เรื่องสั้นไทย “หมอดูตาทิพย์” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น-หมอดูตาทิพย์-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

อาจารย์แว่นกำลังมองเงินสด ๆ หอมกรุ่นปึกนั้นด้วยอาการสองจิตสองใจง“ช่วยผมด้วยเถอะครับ อาจารย์”

“มันจะผิดครูเอานา ข้าไม่เคยใช้ตาทิพย์เกินวันละสามครั้ง อาจารย์ของข้าอนุญาตให้ใช้ได้เพียงเท่านั้น”

“แต่ผมเดือดร้อนจริง ๆ ไม่งั้นคงไม่ดั้นด้นมาถึงนี่”

ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าพูดจบก็วางเงินลงบนตักของอาจารย์แว่น ส่งผลให้ความรู้สึกลังเลก่อนหน้านี้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกระดาษสารพัดนึกส่งกลิ่นเย้ายวนใจ

“โอเค ตกลงข้าจะช่วยเอ็งก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่เพราะ

เงินนี่หรอกนะ เป็นเพราะเห็นว่าเอ็งเดือดร้อนมาจริง ๆ มากกว่า”

อาจารย์ผู้เลื่องลือด้านตาทิพย์พูดพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะยัดปึกธนบัตรใส่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันก็จ้องมองผ่านแว่นตากันแดดสีเข้มของผู้มาเยือนเหมือนจะค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนยอมจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือ คนส่วนมากที่มาที่นี่มักจะขอต่อรองค่ายกครูด้วยกันทั้งนั้น

“เอาละ ว่ามาซิ จะให้ข้าช่วยอะไรเอ็ง”

แทนคำตอบ ชายแว่นดำในชุดซาฟารีสีเข้มรีบยื่นภาพถ่ายของบุรุษในชุดสากลให้

“นี่คงเป็นคนที่เอ็งต้องการให้ข้าใช้ตาทิพย์ค้นหาใช่มั้ย”

“ครับอาจารย์ ถ้าหาไม่พบ ผมแย่แน่ นายคงไม่เลี้ยงผมอีกแล้ว ที่สำคัญจะพลอยซวยกันไปหมด ไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่”

อาจารย์แว่นลูบคลำพลางเพ่งรูปถ่ายในมืออยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยอยิ้มออกมา

“ชายผู้นี้เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับฝ่ายตรงข้ามของนายพวกเอ็งนี่หว่า” พูดไปแล้ว ผู้มีอำนาจวิเศษก็สังเกตเห็นว่าชายแว่นดำมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย

“อาจารย์รู้หรือครับ แหม ไม่เสียแรงที่ผมมาขอความช่วยเหลือ จริงอย่างที่อาจารย์ว่า ชายคนนี้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกผม แต่ตอนนี้ได้หายสาบสูญไป สังคมจึงเพ่งเล็งมาที่พวกผม หาว่าเป็นคนอุ้มนักกฎหมายคนนี้ไป”

“มันเสียชีวิตแล้วนี่”

คราวนี้อาจารย์แว่นเห็นชายแว่นดำยิ้มตรงมุมปาก

“หายไปนานเป็นปีอย่างนี้ ไม่ตายก็แปลกละครับอาจารย์ แต่ถึงตายแล้ว ผมก็อยากหาศพให้พบ จะได้บอกกับสังคมว่า พวกผมพยายามติดตามช่วยเหลือและค้นหาชายคนนี้แล้วนะ”

อาจารย์ตาทิพย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายหยิบกระดาษขาวมาแผ่นหนึ่งพร้อมด้วยปากกา ก่อนจะหลับตาสงบจิตใจระลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชา แล้วท่องบ่นสาธยายมนต์ตามตำรา ไม่นานนักก็ลืมตาขึ้น และลงมือเขียนลายเส้นขยุกขยิกลงบนกระดาษ

“นี่คือแผนที่แถวจังหวัดมหาสารคาม เอ็งไปติดตามหาเอาเถอะ ศพฝังอยู่ตรงไหนข้าเขียนบอกไว้หมดแล้ว”

ชายแว่นดำรับไปดูก่อนจะครางออกมาเบา ๆ

“ผมอ่านแผนที่ของอาจารย์ไม่ออกหรอกครับ ยังกับลายแทงขุมทรัพย์ เอาอย่างนี้ดีกว่า อาจารย์ช่วยพาพวกผมไปค้นหาศพให้เจอ แล้วผมจะเพิ่มเงินให้อีกเท่าตัว”

น้ำเสียงจริงจังของชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าทำให้อาจารย์แว่นรีบตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด เขาได้แต่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องกับลาภอันประเสริฐในวันนี้ เงินจำนวนมากที่ได้มาคงจะทำให้บรรดาสาว ๆ คู่ขาของเขาพออกพอใจไปตาม ๆ กัน

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบออกเดินทางกันเถอะ เราต้องเดินทางกันอีกไกล นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว”

“มหาสารคามแค่นี้เอง คนของผมขับรถเพียงสี่ห้าชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ”

อาจารย์แว่นพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเรียกเด็กรับใช้เพื่อสั่งความสองสามคำ แล้วก้าวตามชายแว่นดำไปขึ้นรถกระบะสี่ประตูซึ่งจอดติดเครื่องรออยู่หน้าบ้าน โดยนั่งตอนหลังด้วยกันทั้งคู่ ส่วนทางตอนหน้านั้นมีคนขับรถกับชายฉกรรจ์อีกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“นี่ถ้าข้าเปลี่ยนมาใส่แว่นดำบ้าง ใครต่อใครก็คงนึกว่าข้ากับพวกเอ็งอยู่ก๊วนเดียวกัน ฮา ฮา”

อาจารย์แว่นพูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่มีใครโต้ตอบ นอกจากพากันยิ้มที่มุมปาก น่าแปลกที่รอยยิ้มเช่นนี้ทำให้อาจารย์แว่นรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

“เฮ้ย ไอ้โหด รีบบึ่งรถไปอำเภอแกดำด่วนเลย”

“ครับ ลูกพี่” คนขับรถรับคำสั้น ๆ แล้วบังคับพาหนะคู่ใจเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไหนเอ็งว่าอ่านแผนที่ของข้าไม่ออกไง แล้วทำไมถึงรู้ว่าต้องไปที่อำเภอแกดำ”

ผู้มีตาทิพย์ถามไถ่ด้วยความสงสัย พยายามมองทะลุแว่นดำเข้าไปเพื่อค้นหาความจริงอีกครั้ง

“ผมอ่านได้แค่คร่าว ๆ เท่านั้นเองครับ แต่รายละเอียดผมดูไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้ก็คงไม่ต้องรบกวนอาจารย์ให้เปลืองเงิน”

ได้ยินคำตอบอย่างนั้นอาจารย์แว่นจึงสิ้นสงสัย นึกเร่งเวลาให้ถึงที่หมายไว ๆ จะได้กลับกรุงเทพฯ เสร็จงานนี้แล้วเขาน่าจะมีเงินนอนตีพุงอยู่กับบ้านสบาย ๆ คงไม่ต้องต้อนรับลูกค้าไปอีกเป็นเดือน คิดแล้วก็ภูมิใจในชีวิตที่มีพรสวรรค์เป็นของตัวเอง และเกิดมาเพื่อทำงานเบารายได้ดี มิหนำซ้ำยังมีคนคอยเคารพนบนอบมากมาย ดูอย่างคนในรถพวกนี้เถอะ ขนาดพวกมันพากันพกปืนตุงเอวกันทุกคนก็ยังต้องพินอบพิเทาคนอย่างเขา อาจารย์แว่นเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ด้วยความภาคภูมิใจไปตลอดทาง

ในที่สุดอาจารย์แว่นพร้อมด้วยคณะชายแว่นดำก็เดินทางมาถึงตัวจังหวัดมหาสารคามราวสี่ทุ่มเศษ ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนตามท้องถนนบางตาไปมากแล้ว ถึงกระนั้นร้านอาหารบนบาทวิถีก็ยังพอมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ ต่างพากันเปิดไฟสว่างไสวเพื่อเรียกลูกค้า

“แวะหาอะไรรองท้องกันก่อนดีไหมครับอาจารย์ อยากกินอะไรก็บอกผมมา”

ชายแว่นดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นห่วงเป็นใย

“อย่าเสียเวลาเลยว่ะ รีบไปอำเภอแกดำเถอะ ข้าอยากกลับกรุงเทพฯ เต็มทีแล้ว นาน ๆ นั่งรถไกลแบบนี้ มันเมื่อยแข้งขา”

“แน่ใจหรือครับ ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรอาจารย์จะได้กินข้าวอีกนะ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เสร็จเรื่องกันไปเสียที”

รถกระบะเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ขณะทะยานฝ่าสายลมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง

เส้นทางเข้าสู่พื้นที่อำเภอแกดำดูเปลี่ยวและวังเวงยิ่งนัก สองข้างทางเป็นป่ายูคาลิปตัสหรือต้นไม้อะไรสักอย่างหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกัน

“เดี๋ยวเลยโค้งนี้ เอ็งชะลอหน่อยแล้วกัน พอเห็นศาลพระภูมิร้างก็เลี้ยวซ้ายได้เลย มันจะมีทางเล็ก ๆ เข้าไปในป่าละเมาะ”

“รถอย่างนี้น่าจะลุยเข้าไปได้” อาจารย์แว่นกล่าวกับคนขับรถเสียงเบาพอได้ยิน เพียงครู่เดียวรถกระบะก็แล่นมาถึงศาลพระภูมิซึ่งมีสภาพรกรุงรัง มิหนำซ้ำยังเก่าโทรมเหมือนถูกทิ้งร้างปราศจากการดูแลมานาน คนขับรถค่อย ๆ เลี้ยวเข้าไปตามทางดินด้วยความระมัดระวัง โดยเปิดไฟสูงส่องออกไปไกลเพื่อจะเห็นทางได้ชัดเจน

“ตรงไปเรื่อย ๆ เจอจอมปลวกใหญ่ค่อยจอดรถ”

อาจารย์แว่นพูดเหมือนคนชำนาญพื้นที่ แต่ที่จริงเป็นการพูดเหมือนตาเห็นมากกว่า

เมื่อคนขับรถพบจอมปลวกตามที่อาจารย์แว่นบอก จึงบังคับรถคลานเข้าไปจอดใกล้ ๆ จากนั้นหันมาถามชายแว่นดำ

“เอาไงต่อครับ ลูกพี่”

“ก็ลงสิวะ เอาจอบเอาพลั่วติดมือไปด้วย”

อาจารย์แว่นมองชายแว่นดำอย่างสนเท่ห์ใจ

“เอ็งพูดเหมือนตาเห็นว่าจะต้องเจออะไร ท่าทางเก่งพอ ๆ กับข้า หรือว่าจะแกล้งมาลองของกันแน่วะ”

“คิดมากน่าอาจารย์ ถ้าผมเก่งเหมือนอาจารย์คงไม่ต้องเสียเงินหรอก แต่อาจารย์พูดเองนะ ว่าคนที่ผมตามหาเป็นศพไปแล้ว ศพมันก็น่าจะถูกฝังอยู่ไม่ใช่หรือครับ ผมถึงได้สั่งให้เอาพลั่วมาขุด”

“เอ็งนี่รอบคอบดีแท้ เตรียมมาพร้อมทุกอย่าง ดูเอาเถอะ ขนาดจอบเสียมยังมี แถมยังยางอะหลั่ยกับถังน้ำมันสำรองอีก เตรียมมาซะเต็มกระบะหลังเหมือนจะเดินทางหลายวัน แบบนี้น่าจะมาเป็นลูกศิษย์ข้านะ สนใจไหมล่ะ”

“ไม่เอาละครับ” ชายแว่นดำหัวเราะหึ ๆ พลางส่ายหน้า “แค่มีนายคนเดียวผมก็จะกระอักเลือดอยู่แล้ว ถูกใช้ให้ทำโน่นนี่ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน อะไรที่ไม่อยากทำก็ต้องทำ ขัดใจนายได้ซะที่ไหน อย่างงา

วันนี้ผมไม่อยากรับเลยครับ เห็นว่าเป็นวันพระเสียด้วย แต่ก็ต้องรับ เฮ้อ…”

อาจารย์ตาทิพย์ตบไหล่ชายแว่นดำเหมือนสนิทสนมกันมานาน จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถ แล้วหยุดสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวที่มีแต่ความสงัด ขนาดเสียงหรีดหริ่งหรือแมลงกลางคืนสักตัวหนึ่งก็ยังไม่ได้ยิน ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตเพียงแค่มนุษย์สี่คนจากเมืองหลวงเท่านั้น

แสงไฟหน้ารถกระบะทำให้มองเห็นอาณาบริเวณโดยรอบเป็นวงกว้าง อาจารย์แว่นชี้ให้ทุกคนดูมูลดินห่างออกไปราวสิบก้าว

“ตรงมูลดินโป่งขึ้นมานั่นแหละขุดได้เลย ศพอยู่ใต้นั้นลึกราวสามศอกเห็นจะได้”

ชายแว่นดำพยักพเยิดให้ลูกน้องทำตามที่อาจารย์แว่นบอก และด้วยความแข็งแรงของหนุ่มฉกรรจ์สองคน สักพักใหญ่ ๆ ก็สามารถเปิดหน้าดินจนกลายเป็นหลุมใหญ่และลึก

“ลูกพี่ พบศพแล้วครับ เป็นไอ้หมอนั่นจริงด้วย ผมจำรอยแทงสิบสามแผลด้านหลังได้ครับ เสื้อมันยังไม่เปื่อยเลยเห็นรอยแทงชัด แต่ศพแห้งเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้ว”

อาจารย์แว่นฟังด้วยความประหลาดใจ รีบเดินตามชายแว่นดำไปดูศพที่ปากหลุม

“ใช่แล้ว ศพนี่ไม่ผิดตัวแน่ เป็นคนเดียวกับในรูปที่เอ็งให้ข้าดู แล้วจะเอายังไงกันต่อ อย่าบอกนะว่าจะขนขึ้นรถไปทั้งอย่างนี้ เหม็นตายห่ากันพอดี”

“พบศพแล้วอาจารย์ก็กลับบ้านได้สิครับ” ชายแว่นดำยิ้มและเอ่ยเป็นเสียงเยาะ ๆ

“เงินที่เอ็งสัญญาว่าจะให้ข้าเพิ่มล่ะ”

ชายแว่นดำส่ายหน้าช้า ๆ

“กลับบ้านเก่าไม่ต้องใช้เงินหรอก อาจารย์”

ได้ยินอย่างนั้นอาจารย์แว่นถึงกับผงะหนี แต่แรงกระแทกจากการถูกถีบเข้าทางด้านหลัง ก็ทำให้ผู้มีตาทิพย์กระเด็นตกลงไปในหลุมศพโดยไม่ทันตั้งตัว

“เฮ้ย พวกเอ็งคิดจะทำอะไรวะ รีบพาข้าขึ้นไปเดี๋ยวนี้ อึ๋ย…” อาจารย์แว่นตะโกนเสียงสั่น พร้อมกันนั้นก็ครางด้วยความขยะแขยงศพเน่าก้นหลุม แต่ก็ต้องคอยกระโดดหลบยางรถยนต์ที่ถูกเหวี่ยงลงมาทีละเส้น

“พอโว้ยไอ้โหด แค่ห้าเส้นนี่กระดูกก็บ่นเป็นแป้งแล้ว”

“พวกเอ็งเล่นตลกอะไรกัน คอยดูเถอะ ข้าจะให้ตำรวจมาลากคอพวกเอ็งข้อหาทำร้ายร่างกาย…”

พูดไม่ทันจบ อาจารย์ตาทิพย์ก็สำลักน้ำมันเบนซินที่สาดลงมาเข้าหูเข้าปาก ความรักตัวกลัวตายบังเกิดขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าจะมีอะไรตามมาอีก รีบตะเกียกตะกายปีนหลุมโดยไม่คิดชีวิต แต่ก็ถูกถีบกลับลงไปทุกครั้ง ในเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายนี้เอง อาจารย์แว่นได้ยินชายแว่นดำสั่งกับลูกน้องว่า

“เผาเสร็จแล้วพวกมึงอย่าลืมโกยกระดูกไปทิ้งแม่น้ำด้วย ต้องทำลายหลักฐานให้หมดทั้งของเก่าของใหม่ พอกันทีกับการอุ้มมาฝังแบบนี้ โคตรแม่งเอ๊ย ใบสั่งเยอะจนจำไม่ได้ว่าศพไหนอยู่หลุมไหน ถ้าฝ่ายตรงข้ามได้ศพนี้ไปก่อนก็จบเห่กัน โชคดีที่ได้ไอ้หมอดูตาทิพย์นี่มาช่วยไว้แท้ ๆ ไม่งั้นนายเล่นงานตายห่ะ”

ใครคนหนึ่งจุดไม้ขีดไฟคราวเดียวสิบกว่าก้านแล้วโยนลงก้นหลุม เปลวเพลิงพลันลุกโชติช่วงราวขุมนรก หมอดูตาทิพย์ส่งเสียงร้องโหยหวน

วินาทีสุดท้ายก่อนที่วิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง ชายเคราะห์ร้ายยังทันได้ยินเสียงชายแว่นดำแว่วมาว่า

“สวัสดีครับนาย เก้าอี้ของนายไม่หักแน่นอน ผมตามล้างตามเช็ดให้หมดแล้ว”


หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์   เดือนมิถุนายน   พ.ศ.  2548