เรื่องสั้น แม่เฒ่าแพง : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น แม่เฒ่าแพง : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

“ได้แค่นี้เองหรือ ได้แค่นี้เองหรือ ได้แค่นี้เองหรือ” แม่เฒ่าแพงกล่าวออกมาซ้ำ ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ เสียงนั้นเบาจนต้องพูดถึงสามครั้งแกจึงจะได้ยินเสียงตัวเอง หรือแกต้องการย้ำคำพูดเพื่อความแน่ใจก็ยากที่จะรู้ได้

ปีนี้แม่เฒ่าแพงอายุได้แปดสิบปีแล้ว ชีวิตผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากกว่าทุกคนที่รู้จักแก ดวงตาโหลลึกซึ่งมักจะเหม่อมองออกไปยังอ่าวบ้านกรูดอยู่เสมอนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าแกกำลังใช้ความคิด  หรือไม่ก็หวนระลึกนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่หายไปจากชีวิต ใช่แล้ว แกอาจจะคิดถึงลูกสาวที่พาหลานเดินทางเข้าเมืองหลวงโดยไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย ไม่เช่นนั้นก็อาจจะคิดถึงผัวที่ตายจากไปตั้งแต่ครั้งแกยังเป็นสาวมีลูกเล็ก ใบหน้าตกกระยับย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยราวกับจารึกแห่งชีวิต และนัยน์ตาขุ่น ๆ นั้นเล่าก็ช่างยากแก่การเข้าใจสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยผ่านชีวิตมายาวนานขนาดแก

ตรงพื้นที่ว่างกลางกระท่อม แม่เฒ่าแพงขยับชายพกผ้าถุงให้แน่นแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ  แกมองกองขยะที่เทออกมาจากกระสอบผ้าป่าน จากนั้นก็ก้มหน้าใช้มือนับจำนวนกระป๋องเครื่องดื่มซึ่งปะปนกันหลากหลายยี่ห้อ มีทั้งกระป๋องเบียร์และน้ำอัดลม แกแยกขวดน้ำดื่มไว้ในอีกกระสอบหนึ่งซึ่งได้ราคาน้อยกว่ากระป๋องหลายเท่า แต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินซื้อข้าวสารได้ โชคไม่ดีที่หลายวันมานี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยทิ้งของพวกนี้ให้แกเก็บมากนัก ทั้งในถังขยะและบนทางเดินข้างถนน พวกเขาพากันไปนั่งดื่มกินกันที่ร้านอาหารริมหาด อิ่มหนำแล้วก็จากไปเมื่อหมดเวลาสำหรับการพักผ่อน นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่พากันเดินทางเข้ามายังหาดบ้านกรูดเพื่อตักตวงในสิ่งที่พวกตนขาดหายไป หมุนเวียนกันเช่นนี้ตลอดทั้งปี ถ้าเป็นฝรั่งต่างชาติก็มีมากที่อยู่กันนานหน่อย แต่สุดท้ายก็จากไปอยู่ดี มีเพียงแกเท่านั้นที่ยังคงเที่ยวเดินกระย่องกระแย่งหลังโก่งเป็นกุ้งไปตามถนนเลียบหาด จนเป็นภาพชินตาของคนท้องถิ่นแถวนี้

แกจับคันโยกเครื่องมือชนิดหนึ่งกดลงเพื่อบีบกระป๋องอลูมิเนียมให้แบน มันคือผลงานการประดิษฐ์ของนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาทางกระท่อม และเมื่อเห็นแกพยายามใช้เท้าเหยียบกระป๋องก็รับอาสาที่จะทำเครื่องผ่อนแรงให้ เพียงไม่กี่วันเขาก็กลับมาพร้อมด้วยเครื่องมือดังกล่าว มันประกอบขึ้นง่าย ๆ จากเหล็ก  ไม้และสปริง อาศัยหลักคานงัดคานดีดคล้ายคีมตัวโต ๆ ก็สามารถบีบกระป๋องอลูมิเนียมให้แบนจนไม่กินพื้นที่เก็บ ก่อนกลับไปเรียน เขายังได้มอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ให้แกใช้อีกด้วย นั่นทำให้แกถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมาทั้ง ๆ ที่มันได้แห้งเหือดไปนานแสนนานแล้ว เขาทำให้แกคิดถึงลูกสาวกับหลานสาวที่ขาดการติดต่อกันนานหลายสิบปี ทำให้แกอยากรั้งตัวเขาไว้ในกระท่อมต่อไปอีกสักหน่อย  อยากจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากินสักมื้อ แต่เขาก็ไม่ใช่สมบัติของแก เหมือนกับที่ลูกกับหลานก็ยังไม่อาจนับเป็นของ ๆ แกได้ แม่เฒ่าแพงเองรู้ดีว่าชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบเด็กนิสัยดีเช่นเขาอีก หรือถ้าวันใดวันหนึ่งเขากลับมาที่นี่ แกอาจจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้แล้วก็เป็นได้ ชีวิตมนุษย์ไม่แน่นอนอย่างที่พระท่านเทศน์ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ  แม้ว่าเมื่อตอนที่อายุได้หกสิบปี สุขภาพของแกจะไม่ค่อยดีนัก จนคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะตาย แกเคยยินดีที่จะสิ้นลมในวันคืนอันยากลำบากเหล่านั้นเพื่อพ้นทุกข์ แต่สุดท้ายแกก็ยังมีชีวิตเรื่อยมาตราบจนวันนี้

ใช้เวลาไม่นานนักแม่เฒ่าแพงก็จัดการกับกระป๋องที่เก็บมาได้จนหมดสิ้น แกรวบรวมใส่ลงในถุงพลาสติกใบหนึ่งและมัดปากถุงจนแน่น จากนั้นก็หันไปนับจำนวนขวดน้ำพลาสติกโดยแยกขวดขุ่นกับขวดใสออกจากกันคนละถุง วันนี้ไม่มีขวดเบียร์ที่ทำจากแก้วเลย เพราะพวกวัยรุ่นพากันทุบจนแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยหลังจากที่ดื่มจนหมด แกรู้สึกเสียดายเหลือเกิน เพราะหากนำมารวมกับที่มีอยู่ก็คงเพิ่มจำนวนเหรียญในถุงที่แกห้อยคอไว้ได้อีกหลายบาท แต่แกไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรหรอก ข้าวของพวกนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่ของแก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่นับว่าเป็นของแกอยู่ดี แกเพียงแค่รวบรวมไปให้แก่พ่อค้ารับซื้อของเก่าเพื่อแลกเงินเท่านั้น นักศึกษาหนุ่มผู้มีน้ำใจเคยบอกว่า สิ่งที่แกทำอยู่เป็นการช่วยเหลือโลกของเรา สิ่งแวดล้อมจะดีขึ้นและโลกจะเย็นลง เมื่อทรัพยากรถูกนำมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า แกฟังแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นักหรอก แกทำไปเหมือนกับที่นกต้องบินออกจากรวงรังในตอนเช้าเท่านั้น

เมื่อเก็บข้าวของเข้าที่แล้ว แม่เฒ่าแพงก็ลงมืออุ่นข้าวต้ม ใกล้จะเที่ยงวันเต็มที แดดนอกกระท่อมแรงจัด ทะเลสีครามเป็นประกายระยิบระยับ แต่ใบไม้แทบจะไม่กระดิกเลย แกติดไฟในเตาดินเผาด้วยเศษกิ่งไม้ที่เก็บมาจากชายหาด และวางหม้อเคลือบสังกะสีสีน้ำเงินบุบบี้ลงไปบนเตา ในวัยขนาดแกนี้ไม่เหลือฟันฟางให้เคี้ยวเสียแล้ว ข้าวต้มเละ ๆ  เขละ ๆ นับเป็นอาหารที่กินง่ายย่อยง่ายที่สุด แกมักจะกินกับเต้าหู้ยี้หรือไม่ก็ไข่ต้ม และปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว สมัยก่อนตอนยังเป็นสาวแกเคยขึ้นชื่อว่าชอบกินเผ็ดเป็นที่หนึ่งในหมู่พี่น้องและเพื่อน ๆ  ไม่ว่าจะกินอะไรเป็นต้องปรุงรสให้เผ็ดไว้ก่อนเสมอ ผิดกับทุกคนที่ชอบอาหารรสอ่อน แต่เมื่อแก่ตัวลง แกกลับไม่อาจสู้รสเผ็ดร้อนได้อีก

ป่านนี้พวกนั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ แม่เฒ่าแพงคิดพลางตักข้าวต้มจากหม้อแบ่งใส่ถ้วยใบเล็ก เป็นเวลาหกสิบกว่าปีแล้วที่แกไม่เคยได้พบหน้าค่าตาพวกเขา นับตั้งแต่วันที่แกออกไปเที่ยวงานประจำปีที่วัดใกล้บ้านเก่าอันเป็นวันสุดท้าย และคืนนั้นเอง แกก็หนีมากับชายคนรักซึ่งอยู่ตำบลเดียวกัน ขณะนั้นแกอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว เป็นลูกสาวที่พ่อแม่รักและหวงแหนมากทีเดียว แกไม่รู้หรอกว่าพวกท่านจะเสียใจมากน้อยแค่ไหนกับสิ่งที่แกได้ทำลงไปเพื่อความรักในวัยสาว ความที่เป็นคหบดีมีชื่อเสียงในตัวจังหวัดคงทำให้พวกท่านเสื่อมเกียรติลงไปเป็นอันมาก แต่คนเราจะลงโทษคนตาบอดครั้งยังเยาว์ได้ลงคอเชียวหรือ แกได้แต่รำพึงอยู่ในใจ หลายครั้งก็เชื่อว่าเพราะเหตุนี้เอง เมื่อแกมีลูกและมันโตเป็นสาวจนมีลูกผัวได้แล้ว มันจึงทอดทิ้งแกไป ปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แม้จะคิดเสมอว่าทั้งหมดนี้ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับที่ผู้ให้กำเนิดต้องประสบ เพราะหลังจากแกทำเรื่องเสื่อมเสียแล้วแกก็ไม่เคยมีเกียรติอีก เป็นอันว่าตัดช่องที่จะก่อให้เกิดทุกข์ไปได้เปราะหนึ่ง หญิงชรายิ้มเศร้า ๆ ให้กับความคิดของตัวเอง

เผลอคิดเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวแต่หนหลังอยู่นาน ครั้นใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นใส่ปาก ข้าวต้มในชามก็ไม่ร้อนเสียแล้ว แม่เฒ่าแพงฝืนกินไปอีกสองสามคำเพื่อให้มีเรี่ยวแรง จากนั้นล้วงห่อกระดาษใต้หมอนออกมาคลี่ดู มียาแก้ปวดอยู่ในห่อหลายเม็ด แกหยิบขึ้นมาใส่ปากแล้วจิบน้ำตามอึกหนึ่ง แกหวังว่าเจ้ายาแก้ปวดที่กลืนลงคอนี่จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่ความเจ็บปวดมันสิงอยู่ตามกล้ามเนื้อและข้อต่อกระดูกทั่วทั้งร่าง สังขารอันเสื่อมโทรมนี้คงใกล้หมดสภาพเต็มที แต่ป่วยการเปล่าที่จะร่ำร้องโอดโอยว่าอยากตาย เพราะหลังจากที่แกเคยอยากตายแล้วไม่ตายสมใจนึก แกก็ล่วงรู้แล้วว่าตัวเองจะต้องผจญกับความยากลำบากในชีวิตไปอีกยาวนาน นี่คือการลงทัณฑ์อย่างหนึ่ง แกเชื่อเช่นนั้น

แม่เฒ่าแพงขยับเสื้อยืดคอกลมสีขาวหม่นให้เข้าที่ จากนั้นค่อย ๆ เอนหลังลงบนเสื่อกกที่เปื่อยเป็นขุยหมดแล้ว พอหัวถึงหมอนก็พยายามหลับตาลง แกหวังว่าจะหลับสักงีบหนึ่ง ตกเย็นก็จะออกไปเดินเก็บขยะอีกสักรอบ การหลับตาทำให้มีสมาธิ โสตประสาทจึงได้ยินเสียงคลื่นซัดซ่ามาจากชายหาดที่ห่างไกลออกไป มีเสียงทางมะพร้าวและใบไม้เสียดส่ายกัน แทรกด้วยเสียงนกอีแอ่นที่ชอบมากินเศษข้าวเศษน้ำตรงด้านหลังกระท่อม

ถ้าหลับแล้วไม่ตื่นอีกเลยก็คงจะดีไม่น้อย หญิงชราคิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แกยังหลับตา ตอนนี้แกมองเห็นภาพผัวรักแจ่มชัดอยู่ภายในใจ ชายผู้ซึ่งทำให้วิถีชีวิตของแกเปลี่ยนแปลงจนต้องเป็นเช่นนี้ แต่น่าแปลกที่หลายครั้งแกรู้สึกคุ้มค่ากับการได้พบเขา เรื่องราวเหล่านี้ ความรู้สึกเช่นนี้ ความหลังพวกนี้ แกไม่เคยบอกกล่าวแก่ผู้ใด มันคงเป็นเพียงเรื่องตลกน่าขบขันที่คนวัยขนาดแกจะมามัวพร่ำพูดถึงความรักอีก คนวัยปูนนี้ควรจะพูดแต่เรื่องความตายมากกว่า ความตายเท่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดแกมากที่สุด

“ยาย…”
แม่เฒ่าแพงยิ้มจนแก้มย่น ๆ แทบปริ นัยน์ตาที่เคยขุ่นก็ดูราวกับใสเป็นประกายและมีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลานสาวที่ถูกแม่ของมันพาเข้าเมืองหลวงหายไปนานได้กลับมาหาแกแล้ว บัดนี้เด็กน้อยกลายเป็นสาวเต็มตัว หน้าตาก็สะสวยเหมือนแกตอนยังเป็นสาว เส้นผมอันดำสนิทถูกปล่อยสยายยาวถึงกลางหลัง ช่างดูงดงามอ่อนหวานเสียเหลือเกิน แกคิด ลักยิ้มตรงแก้มของหลานสาวก็ดูน่ารักยิ่งกว่าความน่ารักทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ แกอยากกอดหลาน แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะรังเกียจในความสกปรกมอมแมมของแก

“ยาย…”

เสียงหลานตะโกนร้องเรียกอีกแล้ว แกดีใจจนเนื้อตัวสั่น หลานต้องการให้แกออกจากกระท่อมไปรับกระมัง บางทีอาจจะมีของฝากมากมายจนขนเข้ามาไม่ไหว แกจึงพยายามเดินออกไปจากกระท่อมแต่กลับลุกขึ้นไม่ได้ รู้สึกเหมือนถูกจับติดตรึงไว้กับเสื่อ แกดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่จนรู้สึกเหนื่อยหอบ ทว่าก็ยังขยับแข้งขาไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นรึนี่ หรือว่าแกกำลังจะตาย ตายอย่างนั้นเรอะ แกยังไม่อยากตายตอนนี้ หลานกลับมาหาแกแล้ว บางทีแม่ของมันก็คงกลับมาด้วย แกปรารถนาจะเห็นลูกสาวอีกสักครั้งหนึ่งเหลือเกิน ต่อจากนั้นถ้าจะต้องจากโลกนี้ไปก็คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา ได้โปรดเมตตาลูกช้างด้วย แกร่ำร้อง

“เพ้อแล้วค่ะ”

“คงฝันร้าย ดูสิตัวร้อนด้วย”

“พาไปหาหมอดีไหมคะ”

แม่เฒ่าแพงรู้สึกตัวตื่น เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นนักศึกษาหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ข้างกายโดยมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักนั่งถัดไป ใจหนึ่งแกก็แสนเสียดายภาพฝันที่เพิ่งวับหาย นาน ๆ ครั้งหรอกที่จะฝันเห็นลูกหลาน แต่ตื่นขึ้นมาแล้วได้พบเด็กหนุ่มคนนี้อีกก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่ต่างจากการได้พบหลานแท้ ๆ ของแกเลย

“อ๊ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอกันอีก แล้วมากันได้ยังไงนี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ มานั่งอย่างนี้เสื้อแสงไม่เปรอะเปื้อนกันหมดเรอะ อ้อ กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ” หญิงชราพยายามฝืนสังขารลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น ขณะเดียวกันก็พูดเสียยืดยาวกว่าปกติ

“ไม่ต้องห่วงหรอกยาย นี่นิดแฟนผมเองครับ ผมเคยเล่าเรื่องยายให้ฟัง นิดเขาก็เลยอยากมาเที่ยวบ้านกรูด แล้วอยากเจอยายด้วย”

แกยิ้ม ยกมือรับไหว้เด็กสาวงก ๆ เงิ่น ๆ ด้วยความประหม่า

“มาก็ดีแล้ว ยายจะได้นึ่งปูนึ่งปลาให้กินกัน เดี๋ยวจะไปขอปันจากข้างบ้านเขามาสักหน่อย คงพอมีเหลือจากขายที่ตลาดเช้าบ้างหรอก รอกันอยู่นี่ก่อนนะ”

“ไม่ต้องลำบากครับยาย  ผมแค่แวะมาเยี่ยมยายตามที่เคยสัญญาไว้ ผมกับนิดมีของมาฝากด้วย”

แม่เฒ่าแพงรับถุงพลาสติกใส่ผลไม้ดี ๆ จำพวกองุ่น แอปเปิ้ลและมังคุด จากหนุ่มสาวทั้งสองด้วยมือที่สั่นงันงก ปากก็พร่ำบอกว่า “ไม่น่าจะต้องเดือดร้อนซื้อหากันมาเลย” แค่เขามาหา นั่นก็ทำให้แกรู้สึกว่าตัวตนของแกดูมีความสำคัญขึ้นมาอย่างล้นเหลือ แกรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ

“ผมว่ายายไปหาหมอก่อนดีกว่านะ ตัวยายร้อนเชียว มาเถอะครับ ผมจะช่วยพยุงไปขึ้นรถ”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกพ่อคุณ ร้อยวันพันปีไม่เคยต้องไปหามดหมอ ยายกินยาไปแล้ว อย่าห่วงเลย”

“แต่…”

“พากันไปเที่ยวตามสบายเถอะ ไม่ต้องห่วงยายหรอก”

แกไล่ให้หนุ่มสาวไปเที่ยวกันตามประสาคู่รัก ครั้นทั้งสองออกจากกะท่อมไปจริง ๆ แกก็รู้สึกใจหาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบเขาอีก แกหวังว่าจะมีชีวิตยืนยาวออกไปอีกสักหน่อย ยืนยาวพอที่จะได้พบเห็นลูกหลานและนักศึกษาผู้นี้อยู่พร้อมหน้าตากัน แกไม่รู้หรอกว่าตนเรียกร้องเอากับชีวิตมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งหมดของความปรารถนาก็แค่ต้องการมีความสุขบ้างเท่านั้นเอง

“อย่าเพิ่งตาย อย่าเพิ่งตาย อย่าเพิ่งตาย…” แม่เฒ่าแพงพูดกับตัวเอง

แดดบ่ายอ่อนจางลงแล้ว ขณะที่แม่เฒ่าแพงถือกระสอบป่านก้าวออกจากกระท่อม แกเดินหลังโก่งงองุ้มอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ไปตามถนนเลียบหาดเช่นเคย เจ้าลูกม้าสีน้ำตาลไหม้ตัวหนึ่งที่ถูกผูกไว้กับต้นมะพร้าวเงยหน้าจากกอหญ้าขึ้นมองแกด้วยดวงตากลมโตสีดำเป็นประกาย แล้วก็ส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เหมือนต้องการทักทาย

“แสนรู้นัก พรุ่งนี้ข้าจะแบ่งแอปเปิ้ลให้เจ้ากินสักลูกดีไหม หรืออยากกินองุ่นหอมหวานล่ะ เจ้าม้าตะกละ” แกหยุดพูดกับลูกม้าตัวนั้น แล้วก็ออกแรงเดินต่อ สายตาคอยสอดส่ายมองหาสิ่งที่ปราศจากเจ้าของและพอจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แม้ว่าแกจะยังคงรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง สมองมึนงงเล็กน้อย ทว่าแกก็พยายามก้าวเดินต่อไปให้ตรงทาง

กระแสลมเย็นที่พัดผ่านมาไม่ขาดระยะทำให้แม่เฒ่าแพงสดชื่นขึ้นมาบ้าง ไกลออกไปตรงตำแหน่งใกล้ ๆ กับเส้นขอบฟ้ามองเห็นเรือหาปลาเป็นจุดดำเล็ก ๆ การมาเยี่ยมของนักศึกษาหนุ่มกับสาวคนรักในวันนี้ได้ทำให้แกหวนคิดถึงวัยสาว ผัวของแกก็เคยเอาอกเอาใจแกเช่นนั้นเมื่อครั้งหลบหนีมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จากอาชีพชาวนา เขายอมเป็นชาวประมงเพื่อหาเลี้ยงแก เขาออกไปหาปลาแทบทุกคืน ส่วนแกจะคอยอยู่ที่กระท่อมซึ่งเคยมีสภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ และตอนเช้าแกก็จะออกไปยืนรอเขาที่ชายหาด ปีแรกก็ยืนคนเดียว ปีต่อมาแกอุ้มลูกเข้าสะเอวด้วย หลายปีจากนั้นแกแค่จูงมือลูกสาวไปรอพ่อของมันที่ริมทะเล ในลำเรือที่กลับมาเต็มไปด้วยปลาปูกุ้งหอยและความสุขอันหอมหวานในความรู้สึกของผู้เคยได้รับ แกไม่เคยเบื่อวิถีชีวิตเช่นนั้นเลย แม้ว่ามันจะยากลำบาก มีแต่เขาเท่านั้นที่หมดความอดทนต่อโลกนี้ แล้วเลือกที่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งแกไปในวันซึ่งพายุร้ายปรากฏขึ้นกลางทะเลโน่น

ความคิดของแม่เฒ่าแพงมีอันต้องสะดุดหยุดลง เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งร้องเรียกให้แกไปเก็บกระป๋องน้ำอัดลมที่ดื่มหมดแล้วร่วมสิบกระป๋อง แกผงกหัวขอบใจพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าตอนหยิบใส่กระสอบ แกรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่แสนดีเหลือเกิน ท้องฟ้าก็เป็นสีครามเข้ม ระลอกคลื่นสีขาวซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะ แกย่ำเท้าไปบนพื้นถนนพร้อมกับคิดว่า พรุ่งนี้อาจจะดียิ่งกว่าวันนี้ก็เป็นได้

“ลูกอาจจะกลับมา ลูกอาจจะกลับมา ลูกอาจจะกลับมา” อีกครั้งที่แม่เฒ่าแพงพูดกับตัวเอง

ตะวันลับดงมะพร้าวไปนานแล้ว ความมืดโอบล้อมรอบตัวแม่เฒ่าแพงที่ยังคงนอนอยู่บนศาลาริมทาง ท้องทะเลยามนี้มีแต่จุดแสงสีเขียวเรือง ๆ จากเรือตกหมึกของชาวประมงนับร้อยลำ ช่างเป็นภาพท้องทะเลที่เต็มไปด้วยชีวิตเสียเหลือเกิน แกรำพึง ทว่ากระแสลมที่พัดอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้แกหนาวสั่น แกจึงพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้งอย่างยากเย็น การนอนพักเอาแรงมาสองชั่วโมงไม่ได้ทำให้แกรู้สึกดีขึ้นเลย

ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ที่แกเที่ยวเดินหาเก็บขวดเก็บกระป๋องผ่านรีสอร์ทหรูหรา จนมาหมดแรงอยู่ที่ศาลาแห่งนี้ ทีแรกก็คิดว่าได้นั่งพักสักครู่คงพอมีเรี่ยวแรงเดินแบกถุงกลับกระท่อม ครั้นเอาเข้าจริงแกถึงกับต้องเอนตัวลงนอนด้วยความวิงเวียน สักพักหนึ่งก็วูบหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ค่ำมืดแล้ว แต่แกยังไม่มีแรงเดินกลับอยู่ดี ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในร่างของแกได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แกได้แต่เป็นห่วงกลัวว่าหนุ่มสาวคู่นั้นจะกลับมาหาแกที่กระท่อม แล้วไม่พบแกเสียมากกว่า แกกัดฟันฝืนใจขยับร่างลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ล้มลงนอนราบไปกับม้านั่งอีก แกได้แต่ถอนใจเบา ๆ และเสียงถอนใจนั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงคลื่นจากชายหาดที่ดังครืน ๆ อยู่ตลอดเวลา

ถ้านักศึกษาหนุ่มคนนั้นมาหาแกแล้วไม่พบ เขาจะกลับมาอีกไหมนะ แกคิดด้วยความกังวล ลูกสาวของแกล่ะ ถ้ามันกลับมาบ้าน  กลับมาเยี่ยมเยียนแม่ของมัน มันจะรู้หรือเปล่าว่าแกนอนอยู่ที่ศาลาอันห่างไกลหลังนี้ ในท่ามกลางความมืดที่แลเห็นเพียงต้นมะพร้าวและต้นสนเป็นเงาตะคุ่ม นาน ๆ ครั้งจึงจะมีแสงไฟจากหน้ารถจักรยานยนต์หรือรถกระบะแล่นผ่านไปสักคันหนึ่ง แกพยายามเปล่งเสียงร้องเรียก แต่มันก็แผ่วเบาเกินกว่าที่จะมีใครได้ยินหรือรับรู้

หญิงชรารู้สึกหนาวยิ่งขึ้นและง่วงงุนเต็มที แกพยายามฝืนบังคับดวงตาไม่ให้หลับ ทว่าดูเหมือนจะยากเย็นเกินกำลังของแก ถ้าเลือกได้ ใช่แล้ว ถ้าเลือกได้นะ แกก็อยากกลับไปนอนที่กระท่อมของแกมากกว่า กระท่อมที่เคยเต็มไปด้วยความรักของหนุ่มสาวในวันอันเก่าแก่ ความรักระหว่างเขากับแกที่ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้นอกจากหัวใจของแกแต่เพียงผู้เดียว

ในที่สุด แกก็ยอมรับว่ามีแต่การหลับเท่านั้นจึงจะทำให้แกได้พบกับภาพสวยสดงดงามตามที่แกปรารถนา ตอนนี้แกรู้ดีว่าเมื่อหลับสนิทแล้ว แกจะได้พบกับเขาอีกอย่างแน่นอน แกจะได้เห็นลูกสาวกับหลานสาวผู้น่ารักของแก

บางทีแกอาจฝันเห็นนักศึกษาหนุ่มคนนั้นกับสาวคนรักของเขาด้วย ทุกคนจะมารุมล้อมแกอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และนั่นก็จะเป็นความทรงจำที่ส่งผลให้แกมีความสุขมากที่สุด

“หลับเถอะนะ หลับเถอะนะ หลับเถอะนะ…”

แม่เฒ่าแพงพยายามจะพูดออกมา แต่ไม่มีถ้อยคำใดหลุดรอดออกจากริมผีปากเลย แม้กระนั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในห้วงความรู้สึกสุดท้ายอันอ่อนจางบางเบา และนั่นทำให้แกยิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง.

ใส่ความเห็น