เรื่องสั้น “แจ้งเกิด” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น "แจ้งเกิด" โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ในห้องเช่าขนาดเล็กซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือบนชั้นวางและอีกมากที่กองอยู่รอบ ๆ ตัว ผมนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พนักสูง ขยับแว่นสายตาและพยักหน้าไปมาอย่างช้า ๆ เมื่ออ่านต้นฉบับเรื่องสั้นของโกวิทย์จบลงด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ ผมคิด หลายปีมานี้เขาได้ใช้ความเพียรพยายามไปมากทีเดียว มากเสียจนน่าประหลาดใจว่า ทุกวันนี้ยังคงมีคนมุ่งมั่นอยากเป็นนักเขียนทำได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ใช่ เขาไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจเลย เขาส่งต้นฉบับมาให้ผมพิจารณาทุกเดือน อย่างน้อยก็เดือนละหนึ่งหรือสองเรื่อง บางเดือนถึงสามเรื่อง แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยผ่านเกณฑ์ ปีแรกอ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งหน้าก็ต้องโยนลงถังขยะ ปีที่สองทนอ่านได้ถึงกลางเรื่อง แต่ปีนี้เขาทำได้ดีขึ้น แม้กระนั้นผมก็ไม่เคยตีพิมพ์ผลงานเรื่องสั้นของเขาเลย จนกระทั่งมาถึงเรื่องล่าสุดนี้ มันเป็นเรื่องสั้นที่นับได้ว่าเป็นเรื่องสั้นอย่างแท้จริง ทั้งคลาสสิก กระทัดรัด มีพลัง สามารถอ่านจนจบในรวดเดียว แล้วเต็มตื้นในอกด้วยรสวรรณกรรม มันจะเป็นเรื่องสั้นแจ้งเกิดของเขาได้เป็นอย่างดี นี่คือรางวัลที่เขาสมควรได้รับแล้ว

หลายปีมานี้ผมไม่แน่ใจว่าผมใจร้ายกับโกวิทย์มากเกินไปหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่เขากับผมมีชื่อเหมือนกัน ดูเอาเถอะ เขาไม่เคยส่งต้นฉบับไปที่อื่นเลย (ตามที่เขาเขียนเล่ามาในจดหมาย) เขาต้องการเอาชนะผมกระมัง ต้องการให้ผมชื่นชมเรื่องของเขาเหมือนกับที่เขาชื่นชม รักเหมือนกับที่เขารัก เขาเขียนเรื่องสั้นตามใจตัวเองมาโดยตลอด  และจะว่าไปแล้ว ผลงานในช่วงหลัง ๆ บางเรื่องก็พอจะตีพิมพ์ในนิตยสารที่ผมทำหน้าที่คัดสรรเรื่องสั้นได้ กล่าวคือตีพิมพ์เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้เขียน อาจจะต้องแก้ไขมากหน่อย แต่ผมกลับนิ่งเฉยเสีย อันที่จริงเขาคงไม่รังเกียจการถูกแก้ไขต้นฉบับเฉกเช่นนักเขียนหลงตนบางคนเป็น เขาน่าจะยอมรับได้ สังเกตจากจดหมายที่เขาแนบมากับต้นฉบับด้วยทุกครั้ง

“ผมส่งเรื่องสั้นเรื่องใหม่มาให้บก.อ่านอีกตามเคย บก.คงไม่เบื่อนะครับ เรื่องนี้ผมขัดเกลาแก้ไขเสียหลายรอบ คั้นเอาแต่กะทิ ส่วนกากทิ้งไปอย่างไม่แยแส ผมได้แต่หวังว่ามันจะมีคุณค่าคุ้มแก่การอ่านอยู่บ้าง ต่อให้ต้องลงถังขยะก็ตาม ผมอยากให้ไอ้เจ้าถังขยะใต้โต๊ะทำงานของบก.สร้างผมให้เป็นนักเขียน ตามที่คุณอาจินต์เคยกล่าวไว้ว่า “ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค” แต่ก็หวังว่าคงจะไม่นานจนเกินไปนักนะครับ สามปีมานี้ ผมเขียนด้วยความมุ่งมั่นอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว แม้ร่างกายของผมจะไม่ค่อยแข็งแรงนักก็ตาม (มันไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว) ผมยินดีให้เวลากับตะกร้าของบก.สิบปีเต็มครับ ถ้าผมไม่ตายเสียก่อน…”

ไม่นานขนาดนั้นแน่โกวิทย์ เรื่องสั้นของคุณกำลังจะได้ตีพิมพ์ในไม่ช้านี้แล้วในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ แต่คุณมาคิดเขียนเรื่องสั้นทำไมเอาป่านนี้ ในห้วงเวลาที่เรื่องสั้นถ้าเปรียบเป็นชีวิตหนึ่งมันก็ชราเต็มที อีกไม่นานก็ตาย และจะถูกลืมในที่สุด มีใครบ้างที่ยังสนใจอ่านเรื่องสั้นอยู่อีก โน่นแน่ะ ผู้คนกำลังสาละวนพูดคุยกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จ้องและพิมพ์โต้ตอบสนทนาอยู่ได้วันละหลาย ๆ ชั่วโมง โดยไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเหมือนตอนอ่านหนังสือรวมเรื่องสั้นและหนังสืออื่น ๆ สื่ออินเทอร์เน็ตสร้างความเพลิดเพลินให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดี ทุกวันจึงหมดไปกับการอ่านกระทู้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือไม่ก็จมอยู่กับสารพัดเรื่องราวของชาวบ้านในเฟซบุ๊ค อ่านแล้วก็พิมพ์โต้ตอบทุ่มเถียงด่าทอกันเพื่อเอาชนะคะคาน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนใช้เวลาที่เคยอุทิศให้แก่หนังสือเปลี่ยนมาดูหนังฟังเพลงในยูทูบอย่างมีความสุข แล้วทีนี้มันจะเหลือเวลาสักเท่าไหร่สำหรับหนังสือดี ๆ โดยเฉพาะหนังสือรวมเรื่องสั้น หรือแม้แต่เรื่องสั้นชั้นเยี่ยมในนิตยสาร เอาละ ช่างหัวมันเถอะ ทุกคนรวมถึงคุณมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง และในเมื่อคุณเลือกที่จะเป็นนักเขียน สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือเวลาที่คุณเห็นมัน (งานเขียนเรื่องแรก) ตีพิมพ์อยู่บนหน้ากระดาษด้วยสายตาตัวเอง เรื่องมันจะเป็นอย่างนี้ ในตอนที่แวะแผงหนังสือ คุณจะหยิบนิตยสารฉบับนั้นขึ้นมา ค่อย ๆ พลิกไปทีละหน้า แล้วทันใดนั้นเอง โดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว อย่างไม่คิดไม่ฝันเลยทีเดียว พลันคุณก็เห็นมัน ก็ไอ้เจ้าตัวอักษรทุกตัวที่คุณคุ้นเคยเพราะอ่านซ้ำไปซ้ำมานับสิบรอบนั่นแหละ มันปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษนิตยสารฉบับนั้น พร้อมกับกลิ่นหมึกที่หอมฟุ้ง ใช่แล้ว เป็นผลงานของคุณเอง มีนามปากกาของคุณเห็นได้เด่นชัดตรงใต้ชื่อเรื่อง คุณจะพึมพำบอกตัวเองว่าช่างวิเศษอะไรอย่างนี้ คุณอยากตะโกนบอกให้โลกรับรู้ (โลกที่ไม่สนใจคุณเลย) แล้วคุณก็จะยิ้มอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจดวงที่เข้มแข็งและสัตย์ซื่อกับวรรณกรรม มันกำลังเต้นอย่างมีพลัง

มานึก ๆ ดู ผมเคยคิดว่าโกวิทย์จะเอาดีทางการประพันธ์ไม่ได้เสียแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่คนประเภทมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย (โชคดีที่ความมุ่งมั่นสม่ำเสมอในงานเขียนทำให้เขาแตกต่างออกไป) เช่นเดียวกับที่ไม่มีพรสวรรค์ในด้านการขับร้อง เขาเคยเล่ามาในจดหมายว่าเขาขึ้นประกวดร้องเพลงตามเวทีต่าง ๆ อยู่หลายปี แต่ต้องตกรอบแรกทุกครั้งไป

“พวกกรรมการที่นั่งหน้าสลอนอยู่หน้าเวทีพากันส่ายหน้าให้ผม บางคนถึงกับทำปากเบ้ บ้างก็ยิ้มเยาะ แต่โดยมากจะทำสีหน้าเห็นใจ อย่างน้อยก็แสดงให้ผมเห็นว่าพวกเขายังคงพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง ผมประกวดไปเรื่อยตามประสาคนไฟแรง จนกระทั่งไฟมอดต้องเลิกราไปเอง โดยไม่มีถ้วยรางวัลสักใบประดับอยู่ในตู้ บางทีนี่คงไม่ใช่เวทีสำหรับผม ไม่ใช่เส้นทางเดินของผม…” ตอนหนึ่งในจดหมายที่เขาส่งมาบอกเล่าเกร็ดชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้อย่างน่าเห็นใจ ถ้าผมจำไม่ผิดมันน่าจะเป็นจดหมายที่เขาแนบมากับต้นฉบับเรื่องสั้นเรื่องแรกของเขา ซึ่งผมจำชื่อเรื่องหรือเนื้อหาไม่ได้เสียแล้ว 

มันจะไม่สูญเปล่าหรอกโกวิทย์เอ๋ย ไม่มีอะไรในชีวิตของเราที่จะสูญเปล่าไปอย่างง่ายดาย ถ้าคุณนำเรื่องราวเหล่านี้ ความรู้สึกพวกนี้ และความขัดแย้งอย่างนี้ มาร้อยเรียงเป็นเรื่องสั้นหรือไม่ก็นวนิยาย มันก็อาจกลายเป็นงานเขียนชั้นเยี่ยมเหมือนงานของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ประสบการณ์ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบของนักเขียน อยู่ที่ว่าคุณจะสามารถหยิบยกมาเล่าได้อย่างเหมาะเจาะเป็นจริงเป็นจังหรือไม่เท่านั้น และที่วิเศษมากก็คือ โกวิทย์ ชีวิตคุณได้เปรียบคนอื่นตรงที่มันเต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดี

ครั้งหนึ่งเขาเล่ามาในจดหมายว่า “ผมผ่านการฝึกฝนมาหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัว นักมวย นักไวโอลิน และอื่น ๆ อีกสองสามอาชีพ แต่ไม่สามารถเอาดีได้สักอย่าง ผมเป็นคนประเภทล้มเหลวมาตลอดชีวิตครับ เป็นผึ้งที่ไม่เคยได้ลิ้มรสหวานจากดอกไม้ใด ๆ แม้จะได้พยายามโผบินไปยังดอกไม้มากมายในสวนอันกว้างใหญ่ เชื่อไหมครับ ผมนี่แหละเคยฝันอยากเป็นพ่อครัวที่ทำอาหารได้อร่อยจนโลกตะลึง อยากไปเป็นเชฟสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ ทว่าแค่ผมริอ่านทำขนมจีนขายตอนเรียนจบใหม่ ๆ แค่นั้นมันก็พังพาบเอาง่าย ๆ เสียแล้ว สัปดาห์แรกซึ่งก็คือสัปดาห์สุดท้ายของการทำขนมจีนขายเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขมขื่นยามที่ผมอยู่ตามลำพัง และในวันสุดท้ายมีเพียงน้ำตาที่ตกรดหัวเข่าของผม มันไหลออกมาตอนที่ผมนั่งยอง ๆ เฝ้ามองน้ำยาป่าสีส้มกับลูกชิ้นปลาลูกกลม ๆ ไหลลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่ในคูน้ำหลังบ้าน พวกมันบูดเน่าหลังจากที่เหลือบานเบอะ ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากพยายามยัดใส่ปากจานแล้วจานเล่า สุดท้ายก็ต้องเททิ้งทั้งหม้อ เรื่องมันนานมาแล้วครับ แต่บก.โปรดเชื่อเถอะว่า ในส่วนของงานเขียนนี้ ผมจะไม่มีวันยอมแพ้อีก ผมยอมแพ้มามากพอแล้วในหลาย ๆ เวที โดยเฉพาะบนเวทีมวย ถูกต้องครับ ผมเคยชกมวยมาก่อน ความพ่ายแพ้นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนโดนนักมวยคู่ต่อสู้กัดหูเอาเสียอีก…”

โอ้ ผมยังจำจดหมายพวกนั้นได้ดีราวกับเพิ่งจะได้อ่านจบไปหยก ๆ น่าประหลาดเหลือเกิน ที่ผมไม่เคยมีแก่ใจจะตอบกลับไปแม้สักฉบับหนึ่ง อย่างน้อยก็อาจเป็นกำลังใจให้แก่ผู้อยากเป็นนักเขียนอย่างเขาได้บ้าง แต่นั่นแหละนะ เรื่องสั้นเรื่องล่าสุดของเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่จำเป็น เขาสู้ไม่ถอยตามที่ประกาศไว้ ผมเชื่อว่าเขาจะเขียนต่อไปนานถึงสิบปีแม้จะไม่ได้ตีพิมพ์เลยสักเรื่อง และหากมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็อาจจะเขียนจดหมายมาบอกผมว่า เขาขอเพิ่มเวลาจากสิบปีเป็นยี่สิบปี ขอให้เขาได้ส่งต้นฉบับมาให้ผมพิจารณาต่อไป อย่าได้นึกเบื่อหน่ายเสียก่อน เรื่องมันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน โชคดีที่เขาทำได้สำเร็จ ผมรู้สึกยินดีกับเขาเป็นอย่างยิ่ง ผมมองเขาผิดไปตรงที่เคยคิดว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ทางการเขียนเลย เขาอาจเกิดมาเพื่อเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ก็เป็นได้ ขอเพียงเขาไม่เลิกล้มเสียกลางคัน ด้วยต้นฉบับเรื่องสั้นชั้นดีเรื่องนี้ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผมนี่แหละ จะทำให้เขาแจ้งเกิดในฐานะนักเขียนได้เต็มตัว และแน่นอน ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ของโกวิทย์ ผมก็ต้องเป็นฝ่ายส่งเสริมให้เขาก้าวไปข้างหน้า ก้าวต่อไปทั้ง ๆ ที่หนทางของเรื่องสั้นออกจะตีบตันอย่างที่เห็น เพราะผมเองก็เริ่มชราแล้ว เสียงแห่งความชราภาพมันร้องโอดโอยให้ได้ยินอยู่เสมอ สักวันหนึ่งเขาอาจมานั่งแทนที่ผมก็เป็นได้ กล่าวคือ ทั้งเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี บทความ และคัดสรรเรื่องสั้นไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าในความเป็นจริง เขาอยากจะเป็นนักเขียนนวนิยายเพียงอย่างเดียวมากกว่า ผมเพิ่งนึกเรื่องนี้ออกเมื่อกี้นี้เอง (ไอ้อาการหลง ๆ ลืม ๆ นี่นับเป็นเสียงโอดโอยของความชราได้ดีทีเดียว) จากเนื้อความในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเคยเขียนส่งมา

“ชีวิตผมเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน คุณพ่อ (เสียไปนานมากแล้วครับ) เคยกล่าวตำหนิว่าผมเป็นคนจับจด ผิดด้วยหรือครับที่คนเราจะมีความฝันมากมาย อยากเป็นนั่น อยากทำนี่ ทำในสิ่งที่เราปรารถนาและมีความสุข (หรือนี่จะเป็นเพียงแค่ความสนุกของมนุษย์เท่านั้นครับ หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่) บก.คิดดูเถอะครับ คนที่สนิทสนมกลมเกลียวกับความล้มเหลวอย่างผม เคยฝันถึงขนาดจะเป็นนักปฏิวัติเลยทีเดียว (นั่นมันหลังจากที่อาจารย์สอนไวโอลินส่ายหน้าให้กับฝีมือของผม และบอกว่าผมควรกลับไปฝึกชกมวยมากกว่า) นึกแล้วมันน่าหัวร่อยิ่งนัก ตอนนั้นผมอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีงาม ทำให้วันแห่งความหนุ่มแน่นกลายเป็นอดีตที่สวยสดไว้ระลึกถึง แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็เฝ้ารอให้วันพรุ่งนี้มาถึง เพื่อเราจะได้ลงมือเปลี่ยนแปลงมันอีกครั้งหนึ่ง ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้มีหัวใจอดทนรอเสมอ ทว่าผมก็ไม่เคยทำได้ตามใจปรารถนา ความสำเร็จไม่ได้เสร็จสิ้นลุล่วงไปด้วยถ้อยคำอันสวยหรูงดงาม เมื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงถูกล้อมปราบจนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนผมรอดมาได้โดยไม่มีอะไรบุบสลายอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมร่ำไห้คิดถึงพวกเขา ผมเคยคิดถึงพวกเขาอยู่เสมอ จนกระทั่งเวลามาพรากหลายสิ่งหลายอย่างในหัวผมไป สุดท้ายผมตอบแทนพวกเขาด้วยการทิ้งอุดมการณ์ไว้เบื้องหลัง เลือดในกายเย็นลงหลังจากที่ร้อนเร่าอยู่นาน มาถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ก็คือลงมือเขียนนวนิยายสักเรื่อง เพื่อเป็นเหมือนคำสารภาพของจำเลยต่อหน้าผู้พิพากษา กับความผิดบาปที่ได้ทรยศบรรดาสหายผู้เคยร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทั้งหลาย  พวกเขาล้มตายอย่างน่าเวทนา ส่วนผมมีชีวิตรอดเพื่อมาเสวยสุข โดยที่โลกยังคงไร้ความยุติธรรมและเลวร้ายเหมือนเดิม มันจะต้องเป็นผลงานชิ้นเยี่ยม แต่อดทนรออ่านไปก่อนนะครับ ผมขอฝึกหัดเขียนเรื่องสั้นให้ดีเสียก่อน ผมรู้สึกเสมอว่าเวลาของผมยังมีอีกมากมายนัก ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะใช่ การเขียนของผมในทุก ๆ วันคล้ายเป็นการสะสมชั่วโมงบิน ผมไม่อยากรีบร้อน ว่ากันว่านักเขียนไม่ควรรีบร้อน อย่างที่นักเขียนหลายคนเคยกล่าวไว้เช่นนั้น หาไม่แล้วผมก็คงทำให้นวนิยายของผมกลายเป็นซากปรักหักพังของอนุสาวรีย์ที่ไม่มีใครอยากรับรู้หรือสนใจ  และจะทำให้มันถูกลืมดุจเดียวกับเพื่อน ๆ ในวัยหนุ่มของผม…”

ความทรงจำเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้ทำให้ผมอดยิ้มเศร้า ๆ ไม่ได้ จนต้องถามตัวเองซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า ทำไมนะ ผมถึงได้เพิกเฉยต่อโกวิทย์มานาน ยุ่งยากนักหรือกับการเขียนข้อความให้กำลังใจเขาสักประโยคหรือสองประโยค จากนั้นก็ส่งไปให้เขาพร้อมกับต้นฉบับเรื่องสั้น โดยเขียนชี้แนะถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่ควรแก้ไข อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าต้นฉบับนั้นได้รับการอ่านอย่างเอาใจใส่แล้ว ไม่ใช่หล่นหายไปในวงเหล้าของบรรณาธิการกับเพื่อนฝูง แต่ช่างมันเถอะ นี่อาจดีแล้ว มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นจนมีวันนี้ วันที่เขาทำได้สำเร็จโดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยันใด ๆ ดูสิ ต้นไม้แทงยอดขึ้นสูงและตั้งตรงเป็นสง่าได้ด้วยตัวของมันเอง ก้อนทองคำโผล่ผุดขึ้นจากกรวดหินในลำธารส่งประกายพ้นสายน้ำที่เชี่ยวกราก หลังจากจมอยู่ในความมืดมิดมานาน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความรู้สึกหลังจากได้เห็นผลงานเรื่องแรกได้รับการตีพิมพ์อีกแล้ว นั่นแหละคือรางวัลสำหรับเขา มันจะช่วยขับเคลื่อนยานวรรณกรรมของเขาให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างหน้าชื่นตาบาน แต่ไม่ถูกต้อง ใช่ มันไม่ถูกต้องจริง ๆ ถ้าผมจะมัวรีรอและปล่อยเวลาให้ผ่านไปเหมือนเดิม ผมบอกตัวเอง โกวิทย์ควรได้รับรสของความชื่นชมยินดีเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขารอคอยมานานเกินไปแล้ว ต้นไม้เล็ก ๆ กลางทะเลทรายควรออกดอกผลิบานหลังจากเหี่ยวแห้งมานาน ขอเพียงแค่มีฝนตก คิดได้ดังนี้ผมก็รีบคว้าต้นฉบับเรื่องสั้นบนโต๊ะมาพลิกดูหมายเลขโทรศัพท์ของเขา มันถูกพิมพ์ไว้บนแผ่นกระดาษหน้าสุดท้าย พร้อมที่อยู่ในกรุงเทพฯ

“สวัสดีครับ ขอพูดกับคุณโกวิทย์หน่อยครับ”

“คุณโกวิทย์หรือคะ” ปลายสายทางโน้นย้อนถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ออกจะสั่นเครือเล็กน้อย

“ใช่ครับ คุณโกวิทย์ที่เป็น…เป็นนักเขียนน่ะครับ”

“…”

“ฮัลโหล ได้ยินไหมครับ หรือว่าคุณโกวิทย์ไม่สะดวก ผมโทร.มาอีกทีวันหลังก็ได้”

“คุณตาโกวิทย์เสียตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ ตอนนี้ศพตั้งอยู่ที่วัดเสมียน เย็นนี้จะมีพิธีรดน้ำศพ ขอเรียนเชิญด้วยนะคะ”

“คุณตา…อย่างนั้นหรือครับ” ผมพูดอะไรแทบไม่ออก รู้สึกจุกแน่นที่ลำคอและตรงหน้าอก “เสียใจด้วยครับ ไม่ทราบเสียชีวิตเนื่องจาก…”

“คงจะเป็นโรคชราค่ะ คุณตาเดินไปตัดผมที่ร้านเจ้าประจำตรงปากซอย คุณตาบอกว่าตัดผมวันเสาร์เป็นมงคล คิดทำสิ่งใดก็จะสมปรารถนา ตัดผมเสร็จท่านก็เดินกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง ทีนี้คงเหนื่อยเลยหยุดแวะนั่งพิงต้นไม้ริมทาง แล้วก็หลับไปเลยค่ะ คุณตาอายุมากแล้ว เดือนหน้าก็จะครบเจ็ดสิบสองพอดี แพทย์ลงความเห็นว่าหัวใจล้มเหลวค่ะ ทุกคนที่บ้านเสียใจ แต่ท่านก็ไปสบายแล้ว ว่าแต่คุณโทรศัพท์มาหาคุณตามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ เป็นเพื่อนคุณตาหรือคะ”

“เรื่องนี้ออกจะยาวอยู่สักหน่อย แล้วตอนเย็นค่อยคุยกันต่อที่วัดนะครับ”

แน่นอน ผมจะต้องไปรดน้ำศพ ผมคิดหลังจากตั้งสติได้ เรื่องอายุของโกวิทย์ทำให้ผมงวยงงอยู่พักใหญ่ เขาแก่กว่าผมถึงหนึ่งรอบเชียวหรือ ผมเคยคิดว่าเขาเป็นนักเขียนหนุ่มไฟแรงเสียอีก เพราะโดยมากมีแต่คนหนุ่มคนสาวเท่านั้นที่จะก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือได้อย่างเขา ข้อมูลในจดหมายไม่มีส่วนไหนทำให้ผมสะกิดใจถึงอายุที่แท้จริงของเขาเลย ให้ตายเถอะ ผมน่าจะตีพิมพ์ผลงานของเขาตั้งนานแล้ว ตีพิมพ์เสียตั้งแต่ตอนที่เขายังคงมีลมหายใจอยู่ ผมเสียใจจริง ๆ แต่ป่วยการเปล่าเมื่อมาคิดได้เอาป่านนี้ ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน บรรณาธิการบางคนก็ให้กำลังใจ บางคนชอบดูถูกดูแคลน ส่วนผมคงเป็นประเภทเฉยเมย ด้วยความไม่อยากสุงสิงกับใครเป็นการส่วนตัวนัก

ไม่มีอะไรให้ทำอีกนอกจากโทรศัพท์สั่งพวงหรีด เย็นนี้ผมต้องไปเคารพศพ ผมต้องการจุดธูปบอกว่าเขาทำสำเร็จแล้ว เรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาจะได้ตีพิมพ์ในนิตยสารอย่างแน่นอน ผมจะลงให้ในฉบับหน้านี้เลย ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายที่จะได้ตีพิมพ์เสียด้วยสิ ออกจะเป็นเรื่องน่าเสียใจอยู่บ้าง  ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดหมายที่นิตยสารฉบับหนึ่งจะยุติการนำเสนอเรื่องสั้นแก่ผู้อ่านตามรอยนิตยสารฉบับอื่น ๆ และนั่นก็เท่ากับว่าหน้าที่บรรณาธิการคัดสรรเรื่องสั้นของผมได้ยุติลงเช่นกัน สิ่งที่น่ายินดีคือ โกวิทย์จะได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนสมใจปรารถนา แต่มาคิด ๆ ดูก็รู้สึกได้ว่า เขาเป็นนักเขียนมานานแล้ว ตลอดระยะเวลาสามปีที่เขียนด้วยความมุ่งมั่น


หมายเหตุ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันที่ 11 – 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556


เว็บไซต์ nittayasan.com