มุมเรื่องสั้นไทย
อุทิศวางกระเป๋าเดินทางลงบนพื้นห้องรับแขก จากนั้นเลือกนั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง ขณะนั้นเขาอยู่ในสภาพค่อนข้างจะอิดโรย แต่พอตั้งสติได้แล้ว ก็รีบเล่าให้คู่สามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งมีน้ำใจให้ที่พักพิงชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัยฟังว่า วันนั้นเขาเบิ่งมองกระจกเงาเจ้าปัญหาด้วยความประหลาดใจ แม้มันจะเป็นเพียงกระจกเงาอันเก่าคร่ำคร่า รอยด่างดำถลอกลอกของปรอทที่ฉาบไว้ทางด้านหลัง ดูผ่านกาลเวลามายาวนาน
“มันไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย” อุทิศกล่าวอย่างหนักแน่น เขายังย้ำว่า ใครได้เห็นก็ย่อมจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ อย่างน้อยก็ในสายตาของ ฯพณฯ ผู้ทรงอำนาจ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีรสนิยมเลิศวิไลอย่างไม่มีใครเหมือน
ดังนั้น เมื่อ ฯพณฯ รู้เรื่องว่ามีคนถอดกระจกเงาดังกล่าวออกจากผนังในห้องส้วม มิหนำซ้ำยังนำไปทิ้งเสียอีกด้วย ฯพณฯ ก็แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาราวกับมีใครแอบเลื่อยขาเก้าอี้ตัวโปรดของท่านในกระทรวง จากนั้นได้สั่งการให้หน้าห้องเร่งนำกระจกเงาบานเดิมกลับมาติดตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด
แน่นอน หน้าห้องผู้เคราะห์ร้ายย่อมไม่อาจรีรอ จะมัวชักช้าสักวินาทีหนึ่งก็มิบังควร หาไม่แล้วก็อาจเต้องก็บป้ายชื่อและข้าวของบนโต๊ะทำงาน ตลอดจนสมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในลิ้นชักแทบไม่ทันเลยทีเดียว หน้าห้องโทรศัพท์มาไล่เบี้ยเอากับเจ้าของบริษัทรับเหมาที่ประมูลงานได้ ซึ่งเป็นนายจ้างของอุทิศนั่นเอง
“คุณต้องหาให้เจอ จงติดกลับคืนให้เหมือนเดิม ไม่งั้นถ้าผมซวย คุณก็ต้องซวยด้วย อย่าลืมว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
ในเวลาต่อมา เจ้านายของอุทิศได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และสั่งด้วยถ้อยคำคล้าย ๆ กัน จนเขาอดคิดไม่ได้ว่า บางทีทุกประโยคอาจเคยหลุดออกจากปากของเจ้ากระทรวงมาก่อนก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้คือสำเนาที่ผ่านการรับรองความถูกต้องมาแล้วเท่านั้น
“ผมจะรีบสั่งลูกน้องแยกย้ายกันออกหาให้พบ” อุทิศรีบรับปาก ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นชายหนุ่มไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย เขามืดแปดด้านกับการเริ่มต้นค้นหากระจกเงาไร้ค่าที่เคยติดอยู่ในห้องส้วมของ ฯพณฯ เขาจะสามารถนำมันกลับมาได้อย่างไร ลูกน้องซึ่งเป็นหัวหน้าช่างชี้แจงว่า คนงานนำไปทิ้งที่กองขยะตั้งแต่เมื่อวานนี้ หลังจากติดตั้งกระจกเงาบานใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามแบบห้องส้วมซึ่ง ฯพณฯ ได้อนุมัติด้วยวาจาในตอนแรก
อุทิศเดินวนไปเวียนมาอยู่นานนับชั่วโมง กว่าหัวหน้าช่างจะโทรศัพท์รายงานว่าเจอกระจกเงาบานนั้นแล้ว มันอยู่ที่กระต็อบของคนงานเก็บขยะ และเพียงแค่จ่ายเงินเล็กน้อย ก็ได้กระจกเงาคืนกลับมาโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ข่าวนี้ทำให้เขารู้สึกโล่งอก ทว่าในความโล่งอกนั้น อุทิศพลันบังเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ
“ทำไมท่านถึงได้ต้องการกระจกเงาบานนั้นเหลือเกิน มันมีค่าอะไรนักหนางั้นหรือ”
ความคิดบางอย่างแล่นวนเวียนอยู่ในสมอง เขาจึงสั่งให้ลูกน้องนำกระจกมาเก็บไว้ที่บ้านของเขาก่อน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัย และเมื่อได้เห็นถนัดตาเป็นครั้งแรกก็พบว่า มันเป็นเพียงกระจกเงาเก่า ๆ ขนาดไม่ใหญ่โตอะไรนัก แค่ส่องดูเงาตัวเองครึ่งบนได้ในระยะห่างหนึ่งเมตร แต่สามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้กว้าง เนื่องจากมีความยาวตามแนวนอนมากกว่าแนวตั้งถึงสองเท่าตัว
จากลักษณะของเนื้อแก้วที่เป็นสินค้าผลิตจากต่างประเทศ การฉาบปรอทด้านหลังและการเจียระไนขอบกระจก ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ มันน่าจะผ่านวันเวลามาแล้วไม่น้อยกว่าค่อนศตวรรษ อุทิศจึงสันนิษฐานเอาว่า กระจกเงาคงติดอยู่ในห้องส้วมนั้นมาตั้งแต่แรกสร้างตึกกระทรวงที่ ฯพณฯ กุมอำนาจอยู่ในเวลานี้ โดยไม่เคยเปลี่ยนบานใหม่แต่อย่างใด ถ้านี่เป็นความจริงก็ออกจะเป็นเรื่องแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะห้องส้วมดังกล่าวเคยผ่านการปรับปรุงแก้ไขแทบจะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ
ท่ามกลางความเงียบ อุทิศกำลังนั่งสะลึมสะลือเหม่อมองกระจกเงาอันขมุกขมัว แล้วจังหวะนั้นนั่นเอง ที่เขามองเห็นภาพตัวเองเลอะเลือนวูบไหวดั่งหมอกควันอยู่ภายในกระจกเงาตรงหน้า
“อา กระจกเงาบานนี้ผ่านกาลเวลามานานจริง ๆ”
ชายหนุ่มพึมพำ พร้อมกันนั้นก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เขารู้สึกอึดอัดอย่างไรบอกไม่ถูกคล้ายโดนผีอำจากใบหน้าของตัวเอง หลายนาทีต่อมา เขาก็เริ่มแลเห็นใบหน้าแปลก ๆ มันเป็นใบหน้าของคนที่เขาไม่รู้จัก แต่ดูจากการแต่งตัวแล้ว น่าจะเป็นบุคคลสำคัญในอดีตอันไกลโพ้น หลายใบหน้าล่องลอยเป็นเงา ๆ อยู่ในกระจก มันคงซึมซับเอาใบหน้าของบุคคลระดับสูงเอาไว้มากมาย ในเวลาเดียวกันนั้นกระจกเงาก็ยังได้เก็บงำเรื่องราวต่าง ๆ ฝังแน่นไว้ในเนื้อกระจกโดยไม่เสื่อมคลาย เขารู้สึกไม่ชอบใจความฝันเช่นนี้เลย ภายในห้องมีแต่แสงสลัวมัวมืด ไม่มีใครอีกนอกจากเขากับเงาวูบวาบของบุคคลในอดีต ซึ่งในเวลาต่อมาเขาจำได้ว่า เป็นนายทหารผู้มีชื่อเสียงอยู่ในสนามการเมืองยุคก่อน
ภาพของเจ้ากระทรวงขุนศึกทรงอำนาจทางการเมือง ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อศัตรูรายใด ทว่าสามารถถูกซื้อได้ด้วยอำนาจเงินของพรรคการเมืองใหญ่ เป็นการซื้อที่ดูไม่ต่างจากการซื้อวัวควายเข้าคอกนัก ทว่าไม่มีใครคิดถึงเรื่องนั้น พวกเขาคุยกันแต่เรื่องผลประโยชน์ตอบแทนเสียมากกว่า แม้ริมผีปากบางเฉียบซึ่งมักเหยียดตรงอย่างหยิ่งทระนง จะเที่ยวบอกใครต่อใครว่า สาเหตุที่ย้ายพรรคก็เพื่อคว้าโอกาสในการได้รับใช้พี่น้องประชาชนเท่านั้น ใช่แล้ว นั่นนับเป็นคำหวานอันชูจิตชูใจเสียเหลือเกิน อุทิศรำพึงอยู่ในใจ
ดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะล่องลอยอยู่ในกระจกเงา เมื่อ ฯพณฯ ในอดีตกำลังขบขัน ทันทีที่รู้ว่ามีคนมากมายหลงเชื่อคำพูดของตน แม้ ฯพณฯ จะไม่เคยเชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเลยก็ตาม ครั้นเมื่อมีผู้ทักท้วง ฯพณฯ จึงยอมรับว่า เคยเผลอใจหลงเชื่อคำพูดของตัวเองอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์ที่ท่านไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย จากนั้นท่านก็หัวเราะลั่นห้องส้วม อุทิศไม่แน่ใจนักว่าการหัวเราะของ ฯพณฯ สื่อความนัยถึงอะไร อดีตเจ้ากระทรวงรายนี้อาจหัวเราะด้วยความสงสารประชาชนก็เป็นได้ เพราะนักการเมืองมักจะทำในสิ่งที่คาดเดาได้ยากเสมอ
ชายหนุ่มทอดถอนหายใจ ยิ่งจ้องมองภาพในกระจกนานเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกง่วงงุนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ภาพของอดีต ฯพณฯ อีกรายหนึ่ง ซึ่งกำลังซ้อมพูดอยู่คนเดียวต่อหน้ากระจกเงา กลับทำให้เขาต้องถ่างตามองอย่างสนใจ ท่านกำลังด่าพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างเผ็ดร้อน ที่เที่ยวใช้วิธีซื้อตัวนักการเมืองหิวเงินเข้าพรรค
“พวกมึงมันก็โสเภณีโดยแท้ เป็นได้แค่นักการเมืองขายตัว พวกมึงกระทำการเยี่ยงเดียวกับโสเภณีที่ย้ายเข้าซ่องนั้นออกซ่องนี้ เพื่อผลประโยชน์ในการยกระดับราคาค่าตัว แต่คิดไปแล้วพวกโสเภณีตามซ่องยังดีเสียกว่า เพราะทำไปเพื่อปากท้องและความอยู่รอดอย่างซื่อ ๆ ต่างจากพวกมึงที่ผลประโยชน์กลายเป็นอุดมการณ์ประจำใจ ช่างไร้ค่าเสียจริง”
เขาเคลิ้มคล้อยไปกับคำพูดดังกล่าว แต่แล้วกลับต้องสะอึก เมื่อเห็นอดีตผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยว่า “พวกมึงไม่อายบ้างเลยเรอะ ให้ตายเถอะ จะซื้อจะขายตัวกันก็ควรทำให้มิดชิดซะหน่อย อย่ากระโตกกระตากเสียงดัง จนคนที่จ้องดูอยู่จับได้ไล่ทันเยี่ยงนี้ หัดใช้สมองหน่อย จำเอาไว้ และต้องคอยย้ำบอกทุกคนว่า เวลาพรรคอื่นดูดคนเข้าคอกถือเป็นพรรคเลว แต่เวลาพรรคเรากระทำบ้าง ล้วนเป็นไปเพื่อชาติและพี่น้องประชาชน” กล่าวจบ ฯพณฯ ก็เปล่งเสียงหัวเราะชอบใจลั่นห้องส้วม
ในกระแสธารแห่งภาพใบหน้าของมนุษย์การเมืองในอดีต อุทิศพลันบังเกิดความรู้สึกคลื่นเหียนอาเจียน เขานึกอยากวิ่งเข้าห้องน้ำเป็นกำลัง แต่อาการผีอำยังไม่หาย กลับกำเริบหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาพยายามดิ้นรนขลุกขลัก ทว่าภาพในกระจกเงาก็มีพลังดึงดูดมากเหลือเกิน สุดท้ายเขาต้องนั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ภายใต้คำสาปของความต่ำช้า สองตาถูกบงการให้เฝ้ามองกระจกอยู่เช่นนั้น
พลันภาพในกระจกเงาก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นอดีตรัฐมนตรีที่เคยโด่งดังในยุคหนึ่งกำลังยื่นมือออกไปรับกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก กระเป๋าดังกล่าวดูมีน้ำหนักมาก ผู้ยื่นให้เป็นชายวัยห้าสิบปีเศษ ร่างอ้วนขาวเหมือนพ่อค้า ทั้งสองหัวเราะให้กัน ดวงตาหยี ๆ เปล่งประกายความสมหวัง แล้วพากันเดินออกจากห้องส้วมไป ทิ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ภายในกระจกเงา จริงสินะ กระจกเงาพูดไม่ได้ เป็นพยานในศาลไม่ได้ ครั้นจะเป็นแหล่งข่าวให้หนังสือพิมพ์ใช้อ้างอิงก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ชายหนุ่มคิด
ใบหน้าของอดีตผู้ทรงอำนาจมากมายยังคงเลื่อนไหลไปมาอยู่ในกระจกเงา อุทิศพยายามเตือนตัวเองว่าเขากำลังฝันร้าย มันคือฝันร้ายเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน ภาพฝันอันทุเรศทุรัง แต่เขาก็ไม่อาจปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นจากความฝันครั้งนี้ ยังคงต้องจ้องมองภาพนายพลในเครื่องแบบหลายคนผลัดกันเข้ามาทำธุระในห้องส้วม และสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาชอบทำกันก่อนกลับออกไปสู่โลกภายนอกก็คือ การจ้องมองสบตาตัวเองในกระจกเงา แล้วยิ้มด้วยความลำพองใจ
เขาได้เห็นนักการเมืองหลายคนตกลงบางเรื่องกับผู้นำแรงงานที่ขาดความซื่อสัตย์ ได้เห็นการเจรจาปราศรัยระหว่างนายทหารระดับสูงและรัฐมนตรีเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่าง ๆ โดยท้ายที่สุดแล้ว มักจะลงเอยด้วยการจับมือกันอย่างรักใคร่ ก่อนทั้งสองฝ่ายจะรีบล้างมือจนสะอาด แล้วแยกย้ายกันกลับไปทำมาหากินเพื่อประชาชนตามเดิม
ยามนั้นหัวใจของเขารู้สึกสั่นสะท้าน มันปั่นป่วนด้วยความเจ็บปวดเคียดแค้นชิงชัง โดยเฉพาะเมื่อพบว่า เจ้ากระทรวงหลายคนตั้งใจแจกจ่ายเงิน อาหาร และเหล้ายา แก่ประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ฯพณฯ พูดกับกระจกเงาว่า ท่านปรารถนาให้ประชาชนได้อิ่มท้องไปกับอาหารอันโอชะพร้อมสุราเลิศรส ปล่อยให้ท่านและพรรคพวกทำหน้าดูแลพี่น้องประชาชนแต่เพียงฝ่ายเดียวเถิด หน้าที่ของประชาชนก็คือออกไปยังคูหาเลือกตั้ง จับปากกาทำเครื่องหมายกากบาทลงในบัตรตามที่หัวคะแนนแนะนำ เรื่องอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ท่านจะจัดการด้วยตัวของท่านเอง
“พี่น้องประชาชนที่รัก พวกท่านอย่าได้ออกมาแสดงความคิดเห็นให้เหนื่อยยากเลย เชื่อผมเถอะ เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้เพื่อความบันเทิงเริงรมย์แต่เพียงประการเดียวเถิด แล้วพวกเราจะมีความสุขร่วมกันตลอดไป ผมขอสัญญาตามแผนยุทธศาสตร์หนึ่งร้อยปี”
เวลายังคงเคลื่อนไปตามวิถีแห่งโมงยาม ไม่นานนัก อุทิศก็ได้เห็นภาพของรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ผู้สั่งการให้นำกระจกเงาบานนี้กลับไปติดตั้งไว้ในห้องส้วมตามเดิม ท่านกำลังยิ้มให้กับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ที่แอบมาพูดคุยกันในห้องส้วม ต่างพากันประสานมือกันเหนียวแน่นอบอุ่น กลุ่มรัฐมนตรีสามัคคีกันจนน่ายกย่อง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีอยู่มิใช่หรือ หากว่าคณะรัฐมนตรีจะปรองดองกัน เพื่อดำเนินนโยบายอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชน แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ การพูดคุยตกลงกันของกลุ่มผู้มีอำนาจ กลับเป็นไปเพื่อหวังจะสลายอำนาจของนักวิชาการ สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหว และนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม อันเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ที่เข้ามาช่วงชิงผลประโยชน์ ฯพณฯ ยังได้กล่าวยืนยันต่อหน้ากระจกเงาว่า ท่านจะกดดันกลุ่มพลังเหล่านั้นด้วยอำนาจและทุนที่ท่านครอบครองอยู่ เพื่อสืบทอดอำนาจไปจนชั่วลูกชั่วหลานของท่านเลยทีเดียว
“เมื่อใดก็ตาม ถ้าผู้สนับสนุนทางการเงินหมดไป กลุ่มพลังดังกล่าวก็แทบจะไม่ต่างไปจากคนง่อยเปลี้ยเสียขา เราจะต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงของพวกมัน เรื่องพวกนี้จะลืมไม่ได้เลย ฮ่า ฮ่า หากใครยังไม่ยอมสยบต่ออำนาจปืนและเงินตราของฝ่ายเรา พวกมันก็จะต้องเผชิญกับความเป็นจริงว่า พื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นของพวกมันจะหดตัวลง จนกระทั่งในที่สุด ไม่เหลือแม้แต่พื้นที่สำหรับร่ำไห้ หรือแม้กระทั่งการดำรงชีวิตอยู่ บางครั้งการหายสาบสูญไปเลยก็ยังเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ สำหรับคนที่คิดต่างจากพวกเรา”
อุทิศไม่สามารถรับมือกับเรื่องราวเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว เขาพยายามซบหน้าลงกับหัวเข่าเพื่อที่จะร้องไห้และอาเจียนไปพร้อม ๆ กัน แต่ร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง มันยังคงแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ เขาพยายามต่อสู้กับพลังลึกลับนั้น
“สำหรับไอ้พวกประชาชน พรรคของเราจะต้องจัดการให้พวกมันอยู่ในโอวาทตลอดเวลา ด้วยการวางแผนปรนเปรอบำเรอสุขอย่างจอมปลอม อยากได้อะไรก็ต้องจัดหามาให้เพื่อการเสพติด แม้ต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนก็ตาม โครงการบำรุงบำเรอทุกชนิดจะต้องเข็นออกมาเป็นระยะตามแผนยุทธศาสตร์หนึ่งร้อยปีแห่งความอ่อนแอ ถ้ายังไม่พอก็ขอเป็นห้าร้อยปี ใช่แล้ว เราต้องสร้างความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณครอบพวกมันเอาไว้ หากทำได้สำเร็จ ประชาชนจะปกป้องพวกเรายามถูกแย่งชิงอำนาจ หมาส่วนใหญ่มักไม่ลืมบุญคุณน้ำข้าวหรอก เชื่อผมเถอะ ผมรู้เรื่องนี้ดี ผมเรียนมา อีกอย่างหนึ่งผมเองก็เคยเป็นหมามีปลอกคอเหมือนกัน แต่หลังจากผมกัดคนเลี้ยงตายแล้ว ผมจึงเป็นอิสระอย่างที่เห็น”
“ผมปรารถนาให้การเมืองเป็นเรื่องเฉพาะของพวกเรา อย่าเอ็ดไปนะครับ อย่าให้ใครรู้เป้าหมายที่แท้จริง ผมฝันเสมอว่าอยากจะหาทายาทเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ เหมือนร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะรับใช้พวกเรา…”
อุทิศรู้สึกได้ถึงความคลื่นเหียนและสยองพองขน เกิดความเชื่อว่า ถ้า ฯพณฯ สามารถทำสำเนาตัวเองได้ ท่านก็คงจะทำไปนานแล้ว ประเทศนี้จะขาดท่านไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว ท่านคงเชื่อเช่นนั้น
เขาชักจะชิงชังภาพบนกระจกเงาโสโครกนี่จนสุดที่จะทนทานเสียแล้วสิ เขาปรารถนาจะหลุดออกไปจากการครอบงำนี้ให้ไกลที่สุด ด้วยสะอิดสะเอียนในถ้อยคำของ ฯพณฯ เต็มที ภาพและเสียงในกระจกเงาประหลาดชวนให้สิ้นศรัทธาเหลือเกิน แต่เขาจะนำเรื่องราวเหลือเชื่อนี้ไปประกาศให้ใครรับรู้ได้ อุทิศรำพึงกับตัวเอง ในเมื่อบารมีของ ฯพณฯ กำลังงอกงามอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ของนายกรัฐมนตรี ขณะที่ปัญญาชนอ่อนล้าโรยแรงลงไปในทุกเดือนปี เขาไม่รู้เลยว่าพวกนี้จะต้านทานอยู่ได้นานสักแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามักจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ปัญญาชนย่อมจะพร้อมใจกันต่อสู้กับอธรรมเสมอ บางทีพวกนี้อาจเป็นแสงเทียนเล่มสุดท้าย ซึ่งจะลุกโชนเป็นเชื้อไฟ ทำให้ประชาชนตื่นขึ้นจากภวังค์ความหลงใหล อีกทั้งตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ว่า ฯพณฯ และพวกพ้องกำลังมูมมามอยู่กับชิ้นส่วนใดของบ้านเมืองเรา
การเฝ้ามองภาพแห่งความระยำตำบอนที่ไม่เคยมีใครรู้เห็นมาก่อนนี้ ทำให้เขาตระหนักว่า ตราบใดที่ยังมีกระจกเงาอยู่ในห้อง อาการปั่นป่วนภายในช่องท้องคล้ายจะอาเจียนนี้ย่อมไม่มีทางแก้ไข วิธีที่ดีที่สุดก็คือ บอกให้ลูกน้องนำกระจกกลับไปติดไว้ในห้องส้วมของ ฯพณฯ ตามเดิมโดยเร็วที่สุด
ขณะกำลังพยายามสลัดให้หลุดจากสภาวะผีอำและอ้าปากตะโกนเรียกใครสักคนอยู่นั้นเอง อาหารที่เขากินเข้าไปก่อนหน้านี้พลันขย้อน แล้วพุ่งออกมาเป็นสายราวกับน้ำพุสาดเข้าใส่กระจกเงาโสโครก อันเป็นผลพวงจากการจ้องมองไปที่กระจกเงาเป็นครั้งสุดท้าย จนทันได้เห็น ฯพณฯ กำลังฝึกพูดย้ำแต่คำว่า “พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รัก” ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง เวลานี้อุทิศขยับตัวได้แล้ว เขายกหลังมือเช็ดคราบเศษอาหารบนริมฝีปาก ก่อนทำท่าเกร็งลำคอเหมือนจะตะเบ็งเสียง เขาหอบหายใจถี่ ๆ เนื้อตัวเย็นเฉียบคล้ายจะเป็นลม เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกมาตามขมับ เขาคงคลั่งใจตายหากไม่ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้น
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าถีบเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้าของ ฯพณฯ ซึ่งเปรอะเปื้อนด้วยคราบอาเจียน
“เพล้ง” ภาพทั้งหมดพลันหายวับไป เหลือเพียงเศษกระจกเกลื่อนพื้น เขารับรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน ที่สำคัญ ความรู้สึกคลื่นไส้ผะอืดผะอมได้หายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าประหลาด
อุทิศรีบโทรศัพท์หาหัวหน้าช่าง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสั่งให้แจ้งแก่หน้าห้องของ ฯพณฯ ว่าหากระจกเงาไม่พบ แต่จะนำกระจกสภาพเก่าใกล้เคียงไปติดแทน ด้วยสภาพของมัน ฯพณฯ คงไม่ว่าอะไร อย่างน้อยกลิ่นอายของมันก็คงไม่แตกต่างกันนัก เขาคิด
“จำกระจกเงาเก่า ๆ อีกบานได้ไหมวะ กระจกเงาในห้องส้วมสาธารณะจากโปรเจกต์ก่อนนั่นไง ยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหมเออ ตัดให้มันเล็กลงหน่อย แล้วเอาไปติดแทนที่ซะ”
อุทิศอดยิ้มไม่ได้ นึกภาพ ฯพณฯ ขณะกำลังส่องกระจกเงา แล้ววันดีคืนดีอาจจะมองเห็นใบหน้าประชาชนตามท้องถนน ผู้เคยเข้ามาปลดเปลื้องความทุกข์ในห้องส้วมสาธารณะอย่างเสรี เช่นเดียวกับที่เขาเคยเห็นหลากหลายใบหน้าของผู้ทรงอำนาจจากกระจกเงาในห้องส้วมของ ฯพณฯ นั่นเอง มันคงจะให้ข้อคิดดี ๆ แก่ ฯพณฯ ได้บ้าง เขาตั้งความหวัง ก่อนรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นลงในกระเป๋าเดินทาง
หมายเหตุ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553
เว็บไซต์ nittayasan.com