มุมเรื่องสั้นไทย
หลังจากลงนามในฐานะกรรมการตัดสินการประกวดราคาแล้ว พร้อมกับได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของ “ท่าน” ทิวาก็รู้สึกราวกับว่าอากาศรอบตัวได้กลายเป็นก้อนดิน มันทับโถมลงฝังร่างของเขาในหลุมลึกที่ไม่มีใครมองเห็น เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น
ชายหนุ่มเดินคอตกออกมาจากห้องของท่าน และแทนที่จะกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง เขาตัดสินใจเดินเลี้ยวลงบันไดหนีไฟ ค่อย ๆ ก้าวด้วยอาการเหมือนคนกำลังครุ่นคิด แน่นอนเขาอดคิดมากไม่ได้ เมื่อนึกถึงความไม่ถูกต้อง แม้ว่าใคร ๆ ก็ทำกันอย่างนี้ ตามที่เพื่อนข้าราชการอีกคนหนึ่งในฐานะกรรมการด้วยกันปลอบใจ เมื่อขอให้เขาลงชื่อในเอกสารประกวดราคาเป็นคนสุดท้าย หลังจากประธานกรรมการซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ลงนามเป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มได้คัดค้านไปก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่บริษัทดังกล่าวจะชนะการประกวดราคา
“คุณจะว่ายังไงก็เรื่องของคุณ แต่ผมเห็นว่าบริษัทนี้เสนอราคาต่ำกว่ารายอื่น” ข้าราชการผู้นั้นตัดบท ไม่สนใจว่าแม้บริษัทนั้นจะให้ราคาต่ำกว่าราคากลางมากที่สุด แต่ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นไม่เข้าเกณฑ์
“พี่คงต้องเซ็นชื่อเหมือนกัน เธอน่าจะรู้อยู่ว่าเจ้าของบริษัทนี้เป็นคนของใคร พี่ยังไม่อยากเดือดร้อนหรอก ใคร ๆ ก็ทำกันอย่างนี้ จะคัดค้านไปทำไมในเมื่อนายขอมา”
แต่คนอย่างทิวาไม่ใช่ “ใคร ๆ” เสียด้วย เขาเพิกเฉยต่อการลงนาม ทำให้การประกวดราคายังไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถแจ้งผลการตัดสินให้ทุกบริษัทที่เข้าร่วมประกวดราคาทราบได้ เมื่อเจ้าหน้าที่กองคลังไปรายงานเรื่องนี้แก่ท่าน ผลจึงเป็นอย่างที่เห็น เขาถูกเรียกตัวเข้าไปพบผู้มีอำนาจสูงสุดในหน่วยงานเพื่อที่จะถูกตั้งคำถาม เขาชี้แจงด้วยคำตอบเดิม ผู้มีอำนาจจึงหันมาชวนคุยด้วยเรื่องวิถีชีวิตของข้าราชการหนุ่มอย่างเขา ท่านพูดเป็นทำนองว่าอายุราชการยังอีกยาวไกลนัก ยังต้องแสวงหาความเจริญก้าวหน้าต่อไป และการจะเจริญก้าวหน้าได้นั้น เขาต้องเรียนรู้ถึงการทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เมื่อกล่าวถึงคำว่า “สิ่งที่ถูกที่ควร” ท่านมองเขาด้วยแววตามีเลศนัย ต่อมาก็พยายามหว่านล้อมต่าง ๆ นานา แม้กระนั้นกระแสเสียงก็แฝงการคุกคามที่คนฟังย่อมรู้สึกได้ ในที่สุด เขาก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนต้นหญ้า ที่ยอมเอนราบไปเมื่อเจอพายุร้ายพัดกระหน่ำ หวนคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ทิวาไม่มีหัวจิตหัวใจจะกลับไปนั่งทำงานได้อีก แม้เพิ่งจะบ่ายโมงเศษเท่านั้น เขาตัดสินใจเดินออกจากที่ทำงานโดยไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกำลังจะเดินทางไปที่ไหน รู้สึกเพียงแค่อยากไปให้พ้น ๆ จากความอัดอั้นตันใจ
เขาเดินเหม่อลอยไปตามทางเท้าริมถนนได้สักพักหนึ่ง จึงมาหยุดที่ป้ายรถประจำทางอันว่างเปล่าผู้คน ยามบ่ายในกรุงเทพฯ ขณะนี้ดูหงอยเหงาอย่างไรพิกล รถราบนท้องถนนมีแล่นอยู่เพียงไม่กี่คัน แม้กระทั่งรถเมล์ที่เคลื่อนเข้ามาจอดตรงป้าย เมื่อกวาดตามองเข้าไปในตัวรถก็เห็นว่ามีผู้โดยสารน้อยขนาดนับหัวได้ ที่นั่งว่างเปล่าทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวาดูเงื่องหงอยเหมือนคนสะลึมสะลือ
ชายหนุ่มตัดสินใจกระโดดขึ้นรถเมล์ ก่อนที่คนขับจะบังคับตัวรถโทรม ๆ เคลื่อนออกไปอย่างเกียจคร้าน เขาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายด้านหลังสุด เพราะที่นั่งฝั่งซ้ายเป็นตำแหน่งซึ่งสามารถเฝ้ามองชีวิตคนในเมืองหลวงได้ถนัด และเขาเองก็มักจะใช้เวลาระหว่างการเดินทางไปกลับที่ทำงานเฝ้ามองหาสถานที่แห่งหนึ่ง อันมีนามเป็นความหวังอย่างยิ่งว่า “สวนแห่งความสุข”
ทิวาอ่านพบเรื่องราวของสวนแห่งความสุขในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ผู้ที่นำเรื่องนี้มาตั้งเป็นกระทู้คือใครเขาไม่รู้จัก แต่ยังนึกขอบคุณที่มีแก่ใจนำข้อมูลมาเผยแพร่ เพราะเมื่อเขาคลิกลงไปบนจุดเชื่อมต่อบนเว็บเพจ มันก็เหมือนกับว่าจุดเชื่อมต่อนั้นได้พาเขาโบยบินไปสู่โลกใหม่ โลกที่ราวกับเฝ้าคอยคำทักทายจากเขามานานแล้ว
เขาได้เห็นภาพสวนพฤกษาอันงดงาม ล้วนแล้วแต่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ที่น่าจับใจกว่านั้นเป็นถ้อยคำเชิญชวนผู้มีความทุกข์ ให้เดินทางมาชมสวนแห่งความสุขด้วยตัวเอง และหากใครปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของสวนพฤกษาแห่งนี้ ถ้าผ่านการทดสอบแล้วก็สามารถย้ายมาพักพิงได้ตลอดไป
ครั้งนั้นทิวาไม่รั้งรอที่จะส่งอีเมล์ไปตามที่อยู่ซึ่งระบุไว้ในเว็บไซต์ เพื่อติดต่อขอเข้าชมสวนงามในความรู้สึก ทว่าต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อเว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล์ของเขาแจ้งว่าที่อยู่อีเมล์นั้นไม่ถูกต้อง บางทีอาจจะมีการพิมพ์ชื่อผิดหรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ เขาสันนิษฐาน ในเว็บไซต์ของสวนแห่งความสุขมีหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ให้ติดต่อด้วย แต่เมื่อลองโทรศัพท์ติดต่อดูก็พบว่าสัญญาณสายไม่ว่าง เขารู้สึกผิดหวังซ้ำสอง และพยายามมองหาที่อยู่ของสวนแห่งความสุข ทว่าหลังจากตรวจดูถี่ถ้วนแล้วก็ต้องยอมจำนนแก่ความจริงว่า ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้เขาค้นหาเลย
เขาพยายามคิดในแง่ดี เจ้าของสวนคงไม่ประสงค์จะให้คนภายนอกแวะเวียนมาเยือนโดยไม่บอกกล่าว จึงได้จำกัดการติดต่อเฉพาะแค่ทางอีเมล์และโทรศัพท์เท่านั้น แต่นั่นแหละถึงเขาจะยังไม่สามารถติดต่อได้ แม้จะลองโทรศัพท์ในเวลากลางคืนแล้วก็ตาม อย่างน้อยชายหนุ่มยังอุ่นใจที่รู้ว่า เลขหมายโทรศัพท์ของสวนแห่งความสุขนั้นมีอยู่จริง นี่อาจแสดงให้เห็นว่ามีคนให้ความสนใจสอบถามเข้าไปเป็นจำนวนมาก เขาคงโชคร้ายเองที่โทรศัพท์ไม่ติด ถึงตรงนี้เขาก็ตัดสินใจล้วงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วกดเลขหมายเดิมเพื่อเรียกไปยังสวนแห่งความสุขอีกครั้งหนึ่ง
“…..” เสียงที่ได้ยินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทิวาสงสัยเหลือเกินว่ามีคนมากมายแค่ไหนกันนะที่พากันโทรศัพท์เข้าไปยังเลขหมายนี้ หรือว่าพวกที่กำลังใช้เครื่องโทรศัพท์แนบหูอยู่บนทางเท้า ในร้านรวงริมถนน ล้วนแล้วแต่โทรศัพท์หาสวนแห่งความสุขเช่นเดียวกับเขา
ทิวาสะดุ้งเมื่อมีคนสะกิดหัวไหล่ เขาหันไปมอง เห็นนายตรวจเป็นชายหน้าคล้ำเกรียมกำลังส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยปากขอตรวจตั๋ว เขารีบยื่นเศษเหรียญที่เตรียมไว้ส่งให้ นายตรวจร้องเรียกพนักงานเก็บเงินซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนร่างบวมฉุ เจ้าหล่อนกำลังนั่งสัปหงกอยู่ด้านหน้ารถเมล์ เมื่อถูกเรียกก็ลุกเดินอุ้ยอ้ายมาเก็บเงินอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เขามองหน้านายตรวจ ต่างยิ้มให้กันอีกครั้ง ฝ่ายนั้นพูดพึมพำเป็นทำนองว่าบ่ายนี้ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน น่าจะกลับบ้านนอนเสียมากกว่า ส่วนเขาคิดว่านอนเมื่อไรก็ได้ ยามนี้เขาอยากไปชมสวนแห่งความสุข อยากไปให้ไกลจากภาพตึกรามบ้านช่องอันแข็งกระด้าง เช่นที่เห็นอยู่สองข้างทางในเวลานี้ แม้ว่าบางช่วงขณะรถเมล์แล่นผ่านสวนสาธารณะจะได้เห็นต้นไม้เขียวครึ้มอยู่บ้าง แต่บรรดาต้นไม้เหล่านั้นไม่งดงามพอ มันไม่อาจเยียวยาหัวใจของเขาให้ผ่อนคลายลงได้แม้แต่น้อย
รถเมล์ยังคงวิ่งอ้อยอิ่งผิดวิสัยเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว สักพักหนึ่งทิวาได้ยินเสียงสัตว์ร้องโหยหวน หญิงพนักงานเก็บเงินโวยวายด่าทอชายคนขับรถ จับใจความได้เพียงแค่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมา ครั้นชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ มองลงไปยังถนนเบื้องล่างก็ได้เห็นสุนัขสีน้ำตาลกระดำกระด่างตัวหนึ่ง กำลังหมุนม้วนตัวสะบัดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขาหลังทั้งสองข้างรวมถึงสะโพกของมัน มีลักษณะไม่ต่างไปจากไก่ย่างที่ถูกแบะออกจนกาง แม้ว่าอยากจะเบือนหน้าหนี แต่เสียงร้องของชีวิตข้างถนนทำให้ทิวาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
เขามองอาการที่มันกระโดดขึ้นลงด้วยสองขาหน้า ไม่ใช่ด้วยความร่าเริง แต่เจ็บปวดใกล้จะขาดใจเสียมากกว่า สุดท้ายเมื่อเหลียวมองจนลับตาจึงได้เห็นว่าสุนัขตัวนั้นยังไม่ตาย มันพยายามกระเสือกกระสนด้วยสองขาหน้าที่เหลืออยู่ เลื้อยซอกซอนหายเข้าไปด้านหลังกองขยะแห่งหนึ่ง อาจจะเป็นบ้านของมันที่มีอีกหลายชีวิตเฝ้ารออยู่ หรือไม่ก็กลับไปนอนซมตามลำพังด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลและความว้าเหว่ เหมือนกับหลาย ๆ ชีวิตในเมืองใหญ่แห่งนี้
ทิวารู้สึกหดหู่อย่างไรบอกไม่ถูก เฝ้าถามตัวเองว่าชีวิตในวันข้างหน้าของมัน หากรอดพ้นจากความตายแล้วจะเป็นเช่นไรหนอ ในเมื่อต้องตกอยู่ในสภาพพิการอย่างนั้น พยายามมองดูสีหน้าของคนขับรถเมล์ทางกระจกส่องหลัง ชายคนขับไม่มีอาการทุกข์ร้อนแต่อย่างใด คงคิดว่าเป็นเรื่องปกติบนท้องถนนกระมัง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเศร้าและความโกรธขึ้งในใจ บอกตัวเองว่าหากแม้นพบสวนแห่งความสุข เขาจะมาค้นหาหมาตัวนั้น อาจเป็นไปได้ว่าความงดงามของสวนแห่งความสุข จะช่วยทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของมันพบกับความสุขที่แท้จริงบ้าง
เขานึกถึงเช้าวันต่อ ๆ ไป หากไม่ใช่วันหยุดก็ต้องอาบน้ำแต่งตัว และนั่งรถเมล์ไปที่ทำงาน เขาไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะต้องพัวพันกับการทุจริตเหมือนเช่นวันนี้อีกหรือไม่ แค่คิดก็ทำให้จิตใจท้อแท้จนไม่อยากกลับไปปฏิบัติหน้าที่อีก เขารู้สึกผิดกับการสอบเข้ารับราชการตามความต้องการของแม่ ซึ่งคิดตามประสาคนแก่ว่าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ขณะที่พ่อของเขาไม่เคยเห็นด้วย เพราะไม่อยากเห็นเขาต้องตกลงไปในวังวนแห่งความชั่วร้ายเช่นที่พ่อเคยประสบมา เดี๋ยวนี้เขาเข้าใจพ่อแล้ว และสงสัยว่าเจ้าคนนายคนทั้งหลายนั้นกว่าจะไต่เต้าขึ้นไปถึงหอคอยงาช้าง พวกเขาต้องผ่านการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบมามากน้อยเพียงใด แล้วทำไมจึงไม่ขาดใจตายไปเสียก่อนจากความอึดอัดเยี่ยงเดียวกับที่เขาได้รู้สึกในวันนี้
ท่ามกลางความอึดอัดเป็นทุกข์ ทิวาเพิ่งรู้สึกตัวว่ารถเมล์แล่นมาสุดระยะทางที่คลองเตย บริเวณนี้มีผู้คนและยวดยานหนาแน่น เสียงรถเสียงคนดังสับสนไปทั่ว เขาลงจากรถด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง บ้านของเขาอยู่แถวบางกะปิ แต่นั่งรถเมล์ตามยถากรรมจนมาถึงที่นี่ เขาเหลียวมองไปรอบ ๆ ไม่มีวี่แววของสวนแห่งความสุข จึงโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งให้จอด เขาเปิดประตูรถชะโงกหน้าเข้าไปถามว่ารู้จักสวนแห่งความสุขบ้างไหม คนขับทำหน้าตื่น ๆ พลางส่ายหน้า เขากล่าวคำขอโทษพร้อมกับมองหารถแท็กซี่คันใหม่ ชายหนุ่มลองเรียกอยู่หลายคัน ทว่าไม่มีแม้สักคันเดียวที่รู้จักสวนแห่งความสุข จนกระทั่งคันสุดท้าย ซึ่งเขาตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าไม่ได้เรื่องอีกคงต้องกลับบ้านพักผ่อนเสียที
“สวนแห่งความสุขมันอยู่ฝั่งธนฯ ไม่ใช่หรือครับ รู้สึกว่าผมจะเคยขับรถผ่าน” คำพูดของคนขับทำให้ทิวายิ้มออกมาได้ รีบเข้าไปนั่งในรถ ขอร้องให้พาเขาไปส่งที่นั่นโดยเร็วที่สุด เขาอยากเห็นสวนแห่งความสุขเหลือเกิน
รถแท็กซี่แล่นย้อนกลับไปทางถนนสาทร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่รถติดไฟแดงตรงสี่แยก เขามองฝ่าม่านควันพิษทั้งขาวและดำไปยังรถเมล์สองสามคันที่จอดอยู่ทางซ้ายมือ ในรถเมล์เหล่านั้นไม่มีที่ว่างให้นั่งได้ตามสบายเหมือนคันที่เขานั่งมาก่อนหน้านี้ ผู้คนมากมายไม่รู้ว่ามาจากไหน กำลังเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ในรถเมล์อันมีสภาพดุจกรงขัง แทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับหายใจ ใบหน้าของผู้โดยสารราวกับนักโทษผู้กำลังถูกส่งตัวไปยังแดนประหาร ทั้งหม่นหมองและไร้ความหวัง คนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปไหน คงไม่ใช่สวนแห่งความสุขกระมัง เขาคิด
เมื่อสัญญาณไฟเขียวสว่างขึ้น รถทุกคันไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ต่างรีบทะยานออกไปโดยไม่รอช้า คนขับแท็กซี่บอกว่าใกล้ถึงเวลาจะต้องส่งรถเข้าอู่แล้ว ขอทำเวลาสักหน่อย เขาหัวเราะโดยไม่พูดอะไร ภายในจิตใจเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก ปล่อยให้คนขับบังคับรถแล่นป่ายซ้ายป่ายขวาทะยานข้ามสะพานตากสิน แล้ววนซ้ายลงถนนเจริญนครเพื่อขับเลียบแม่น้ำไปทางสำเหร่ ในที่สุดรถแท็กซี่ก็มาจอดนิ่งใกล้ทางเข้าสุสานและโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง คนขับรถทำท่ามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็ใช้มือเกาหัวยิก ๆ
“เอ ผมเคยเห็นมันอยู่แถวนี้นี่ครับ บ๊ะ หายไปไหนแล้ว ยังไงพี่ลองถามชาวบ้านดูนะ ผมขอเก็บเงินก่อนละ จะรีบเอารถไปส่งเถ้าแก่ครับ”
ทิวาล้วงธนบัตรฉบับหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งให้ ก่อนเปิดประตูก้าวออกมายืนบนทางเท้าด้วยความงุนงง พอรถแท็กซี่แล่นจากไปแล้ว เขาจึงเที่ยวเดินท่อม ๆ ถามเจ้าของร้านค้าละแวกนั้น แต่ไม่มีใครรู้จักสวนแห่งความสุขเลย
ชายหนุ่มเดินย้อนมาทางสะพานตากสินเพื่อมองหาสวนแห่งความสุข ระยะทางจากจุดลงรถแท็กซี่ค่อนข้างไกลโขทีเดียว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจึงตัดสินใจแวะเข้าไปนั่งดื่มน้ำเย็นในร้านอาหารซึ่งเป็นตึกแถวเล็ก ๆ และด้วยความที่ยังไม่สิ้นหวัง เขาอดถามป้าเจ้าของร้านไม่ได้ว่ารู้จักสวนแห่งความสุขบ้างไหม ป้าคนนั้นเกาหัวด้วยอาการเดียวกับคนขับรถแท็กซี่ พร้อมกับตะโกนเรียกใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างริมถนน
“เดี่ยวเอ๊ย มานี่หน่อยซิ มาคุยกับคุณคนนี้หน่อย เขาถามหาสวนผลไม้อะไรไม่รู้” พูดจบก็หันมาทางเขา “คุณลองถามไอ้เดี่ยวมันดู ไอ้นี่มันสอดรู้สอดเห็นทุกเรื่อง”
“รู้จักสวนแห่งความสุขไหมครับ”
“ไม่รู้หรอกพี่ สวนอะไรที่ว่าน่ะ แต่….”
“แต่อะไรหรือครับ”
“เรื่องนี้ต้องลองไปถามอาจารย์ผมดู แกเป็นกวี เป็นนักดนตรี แล้วก็เป็นคนแบบชนิดที่เรียกว่าโคตรรอบรู้เลยพี่ พี่สนใจจะไปหาหรือเปล่าล่ะ ผมคิดสามสิบ”
ทิวามองดูแสงสลัวของท้องฟ้า ใกล้จะค่ำแล้ว สุดท้ายก็คิดว่าไหน ๆ ก็ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่แล้ว ขอลองดูอีกสักครั้งเถอะ เขาซ้อนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างซอกแซกไปตามซอยเล็ก ๆ ผ่านย่านสลัมหลายแห่ง กำลังสงสัยว่าจะถูกลวงมาลอกคราบหรือเปล่า เด็กหนุ่มก็บังคับให้มอเตอร์ไซค์จอดหน้าบ้านโกโรโกโสหลังหนึ่ง และตะโกนบอกคนข้างในว่ามีแขกมาหา จากนั้นแบบมือรับเงินก่อนจะบิดคันเร่งจากไป
ผู้ออกมาเป็นชายอายุราวห้าสิบปี ผมสองสียาวรุงรังถึงกลางหลัง สวมเสื้อยืดคอกลมเปื่อยยุ่ยสีขาวหม่นกับกางเกงแพรที่สีเดิมน่าจะเคยเป็นสีดำ เขารีบแนะนำตัวเอง อีกทั้งบอกถึงจุดประสงค์ที่มาหา ยามนั้นเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพบ้าบอคอแตกที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เขามาทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่สวนแห่งความสุขอาจไม่เคยมีอยู่จริงเลยก็เป็นได้
“สวนแห่งความสุขงั้นหรือ” ชายคนนั้นย้อนถามด้วยแววตาฝัน ๆ ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าที่วันเวลามอบให้นั้นแสดงอาการเต้นไหวของความสุข มีเสียงพึมพำหลุดออกมาว่าครั้งหนึ่งสมัยเป็นหนุ่มได้เคยไปเยือนสวนดังกล่าว แต่เมื่อย้อนไปหาอีกกลับหาไม่พบ
“บางทีคุณอาจหาเจอก็ได้นะ ท่าทางของคุณดูเป็นคนมีความฝันและความพยายามอยู่เต็มเปี่ยม สวนแห่งความสุขต้องการคนแบบคุณ”
“พอจะบอกทางคร่าว ๆ ได้ไหมครับ” ทิวาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับมนุษย์ผู้เคยไปเยือนสวนแห่งความสุขมาแล้ว
“มันอยู่ไกลเอาการ…เอาเถอะ รอตรงนี้ก่อน” ชายคนนั้นกลับเข้าไปในบ้าน สักพักหนึ่งก็ออกมาและยื่นแผ่นกระดาษให้ มันเป็นกระดาษขาวแต่ตอนนี้เก่าคร่ำคร่า มีหมึกสีจางร่างแผนที่เอาไว้หยาบ ๆ แสดงถึงที่ตั้งของสวนแห่งความสุข ซึ่งอยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดเลยกับจังหวัดขอนแก่น ตามแนวตะเข็บของอำเภอภูผาม่าน
“ลองไปค้นหาดู คุณอาจทำได้สำเร็จ สำหรับผมคงไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไงช่วยส่งข่าวมาบอกกันบ้าง ผมคิดถึงสวนนั่นเหลือเกิน”
ชายหนุ่มรับคำเหมือนคนละเมอ ระหว่างเดินจากมาเขาก็เริ่มนึกถึงหนทางอันยาวไกลหลายร้อยกิโลเมตร นึกถึงเรื่องที่จะต้องไปทำงานในตอนเช้า ใจหนึ่งอยากไปตามหาสวนแห่งความสุขเสียคืนนี้ แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องหยุดงานด้วยการแจ้งเท็จว่าลาป่วย และสิ่งนี้ก็จะทำให้เขาไม่แตกต่างไปจากข้าราชการทุจริตคนอื่น ๆ ในขณะที่พวกนั้นทุจริตเรื่องเงินเรื่องผลประโยชน์ เขาก็กำลังจะทุจริตด้วยการเบียดบังเวลาราชการไปใช้ในเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ยังกินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนผู้ยากไร้อยู่ เช่นเดียวกับวันนี้ที่เขาได้เบียดบังเวลางานมาหลายชั่วโมง แม้จะมีข้ออ้างเรื่องจิตใจไม่พร้อม แต่การมีส่วนช่วยหาผลประโยชน์ให้กับผู้บังคับบัญชานั้น ไม่น่าจะมีข้อแก้ตัวใด ๆ ต่อให้เขาไม่รู้สึกเต็มใจก็ตาม
ทิวาตัดสินใจอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน เขาเรียกรถแท็กซี่ บอกคนขับให้พาไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิตใหม่
“ถ้าเราไม่รับเงินเดือนอีกเลยก็คงถือได้ว่าเราไม่ผิดต่อประชาชนแล้วใช่ไหม” ทิวารำพึง ขณะมองแผนที่อันเปรียบประดุจลายแทงขุมทรัพย์ในมือด้วยรอยยิ้ม
“เรากำลังจะได้เจอกันแล้วสินะ สวนแห่งความสุข” ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงทุกคนที่ตัวเองรู้จัก รวมถึงกวีเจ้าของแผนที่ และผู้คนในรถเมล์แน่นขนัดที่สี่แยกไฟแดงเมื่อตอนบ่าย ไม่เว้นแม้กระทั่งสุนัขโชคร้ายตัวนั้น เขาสัญญาว่าจะเดินทางกลับมารับโดยไม่รอช้า หากค้นพบสวนแห่งความสุขแล้ว .
พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน วารสารวิทยาจารย์ เดือนมิถุนายน 2553