“ฝีดาษลิง-ฝีดาษวานร” อาการ การรักษา และเรื่องควรรู้

ฝีดาษลิง (Monkeypox)

WHO ประกาศ “โรคฝีดาษลิง” เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพทั่วโลก หลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยกำลังระบาดหนักในยุโรป และปัจจุบันนี้พบแล้ว 1 รายในประเทศไทย

ฝีดาษลิง หรือ ฝีดาษวานร (Monkeypox) คืออะไร?

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เกิดจากเชื้อไวรัส Othopoxvirus ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับไวรัสโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) โดยพบเชื้อในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระต่าง กระรอก ฯลฯ ค้นพบโรคนี้ครั้งแรกในลิง จึงเป็นที่มาของชื่อโรค “ฝีดาษลิง”

โรคฝีดาษลิงระบาดเริ่มในทวีปแอฟริกาจนกลายเป็นโรคประจำถิ่น อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 1-10% การเสียชีวิตขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิง แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ

  1. สายพันธุ์ Congo Basin พบอัตราการเสียชีวิต 10%
  2. สายพันธุ์ West African พบอัตราการเสียชีวิต 1%

อาการโรคฝีดาษลิง เป็นอย่างไร?

ระยะเวลาฟักตัวของโรคฝีดาษลิงจะใช้ระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 7-14 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการแสดงต่าง ๆ ดังนี้คือ มีไข้สูง ปวดตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดกระบอกตา และต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย

เชื้อไวรัสฝีดาษลิง แพร่กระจายจากคนสู่คน

ต้นกำเนิดของโรคมาจากลิง แต่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกัน ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เช่น น้ำลาย เลือด น้ำเหลือง เสมหะ น้ำจากช่องคลอด น้ำจากอวัยะเพศชาย น้ำมูก ฯลฯ

ผู้ป่วยฝีดาษลิงอาจเป็นแล้วแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว

เชื้อไวรัสฝีดาษลิงมีระยะฟักตัวนาน 21 วัน และผู้ป่วยบางรายมีอาการผื่นตุ่มน้ำเกิดขึ้นแค่ในเยื่อบุช่องปากและที่อวัยวะเพศ กลุ่มนี้มีจำนวนถึง 60% ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคฝีดาษลิงแล้ว ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ ผู้ที่มีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูงต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 3 สัปดาห์ จึงจะสามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงหรือไม่

ฝีดาษลิงสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส

สามารถใช้ยารักษาฝีดาษในมนุษย์ได้ ตัวยานั้นคือ Tecovirimat, Cidofovir, Brincidofovir ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อตับได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถหายได้เองในผู้ป่วยที่แข็งแรง และอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ จึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป การใช้ยาต้านไวรัสมีความจำเป็นเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นอันตรายสูงเท่านั้น เช่นผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด

ปัจจุบันยังไม่ต้องฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง

ประชาชนทั่วไปยังไม่มีความจำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนป้องกัน เนื่องจากการแพร่ระบาดยังอยู่ในวงจำกัด วัคซีนเหมาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ที่มีโอกาสสัมผัสโรคนี้ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย

ฝีดาษลิงกลายพันธุ์ได้

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การระบาดของโรคฝีดาษลิงพร้อมกันกว่า 100 รายในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา (ซึ่งถือเป็นโรคประจำถิ่น) ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ล้วนมีที่มาจากฝีดาษลิงกลายพันธุ์ 

ฝีดาษลิง (Monkeypox)
ฝีดาษลิง (Monkeypox)

เว็บไซต์ nittayasan.com