มุมเรื่องสั้นไทย
นานมาแล้ว ผมเคยมาเยือนดอยสูงแห่งนี้และได้พบพ่อผู้ห่างเหิน เวลานั้นผมเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งกำลังจะขึ้นชั้นปีที่สี่ โดยนิสัยนั้น ผมเป็นคนจำพวกที่สามารถเถียงหัวชนฝากับใครก็ได้ในทุกเรื่อง จึงไม่น่าแปลกใจนัก หลังจากได้พูดคุยกับพ่อ เราก็เถียงกันอย่างหนัก ผมจึงไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีก ด้วยไม่ต้องการเป็นมนุษย์ท่ามกลางฝูงวานร ผมได้ปฏิเสธการเข้าเป็นสมาชิกของ “สมาคมผู้เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก” ตามคำชักชวนของพ่อ รวมถึงพวกสมาชิกคนอื่น ๆ ด้วย แต่แล้วทันทีที่ผมตระหนักว่าเวลา 7-8 ปี ได้ผ่านชีวิตไปอย่างไร้สาระ ผมก็รีบหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อจะอ้อนวอนขอเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฯ ทั้งหมดนี้เป็นไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า ผมหวังใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนผู้บูชาพระอาทิตย์ ผมพร้อมแล้วที่จะให้ความเคารพแก่ต้นไม้ทุกต้น แก่น้ำในลำธารทุกหยด และแก่ทุกชีวิตซึ่งแสงพระอาทิตย์ได้สาดส่องไปถึง
“คงยังไม่สายเกินไปใช่ไหมครับพ่อ” ผมพึมพำออกมาระหว่างเดินขึ้นภูเขาไปตามถนนราดยางมะตอยสีดำ เดิมถนนสายนี้เป็นเพียงแค่ดินลูกรังสีแดงเท่านั้น
ครั้นแล้วผมก็ต้องเผยอริมฝีปากยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ด้วยหัวใจอันอ่อนโยนของพวกเขา ผมหมายถึงบรรดาสมาชิกสมาคมชื่อประหลาด คงจะทำให้พวกเขาต้อนรับผมอย่างอบอุ่นเหมือนพ่อแม่โอบกอดลูกคนหนึ่งซึ่งหายออกจากบ้านไปเป็นเวลานาน แค่คิดผมก็มีความสุขเสียแล้ว ไม่ได้นึกเสียใจเลยกับการบอกลาบริษัทข้ามชาติใหญ่โต องค์กรที่ใครต่อใครล้วนใฝ่ฝันจะเข้าไปทำงานเพื่อรับเงินเดือนสูงลิ่ว ทว่าไร้ความสุขอันแท้จริง ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ถึงกับทำสีหน้าฉงนหลังจากรู้เหตุผลการลาออกของผม เขาส่ายหน้า แววตามีแววสมเพช ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นห้อง
“คุณว่า…คุณขอลาออกเพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ทางภาคเหนืองั้นรึ จะไปอยู่กับพวกอะไรนะ อ้อ สมาชิกสมาคมผู้เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลกใช่มั้ย เอาละ ผมว่าคงต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ คุณน่าจะลาพักร้อนสักสัปดาห์หนึ่ง ไปเที่ยวให้สบายใจ ไปหาที่สูดอากาศบริสุทธิ์ในชนบทหรือต่างประเทศก็ดีนะ การได้พักสมองบ้างน่าจะเป็นผลดีกับตัวคุณเอง” ชายผู้นั้นยื่นข้อเสนอให้โดยที่สีหน้าของเขายังคงฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มขบขัน แต่เมื่อผมยืนยันความประสงค์เดิมแน่วแน่ เขาก็ถึงกับโคลงศีรษะยอมแพ้
ผมเดินทางออกจากเมืองหลวงในสภาพเหมือนนกหลุดจากกรงบินสู่พงไพร มีเพียงเป้ใบใหญ่สะพายหลัง ในนั้นมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับบทกวีไม่กี่เล่ม การใช้ชีวิตในหมู่บ้านของสมาคมผู้เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลกไม่ต้องการอะไรมาก ผมเชื่อเช่นนั้น แน่นอนว่าพวกเขาต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่พักอาศัย ทว่าก็เป็นไปอย่างพอดีกับการดำรงชีวิตเสมอ
ชีวิตของคนเหล่านั้นดำเนินไปอย่างไม่เร่งร้อน ฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับสายฝน ผืนดิน และแสงอาทิตย์ พวกเขายังรักการเดินยิ่งนัก ผมเคยเห็นสมาชิกของสมาคมพากันเดินทอดน่องไปตามเส้นทางขรุขระสายต่าง ๆ ภายในหมู่บ้าน จากหมู่บ้านสู่ไร่นาเชิงเขา ถ้ารีบร้อนหน่อยหรือมีสัมภาระมาก พวกเขาก็จะใช้วัวเทียมเกวียนเป็นพาหนะ ไม่มีเรื่องราวใดต้องการความรวดเร็วมากไปกว่านี้อีกแล้ว ผิดกับผู้คนของนครใหญ่ พวกนั้นต่างก็ต้องการความรวดเร็ว ต้องการมากเสียจนยอมจ่ายเงินทอง น้ำมันเชื้อเพลิง หรือแม้แต่น้ำใจ เพื่อการเดินทางที่เร็วกว่า ทุกวันจึงผ่านไปพร้อมกับสิ่งรอบตัวซึ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้นอยู่ตลอดเวลา
นี่ช่างเป็นเรื่องยากต่อการเข้าใจ ผมคิดแล้วผมก็เชื่อ คนในเมืองใหญ่ฉลาดด้วยการศึกษาตามแบบแผนของโลกตะวันตก ผมเองก็เคยฉลาดเช่นนั้น การได้รับรู้ว่าพ่อเป็นสมาชิกของสมาคมสุดเพี้ยนจึงเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่ง ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฝูงฟังเลย ผมไม่อยากถูกล้อเลียนนั่นเอง คิดดูสิ ในศตวรรษที่ 21 ยังจะมีใครอดกลั้นไม่หัวเราะเยาะได้อย่างนั้นหรือ
อันที่จริงผมเคยสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าเหตุใดสมาคมนี้จึงสามารถอยู่รอดมาได้นับร้อยปี หลังจากนักวิทยาศาสตร์สองสามคนในโลกตะวันตกประกาศอย่างท้าทายว่า “แท้จริงแล้ว โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์” เมื่อคำประกาศเผยแพร่มาถึงประเทศของเรา ผู้ก่อตั้งสมาคมยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ พยายามรวบรวมคนที่ยังเชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก และเส้นทางโคจรอันศักดิ์สิทธิ์เริ่มจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก เช่นที่มนุษย์โลกเคยเห็นทุกเช้าเย็นมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
ในสายตาของสมาชิกสมาคม พระอาทิตย์ไม่ใช่ลูกไฟดวงใหญ่ แต่คือเทพเจ้าแห่งชีวิต เทพเจ้าผู้สาดแสงอันอบอุ่นให้แก่ชีวิตทั้งมวล ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต ทำให้เกิดก้อนเมฆ ทำให้ฝนตก ครั้นยามค่ำคืนมาถึง พวกเขาต่างก็เฝ้ารอแสงสว่างของวันพรุ่งนี้ด้วยความหวัง ว่าพระอาทิตย์จะกลับมาส่องภูเขาทุกลูกให้สว่างไสว ส่องทางเดินไปสู่ท้องนาเพื่อปลูกข้าวไว้หุงทุกเช้า แสงสว่างจะพาพวกเขาไปสู่ป่าเพื่อขุดหาหน่อไม้มาต้มตอนกลางวัน และพาไปสู่ลำธารเพื่อจับปลาสักตัวสองตัวมาเป็นอาหารมื้อเย็น
แม้ผมจะเคยใช้ชีวิตอยู่บนดอยนี้แค่เจ็ดวัน อีกทั้งเป็นเรื่องนมนานมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมยังจดจำภาพชีวิตของผู้คนบนดอยนี้ได้เป็นอย่างดี อดนึกสมเพชตัวเองไม่ได้ที่เคยเสนอให้พวกเขาจับปลามาตากแห้งสะสมไว้มาก ๆ อีกทั้งยังเคยเสนอให้พวกเขาแอบตัดต้นไม้ใหญ่ในป่าไปขายแลกเงิน รวมถึงเร่งหักร้างถางพงเพื่อขยายพื้นที่ทำนา หรือปลูกพืชไร่เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม
ตอนนั้นผมกล่าวออกไปด้วยความหวังดี ใช่ ผมอยากเห็นพวกเขาหลุดพ้นจากความยากจนไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ สามารถหาเงินได้คล่องมือ ไม่นานนักหรอก อีกหน่อยทุกคนจะมีรถยนต์แพง ๆ มีเสื้อผ้าสวยงาม และแทนที่จะอยู่กระท่อมโย้เย้ ก็ควรสร้างตึกให้แข็งแรง เด็ก ๆ ต้องได้รับการศึกษาแผนใหม่เยี่ยงมนุษย์ผู้เจริญ สุขภาพฝากไว้กับหมอสมัยใหม่และยาฝรั่ง ไม่ใช่พึ่งพาสมุนไพรอันคร่ำครึเหมือนบรรพบุรุษ ที่สำคัญพวกเขาน่าจะมีโอกาสใช้เทคโนโลยีชั้นสูงบ้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนเราก็สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ หากรู้จักควบคุมธรรมชาติให้อยู่ในกำมือ
ทว่าข้อเสนอของผมเป็นได้แค่ความฟุ้งซ่านของคนจากเมืองใหญ่
“พระอาทิตย์จะพิโรธ ถ้าพวกเรากอบโกยเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติมากเกินไป”
พวกเขาตัวสั่นเทิ้มระหว่างพูดด้วยความเกรงกลัว สายตาที่มองดูผมราวกับมองเด็กไร้เดียงสาปากพล่อย ขณะที่ผมเองก็มองทุกคนอย่างสังเวชใจในความงมงายดังกล่าว
ความขัดแย้งคล้าย ๆ กันนี้ทำให้พ่อกับแม่ของผมไปด้วยกันไม่ได้ ผมพอรู้มาบ้างว่าแม่ไม่ยอมติดตามพ่อไปอยู่ในหมู่บ้านของสมาคมบนดอย แม่ขอทำงานตามที่ตนเรียนจบมามากกว่า ตอนนั้นผมยังเล็กมากและติดแม่แจ พ่อเล่าว่าผมเลือกที่จะอยู่กับแม่ ไม่ยอมขึ้นเหนือไปด้วยกัน
ครั้นเติบโตเป็นหนุ่ม เมื่อได้พบพ่ออีกครั้ง (นานทีปีหนพ่อถึงจะส่งจดหมายมาหาผมสักฉบับหนึ่ง) ผมก็ยังปฏิเสธคำเชิญชวนแกมขอร้องของพ่ออยู่ดี เพราะเหตุใดเล่า ถ้าไม่ใช่ในตอนนั้น แค่ทนเรียนอีกปีเดียวผมก็จะจบออกมาเป็นบัณฑิตสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และมีงานรออยู่ในบริษัทใหญ่โต ห้วงเวลาดังกล่าวผมไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากเงินเดือนสูง ๆ รถป้ายแดง บัตรเครดิต รวมถึงคอนโดมิเนียมอันทันสมัย ทั้งหมดนี้เป็นยอดปรารถนาของคนรุ่นเดียวกันกับผม
แล้วเวลาก็ผ่านไปตามครรลองของมัน ประสบการณ์ชีวิตทำให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น เมื่อผมกลายเป็นคนโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชนนับสิบล้าน ชีวิตขับเคลื่อนไปตามตารางประจำวันอย่างเครื่องจักรกล เช้า สาย บ่าย เย็น ผม-มนุษย์ตัวจ้อย-ต้องจำเจอยู่กับการงานที่ไม่ได้ศรัทธา ยามค่ำคืนต้องฝังความว่างเปล่าไว้กับงานปาร์ตี้และความเมามาย หรือไม่ก็สนทนากับเพื่อนแปลกหน้าในโลกอินเทอร์เน็ต กลายเป็นคนสมัยใหม่ที่พ่อเคยบอกว่า คนพวกนี้ยอมทำงานที่ตัวเองไม่ได้ศรัทธา ยอมขายวิญญาณอิสระและสัจธรรม แลกกับเงินเพื่อซื้อวัตถุมากมาย วัตถุซึ่งไม่เคยทำให้ผู้ซื้อมีความสุขอย่างแท้จริง
ช่างต่างจากพวกงมงายในสมาคมผู้เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก ผมยอมรับด้วยหัวใจว่า ในชุมชนของพวกเขาแม้ไม่มีเงิน ทว่าชีวิตก็ผ่านแต่ละวันได้อย่างสันติสุข ผมจำแววตาของพวกเขาในฤดูร้อนปีนั้นได้เป็นอย่างดี ดวงตาทุกคู่เปี่ยมด้วยความปีติ พวกเขาอยู่บนภูเขา ใช้ชีวิตสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขากำลังงอกงามราวกับดอกไม้ป่า ไกลห่างจากมหานครซึ่งกำลังเสื่อมสลาย
กว่าผมจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้ก็ต้องผ่านการเฆี่ยนตีจากความทุกข์ ความว่างเปล่า ความเหงา ความสงสัย และความแปลกแยกเหินห่างจากธรรมชาติ สุดท้ายผมกลายเป็นส่วนเกินของระบบกลไกในเมืองใหญ่ที่หาความสงบไม่ได้ มีเพียงเสียงคร่ำครวญเหมือนสัตว์ติดกับดักแว่วมาตลอดเวลา แม้กระนั้นก็ยังเป็นเสียงที่ผมเคยคิดว่าล่องลอยมาจากสรวงสวรรค์แห่งโลกสมัยใหม่ โลกที่ทุกคนรู้ความจริงสารพัด แต่กลับมองไม่เห็นว่าเส้นทางที่ตัวเองก้าวเดินอยู่นั้น กำลังเคลื่อนอยู่บนสายพานของความโลภ ความเห็นแก่ตัว โดยมีปลายทางอยู่ ณ แดนประหาร สถานที่ซึ่งถูกลวงตาไว้ด้วยความตะกละตะกลามเกินพอดี
คนโบราณเชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก สมาชิกของสมาคมก็เชื่อเช่นนั้น ต่างสรรเสริญบูชาพระอาทิตย์อย่างสุดจิตสุดใจทุกเช้า ผมและทุกคนที่เคยเข้าไปสังเกตการณ์ จะไม่มีวันพบเห็นคนงมงายพวกนี้ตัดต้นไม้สักต้นโดยไม่ตั้งศาลเพียงตาเสียก่อน หรือตัดต้นไม้ทั้งป่าเพื่อเอาไปย่อยทำเป็นกระดาษชำระทิ้งลงโถชักโครก พวกเขาไม่เคยหลงใหลข้าวของประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งลงถังขยะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากธรรมชาติถูกนำมาใช้ด้วยความเคารพยิ่ง เจียมตัวยิ่ง สอดคล้องกับวิถีชีวิตเรียบง่ายทุกโมงยาม
เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่ผมจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ผมบอกตัวเอง เพื่อดึงแม่ให้หลุดพ้นจากความผุกร่อนของมหานคร มันกำลังกัดกินแม่ของผมและคนประเภทเดียวกัน (เช่นผมในอดีต) คิดถึงตรงนี้ผมก็ยิ้มออกมา ยังไม่ทันเป็นสมาชิกของสมาคมเลย หัวใจของผมก็สามารถมองทะลุหน้ากากของอารยธรรมสมัยใหม่อันรกรุงรังได้เสียแล้ว มันทำให้ผมเป็นห่วงทุกคนในมหานคร ผมอยากเห็นพวกเขาปลอดภัย มีความสุขตามอัตภาพ เอาเถอะ ไม่วันใดก็วันหนึ่งผมคงจะสามารถกลับไปช่วยเหลือพวกเขาได้
ผมยิ้มอีกครั้งให้กับความมุ่งมั่นนี้ วิญญาณราวกับล่องลอยอยู่ในสายธารแห่งความหวัง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นขบวนรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแล่นผ่านไป พร้อมกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์รุ่นล่าสุด คนในรถท่าทางเป็นนักท่องเที่ยวหันมามองผมด้วยสายตาประหลาด ภาพคนกำลังสะพายเป้เดินท่อม ๆ ขึ้นดอยท่ามกลางแดดแผดเปรี้ยง คงดูน่าสงสารกระมัง หญิงต่างชาติผมสีฟางข้าวคนหนึ่งโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างเป็นมิตร และก้าวเดินต่อไปอย่างไม่เร่งร้อน ผมรีบเร่งมานานนับสิบปีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องช้าลงเสียบ้าง ช้าเพื่อจะสังเกตสิ่งรอบ ๆ ตัวด้วยหัวใจให้ถ่องแท้
ป้ายชื่อสมาคมทำจากไม้สักแผ่นใหญ่เหนือเสาเหล็กตรงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ทำให้ผมต้องแหงนหน้าอ่านด้วยความสนเท่ห์ มันถูกสลักและทาสีแดงตรงตัวอักษรอย่างประณีตว่า “สมาคมผู้รู้แจ้งแล้วว่าโลกโคจรรอบพระอาทิตย์” ห่างไปไม่ไกลนัก ป้ายอันทรุดโทรมผุพัง ปกคลุมด้วยเห็ดราของ “สมาคมผู้เชื่อว่าพระอาทิตย์โคจรรอบโลก” ถูกทิ้งขว้างอยู่ท่ามกลางดงตอไม้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าใหญ่อันรกครึ้ม
เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ผมประหลาดใจมาก รีบก้าวผ่านประตูเข้าไปยังหมู่บ้าน แต่เพียงไม่กี่นาที พอขึ้นเนินพ้นศาลาใหญ่โตหลังหนึ่ง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ยิ่งทำให้ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองมากขึ้น กระท่อมน้อยหลังคามุงแฝกที่เคยปลูกกระจัดกระจายอยู่บนดอยได้หายไปหมดแล้ว ในเวลานี้มีเพียงบ้านไม้สักและตึกก่ออิฐถือปูนชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างถนนซึ่งสมัยก่อนเป็นเพียงทางเดินเล็ก ๆ ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นถนนยางมะตอย ผู้คนพลุกพล่านบนท้องถนนแต่งกายทันสมัย เข้ากันกับป้ายโฆษณาชื่อร้านค้า ร้านอาหาร บาร์เบียร์ และเกสต์เฮาส์ ที่มองเห็นระเกะระกะได้ทุกทิศทุกทาง
ผมเดินผ่านกองขยะพลาสติกริมถนน ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะสลายไปในเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนกับยวดยานอันขวักไขว่ แม้กระนั้นผมก็พยายามฝืนก้าวให้ถึงสี่แยกแห่งแรกบนถนนสายนี้ ผมยังพอจำได้ว่าแถวนั้นเคยเป็นที่ตั้งกระท่อมของพ่อ
ภาพชายสูงวัยในห้องโถงเกสต์เฮ้าส์ทำให้ผมตะลึงได้อีกครั้งหนึ่ง พ่อของผมเปลี่ยนไปมาก ศีรษะกลมเริ่มล้าน แก้มอิ่มจนย้อย รับกับคางสองชั้นบนลำคออวบหนาที่ประดับด้วยสร้อยทองเส้นโต พ่อสวมชุดคล้ายชาวเขาปลอม ๆ ตามแหล่งท่องเที่ยว พุงก็หลามออกมาจนโย้
“พ่อครับ” ผมเรียกผู้ให้กำเนิดเสียงสั่นเครือ พ่อกำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับนักท่องเที่ยวในขบวนรถกระบะ ซึ่งเคยทักทายผมก่อนหน้านี้
แล้วทันทีที่หันมาเห็นผมเข้า แม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานแต่พ่อก็เพียงแค่ตาค้างเล็กน้อย ก่อนจะตรงรี่เข้ามาสวมกอดผมไว้แน่น
“ลูกรัก ไปยังไงมายังไงกันนี่ โอ้ แกตัวโตดีจริง สูงใหญ่กว่าพ่อตอนหนุ่ม ๆ ซะอีก เออ นั่งตรงนี้แหละ รอพ่อต้อนไอ้ฝรั่งพวกนี้ก่อน วันนี้คงฟันเงินได้หลายละ”
สักพักใหญ่ ๆ พ่อจึงเดินกลับมาหาผมอีกครั้ง โดยชวนคุยเรื่องการงาน จากนั้นก็ถามว่าผมวางแผนมาเที่ยวกี่วัน
“เกิดอะไรขึ้นกับสมาคมของพ่อ” ผมถาม
“ไอ้สมาคมพระอาทิตย์โคจรรอบโลกน่ะเรอะ” พ่อหลบสายตาแล้วยักไหล่ “มันไปไม่รอดหรอก พอถึงวันหนึ่งทุกคนก็ต้องยอมรับความจริง ไม่จริงหรอกเรอะ ที่ว่าโลกโคจรรอบพระอาทิตย์ มันเป็นยังงี้มาตั้งโกฏิปีแล้ว นี่แหละมั้งที่ทำให้ง่ายขึ้น”
“ง่าย…อะไรง่ายขึ้นหรือครับ”
“ง่ายสำหรับการหาเงินน่ะซี พอพวกเรายุบสมาคมเก่าทิ้ง พร้อมกับตั้งสมาคมใหม่ขึ้นตามหลักวิทยาศาสตร์ เงินทองมากมายก็ไหลมากองแทบเท้าทันที วิทยาศาสตร์สอนให้เรารู้จักการรีดผลประโยชน์จากธรรมชาติได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย รีดจนเหลือแต่กากนั่นแหละ”
พ่อตบหลังตบไหล่ผมเบา ๆ ดวงตาทอประกายยิ้มเหี้ยมเกรียม
“สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ใช้ชีวิตร่วมสมัยแบบโลกไร้พรมแดนมาได้หลายปีแล้ว ก็อย่างที่ลูกของพ่ออยากให้เป็นไงล่ะ ถ้าลูกเบื่อชีวิตในเมืองใหญ่ จะมาช่วยงานพ่อก็ได้…”
พ่อของผมยังคงพร่ำพูดต่อไป ขณะที่ผมใจลอยคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ผมอยากจะหัวเราะเยาะเย้ยบางสิ่งบางอย่าง แต่เอาเข้าจริงก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มเศร้า ความพยายามห้ามกงล้อมนุษย์ครั้งสุดท้ายล้มเหลวเสียแล้ว แต่ไม่แน่นัก ผมคิดว่าถ้าผมยังคงมีกำลังใจอยู่ ผมอาจเดินทางกลับไปเมืองหลวง แล้วลองค้นหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อจัดการกับปัญหาพวกนี้.
หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555