เรื่องสั้นไทย “นักประพันธ์จัตวา” โดย ธาร ยุทธชัยดินทร์

นักประพันธ์จัตวา ผลงานเรื่องสั้น โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

มุมเรื่องสั้นไทย

ชายหนุ่มกำลังรู้สึกเงอะงะขัดเขิน เมื่อต้องเดินเข้าไปติดต่อธุระในธนาคารแห่งหนึ่ง

เขาจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัสกลิ่นอายของเงินตราในธนาคารนั้น คือวันเดือนหรือปีใด ภาพจากอดีตเป็นเช่นเงาสลัวอันมัวซัว ซึ่งไหวไปมาอยู่ในความทรงจำเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม เขาถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว หากขืนทำอะไรบัดซบอย่างที่แอบคิด เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง เขาก็จะไม่มีเงินสำหรับซื้อความเบิกบานให้แก่ลูกผู้เป็นที่รักยิ่ง และเขาคงไม่อาจทนทานต่อความเจ็บปวดได้ หากต้องเห็นความผิดหวังเสียใจในแววตาของลูกสาว แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง

ยามนี้เมื่อก้าวผ่านประตูกระจกเข้ามาแล้ว เขาจึงได้แต่สูดลมหายใจลึก ๆ เข้าปอดแฟบ ๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น มือ

ที่กำแน่นอยู่รู้สึกได้ถึงคราบเหงื่อเปียกชื้น ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมสอดส่ายสายตาหาเป้าหมาย และคงเป็นเพราะอากัปกิริยาเช่นนี้กระมัง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงเดินตรงรี่เข้ามาหา

“ติดต่อเรื่องอะไรหรือครับ”

“ผม…ผม” ชายหนุ่มพยายามพูด แต่กลับพูดไม่ออก“เอ๊ะ ท่าทางคุณเหมือนนักประพันธ์ หรือว่ามาสมัครเข้าร่วมโครงการตามนโยบายของรัฐบาลครับ”
ความเฉลียวฉลาดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ครับ…ครับ ผมมาด้วยเรื่องนั้น”

จากที่เคยจินตนาการว่าอาจจะต้องพบกับความยุ่งยาก แต่เรื่องราวกลับง่ายจนคาดไม่ถึง เขาปล่อยให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพาเดินไปที่โต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งบนโต๊ะมีแผ่นกระดาษแข็งสีขาว  พิมพ์ข้อความสอดไว้ในกรอบพสาสติกใสว่า “โครงการแปลงสินทรัพย์นักประพันธ์เป็นทุน”

“เชิญนั่งค่ะ” พนักงานสาวหน้าตาสะสวยเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงไพเราะ ทว่านั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกประหม่ามากขึ้น จนต้องนั่งลงอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ

“ขอบัตรประจำตัวด้วยค่ะ” สาวธนาคารพูดด้วยน้ำเสียงหวานและเบา แล้วหันไปหยิบกระดาษรูปร่างหน้าตาเหมือนแบบฟอร์มอะไรสักอย่างหนึ่งมาวางบนโต๊ะ

เขารีบควักบัตรประชาชนจากกระเป๋าเงินที่ไม่มีเงินมานานแล้วยื่นให้ เห็นอีกฝ่ายรับไปพิจารณาดูราวอึดใจหนึ่ง ก่อนจะใช้ปากกาเขียนข้อความลงบนแบบฟอร์มนั้น

“ขอทราบนามปากกาด้วยค่ะ”

“ปากกาหัก…ครับ”

ชายหนุ่มบอกด้วยความภาคภูมิใจเหมือนเช่นทุกครั้งที่มีคนถาม แม้ว่าทุกคนที่ได้ยินนามปากกาของเขาเป็นครั้งแรกจะต้องอมยิ้มและกลั้นหัวเราะก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่สาวสวยรายนี้

“ขอโทษเถอะค่ะ ดิฉันสัมภาษณ์นักประพันธ์ตั้งแต่เริ่มโครงการมาไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน ยังไม่เคยพบว่านามปากกาของใครจะกระตุ้นความสนใจได้เท่ากับของคุณมาก่อน คุณพอจะช่วยบอกถึงแรงบันดาลใจที่เลือกใช้นามปากกานี้ได้ไหมคะ”

“ไม่มีอะไรมากนักหรอกครับ มันไม่ใช่นามปากกาขายดีหรือมีชื่อเสียง” เขายิ้มด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า “ความหมายในนามปากกาของผมก็คือเป้าหมายในการเขียนหนังสือนั่นเอง ผมฝันว่าคงมีสักวันหนึ่งที่นักวิจารณ์ทั้งหลาย เมื่อได้อ่านเรื่องของผมแล้วจะต้องปากกาหักหรือหักปากกาของพวกเขาทิ้งไป เนื่องจากไม่กล้าเขียนวิจารณ์ เพราะมันเป็นงานเขียนอันยอดเยี่ยมไร้ที่ติครับ พวกเขาจะทำได้ก็เพียงลุกขึ้นยืนและปรบมือให้ผมเท่านั้น”

เขาเห็นหญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนคำถามใหม่

“คุณเป็นนักประพันธ์ระดับไหนคะ”

“หมายถึงระดับอะไรหรือครับ” คำถามนี้ทำให้เขางุนงง

“ในแบบฟอร์มนี้กำหนดให้ระบุด้วยว่า นักประพันธ์ที่เข้าร่วมโครงการมีความสามารถระดับไหน บางทีคุณน่าจะเป็นนักประพันธ์เอก”

ชายหนุ่มอมยิ้ม คำว่า “นักประพันธ์เอก” ช่างฟังดูเสนาะหูยิ่งนัก

“คุณสมบัติของนักประพันธ์เอกเป็นยังไง พอจะบอกได้ไหมครับ”

“ในหมายเหตุนี่ระบุว่า ‘นักประพันธ์เอกคือผู้ที่เคยได้รับรางวัลระดับสากลมาแล้ว นามปากกาและผลงานได้รับการยอมรับจากสถาบันต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ’ ค่ะ”

เขาฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“ผมยังไปไม่ถึงระดับนั้นหรอกครับ ว่าแต่ยังมีนักประพันธ์ระดับไหนอีกบ้าง”

“มีนักประพันธ์โท นักประพันธ์ตรี แล้วก็…นักประพันธ์จัตวาค่ะ”

ชายหนุ่มอยากหัวเราะ ทว่ากลับหัวเราะไม่ออก

“มันต่างกันยังไงหรือครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก”

“นักประพันธ์โทก็พวกที่มีผลงานรวมเล่มเป็นจำนวนมาก บางเล่มถูกซื้อไปสร้างละครโทรทัศน์ ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป”

“ไม่ใช่ผมแน่ครับ ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น”

“บางทีคุณอาจเป็นนักประพันธ์ตรี ได้แก่ผู้ที่มีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารต่าง ๆ สม่ำเสมอ ผลงานได้รวมเล่มแต่ยังไม่มากนัก คุณเป็นอย่างนั้นใช่มั้ยคะ”

เขาพยายามยิ้มอย่างทระนงให้สมกับที่ได้เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ ก่อนจะตอบว่า “ก็ไม่ใช่ผมอีกนั่นแหละ ผมเคยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารเล็ก ๆ สองสามครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะพิมพ์ในหนังสือแจกงานศพของเครือญาติกันเสียมากกว่า คุณคงรู้นะครับ มันง่ายที่จะขอร้องให้พวกเขาช่วยแทรกงานเขียนของผมลงไป”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นนักประพันธ์จัตวา ตกลงตามนี้ ถูกต้องนะคะ” พนักงานธนาคารสาวสวยสรุป พร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่นี้เรามาพูดกันถึงสินทรัพย์ที่คุณจะนำมาแปลงเป็นทุนบ้าง”

“พวกนักประพันธ์เอกเขาใช้อะไรเป็นสินทรัพย์กันล่ะครับ”
เขาเริ่มรู้สึกถึงความยุ่งยากที่จะได้เงินสักก้อนเสียแล้ว

“ส่วนใหญ่นักประพันธ์เอกจะใช้ลิขสิทธิ์ผลงานและชื่อเสียงมาแปลงเป็นทุนค่ะ นักประพันธ์ระดับอื่นก็ทำเช่นนั้น ทางธนาคารจะประเมินราคาให้อย่างสมเหตุสมผล ข้อนี้คุณไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ทำงานให้”

“ผลงานและชื่อเสียงของผมคงตีราคาไม่ได้” เขาพูดออกไปในสภาพคอตก พลันก็นึกถึงใบหน้าของลูกรัก นี่คงเป็นอีกครั้งที่เขาทำให้ลูกผิดหวังเสียใจ ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของลูก แล้วลูกก็ร่ำร้องอยากกินเป็ดพะโล้สักตัวหนึ่ง หลังจากที่ต้องกินต้มฟักซี่โครงไก่มาอย่างยาวนาน เขายังคงเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้อยู่เหมือนเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากขึ้น

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ คุณนักประพันธ์”

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เงยหน้าหันไปมองรอบ ๆ ตัว รู้สึกสะท้อนใจที่เห็นลูกค้ารายอื่นเข้ามาฝากและถอนเงินกันอย่างสำราญใจ และเมื่อสายตาของเขาไปสะดุดอยู่ที่กองเงินสูงท่วมหัวของพนักงานหลังเคาน์เตอร์ไกลออกไป เขาก็ได้แต่คิดฝันว่าถ้าเขามีแค่เศษเสี้ยวของเงินกองนั้น ลูกของเขาก็คงไม่ต้องพบกับความผิดหวังไปชั่วชีวิต

ในที่สุดเขาถอนใจ รีบกัดฟันลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมคว้าบัตรประจำตัวคืนมา

“ขอบคุณมากครับ ผมไม่มีอะไรที่จะแปลงเป็นทุนได้หรอกครับ ผลงานของผมแค่ท้าทายกาลเวลาได้วันสองวัน หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นถุงกล้วยแขก ลาก่อนครับ ขอขอบคุณอีกครั้ง”

ชายหนุ่มเดินดุ่มตรงกลับไปที่ประตูกระจกใสบานใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมทำความเคารพอย่างเข้มแข็ง แล้วเปิดประตูให้ เขาผงกศีรษะและส่งยิ้มหม่น ๆ เป็นการขอบคุณ จากนั้นก็เดินออกไปหยุดอยู่บนทางเท้าหน้าธนาคารด้วยความรู้สึกอ้างว้าง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในหัวใจด้วย

เขาล้วงเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู มีเพียงเหรียญบาทนับได้แค่หกเหรียญ ยังดีที่พอเป็นค่ารถโดยสารกลับบ้านได้ แต่ทันใดนั้นเองโชคร้ายก็มาเยี่ยมเยียนเขาอีกครั้ง เมื่อพนักงานประจำรถขนเงินสามคนที่ช่วยกันแบกถุงเงินใบเท่ากระสอบข้าวลงจากรถหุ้มเกราะ ได้เดินมาเฉี่ยวชนมือของเขาเข้าอย่างแรงจนเหรียญทั้งหมดกระจายลงพื้น ในห้วงเวลานั้นแม้จะรู้สึกอับอาย ทว่าเขาก็ต้องรีบวิ่งไล่ตะครุบเหรียญเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกอย่างดูท่าจะจบลงด้วยดี ถ้าเหรียญบาทสุดท้ายจะไม่กลิ้งตกลงรูฝาท่อระบายน้ำไปเสียก่อน

“โฮลอินวัน” เสียงคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวนั้นตะโกนลั่น 

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ภายในใจคิดไปในทางที่ดีว่า “ไม่เลวเหมือนกัน” ในเมื่อเงินไม่พอขึ้นรถโดยสาร เขาก็จะเดินกลับบ้านโดยถือเสียว่าเป็นการออกกำลังกาย มิหนำซ้ำยังมีเงินเหลือพอซื้อขนมราคาถูกให้ลูกกินเล่นอีกตั้งห้าบาท

กำลังจะก้าวเท้ากลับบ้านอยู่นั่นเอง พนักงานสาวสวยคนเดิมก็เดินแกมวิ่งเข้ามาหา

“ดีใจจังค่ะ ที่คุณนักประพันธ์ยังไม่ไปไหน ดิฉันเล่าเรื่องของคุณให้ผู้จัดการฟังแล้ว ผู้จัดการจึงอยากขอให้คุณพิจารณาเข้าร่วมโครงการอีกสักครั้ง”

“ผมไม่มีอะไรจริง ๆ ผมไม่มีสิ่งมีค่าใด ๆ”

ทั้งที่ย้ำไปอย่างนั้น แต่หญิงสาวยังคงคะยั้นคะยอให้เขากลับเข้าไปลงชื่อในใบสมัครอีกครั้ง

“ทุกเรื่องทุกปัญหา น่าจะมีทางออกที่ดีค่ะ”

ชายหนุ่มคิดถึงรอยยิ้มสมหวังของลูก เขาจึงตัดสินใจเดินตามพนักงานสาวกลับเข้าไปอีกครั้ง และที่โต๊ะตัวเดิม เขาได้พบกับผู้จัดการโครงการแปลงสินทรัพย์นักประพันธ์เป็นทุน

“ลองคิดดูดี ๆ สิครับ ว่าคุณมีอะไรที่พอแปลงเป็นทุนได้ ถ้าไม่ใช่ลิขสิทธิ์งานที่ทำเงิน ก็น่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่มีคุณค่า จนทำให้คุณมีแรงสร้างสรรค์งานต่อไปได้ อย่าบอกผมนะครับ ว่าคุณนักประพันธ์เลิกเขียนหนังสือแล้ว”

“ผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าพอจะมีอะไรมาแปลงเป็นทุนได้บ้าง” เขายิ้มอย่างซีดเซียว “ทุกวันนี้ที่ยังคงเขียนหนังสืออยู่ได้ เพราะเลือดของนักประพันธ์มันฉีดพล่านอยู่ในร่างกายของผม เนื้อหนังที่ยังห่อหุ้มร่างกายทำให้ผมสามารถทำงานได้ทุกคืน และสุดท้ายคือน้ำตาแห่งความสะเทือนใจ ที่ทำให้ผมยังรับรู้ว่า หัวใจของผมยังคงอ่อนไหวพอที่จะเขียนเรื่องซึ้ง เศร้า และท้าทายได้อยู่”

พูดจบชายหนุ่มก็เห็นผู้จัดการยิ้มกว้าง พร้อมกับตบมือตัวเองดังฉาดด้วยความดีใจ

“ใช่แล้ว ตราบใดที่คุณยังมีเลือด มีเนื้อหนัง และน้ำตา คุณย่อมเขียนหนังสือต่อไปได้ นี่แหละคือสินทรัพย์ที่คุณสามารถนำมาแปลงเป็นทุน ผมจะอนุมัติใบสมัครให้คุณด่วนเป็นกรณีพิเศษ กรุณานั่งรอรับเงินได้เลย ว่าแต่คุณอยากจะรับเป็นเช็คหรือเงินสด”

“จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเป็นเงินสดก็แล้วกันครับ ลูกของผมอยากกินเป็ดพะโล้”

“เป็ดพะโล้อย่างงั้นหรือครับ”

“ใช่ครับ มันเป็นสัญลักษณ์และเครื่องเตือนความทรงจำบางอย่างของครอบครัวของผม”

“ผมไม่เข้าใจ แต่สักวันหนึ่งคงเข้าใจ เมื่อคุณได้เป็นนักประพันธ์เอกแล้ว”

เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก พนักงานสาวสวยคนเดิมก็นำเงินสดมามอบให้

“ทั้งหมดห้าร้อยบาทถ้วนค่ะ เลือดของคุณนักประพันธ์มีราวสี่ลิตรประเมินได้ 300 บาท เนื้อกับหนังไม่กี่กิโล 150 บาท แล้วค่าน้ำตาอีก 50 บาท เซ็นรับเงินตรงนี้ค่ะ ส่วนการชำระหนี้สินนั้น ไว้รอให้ผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ก่อนค่อยว่ากันค่ะ”

เขาลงชื่อรับเงินเหมือนคนละเมอ หัวใจเริ่มยิ้มออกมาเมื่อจำได้ว่าเป็ดพะโล้เจ้าโปรดของลูก เมื่อปีก่อนราคาของมันแค่สามร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น ปีนี้คงไม่เกินสี่ร้อย ยังเหลือเงินเหลืออีกตั้งหนึ่งร้อยบาท เขาน่าจะซื้อที่คาดผมหรือหวีสวย ๆ ให้เมียสักเล่ม ไม่น่าจะเกินหกสิบบาท อีกสี่สิบบาทคงพอเหลือไว้ซื้อเบียร์มาฉลองสักขวด

ชายหนุ่มปรารถนาจะดื่มให้แก่สินทรัพย์ของเขา แต่คิดอีกทีหนึ่ง อย่างรอบคอบเสียด้วยสิ เงินที่เหลือเขาน่าจะนำไปซื้อไข่ไก่ ที่ตอนนี้ราคาสามฟองสิบบาท เงินสี่สิบบาทคงได้ราวสิบสองฟอง ถ้าสามคนพ่อแม่ลูกเก็บไว้กินวันละฟอง ก็จะต่อลมหายใจไปได้อีกหลายวันทีเดียว

นักประพันธ์จัตวาเก็บเงินใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินกลับบ้านตามความตั้งใจเดิม แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาอยากกลับให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุดก็ตาม เขาเพิ่งตระหนักแก่หัวใจว่าเงินในกระเป๋านั้นมีค่ามากมายเพียงไหน แค่คิดก็อยากสะอื้นเสียแล้ว แต่เขากลับหัวเราะออกมา….เขาอยากหัวเราะให้แก่ชีวิตตัวเอง.


หมายเหตุ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย เดือนตุลาคม   พ.ศ.  2549