รายงานข่าวโควิด-19 วันนี้

อาการโอมิครอน Omicron

รายงานข่าวโควิด-19 วันนี้

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โควิดสายพันธุ์ BA.5 ไม่ธรรมดา หากผู้ใดประมาทมีโอากาสเดี้ยงสูง เห็นได้จากหลายประเทศที่แม้จะโดนโอมิครอน BA.1/BA.2 ระบาดใหญ่มาก่อน แต่ขณะนี้ก็มี BA.5 ครองการระบาด โดยมีระลอกใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่มีจำนวนผุ้ติดเชื้อต่อวันขณะนี้ถึง 200,000 คน มากกว่าระลอกก่อนเกือบ 2 เท่า การป้องกันตัวแบบ non-pharmacological interventions จึงมีความสำคัญมาก ได้แก่ การลดหรือเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน (การคลุกคลีใกล้ชิด อยู่ในที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี รวมถึงการแชร์ของกินของใช้ร่วมกัน และเรื่องการใส่หน้ากาก) นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การติดเชื้อไม่จบสบาย ๆ ไม่ใช่เป็นแล้วหาย แต่ป่วยรุนแรงและถึงตายได้ การติดเชื้อ การป่วย หรือหายป่วย ถือเป็นผลลัพธ์ระยะสั้น แต่หากรุนแรงจนเสียชีวิต ย่มมีผลกระทบระยะยาวต่อครอบครัวผู้ตาย และแม้จะรักษาจนหายในช่วงแรก โอกาสประสบปัญหาอาการผิดปกติทางร่างกายและอารมณ์ รวมถึงจิตใจในระยะยาว ที่เรียกกันว่า “ลองโควิด” มีตั้งแต่ 5-30 เปอร์เซ็นต์ เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ อาการน้อย หรืออาการรุนแรงก็ตามแต่ ดังนั้นขอให้คนไทยทุกคนระวังตัวกันเอาไว้ด้วย


Q & A คลายข้อสงสัย

Q : อาการเหมือนติดเชื้อโควิด แต่ตรวจ ATK แล้วไม่ขึ้น 2 ขีด ติดโควิด แล้วหรือยังนะ

A : ร่างกายอาจมีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน หากรับไวรัสในปริมาณน้อยจะไม่มีอาการทันที แนะนำให้ตรวจ ATK ซ้ำอีก 2-3 วันต่อมา

นายอนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค กล่าวถึงสาเหตุที่หลายคนมีอาการเหมือนติดเชื้อโควิด 19 แต่ตรวจ ATK แล้วไม่ขึ้น 2 ขีดว่าบริบทของการตรวจ ATK วันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ช่วงที่ร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน อาการของโรคที่ชัดเจนจะทำให้ตรวจพบด้วย ATK ได้ง่าย แต่เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนแล้ว หากติดเชื้อจะรับไวรัสในปริมาณเพียงน้อยนิด แต่จะมีอาการทันที เช่น ระคายคอ วิงเวียนศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว จนต้องตรวจ ATK เพราะมีอาการ แต่ปริมาณไวรัสยังมีไม่มากพอ จึงให้ผลเป็นลบ ทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นโควิด 19 นอกจากตรวจซ้ำอีก 2-3 วันต่อมา จะพบว่าหลายคนขึ้น 2 ขีดแล้ว แนะให้ตรวจ ATK ในช่วงกักตัวหลังอาการหมดลง

ที่มา กระทรวงสาธารณสุข


รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กประเด็น “โควิด-19” เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงๆจากการคาดประมาณ พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ระบาดของไทยจากข้อมูล Worldometer วันนี้ (22 ก.ค.2565) จำนวนเสียชีวิตเมื่อวานสูงเป็นอันดับ 13 ของโลก และอันดับ 4 ของเอเชีย

อาการของผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5

อาการไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ย่อย BA.1 BA.2 และสายพันธุ์เดลต้า อีกประการหนึ่งเพราะคนไทยส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว อาการจึงไม่รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้นดังนี้

  • ไอ
  • อ่อนเพลีย หรือเมื่อยล้า
  • เป็นไข้
  • ปวดศีรษะ หรือปวดกล้ามเนื้อ
  • เจ็บคอ

การฉีดวัคซีน 2 เข็ม สามารถป้องกันโรคสายพันธุ์เก่าได้ แต่ถ้ากลายพันธุ์ป้องกันได้ประมาณ 30% จึงขอประชาชนทุกคนไปฉีดวัคซีนเข็ม 3 เป็นอย่างน้อย ซึ่งตอนนี้ฉีดได้เพียง 35% ซึ่งถือว่าน้อยมาก และกลุ่มเสี่ยง 608 ยังฉีดได้ไม่ถึง 60% และ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ต้องฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อป้องกันสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งข้อมูลล่าสุดขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ประกาศว่า ต้องฉีดวัคซีนเข็ม 4 เพื่อป้องกันโควิดสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ นี่ชี้ให้เห็นว่าองค์กรหลักระดับโลกได้ประกาศให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้นอย่างไปเชื่อข่าวลือ ข่าวไม่ถูกต้องตามหลักวิชการแพทย์ที่บอกให้ปล่อยติดเชื้อโควิดเพื่อสร้างภูมิ เพราะจะเกิดผลเสียตามมามากมาย เช่นภาวะลองโควิด เป็นต้น

สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก

วันที่ 15 ก.ค.65 รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ

“เสร็จจากการสัมภาษณ์ทีวีเรื่องสถานการณ์โควิดหลังช่วงวันหยุดยาวห้าวัน ไม่รู้ตัวเองมองโลกสวยเกินไปหรือเปล่าว่า หลังเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนากันเรียบร้อยแล้วในอีกสองวันข้างหน้า สถานการณ์จะไม่บานปลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เหมือนที่เคยให้ความเห็นไว้ครั้งก่อนว่า หลังสงกรานต์จะไม่เกิดปรากฏการณ์เขื่อนแตก เพราะเขื่อนมันแตกไปก่อนสงกรานต์พอดี โดยพีคหลักโอไมครอนจากสายพันธุ์ย่อย BA.2 ช่วงนั้น ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นไปถึงวันละแสนกว่า และผู้ป่วยอาการรุนแรงสะสมที่สองพันกว่า

ที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนตัวเห็นว่าพีครองของโอไมครอนจากสายพันธุ์ย่อย BA.5 น่าจะขึ้นสูงสุดแล้วในช่วง 26 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. โดยมีผู้ติดเชื้อราวครึ่งหนึ่งของพีคหลัก ตกราววันละห้าหมื่นกว่าคน คงที่มาตลอดและมีแนวโน้มอาจเริ่มลดลง โดยยอดผู้ป่วยอาการรุนแรงยังขึ้นไปไม่เกิน 800 นั่นหมายถึงว่าความรุนแรงของ BA.5 อาจน้อยกว่า BA.2 ราว 20%

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเธอยังไม่รู้ว่าเชื้อ BA.5 และ BA.4 ซึ่งมีความคล้ายกันอย่างมาก มีความรุนแรงแค่ไหนเมื่อเทียบกับโอมิครอนรุ่นก่อนๆ แต่พวกเธอรู้ว่า มันติดต่อง่ายขึ้น หลบภูมิคุ้มกันมากขึ้น คนที่เคยติดโควิดแล้วแม้จะเป็นเชื้อโอมิครอน BA.1 หรือ BA.2 ก็ยังเสี่ยงติดเชื้อพันธุ์ใหม่นี้⁣

สำหรับคนที่รอลุ้นว่าปลายปีนี้ จะมีวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ครอบคลุมสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ออกมาให้ใช้งานกันได้นั้น อาจคงต้องรอข้อสรุปการตัดสินใจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตว่าจะเดินหน้าหรือไม่ เพราะวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ครอบคลุมสายพันธุ์ BA.1 ที่เตรียมไว้ก็อาจไม่มีประโยชน์เพราะตลาดวายแล้ว จะเตรียมไว้ไล่ตามตัวใหม่ๆ พอถึงเวลาออกมาจริงก็อาจมีตัวใหม่กว่ามาอีก ท้ายสุดอาจจะใช้แค่เข็มกระตุ้นแบบเดิมๆ เพื่อป้องกันการป่วยรุนแรงอาจจะคุ้มค่ากว่า แล้วรอให้เชื้อสายพันธุ์ย่อยค่อยๆ หมดแรงกันไปเอง


นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เตือนว่า ประชาชนจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังขั้นสูงสุด หลังพบการระบาดของโรคโควิด-19 ในประชากรทุกกลุ่มอายุ และเรียกร้องให้กลุ่มช่วงอายุ 20 และ 30 ปีเศษ เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่รับวัคซีนน้อย

นายกฯ ญี่ปุ่น กล่าวว่า ช่วงปิดเทอมและหน้าเทศกาลฤดูร้อนกำลังมาถึง ทำให้การปฏิสัมพันธ์กันของประชาชนเพิ่มขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นจะอำนวยความสะดวกด้วยการตั้งบูธฉีดวัคซีนให้ประชาชนตามสถานีรถไฟและท่าอากาศยานด้วย

อย่างไรก็ตาม นายคิชิดะย้ำว่า ปริมาณผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตยังอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องออกมาตรการชะลอการระบาดในช่วงนี้

ส่วนรัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นเผย ยังไม่มีการพิจารณาเพื่อควบคุม หรือจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ก็เรียกร้องให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในช่วงหยุดยาวสุดสัปดาห์นี้ รวมทั้งช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง

ด้านทางการกรุงโตเกียวประกาศยกระดับการเตือนภัยเป็นขั้นสูงสุด หลังพบการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.5 สัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อใหม่


สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก 🌏วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 เวลา 10.00 น. 🕙ยอดผู้ติดเชื้อรวม 521,230,984 ราย 😷อาการรุนแรง 39,021 ราย 😖รักษาหายแล้ว 491,824,498 ราย 🙂เสียชีวิต 6,288,426 ราย 😭🔝 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด

1. สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 จำนวน 84,230,829 ราย

2. อินเดีย 🇮🇳 จำนวน 43,123,129 ราย

3. บราซิล 🇧🇷 จำนวน 30,688,390 ราย

4. ฝรั่งเศส 🇫🇷 จำนวน 29,183,646 ราย

5. เยอรมนี 🇩🇪 จำนวน 25,780,270 ราย

ประเทศไทย 🇹🇭 อยู่ในอันดับที่ 24 จำนวน 4,379,084 ราย


สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก 🌏วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 เวลา 10.00 น. 🕙ยอดผู้ติดเชื้อรวม 509,542,737 ราย 😷อาการรุนแรง 42,430 ราย 😖รักษาหายแล้ว 462,200,736 ราย 🙂เสียชีวิต 6,243,199 ราย 😭🔝 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด

1. สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 จำนวน 82,662,748 ราย

2. อินเดีย 🇮🇳 จำนวน 43,059,821 ราย

3. บราซิล 🇧🇷 จำนวน 30,349,463 ราย

4. ฝรั่งเศส 🇫🇷 จำนวน 28,303,931 ราย

5. เยอรมนี 🇩🇪 จำนวน 24,140,700 ราย

*ประเทศไทย 🇹🇭 อยู่ในอันดับที่ 24 จำนวน 4,180,868 ราย


ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2565

ติดเชื้อรายใหม่ (RT-PCR) 17,784 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 17,706 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 78 ราย

ผู้ป่วยสะสม 1,942,439 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ติดเชื้อเข้าข่าย (ATK)14,937 ราย

หายป่วยกลับบ้าน 22,846 ราย

หายป่วยสะสม 1,786,451 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 183,154 ราย

เสียชีวิต 126 ราย

จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,929 ราย

เฉลี่ยจังหวัดละ 25 ราย

อัตราครองเตียง ร้อยละ 24.5


22 เมษายน : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค.ชุดใหญ่ กล่าวภายหลังการประชุม ระบุว่า ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกระบบการเข้าประเทศแบบ Test&Go และเปลี่ยนมาใช้การตรวจหาเชื้อแบบ ATK แทน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกภาคการท่องเที่ยว⁣⁣สำหรับประเด็นเรื่อง การผลักดันให้ โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นนั้น ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ นายกฯ เผย ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้⁣


มาตรการเตรียมความพร้อม เปิดภาคเรียนที่ 1/25651) ประเมินตนเองของ รร. ผ่าน TSC plus2) สร้างความรับรู้แก่ผู้ปกครอง และบุคลากร3) เพิ่มมาตรการฉีดวัคซีนผู้ปกครอง บุคลากร โดยเฉพาะเข็ม booster dose ผ่านเครือข่ายระดับพื้นที่โดยเฉพาะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด4) กำกับ ติดตาม ทบทวน มาตรการ และแผนเผชิญเหตุที่มา : ศบค.


สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก 🌏วันพุธที่ 13 เมษายน 2565 เวลา 10.00 น. 🕙ยอดผู้ติดเชื้อรวม 501,113,443 ราย 😷อาการรุนแรง 43,415 ราย 😖รักษาหายแล้ว 450,959,851 ราย 🙂เสียชีวิต 6,209,620 ราย 😭🔝 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเฉลี่ยสะสมสูงสุด (ย้อนหลัง 7 วัน)

1. เกาหลีใต้ 🇰🇷 จำนวน 1,367,873 ราย

2. เยอรมนี 🇩🇪 จำนวน 977,384 ราย

3. ฝรั่งเศส 🇫🇷 จำนวน 935,108 ราย

4. อิตาลี 🇮🇹 จำนวน 438,144 ราย

5. ออสเตรเลีย 🇦🇺 จำนวน 367,495 ราย

ประเทศไทย 🇹🇭 อยู่ในอันดับที่ 10 จำนวน 168,279 ราย

.

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันพุธที่ 13 เมษายน 2565 รวม 23,015 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 22,920 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 95 ราย

ผู้ป่วยสะสม 1,725,434 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

หายป่วยกลับบ้าน 27,626 ราย

หายป่วยสะสม 1,521,298 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 232,682 ราย

เสียชีวิต 106 ราย

จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,971 ราย

เฉลี่ยจังหวัดละ 26 ราย

อัตราครองเตียง ร้อยละ 27.7

.

สถานการณ์ทั่วโลก วันที่ 9 เมษายน 2565 เวลา 06:00 น.

⁃ผู้ป่วยยืนยัน 497,350,384 ราย

⁃กลับบ้านแล้ว 432,973,232 ราย

⁃ยังรักษาใน รพ.58,178,690 ราย

⁃เสียชีวิต 6,198,462 ราย

.

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 รวม 24,635 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 24,601 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 34 ราย

ผู้ป่วยสะสม 1,330,285 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

หายป่วยกลับบ้าน 25,753 ราย

หายป่วยสะสม 1,109,609 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 250,737 ราย

เสียชีวิต 81 ราย

จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,718 ราย

เฉลี่ยจังหวัดละ 22 ราย

อัตราครองเตียง ร้อยละ 27.8

.

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2565 เวลา 11.30 น.สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ผู้ป่วยรายใหม่ 25,456 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,052,663 ราย หายป่วยแล้ว 858,475 ราย เสียชีวิตสะสม 2,297 ราย

.

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 รวม 22,130 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 22,103 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 27 ราย

ผู้ป่วยสะสม 983,520 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

———————

หายป่วยกลับบ้าน 23,508 ราย

หายป่วยสะสม 788,794 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 225,889 ราย

———————

เสียชีวิต 70 ราย

.


วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2565 เวลา 10.00 น.
ยอดผู้ติดเชื้อรวม 373,006,494 ราย
อาการรุนแรง 94,376 ราย
รักษาหายแล้ว 294,606,481 ราย
เสียชีวิต 5,676,020 ราย
อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด

  1. สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 จำนวน 75,481,122 ราย
  2. อินเดีย 🇮🇳 จำนวน 41,087,817 ราย
  3. บราซิล 🇧🇷 จำนวน 25,247,477 ราย
  4. ฝรั่งเศส 🇫🇷 จำนวน 18,808,625 ราย
  5. สหราชอาณาจักร 🇬🇧 จำนวน 16,406,123 ราย
    ประเทศไทย 🇹🇭 อยู่ในอันดับที่ 30 จำนวน 2,432,534 ราย

.

🇹🇭 ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565
รวม 8,640 ราย

จำแนกเป็น
ผู้ป่วยจากในประเทศ 8,445 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 195 ราย

หายป่วยกลับบ้าน 8,641 ราย
หายป่วยสะสม 88,488 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

เสียชีวิต 13 ราย

.

สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก


วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 เวลา 10.00 น.
ยอดผู้ติดเชื้อรวม 331,364,198 ราย
อาการรุนแรง 96,065 ราย
รักษาหายแล้ว 269,037,888 ราย
เสียชีวิต 5,563,428 ราย
อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด

  1. สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 จำนวน 67,631,191 ราย
  2. อินเดีย 🇮🇳 จำนวน 37,602,832 ราย
  3. บราซิล 🇧🇷 จำนวน 23,083,297 ราย
  4. สหราชอาณาจักร 🇬🇧 จำนวน 15,305,410 ราย
  5. ฝรั่งเศส 🇫🇷 จำนวน 14,274,528 ราย
    ประเทศไทย 🇹🇭 อยู่ในอันดับที่ 26 จำนวน 2,337,811 ราย

ล่าสุด ศาสตราจารย์ ทิม สเปกเตอร์ หัวหน้าทีมศึกษา Zoe Covid Symptom และคณะกำลังรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยหลายพันคนเพื่อวิเคราะห์อาการและดูว่าเชื้อกลายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาพบอาการ 5 อย่างที่เหมือนกัน ได้แก่

  • น้ำมูกไหล
  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลีย
  • จาม
  • เจ็บคอ

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 รวม 6,397 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 6,232 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 165 ราย

ผู้ป่วยสะสม 114,376 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565).

หายป่วยกลับบ้าน 6,637 ราย

หายป่วยสะสม 65,409 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 81,952 ราย

เสียชีวิต 18 ราย

.

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565

รวม 6,929 ราย

จำแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 6,720 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 209 ราย

ผู้ป่วยสะสม 107,979 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

หายป่วยกลับบ้าน 5,255 ราย

หายป่วยสะสม 58,772 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษา 82,210 ราย

เสียชีวิต 13 ราย

.

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19

รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565

รวม 8,077 ราย จำแนกเป็น

  • ผู้ป่วยจากในประเทศ 7,795 ราย
  • ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 282 ราย
  • ผู้ป่วยสะสม 101,050 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
  • หายป่วยกลับบ้าน 4,887 ราย
  • หายป่วยสะสม 53,517 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
  • ผู้ป่วยกำลังรักษา 80,549 ราย
  • เสียชีวิต 9 ราย

.

แนวทางฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ของ สธ. ม.ค. 65

1. ผู้ที่ถึงกำหนดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

  • Sinovac-AstraZeneca ส.ค. – ต.ค. 64 ฉีดเข็มกระตุ้นด้วย AstraZeneca
  • AstraZeneca ครบ 2 เข็ม ส.ค. – ต.ค. 64 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย Pfizer
  • ฉีดวัคซีนเชื้อตายครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ฉีดเข็มกระตุ้นด้วย AstraZeneca

2. วัคซีนเข็มกระตุ้นผู้มีประวัติการติดเชื้อ

  • AstraZeneca กระตุ้นผู้รับการฉีดวัคซีนไม่ครบเกณฑ์ หรือครบตามเกณฑ์น้อยกว่า 2 สัปดาห์ ก่อนการติดเชื้อ

ทั้งนี้สามารถใช้สูตรอื่นที่ผ่านการรับรองทางวิชาการได้ ภายใต้จำนวนวัคซีนที่มีในพื้นที่

ที่มา กระทรวงสาธารณสุข

5 อาการไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งเกิดขึ้นขณะนอนหลับ

  • เจ็บคอ
  • ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย
  • เหนื่อยง่าย
  • ไอแห้ง ๆ
  • เหงื่อออกกลางคืน แม้จะนอนหลับในห้องปรับอากาศ หรืออากาศเย็น

.

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 เวลา 11.30 น.

สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ

ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ผู้ป่วยรายใหม่ 8,167 ราย

ผู้ป่วยยืนยันสะสม 77,022 ราย หายป่วยแล้ว 39,486 ราย

เสียชีวิตสะสม 185 รายข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563

ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,300,457 ราย

หายป่วยแล้ว 2,207,980 ราย

เสียชีวิตสะสม 21,883 ราย

ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 12 มกราคม 2565

มีผู้รับวัคซีน สะสมทั้งหมด จำนวน 107,771,259 โดส

วันที่ 12 มกราคม 2565 มีผู้รับการฉีดวัคซีน

เข็มที่ 1 จำนวน 49,703 ราย

เข็มที่ 2 จำนวน 116,093 ราย

เข็มที่ 3 จำนวน 333,559 ราย

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันพุธที่ 12 มกราคม 2565

รวม 7,681 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ จำนวน 7,282 ราย

ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 110 ราย

ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขังจำนวน 12 ราย

ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศจำนวน 277 ราย

ผู้ป่วยสะสมจำนวน 68,855 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

หายป่วยกลับบ้านจำนวน 3,350 ราย

หายป่วยสะสมจำนวน 35,641 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)

ผู้ป่วยกำลังรักษาจำนวน 66,283 ราย

เสียชีวิตจำนวน 22 ราย

แผนเตรียมพร้อมรองรับผู้ป่วยโควิด

Home Isolation คุณภาพ

  • ติดต่อผู้ป่วยกลับภายใน 6 ชม. หลังได้รับแจ้งจากสายด่วน 1330
  • ส่งสิ่งของ อุปกรณ์จำเป็น และเวชภัณฑ์ ภายใน 24 ชม.
  • Telemonitor ทุกวัน

Community Isolation รัฐจัดไว้ดูแลผู้ป่วยในชุมชน

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

ผู้ติดเชื้อ Omicron ส่วนใหญ่หรือมากกว่าครึ่ง ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยคล้ายโรคไข้หวัด

วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 เวลา 11.30 น. สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ผู้ป่วยรายใหม่ 7,133 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 61,174 ราย หายป่วยแล้ว 32,291 ราย เสียชีวิตสะสม 152 ราย ข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี 2563 ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,284,609 ราย หายป่วยแล้ว 2,200,785 ราย เสียชีวิตสะสม 21,850 ราย ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 10 มกราคม 2565 มีผู้รับวัคซีนสะสมทั้งหมด จำนวน 106,758,696 โดส

.

สำนักข่าว Bloomberg รายงานการค้นพบของเลลอนดิออส คอสตริกิส (Leondios Kostrikis) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพแห่งมหาวิทยาลัยไซปรัส และดำรงตำแหน่งหัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพและไวรัสโมเลกุล

ศาสตราจารย์คอสตริกิสเปิดเผยว่า สายพันธุ์ของ Covid-19 เดลต้าและโอมิครอนได้ผสมเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรกนี้ ได้ถูกพบในไซปรัส โดยกล่าวกับ Sigma TV Friday ว่า การค้นพบนี้ได้ถูกตั้งชื่อว่า “เดลตาครอน” (Deltacron) เนื่องจากมีการระบุรายละเอียดทางพันธุกรรมเหมือนโอมิครอนอยู่ภายในจีโนมเดลต้า

.

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ณ วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2565 ยอดรวม 8,511 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ จำนวน 7,942 รายผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 199 รายผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขังจำนวน 20 รายผู้ป่วยมาจากต่างประเทศจำนวน 350 ราย ผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,240,687 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้านจำนวน 2,605 ราย หายป่วยสะสมจำนวน 2,166,441 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษาจำนวน 53,858 ราย และผู้เสียชีวิตจำนวน 12 ศพ

.

กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์ โควิด-19 ในประเทศไทย ประจำวันเบื้องต้น ณ วันที่ 8 มกราคม 2565 มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวน 8,263 ราย แยกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ จำนวน 7,584 ราย, ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 218 ราย, ผู้ป่วยภายในเรือนจำและที่ต้องขังจำนวน 110 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศจำนวน 351 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564) จำนวน 2,232,176 ราย

.

รายงานสถานการณ์ โควิด-19 ประจำวันเบื้องต้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565 พบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวน 7,526 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ จำนวน 6,706 ราย, ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 433 ราย, ผู้ป่วยภายในเรือนจำกับที่ต้องขังจำนวน 39 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศจำนวน 348 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564) จำนวน 2,223,913 ราย ขณะที่ ผู้หายป่วยกลับบ้านแล้วจำนวน 2,895 ราย ทำให้มีผู้หายป่วยสะสมทั้งหมด (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564) จำนวน 2,160,971 ราย ผู้ป่วยกำลังรักษาจำนวน 42,580 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 19 ศพ.

.

วันที่ 6 มกราคม 2565 ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ดังนี้

จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ 5,775 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อในเรือนจำและที่ต้องขัง 77 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ 215 ราย
จำนวนผู้รักษาหายเพิ่มขึ้น 2,673 ราย
จำนวนผู้หายป่วยสะสม 2,185,502 ราย (ตั้งแต่ปี 2563)

จำนวนผู้อยู่ระหว่างรักษาตัว 37,968 ราย แบ่งออกเป็น โรงพยาบาล 20,498 ราย โรงพยาบาลสนาม และอื่น ๆ จำนวน 17,470 ราย ในจำนวนนี้มีอาการหนัก 536 ราย และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจจำนวน 146 ราย

.

กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ของโรคระบาด โควิด-19 วันที่ 5 มกราคม 2565 ว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวน 3,899 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ จำนวน 3,648 ราย, ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 14 ราย, ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขังจำนวน 68 ราย รวมถึงมีผู้ป่วยมาจากต่างประเทศจำนวน 169 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564) จำนวน 2,210,612 ราย

.

รายงานจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 เปิดเผยว่า มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ณ วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565รวม 3,091 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,963 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 2 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 2 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 124 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,206,713 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) คนที่หายป่วยกลับบ้าน 2,688 ราย คนที่หายป่วยสะสม 2,152,895 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)ผู้ป่วยกำลังรักษา 33,505 ราย และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย

.

ประเทศอังกฤษเปิดเผยว่า กรณีฉีดวัคซีนเข็ม 3 ผ่านไป 2 สัปดาห์ ป้องกันป่วยหนัก Omicron ได้ 88% หน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพของ UK เปิดเผยว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มเพื่อกระตุ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรวมถึงเชื้อ Omicron ได้ถึง 88% ข้อมูลดังกล่าวช่วยยืนยันว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ของ AstraZeneca , Pfizer , Moderna สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron ได้เล็กน้อย แต่การป้องกันการป่วยหนักยังทำได้ดี ทางหน่วยงาน UKHSA ได้วิเคราะห์ข้อมูลผู้ติดเชื้อและผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ Omicron มากกว่า 600,000 ราย ในอังกฤษที่ติดเชื้อก่อนวันที่ 29 ธันวาคม และพบว่า วัคซีน 1 เข็ม สามารถป้องกันการป่วยเข้าโรงพยาบาลได้ 52% ถ้าฉีด 2 เข็ม จะป้องกันเพิ่มขึ้นเป็น 72% แต่หลังจากผ่านไป 25 สัปดาห์ การป้องกันจะลดลงเหลือ 52% และหลังจากฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไป 2 สัปดาห์ การป้องกันการเข้าโรงพยาบาลจะอยู่ที่ 88% (ที่มา ศบค.)

.

กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์โควิด-19 ณ วันที่ 3 มกราคม 2565 มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 2,927 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังจำนวน 2,684 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกจำนวน 54 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำจำนวน 21 ราย ผู้ป่วยเดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 168 ราย วันนี้จึงมีผู้ป่วยสะสม (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564) จำนวน 2,203,622 ราย

.

ข่าวโควิด-19 วันที่ 2 มกราคม 2565 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน และรายงานข้อมูลเบื้องต้น สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่รวมทั้งสิ้น 3,112 ราย แยกเป็นเคสต่าง ๆ ดังนี้

  • ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,896 ราย
  • ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 65 ราย
  • ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 2 ราย
  • ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 149 ราย
  • ผู้ป่วยสะสม 2,200,695 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน)

วันนี้มีหายป่วยรักษาหายแล้วกลับบ้านเพิ่มจำนวน 2,921 ราย หายป่วยสะสมแล้วจำนวน 2,147,304 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษาอยู่จำนวน 33,108 ราย และเสียชีวิตจำนวน 12 ศพ

.

ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก แถลงข่าวในวันปีใหม่ 2565 ว่า เขาเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะการระบาดของโควิด-19 ได้ในปีนี้ หากประเทศต่าง ๆ ร่วมกันควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แต่เขาเตือนว่า แม้โลกจะมีเครื่องมือในการรักษาโรคโควิด-19 มากขึ้น ทว่าต้องระวังเรื่องแนวคิดชาตินิยมและการกักตุนวัคซีน เพราะนี่จะทำให้ไวรัสวิวัฒนาการ

“แนวคิดชาติที่คับแคบและการกักตุนวัคซีนของบางประเทศ ได้บ่อนทำลายความเท่าเทียมและสร้างเงื่อนไขในอุดมคติให้เกิดสายพันธ์ุโอมิครอนขึ้นมา และยิ่งเกิดความไม่เท่าเทียมนี้ดำเนินต่อไปนานเท่าใด ความเสี่ยงที่ไวรัสจะวิวัฒนาการไปในทางที่เราป้องกันหรือคาดเดาไม่ได้ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หากเรายุติความไม่เท่าเทียมได้ เราก็จะหยุดการระบาดได้”

นับตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดในช่วงต้นปี 2563 จนถึงตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 287,679,407 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5,434,480 ศพ

.

วันที่ 31 ธันวาคม 2564 นายแพทย์ ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยรายงานความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย ว่า การตรวจหาสายพันธุ์โควิด-19 ในผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงในประเทศ และคลัสเตอร์ใหญ่ขนาดใหญ่ รวมถึงผู้ติดเชื้อบริเวณชายแดน ข้อมูลสะสมตั้งแต่เปิดประเทศ วันที่ 1 พฤศจิกาย – 30 ธันวาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน (Potentially) จำนวน 1,145 ราย ในจำนวนนี้เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ 620 ราย และติดภายในประเทศจำนวน 525 ราย 
  
“การรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสายพันธุ์โอมิครอน ใช้การดูแลไม่ต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งนี้ หากเราพบคลัสเตอร์เดียวกัน ที่มีผู้ติดเชื้อต้องสงสัยจำนวนมาก ก็อาจใช้วิธีสุ่มตรวจสายพันธุ์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรวจทุกราย เพื่อให้ทราบสถานการณ์เท่านั้น ไม่ต้องรู้ถึงระดับรายปัจเจกบุคคล” นพ.ศุภกิจกล่าว

.

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2564 เวลา 07.30 นาฬิกา ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทยประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2564 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จากการตรวจสอบโดยละเอียด พบว่ามีจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 3,037 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 2,956 ราย ผู้ติดเชื้อในเรือนจำจำนวน 81 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจำนวน 25 คน จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมจากการระบาดเวฟใหม่ ตั้งแต่ 1 เดือนเมษายน – 29 เดือนธันวาคม 2564 มีจำนวน 2,191,461 ราย เสียชีวิตสะสม 21,578 คน

สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 2,220,324 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 21,672 คน มีผลให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอย่างเป็นทางการ อยู่ในอันดับ 24 ของโลก

ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ยังเปิดเผยว่า จำนวนผู้หายป่วยจากโควิด-19 ในประเทศไทย วันนี้ 3,115 ราย

.

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2564 ณ ทำเนียบรัฐบาลไทย นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ตำแหน่งโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โควิด-19 หรือ ศบค. ได้แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย ล่าสุดตอนนี้พบว่า มีรายงานติดเชื้อรายใหม่ 2,575 ราย ติดเชื้อภายในประเทศไทยจำนวน 2,360 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและบริการจำนวน 2,360 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชนจำนวน 59 ราย ติดเชื้อในเรือนจำจำนวน 40 ราย และมาจากต่างประเทศจำนวน 116 ราย

อาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน Omicron

จากการสำรวจผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนหรือโอไมครอน Omicron (B.1.1.529) ในรายงานทางการแพทย์ พบว่าผุ้ติดเชื้ออาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปอดอักเสบ
  • ไอเล็กน้อย ไอแห้ง คันคอ
  • การรับรู้รสชาติด้วยลิ้นไม่มีปัญหา
  • การรับรู้กลิ่นไม่มีปัญหา
  • มีไข้เพียงเล็กน้อย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย และกล้ามเนื้อ มากน้อยแล้วแต่บุคคล
  • รู้สึกเหน็ดเหนื่อยง่าย มีเหงื่อออกยามกลางคืน
  • รู้สึกอ่อนเพลีย มากน้อยแล้วแต่บุคคล

รายงานยังระบุว่า ผู้ฉีดวัคซีนแล้วอาการเจ็บป่วยจะไม่รุนแรงมาก แต่ยังไม่ควรประมาท ต้องป้องกันเชื้อไวรัสด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ คนที่ร่างกายอ่อนแอ กลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์ และฉีดวัคซีนให้ครบ 2 โดส หรือเพิ่มเข็มที่ 3 ต่อไป

เรื่องนี้ตรงกับที่แพทย์หญิงโคเอตซี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานแพทยสมาคมของประเทศแอฟริกาใต้ เปิดเผยว่า คนไข้ที่รับเชื้อไวรัสโอมิครอนเข้าสู่ร่างกาย จะมีอาการรุนแรงใกล้เคียงสายพันธุ์เดิม กล่าวคือจะมีอาการไข้สูง ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้ออย่างมาก และอาการอ่อนเพลีย แต่แตกต่างไปตรงที่ผู้ที่ได้รับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ไม่มีปัญหาเรื่องการได้กลิ่นกับการรับรส จึงพอสรุปได้ว่า ไวรัสโอมิครอนทำให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงปานกลาง

แต่ล่าสุด แพทย์หญิงฟาน เคิร์กโฮฟ มาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าแผนกโรคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก แจ้งว่า การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องและไวมากของสายพันธุ์โอมิครอน จะทำให้คนไข้ในประเทศต่าง ๆ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้น แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อระบบการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งหากระบบของโรงพยาบาลและการสาธารณสุขโดยรวมล่มเหลวพังทลาย คนไข้จะเสียชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ทางด้านนายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของดับเบิลยูเอชโอ เผยว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนักและรุนแรงในอัตราที่ไวกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มจะระบาดไปทั่วทุกประเทศทั่วโลกของเรา

นอกจากนี้ ดับเบิลยูเอชโอยังเปิดเผยว่า หลักฐานเบื้องต้นบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านโควิด-19 อาจมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนแสดงความคิดเห็นว่า ขณะนี้เร็วเกินไป หากจะกล่าว่า “โอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลตา”

สรุปอาการติดเชื้อโควิด-19 โอมิครอนหรือโอไมครอน พบว่ามีอาการ “ไอ” มากที่สุด

ไอ 54%

เจ็บคอ 37%

ไข้ 29%

ปวดกล้ามเนื้อ 15%

มีน้ำมูก 12%

ปวดศีรษะ 10%

หายใจติดขัดลำบาก 5%

การได้กลิ่นลดน้อยลง 2%

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2564 พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวถึงสถานการณ์ของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน พบว่า จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่รายงานเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ 205 ราย (ข้อมูล ณ 23 ธ.ค. 64) แต่วันนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโอไมครอนสะสมขยับขึ้นเป็น 514 ราย (ข้อมูล ณ 26 ธ.ค. 64) และได้เปิดเผยข้อมูลอาการของผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจำนวน 41 ราย ทำให้ทราบว่ามี 8 อาการที่พบได้มากที่สุด นั่นคือ อาการไอ 54 % รองลงมาคืออาการเจ็บคอ 37 % มีไข้ 29 % ปวดกล้ามเนื้อ 15 % มีน้ำมูก 12 % ปวดศีรษะ 10 % หายใจติดขัดลำบาก 5 % ได้กลิ่นลดลง 2 %

และ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวถึงอาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ว่า จากข้อมูลทั้งในประเทศและต่าง เท่าที่ได้รับรายงานมา ในเบื้องต้นยังคงพบว่า อาการไม่แตกต่างจากอาการโควิด-19 ส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ป่วยหรือผู้ได้รับเชื้อ จะมีอาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน มีไข้ เจ็บคอ และไอแห้ง เกือบทุกประเทศรายงานตรงกันว่า ความรุนแรงไม่มากเท่าสายพันธุ์เดลตา หลายประเทศรายงานว่า โอมิครอนหรือโอไมครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลตาพอประมาณ และยังพบคนป่วยบางรายมีอาการปอดอักเสบบ้าง แต่ไม่มากเท่าไรนัก

สำหรับการรักษาในไทยจะให้ยาต้านไวรัส (Favipiravir) ภายใน 3 วัน (24-72 ชั่วโมง) ซึ่งจากการรักษา พบว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติ นอกจากนี้ ข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในไทยจำนวน 100 รายแรก พบว่าเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 99 ราย ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง อายุต่ำสุดคือ 34 ปี อายุมากที่สุดคือ 77 ปี โดยผู้ป่วยไม่มีอาการพบได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งมีอาการไม่มาก ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 100 รายแรก ยังไม่มีรายใดต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และยังไม่มีรายใดเสียชีวิต แต่พบผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวน 7 ราย และทุกรายได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วครบ 2 โดส

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจนถึง 26 ธ.ค. 64 สะสมอยู่ที่ 514 ราย ที่เป็นต้นเชื้อ กระจายใน 14 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากระบบเข้าประเทศทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ ระบบไม่กักตัว(Test and go) ระบบแซนด์บ๊อกซ์ (Sand box) และระบบกักตัว(Quarantine) แล้วตรวจจับได้ พบเป็นการสัมผัสใกล้ชิดผู้เดินทางจากต่างประเทศ ประมาณ 20%

รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับโควิด-19 จะได้การรายงานความคืบ และนำมาเสนอต่อไป.

โควิด-19
โควิด-19

เว็บไซต์ nittayasan.com