เรื่องสั้นไทย “รักของผู้ลี้ภัย” : ธาร ยุทธชัยบดินทร์

รักของผู้ลี้ภัย-เรื่องสั้น-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์ (1)

อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย   ปี 1951   ให้คำนิยามความหมายของสถานภาพผู้ลี้ภัยว่า   ผู้ลี้ภัย  หมายถึงบุคคลที่จำเป็นต้องทิ้งประเทศบ้านเกิดของตนเอง   เนื่องจากความหวาดกลัวการถูกประหัตประหาร   หรือได้รับการคุกคามต่อชีวิตเนื่องจากสาเหตุข้อหนึ่งข้อใด   เช่น  เชื้อชาติ   ศาสนา   สัญชาติ   สมาชิกภาพในกลุ่มทางสังคม   สมาชิกภาพในกลุ่มความคิดทางการเมือง – ยูเอ็นเอชซีอาร์

…เมื่อชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ความสุขก็อาจพานพบได้เพียงในฝัน…

สมัยที่ผมยังเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ ในเทศกาลปีใหม่ผู้คนยังคงนิยมส่งบัตรส.ค.ส.ให้กันอยู่เสมอ ผมเองก็เคยได้รับบัตรส.ค.ส.ใบหนึ่งจากเจ้าของร้านขายขนมแถวบ้านเก่าที่ประเทศไทย จำได้ว่าวันนั้น ผมนั่งมองภาพกระท่อมน้อยในป่าสนอันสงบงามบนบัตรส.ค.ส.ตลอดทั้งวัน และรู้สึกไปว่าแสงไฟวอมแวมสีเหลืองส้มที่มองเห็นจากทางช่องหน้าต่างกระท่อมนั้น ให้ความอบอุ่นแม้จะอยู่ท่ามกลางกองหิมะอันเหน็บหนาวก็ตาม สำหรับเด็กน้อยแล้ว นี่ช่างเป็นความงดงามจับจิตจับใจเสียเหลือเกิน หัวใจดวงหนึ่งจึงได้เก็บเกี่ยวความสุขอันล้ำลึกนี้ไว้ 

ครั้นเมื่อผมเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าภาพกระท่อมน้อยหลังดังกล่าวจะยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ แต่ความสุขกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ 

ปี 1986
ดาวหางฮัลเลย์กลับมาเยือนโลกอีกครั้งหนึ่ง

ดาวหางฮัลเลย์ (หรือแฮลลีย์) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 11 กิโลเมตร โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีรอบละ 75.3 ปี ด้วยความที่ฮัลเลย์เดินทางกลับมาเป็นประจำนี่เอง จึงกล่าวกันว่ามันเป็นเพื่อนสนิทของโลก และเป็นผู้นำปรากฏการณ์อันงดงามบนฟากฟ้ามาฝาก แต่บางคนไม่เห็นด้วย หาว่ามันเป็นศัตรูเสียมากกว่า เนื่องจากโลกมักจะต้องสูญเสียบุคคลสำคัญในปีที่มันมาเยือนเสมอ เมื่อมองย้อนหลังกลับไปดูเหตุการณ์ในปีนั้นแล้ว ผมก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรเลือกอยู่ฝ่ายไหน

เดือนเมษายนปีนั้น ท้องฟ้าริมทะเลอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เต็มไปด้วยเมฆฝนหนาทึบ แล้วฝนก็ตกปรอย ๆ ลงมาในขณะที่เรากำลังเดินออกไปนอกบ้านเพื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า ผมไม่เห็นดางหางฮัลเลย์เลย ในความมืดสลัว ผมแลเห็นเพียงประกายในดวงตาของเธอซึ่งกำลังจ้องมองดูผมอยู่ ผมจึงก้มหน้าลงไปจูบเธอ ส่วนเธอได้แต่ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมกอดของผม 

หลายนาทีต่อมา ผมเกรงว่าเธอจะขาดใจตายเสียก่อน จึงช้อนร่างซึ่งมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม (ตามคำบอกเล่าของเธอ) ขึ้นมาอุ้มด้วยสองแขน แล้วออกวิ่งอย่างช้า ๆ ไปตามความยาวของหาดทราย สถานที่ซึ่งฟองคลื่นสีขาวกำลังซัดสาดเข้าหาฝั่งและสะท้อนแสงอยู่ในความสลัวราง ผมวิ่งจนแขนขาอ่อนล้า ในที่สุดก็ต้องวางร่างของเธอลงบนหาดทราย ก่อนที่จะเริ่มต้นจูบเธออีกครั้งหนึ่ง 

วันนั้นผมตื่นสายมาก   ที่ตื่นเพราะได้ยินเสียงกดกระดิ่งเรียก   เมื่อผมงัวเงียลุกขึ้นจากที่นอนออกไปเปิดประตู   ก็พบสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างรอคอย   ขณะเดียวกันก็ยิ้มอย่างเอียงอายแกมตื่นเต้น 

เธอสวมเสื้อยืดสีขาวมีลายการ์ตูนบนอกกับกระโปรงสีน้ำตาลสั้นเหนือเข่า   ข้างกายมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กวางอยู่   ผมรู้สึกงงงันในวินาทีนั้น   แต่วินาทีต่อมาผมก็จำเธอได้

เป็นความจริงที่ว่าตลอดระยะเวลาหลายปีก่อนหน้าที่เธอกับผมจะได้พบกัน   เราทั้งสองต่างไม่เคยเจอตัวจริงของอีกฝ่ายหนึ่งมาก่อนเลย   ไม่เคยแม้แต่จะโทรศัพท์พูดคุยกัน   ไม่เคยเห็นหน้ากันนอกจากในภาพถ่าย   การสื่อสารทั้งหมดเกิดขึ้นผ่านจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าเป็นเวลานานหลายปี   ตั้งแต่สมัยที่เธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น   จวบจนกระทั่งเธอเรียนจบชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ   และมีอายุได้ 18 ปีเศษในฤดูร้อนปีนั้น

ที่ผ่านมาเราสองคนชอบเล่าเรื่องชีวิตทั้งหมดให้กันและกันอ่านจนแทบจะกลายเป็นชีวิตของเราเอง   เป็นเช่นนี้เสมอตลอดระยะเวลาหลายปี   เธอกับผมต่างก็รู้สึกสมหวังและมีความสุขไปกับความสัมพันธ์แบบนี้   แม้ในส่วนลึกจะเฝ้ารอคอยว่าคงมีสักวันหนึ่งที่เราจะได้พบกันจริง ๆ   ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เธอจะกล้าเดินทางจากเชียงใหม่มาหาผมถึงที่ระยองโดยไม่บอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้า   ราวกับเธอรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น   ผมจึงไม่ได้เก็บกวาดบ้านช่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยรอคอยต้อนรับเธอ   นั่นนับเป็นเรื่องน่าอาย   ทว่าก็ทำให้อดยิ้มขบขันไม่ได้   ยามเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้

ในเวลาต่อมา   เราสองคนช่วยกันทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรังตามประสาบ้านชายโสด   สมัยก่อนเคยเป็นหน้าที่ของแม่   แต่หลังจากที่แม่เสียชีวิตไปแล้ว   ผมก็แทบจะไม่ได้ดูแลบ้านให้มีสภาพเรียบร้อยดุจเดิม   เหมือนรอให้เธอมาจัดการยังไงยังงั้น

และในที่สุด   เธอก็ได้อยู่ในบ้านที่เธอจัดการด้วยมือตนเองนี้นานถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว   ก่อนที่พ่อของเธอจะมาพาตัวกลับ   จากนั้นก็ส่งเธอไปเรียนต่อที่อเมริกา   ผมรู้เรื่องนี้จากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งของเธอโดยบังเอิญ   เพราะเธอไม่เคยส่งจดหมายถึงผมอีก   และที่สำคัญ   ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเดินทางกลับประเทศไทยเลยด้วยซ้ำ   แม้แต่ในตอนที่พ่อของเธอเสียชีวิตเมื่อราวสิบปีก่อน   นั่นทำให้ผมหลงคิดอยู่เสมอว่า   วันนั้นคือวันสุดท้ายที่เราสองคนได้พบกัน

“อย่าให้กูรู้ว่ามึงแอบติดต่อกับลูกสาวกูอีก   น้ำหน้าอย่างมึงทำให้ลูกกูมีความสุขไม่ได้หรอก   กูเตือนมึงแล้วนะ   ถ้ามีคราวหน้า   รับประกันได้เลยว่ามึงจะไม่เจ็บตัวแค่นี้”

ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วก็อดเสียใจไม่ได้ที่พลาดการได้เห็นเธอจากผมไปอย่างแท้จริง   โสตประสาทอันบอบช้ำแว่วเพียงเสียงรถยนต์แล่นจากไปอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

ในห้วงเวลาดังกล่าวนี้   ผมต้องนอนซมสภาพเจียนตายอยู่ในบ้านนานหลายสัปดาห์   เมื่อแข็งแรงพอที่จะเดินเหินได้   ผมก็ตัดสินใจเข้าแจ้งความ   แต่เมื่อพบว่าร้อยเวรนายนั้นคือหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายร่างกายและพรากเธอไปจากผม   ผมก็ทำได้เพียงหันหลังเดินกลับลงมาจากสถานีตำรวจด้วยความเจ็บแค้นใจ รู้ตัวดีว่ายังไม่อาจนำไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุง   ผมจึงเฝ้ารอคอยวันที่ผมจะกล้าแข็งขึ้น   สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนนักศึกษาหัวก้าวหน้า   และดำเนินกิจกรรมเรียกร้องถามหาความยุติธรรมในสังคมเรื่อยมา

ทว่าความสำเร็จก็ดูจะเลือนรางห่างไกลเสียเหลือเกิน ไกลดุจเดียวกับที่เธออยู่ไกลจากผม   แต่ผมก็พยายามมีความหวังอยู่เสมอ   บางทีสักวันหนึ่งมันอาจเกิดขึ้น   แม้จะเป็นวันที่ผมได้จากโลกนี้ไปนานแสนนานแล้วก็ตาม


ปี 2015
ปารีส   ฝรั่งเศส

ครั้งล่าสุดที่ผมได้พบเธอคือเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ตามปกติหากมีเวลาว่าง ผมจะออกจากแฟลตเล็ก ๆ แล้วนั่งรถประจำทาง (ซึ่งได้รับสิทธิลดหย่อนค่าโดยสาร) เข้าสู่ย่านใจกลางเมือง เพื่อเดินเล่นสูดอากาศแห่งเสรีภาพและถ่ายรูปผู้คนเป็นงานอดิเรก หรือถ้าให้พูดจากใจจริงเลยก็คือ มันเป็นการฆ่าเวลานั่นเอง เวลาซึ่งมีอยู่มากมายสำหรับคนอย่างผม แม้จะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่แลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเรื่องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการเข้าพบกับองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ช่วยแสดงท่าทีต่อประเทศไทย ทว่าเวลาของผมก็ยังคงมีเหลือเฟือเสมอ  

ใช่แล้ว หลังจากที่คนเราต้องถูกบังคับให้ลี้ภัย จำต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน มันก็ดูเหมือนว่าเรามีเวลาในชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และผมก็ต้องฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าผม หาไม่แล้วก็คงต้องฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้าในไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่  

ด้วยเหตุนี้นี่เอง แม้ว่าจะมีรายได้ไม่มากนักและทุกยูโรล้วนมีค่าต่อการดำรงชีวิตที่นี่ แต่ผมก็เลือกหาความเพลิดเพลินตามท้องถนนด้วยกล้องและเลนส์ซูมมือสอง (แทนการเข้ากลุ่มกับนักกิจกรรมในเมืองนี้ที่มักจะคุยกันด้วยเรื่องเดิม ๆ อันซ้ำซาก) ก่อนจะนำภาพกลับไปดูในโน้ตบุ๊กที่ห้องพัก

วันหนึ่งคงเพราะโชคชะตากระมัง เพียงแค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นคนไทย  ผมก็ตัดสินใจถ่ายภาพเธอจากระยะไกล ในภาพจะเห็นฉากหลังเป็นหมู่ใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ไกลออกไปคืองานสถาปัตยกรรมลือชื่อ ซึ่งดูอ่อนจางรางเลือนอยู่ในอากาศอันเย็นยะเยือกของฤดูใบไม้ร่วง 

ภาพต่อมาผมซูมเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก จุดประสงค์ก็เพื่อถ่ายภาพครึ่งตัว นั่นจึงทำให้ผมเห็นใบหน้าของเธอชัดเจนและจำเธอได้ แม้จะผ่านช่องมองภาพของกล้องก็ตาม เธอเปลี่ยนไปไม่มากนัก   ยังคงดูเป็นสาวสวยในสายตาของผม เมื่อเทียบกับระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา  

จากนั้นผมยังคงกดชัตเตอร์อีกนับครั้งไม่ถ้วนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่นานก็เห็นเด็กวัยรุ่นลักษณะเป็นลูกครึ่งฝรั่งผสมเอเชียสองคนเดินเข้ามาสมทบกับเธอ ท่าทางของทั้งสามดูเหมือนนักท่องเที่ยวมากกว่าจะเป็นคนที่นี่ สักพักหนึ่งก็มีฝรั่งรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ อายุน่าจะมากกว่าเธอหลายปี   มากกว่าผมด้วยซ้ำ เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงขาวยาวสีกากี มันทำให้พอเดาได้ว่าเขาเป็นคนมาจากประเทศไหน

ผมเห็นเขาดึงเธอเข้ามากอดและจูบเธอที่ริมฝีปากอย่างเบา ๆ โดยใช้เวลาเพียงสั้น ๆ นั่นคงหลังจากที่เขาได้เคยจูบเธอมานับพันนับหมื่นครั้ง ตลอดระยะเวลาเป็นสิบหรือยี่สิบปีในชีวิตสมรส ผิดกับผมที่ไม่เคยจูบเธออย่างเสียมิได้เช่นนั้นเลย ยามเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันที่ริมทะเลอันห่างไกลจากเราทั้งสองไปกว่า 9,644 กิโลเมตร ในดินแดนซึ่งผมคงไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือได้อีกแล้ว

นาทีต่อมาผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ผมควรจะเข้าไปทักทายครอบครัวนี้ดีไหม ก่อนที่พวกเขาจะเสร็จสิ้นการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วเดินจากไปตามประสานักท่องเที่ยว แต่จะเป็นในฐานะอะไรดีล่ะ เพื่อนเก่าจากเมืองไทยอย่างนั้นหรือ บางทีเธออาจจะจำผมไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี หากผมจะต้องเท้าความถึงปีที่ดางหางฮัลเลย์มาเยือนโลกครั้งล่าสุดให้เธอและครอบครัวฟัง 

สิ่งนี้เตือนผมว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับอดีตที่ผ่านมา โดยไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องส่วนตัวพวกนี้ไม่อาจทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าขึ้นได้ ไม่อาจทำให้ชนชั้นปกครองมอบอธิปไตยให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง และไม่อาจทำให้ประเทศของเรามีเสรีภาพอย่างที่ทุกคนต้องการ แต่อดีตก็คือสิ่งเดียวที่ผมมีหลงเหลืออยู่ให้ครอบครอง เป็นสิ่งเดียวที่ผมนำติดตัวมาด้วยขณะอำลาแผ่นดินแม่ ไม่มีใครสามารถแย่งชิงมันไปจากความทรงจำของผมได้ โดยเฉพาะความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับเธอในเดือนที่ดาวหางฮัลเลย์มาเยือนโลกในปีนั้น

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ผมทำก็คือการเดินจากมาเงียบ ๆ ก่อนจะตัดสินใจยกกล้องขึ้นกดลบภาพถ่ายในการ์ดความจำทั้งหมด และด้วยการกระทำนี้นี่เอง ผมก็อดยิ้มไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นไปอย่างเยาะ ๆ ก็เถอะ ด้วยภาพส่วนใหญ่ในการ์ดดังกล่าวย่อมถูกกู้กลับมาได้ด้วยโปรแกรมพื้น ๆ มากมายในอินเทอร์เน็ต เรื่องนี้ไม่ต่างจากภาพความทรงจำในอดีตของมนุษย์ มันจะหวนกลับคืนมาเสมอเมื่อมีสิ่งกระตุ้นเตือน ไม่ว่าเราจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ผิดกับชีวิตที่ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของผม  คงยากที่จะคืนกลับเหมือนเช่นเดิม นั่นคือความจริง...

ในฐานะผู้ลี้ภัย   หลังจากย้ายมาอยู่ประเทศนี้ได้หลายเดือน   ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับภาษา   วัฒนธรรม   ภูมิอากาศ   และผู้คน   ภาพกระท่อมน้อยกลางป่าสนในฤดูหนาวท่ามกลางกองหิมะสีขาวสะอาดอย่างที่เคยเห็นในบัตรส.ค.ส.   ได้หวนกลับมาปรากฏอยู่ในความฝันของผมเหมือนวันเก่า ๆ   ผมมักจะฝันเห็นมันอยู่เสมอในยามใกล้รุ่ง   ในความฝัน   ผมมีความสุขอย่างลึกซึ้ง   ผมจึงชอบฝันอย่างต่อเนื่องแม้จะตื่นแล้วก็ตาม   ฝันว่าสักวันหนึ่งคงได้พบกระท่อมน้อยในที่ใดที่หนึ่งซึ่งผมจะไปรอเธออยู่ที่นั่น   และ ณ ที่นั้น   ผมจะได้พบความสุขอย่างแท้จริง

ปี 2061

เป็นที่รู้กันว่าในปี 2061 ดาวหางฮัลเลย์จะกลับมาเยือนโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในวันและคืนแห่งอนาคตนั้น ผมฝันว่า...มนุษย์...ชายหญิงผู้ยังมีลมหายใจอยู่...จะชักชวนกันออกจากบ้าน เพื่อเงยหน้าขึ้นดูปรากฏการณ์อันงดงามบนท้องฟ้า และสามารถขจัดความเจ็บปวดออกไปจากหัวใจของพวกเขาได้สำเร็จ

ใส่ความเห็น