่องเล่นที่ทำให้มนุษย์อย่างเขาทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่เบื่อหน่ายกับการสูดลมหายใจเข้าออกทุกวี่วัน ความคิดเช่นนี้ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนฟุ้งซ่าน ไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ ไม่มีอะไรให้เหนี่ยวรั้ง ความเศร้าว้าเหว่กำลังกัดกินภายในร่างกายของเขาจนถึงไขกระดูก มันกัดกินแม้กระทั่งความหวังซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ในห้วงเวลานี้เอง ความเบื่อหน่ายโลกได้ครอบคลุมร่างอันสั่นเทาของเขาไว้ราวกับสายหมอกสีขาวในป่าช้ากลางแสงจันทร์ มันทำให้เขาต้องสะอื้นร้องไห้อย่างเงียบ ๆ
…ชีวิตเอ๋ย จะมีอะไรไร้สาระยิ่งกว่าการเดินไปในทิศทางตรงข้ามกับความสุขเล่า…
นานพอดูกว่าเขาจะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน สองขาลีบเล็กไร้กล้ามเนื้อสั่นเล็กน้อย เขาพยายามยักแย่ยักยันปีนขึ้นไปยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง ตอนนี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดโปร่งอันเป็นจุดเริ่มต้นของความอิสระอย่างแท้จริง
เขาทบทวนความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่ แน่ใจแล้วนะ แน่นอน แน่ใจอย่างยิ่ง
เขาพยักหน้า จากนั้นยกแขนกางเป็นรูปกางเขน ยิ้มกว้าง แล้วกระโดดออกไป
อา…โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน ลมกลางคืนกรุ่นกลิ่นหอม พระจันทร์สีเหลืองก็แสนน่ารัก ดวงดาวมากมายปรากฏขึ้นระยิบระยับตรงนั้นตรงนี้ มันกำลังหมุนวนอยู่เหนือท้องฟ้าสีน้ำเงิน ไม่ผิดกับในภาพเขียนของจิตรกรเอกเลย…
เขายิ้มอีกครั้ง จากนั้นเพียงแค่กระพือแขน…เขาก็บินได้
เวลานี้ฉันควรจะบินไปที่ไหนดีนะ…สถานที่ใดจะต้อนรับคนอย่างฉัน สถานที่ว่านั้นจะมีใครรอคอยเพื่อสวมกอดฉันบ้างไหม…
เขาหลับตาลง สองแขนกระพือเร่งความเร็ว.
( พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “หน้าต่าง” โดยใช้นามปากกา “ภพ เบญญาภา และได้รับรางวันหนังสือดีเด่น ประเภทรวมเรื่องสั้น รางวัลชมเชย ปี 2556 )