มุมเรื่องสั้นไทย
“ประเทศนี้ยังมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่อีกเรอะ” ชายคนหนึ่งตั้งคำถามด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด เมื่อนักข่าวสาวยื่นไมโครโฟนขอสัมภาษณ์ออกอากาศทางโทรทัศน์ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ชายคนดังกล่าวก็ถูกกองกำลังหน่วยหนึ่งหามเอาตัวออกไปอย่างสงบ ไม่ทรมานมากนัก
ข่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงวันก่อนที่เพื่อนต่างชาติหัวแดงคนหนึ่งได้โทรศัพท์ทางไกลมาทักทาย เพื่อคุยฟุ้งถึงความเจริญก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศของเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายก็แยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราช แล้วให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม
เขาขุดเอามุกตลกเก่า ๆ ที่เราเคยเล่าสู่กันฟังออกมาใช้อีกครั้ง ด้วยการกล่าวว่า “ในประเทศของผม เราสามารถด่าผู้นำได้โดยไม่ต้องกลัวติดคุก”
ความจริงผมน่าจะสวนกลับไปเพื่อเรียกเสียงหัวเราะว่า “ในประเทศของผม ประชาชนก็สามารถด่าผู้นำประเทศของคุณได้โดยไม่มีปัญหาเช่นกัน”
แต่แย่ชะมัดที่เดี๋ยวนี้ผมไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย นั่นคงเป็นเพราะว่า สถานการณ์บ้านเมืองได้ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ค่อนข้างจะเส้นลึกอยู่สักหน่อย ทั้ง ๆ ที่ประเทศของเรากำลังอยู่ในยุคสมัยแห่งความสนุกสนานยิ่งกว่าครั้งใด ๆ
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เสียหน้า ผมเลยอวดเพื่อนไปว่า “ความจริงทุกวันนี้ ประชาชนในประเทศของผมก็สามารถด่าผู้นำประเทศตัวเองได้เป็นปกติ จะด่าในบ้านหรือกลางถนนก็ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไร ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศเรานั่นเอง ใครอยากทำอะไรก็ทำได้เสมอ ทุกคนล้วนมีเสรีภาพอันหอมหวานเหมือนอารยประเทศอื่น ๆ หรือใครจะเถียง”
ดูผมเป็นตัวอย่างสิ ในฐานะประชาชนผู้มีเสรีภาพ ผมเลือกที่จะเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดร่วมสิบปี แล้วหันมาค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่กับบ้าน ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามที่ใฝ่ฝันมานาน ผมตื่นแต่เช้ามืด ลุกขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ วิ่งออกกำลังกาย จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อเตรียมตัวขายสินค้าอุปโภคและบริโภคให้แก่ลูกค้า
ระหว่างที่รอลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าภายในร้าน พร้อมกับรอเมียยกสำรับอาหารมื้อเช้ามานั่งกินร่วมกันเหมือนเช่นทุกวัน สิ่งหนึ่งที่ได้ฝังรากลึกลงไปในชีวิตของผมแล้วก็คือการท่องโลกอินเทอร์เน็ต โลกใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยข่าวสารให้เราเลือกเสพตามชอบใจไร้การควบคุมบังคับ มันเป็นโลกแห่งประชาธิปไตยอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนได้โดยเสรี ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะถูกปิดกั้นด้วยกำปั้นเหล็กของรัฐ ต่อให้เป็นความคิดเห็นที่คนส่วนใหญ่ทำใจยอมรับได้ยากก็ตาม
เอาละ อาจมีบางพื้นที่ไม่ยินยอมให้เราแสดงความคิดเห็นตามใจชอบบ้าง แต่ไม่ว่าใครก็สามารถโยกย้ายความคิดเห็นของตนไปโผล่ยังเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ตลอดเวลา หากรู้สึกว่ากำลังถูกปิดกั้นการแสดงออก มาถึงพ.ศ.นี้แล้ว เราก็พอจะพูดได้ว่า ความคิดเห็นของทุกคนคือกลุ่มควันที่มือยักษ์ตนใดก็ไม่สามารถปิดกั้น พวกมันพร้อมจะล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแห่งเสรีภาพเสมอ ผู้คนในยุคนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะแม้แต่มนุษย์ถ้ำสมัยโบราณก็คงไม่เคยมีเสรีภาพมากเท่านี้มาก่อน
ความมีอิสระที่จะแสดงความคิดเห็นดังกล่าวยังได้ลุกลามสู่โลกภายนอก ทุกวันนี้ถ้าคุณลองมองออกไปตามท้องถนนในเวลาเดินทาง หากคุณไม่โชคร้ายจนเกินไปนัก ก็ย่อมแลเห็นกลุ่มผู้ใช้สิทธิประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ เสมอ บ้างประท้วงที่สนามหลวง บ้างประท้วงกลางถนน และบางกลุ่มนิยมยังนิยมประท้วงแบบเคลื่อนที่ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ราวกับนกป่าที่โผบินไปอย่างเสรีกระนั้น
แน่นอนว่า คนที่รักในสิทธิเสรีภาพย่อมพึงพอใจในอำนาจนี้ พวกเขามีความสุขกันเหลือเกิน ระหว่างที่ประท้วงติดพันอยู่นั้น ต่างพากันดื่ม กิน เยี่ยว ขี้ (สำหรับเด็ก ๆ พวกหนูควรหัดใช้คำว่า ”รับประทาน” ”ปัสสาวะ” และ ”อุจจาระ” ให้คล่องปากไปพลาง ๆ ก่อน) หรือจะนอนหลับเอาแรงกันข้างถนนก็ไม่มีปัญหา
หลายครั้งที่พวกเขาเปลี่ยนถนนหลวงให้เป็นสนามประท้วงมาราธอน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเสียสิทธิทางประชาธิปไตยไปเปล่า ๆ แล้ววันหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสนามบินเป็นสถานที่อันสวยงาม เหมาะแก่การแสดงความคิดเห็น และจุดยืนจุดนั่งจุดนอนในระบอบประชาธิปไตย พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะชักชวนกันไปเปิดเวทีไฮด์ปาร์คที่นั่น จนกลายเป็นข่าวใหญ่สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก ขนาดว่าประเทศต้นแบบของประชาธิปไตยยังต้องอาย ที่ไม่สามารถให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนของพวกเขามากเท่ากับประเทศของเรา ใช่แล้ว ให้มันได้ยังงั้นเถอะน่า
ผู้ประท้วงในประเทศของเรายังสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ โดยจับกลุ่มเดินขบวนไปตามท้องถนน ด้วยท่วงท่าแห่งความศรัทธาราวกับนักบุญที่เข้ารีตแล้ว และเที่ยวจาริกเผยแพร่คำสั่งสอนไปตามย่านการค้ากลางเมืองหลวงของประเทศ กระทั่งปักหลักอยู่ ณ ที่นั้นเป็นการถาวร ด้วยหวังจะเนรมิตให้ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ราคาแพงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางกรุงแห่งใหม่ บรรดานักท่องเที่ยวที่พลัดหลงเข้าไปต่างก็ได้รับประสบการณ์อันประทับใจ ชนิดที่จะไม่มีวันลืมเลือนชั่วชีวิต สามารถเล่าให้ลูกหลานฟังได้เป็นฉาก ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะสนุกกว่าการดูภาพยนตร์แนวบู๊ล้างผลาญเสียอีก ถ้าพวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากพื้นที่ขออนุญาตใช้สิทธิยิงกระสุนจริงกลับบ้านไปได้
“ห่ะ ผมรักประเทศนี้จัง” ชาติชายผู้เป็นลูกค้าขาประจำเปรยขึ้นในตอนที่เดินโผเผโซเซเข้ามาในร้าน แล้วเห็นข่าวการประท้วงของประชาชนของเราในจอโทรทัศน์ เขาต้องการซื้อเหล้าขาวขวดหนึ่งเพื่อดื่มเป็นอาหารมื้อเช้า ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากการร่วมประท้วง พร้อมเงินก้อนโตที่ระบอบประชาธิปไตยมอบให้เป็นกำลังใจ ใช่ เขาไม่สนใจหรอกว่าผู้มีอุปการคุณที่ควักกระเป๋าจ่ายให้เป็นใคร มันเป็นสิทธิของผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์จะออกเงินบำรุงระบอบประชาธิปไตย
“เห็นพรรคพวกมันบอกว่า เงินทุนสำหรับส่งเสริมประชาธิปไตยกลางถนนบ้านเรา มีมูลค่าถึงวันละร้อยล้านเลยทีเดียวเชียวครับ ผมชอบมาก ถ้ามีอย่างนี้บ่อย ๆ มันจะทำให้คนชั้นล่างอย่างพวกผม สามารถเขยิบฐานะเข้าใกล้คนชั้นกลางง่ายขึ้น ประชาธิปไตยนี่แหละ ที่จะช่วยกระชับช่องว่างระหว่างชนชั้นในประเทศนี้”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ชาติชายปรารถนาให้ประชาธิปไตยในประเทศนี้เบ่งบานอยู่ชั่วนิรันดร์ เขาจะได้ใช้สิทธิให้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
“ไม่ต้องทอนครับ นาน ๆ ครั้งผมจะได้ทิปให้พี่บ้าง ตามปกติเซ็นบัญชียาวเป็นหางว่าวตลอด” เขาพูดทิ้งท้ายพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเดินหนีบขวดเหล้าจากไปด้วยความรื่นรมย์ในชีวิต
จู่ ๆ ผมก็รู้สึกเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ความเป็นคนเส้นลึกทำให้ผมปวดศีรษะอยู่บ่อย ๆ ผมรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้แช่ และคว้าเบียร์ออกมากระป๋องหนึ่ง นึกในใจว่าจะถูกเมียด่าแต่เช้าก็ช่างหัวมันเถอะ ผมจะไม่ออกคำสั่งห้ามด้วยอำนาจของความเป็นผู้นำครอบครัวโดยเด็ดขาด ถูกต้อง เมียผมในฐานะพลเมืองของประเทศนี้ มีสิทธิที่จะด่าผัวได้วันละหลายครั้งถ้าเธอต้องการ เธอมีสิทธิพูด และผมต้องรักษาสิทธิข้อนี้ของเธอด้วยชีวิต นี่แหละคือข้อดีของระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา
“เนื้อเปื่อยหรือยัง”
ผมตะโกนถาม กะให้เสียงดังถึงครัวหลังร้าน เบียร์ที่ซัดเข้าไปหนึ่งกระป๋องรวดเดียวหมด ทำให้ผมเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย กลิ่นหอมของน้ำต้มเนื้อซึ่งโชยมาเป็นระยะ ๆ บอกว่า นี่จะเป็นอาหารเช้าอันโอชะอย่างแน่นอน
“ใกล้แล้วพี่ ใจเย็นนิดนึง เดี๋ยวก็ได้กินเกาเหลาเนื้อเปื่อยอร่อย ๆ แล้วจ้ะ” เมียรักตะโกนกลับมาด้วยสิทธิอันเท่าเทียมกัน
ระหว่างที่รอกินอาหารเช้า ผมตัดสินใจดื่มเบียร์อีก คราวนี้เล่นเป็นขวดมันเสียเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา จัดแจงรินเบียร์เย็นเจี๊ยบลงแก้ว แล้วเปิดดูคลิปวิดีโอบนจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไปด้วย
ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ได้อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพประชาชนกรูกันเข้าทุบรถยนต์ของนายกรัฐมนตรีจนยับเยิน ภาพเสรีชนปาถุงบรรจุอุจจาระใส่หน้านักการเมืองที่ตนชิงชัง พร้อมกับประกาศว่านี่คืออาวุธชีวภาพของคนจน ในกรณีกลับกันก็มีภาพนักการเมืองอารมณ์ไม่ดีชกต่อยกันเองด้วยลีลาระดับนักมวยอาชีพ พอเบื่อที่จะชกกันเองก็หันไปกระโดดถีบประชาชนด้วยสิทธิเสรีภาพที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ พวกช่างภาพต่างก็บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้มากมาย จนพูดได้ว่า ถ้าจัดแสดงเป็นนิทรรศการขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี
“ห่ะ โคตรรักประเทศนี้เหลือเกิน”
ผมดัดแปลงเอาคำพูดของชาติชายมาใช้ ตามกระแสอารมณ์ที่ประทุขึ้นยามเห็นภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้น และรีบกระดกเบียร์จนหมดแก้วเพื่อดับอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น นึกอยากใช้สิทธิของตัวเองบ้าง ด้วยการส่งอีเมลถึงนายกรัฐมนตรีสักฉบับหนึ่ง ทุกวันนี้ใครก็มีสิทธิส่งข้อความถึงผู้นำประเทศได้เสมอ โดยไม่ต้องติดแสตมป์ให้เสียเงินเสียเวลา แต่แล้วด้วยความที่เริ่มรู้สึกมึนหัว ผมจึงเปลี่ยนใจหันไปคว้ารีโมทมากดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ โดยเลือกสถานีที่รายงานข่าวได้รวดเร็วที่สุด
และแล้วก็เป็นอย่างที่เคยเป็นนั่นแหละ นายพลทหารระดับสูงกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ต่อหน้ากลุ่มนักข่าวสาวคราวลูกคราวหลาน เขาผู้มีกำปั้นและกล้ามใหญ่ที่สุดในประเทศยืนยันเป็นครั้งที่ร้อยว่า ”จะไม่ใช้สิทธิทำการปฏิวัติโดยเด็ดขาด”
“ระบอบประชาธิปไตยในประเทศของเรากำลังไปได้สวย” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์บนใบหน้าอูม ๆ พร้อมกับใช้มือตบลงบนเหรียญตรามากมายบนอกเสื้อสองสามครั้ง
ความจริงแล้วผมคิดว่า เขาไม่เห็นจะต้องเสียน้ำลายบูด ๆ ยืนยันเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเขาจะใช้สิทธิปฏิวัติ (ความจริงคือรัฐประหาร) ก็คงไม่มีใครขัดขวาง อย่างมากประชาชนคนมีเสรีภาพแห่งระบอบประชาธิปไตย ก็จะใช้สิทธิซื้อดอกกุหลาบแดงที่ปากคลองตลาด เพื่อนำไปปักลงในปากกระบอกปืนเอ็ม 16 หรือปืนใหญ่รถถังต่างแจกันเท่านั้นเอง
ประวัติศาสตร์สอนผมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าวงล้อของมันมักจะหมุนวนกลับมาทับรอยเดิมเสมอ ผมไม่เคยลืม นี่แหละคือข้อดีของระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา ทุกสิ่งทุกอย่างงดงามเสมอ ราวกับทุ่งดอกไม้แสนสวยในภาพยนตร์เรื่องเดอะซาวด์ออฟมิวสิคก็ไม่ปาน
ครั้นเบียร์หมดไปหนึ่งขวดกับอีกหนึ่งกระป๋อง ผมก็ชักจะติดลมเสียแล้วสิ ถูกต้อง ลมบนเลยทีเดียวเชียวแหละ จึงรีบจัดการใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ใครใคร่ดื่ม ดื่ม ใครใคร่เมา เมา ด้วยการเปิดเบียร์มาเพิ่มอีก มันแสดงให้เห็นถึงความสุขของคนเป็นไทผู้มีบ้านเป็นของตัวเอง มีเบียร์เป็นของตัวเอง และมีสิทธิเป็นของตัวเอง ช่างวิเศษเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นภาษาคนได้ มันคอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ผมคือเสรีชนแห่งระบอบประชาธิปไตย ในประเทศนี้ผมจะทำอะไรก็ได้ และผมกำลังใช้สิทธิอย่างมีความสุข
ความสุขนี้ทำให้ผมคิดถึงเพื่อนเก่าชื่อ “ไอ้เล็ก” ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สมัยที่ผมยังเรียนชั้นมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง ผมกับไอ้เล็กสนิทกันมาก พ่อของมันเป็นนักการเมือง เคยได้เป็นส.ส.ก็หลายสมัย มันจึงออกจะมีหัวทางการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ตอนกลางวันหลังกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับไอ้เล็กมักจะมานั่งเล่นหมากรุกกันที่ซุ้มดอกเห็ดหลังโรงเรียน ความที่หัวมันออกจะทึ่ม ๆ อยู่สักหน่อย ไอ้เล็กจึงเล่นแพ้ผมเสมอ แต่มักชอบกล่าวคำโตว่า “ในทางการเมือง ถ้าเราแพ้แต่ยังคงมีลมหายใจอยู่ เราย่อมสามารถลุกกลับมาเอาชนะได้เสมอ หากหัวใจยังคงปรารถนาจะต่อสู้เพื่อประชาชน”
หลังเรียนจบชั้นมัธยมเราก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ส่วนไอ้เล็กไปเรียนต่างประเทศ ครั้นจบการศึกษาก็กลับมาเดินตามรอยเท้าของผู้ให้กำเนิด จนกลายเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เปี่ยมด้วยอุดมการณ์ นาน ๆ ครั้งเราจะได้เห็นนักการเมืองประเภทนี้ที่สามารถกินอุดมการณ์ได้ทุกวัน กินอย่างชนิดที่ไม่กลัวจะท้องแตกตาย นักการเมืองพวกนี้ไม่เคยกลัวว่าอุดมการณ์จะหมดหรือพร่องไปแม้แต่น้อย
ทว่าภายหลังเกิดอะไรขึ้น ผมไม่แน่ใจนัก เมื่อไอ้เล็กหันไปซบพรรคการเมืองใหม่ ดูจากในข่าวจะเห็นว่า มันชอบติดสอยห้อยตามไปยกกระโถนให้หัวหน้าพรรคใหม่อยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่มักทำหน้าที่คอยพยักหน้าให้สอดรับกับคำพูดของหัวหน้าพรรคมากกว่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องหรืองานง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไป
สองสามปีต่อมาไอ้เล็กก็ได้เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยฯ เป็นของสมนาคุณ เดินไปทางไหนมีแต่คนยกมือไหว้กันเป็นฝักถั่ว ดูน่าเลื่อมใสในอำนาจวาสนาเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งไอ้เล็กกลายเป็นบุคคลตัวอย่าง และเป็นภาพสะท้อนยืนยันถึงความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี
คิดถึงไอ้เล็กแล้ว ผมก็เปลี่ยนใจไม่ส่งอีเมลถึงนายกรัฐมนตรี ผมควรส่งถึงเพื่อนเก่าอย่างมันมากกว่า จะได้ใช้สิทธิแห่งความเป็นเพื่อนและประชาชนผู้เสียภาษีไปพร้อมกัน ทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเราเสียภาษีให้รัฐโดยไม่คิดจะหลีกเลี่ยง ไม่ว่าภาษีนั้นจะถูกนำไปใช้อย่างมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม เราก็ย่อมจะมีสิทธิจะทำอะไร ๆ ได้โดยสะดวก เพราะขนาดคนที่ชอบหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี ยังสามารถใช้สิทธิทำเรื่องตามใจชอบของตนได้อย่างมันมือ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายทางสื่อต่าง ๆ
กำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง พลันข่าวบนจอโทรทัศน์ก็เปลี่ยนไปเป็นการรายงานเหตุการณ์สด ภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะสำลักเบียร์ที่จ่อปากอยู่ เมื่อเจ้าหน้าตำรวจและทหารกำลังทำผิดพลาดด้วยการใช้อำนาจสลายการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย
กระสุนยางและแก๊สน้ำตาถูกยิงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ควันขาวทึบฟุ้งโขมงอยู่เหนือถนน ฝ่ายประชาชนพยายามต่อต้านอย่างอดทนเพื่อระบอบประชาธิปไตย พวกเขาโต้ตอบด้วยการขว้างปาก้อนหินและขวดบรรจุน้ำมัน หลายครั้งใช้ปืนที่ก่อนหน้านี้ซ่อนไว้ยิงสวนกลับไปบ้าง เพื่อไม่ให้เสียสิทธิอันเท่าเทียมกัน ระหว่างนั้นบนท้องถนนสับสนไปด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่เป็นระยะ ๆ ราวกับเสียงจุดดอกไม้ไฟตามงานเทศกาลเฉลิมฉลอง
“เทศกาลประชาธิปไตยรำลึก” เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงคนร้องรำเริงร่า แม้ฟังดูคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บกำลังครวญครางโอดโอยโหยหวนก็ตามที ประชาชนหลายคนวุ่นอยู่กับการเดินตามหาชิ้นส่วนแขนขาของเพื่อนซึ่งกระเด็นหายไป เพื่อแปะชื่อที่อยู่ แล้วส่งชิงเงินรางวัลก้อนโตจากรัฐ
บัดนี้ ทุกคนกำลังอยู่ท่ามกลางการใช้สิทธิที่เลือกสรรแล้ว พวกนักข่าวทั้งในและต่างประเทศพยายามบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ให้ชาวโลกรับรู้ทุกแง่มุม จึงเชื่อได้ว่า คนรุ่นหลังจะต้องตระหนักถึงความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในยุคสมัยของเราอย่างแน่นอน เผลอ ๆ บรรดาประเทศประชาธิปไตยใหม่อาจต้องส่งสาส์นมาขอดูงาน ในฐานะที่เราเป็นประเทศประชาธิปไตยตัวอย่างก็เป็นได้
ผมนั่งฝันหวานแต่เช้าด้วยความภูมิใจ เลือดรักชาติกำลังเต้นเร่า ๆ อยู่ในอกเหี่ยว ๆ ของผมตามที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างยาวนาน คอยดูเถอะ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจำนวน 47 ประเทศ จะต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้แก่ความก้าวหน้าของการพัฒนากลไกการใช้สิทธิ และระบอบประชาธิปไตยในประเทศของเราอย่างแน่นอน
“อ้าว ไอ้แก่ เผลอหน่อยเดียวซัดเบียร์แต่เช้าอีกแล้ว”
เมียรักปั้นหน้ายักษ์พลางเอ็ดตะโร ขณะวางชามเกาเหลาเนื้อเปื่อยกระแทกลงบนโต๊ะตรงหน้า น้ำซุปในชามกระฉอกออกมาเลอะคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
“ยิงกันใหญ่…” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยการพยักเพยิดไปทางจอโทรทัศน์
“เรื่องของพวกมัน คนทำมาหากินก็มีหน้าที่ทำงานงก ๆ กันต่อไป”
“พูดยังงี้ก็ไม่ถูกนะ ประชาธิปไตยของประเทศเรากำลังก้าวหน้า นั่นไงล่ะ ทหารออกมาใช้สิทธิ์ทำรัฐประหารอีกแล้ว แม้แต่พวกที่เคยชินกับการออกคำสั่งและรับคำสั่งอย่างทหาร พวกเขาก็ยังรู้จักใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยเลยนะ ถึงแม้ชอบใช้สิทธิบอกว่า จะไม่ใช้สิทธิทำรัฐประหารทุกครั้งที่มีใครถามก็เถอะ” พูดจบผมก็ใช้ช้อนตักเกาเหลาร้อน ๆ ขึ้นมาชิมดู
“ช่างหัวมันเถอะ” เมียของผมส่ายหน้า ก่อนจะถามว่า ”รสชาติเป็นไงบ้างล่ะ ปรุงสุดฝีมือเลยนะวันนี้”
“น้ำซุปหวานหอม เนื้อก็เปื่อยได้ที่เลยจ้ะ”
ผมพูดพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ พร้อมกับรินเบียร์เพิ่มจนฟองล้นออกมานองโต๊ะ จากนั้นดื่มทีเดียวเสียเกลี้ยง แล้วยกแก้วว่างเปล่าชูขึ้นเหนือศีรษะ
“แด่…ความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้” ผมตะโกนออกมาอย่างเมา ๆ ก่อนจะหัวเราะเหมือนคนบ้า
หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เดือนมกราคม พ.ศ. 2554